ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 08, 2014, 08:39:28 pm »Pan's Labyrinth - Official® Trailer [HD]
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ...
ในยุคสมัยสงครามกลางเมืองของสเปน เด็กหญิงโอฟีเลีย ผู้กำพร้าพ่อตั้งแต่ยังเยาว์ ต้องเดินทางขึ้นไปบนหุบเขา เพราะท่านผู้กองวีดัล ต้องการให้แม่ของเธอ ที่กำลังตั้งท้องกับท่านผู้กอง ไปคลอดลูกบนนั้น ท่านผู้กองผู้เหี้ยมโหดหมายมั่นปั้นมือว่าตัวเองจะได้ลูกชายมาสืบสกุล ท่ามกลางบรรยากาศสงครามต่อเนื่องของทหารกลุ่มฟาสซิสต์และประชาชน
ระหว่างการเดินทาง โอฟีเลีย พบ แมลงปีกแข็งลักษณะประหลาด ตามมาถึงที่พักแล้วชี้ชวนให้เธอเดินทางเข้าสู่ดินแดนเขาวงกต ณ.ที่นั้น เธอได้พบ ฟอน สัตว์ในเทพนิยายครึ่งแพะครึ่งคน พร้อมกับเหล่านางฟ้าตัวน้อยๆ
ฟอน บอกเธอว่า เธอคือ องค์หญิง โมนน่า แห่งอาณาจักรแห่งนี้ และ เธอจะมีโอกาสได้กลับไปอยู่ในดินแดนของตัวเอง เพียงแค่เธอต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน
โอฟีเลียจะได้กลับไปเป็นเจ้าหญิงหรือไม่ , แม่ของเธอจะคลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้ชายอย่างที่ท่านนายพลคาดหวังหรือเปล่า ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นเช่นไร
นิทานเรื่องนี้ คือ หนังที่มีชื่อว่า Pan’s Labyrinth
....เรื่องราวของ โลกสองใบ (โลกของผู้ใหญ่ และ โลกของโอฟีเลีย) ที่หมุนไปพร้อมๆกัน ในวันเวลาที่แสนจะโหดร้ายของการเข่นฆ่าของผู้คน
Spoiler area : ข้อความถัดจากนี้ บอกเล่าจุดสำคัญและจุดหักมุมและตอนจบ (รวมถึงหนังเรื่อง Life is beautiful) พร้อม วิเคราะห์เรื่องราวในหนัง หากยังไม่อยากรู้ เลื่อนไปอ่านเฉพาะตรง สิ่งที่ชอบ กับ สิ่งที่ไม่ชอบ ด้านล่างเลยครับ
...บ้างก็ว่า โลกของโอฟีเลีย มีอยู่จริง มี เหล่าสัตว์ในเทพนิยายจริงๆ เพียงแต่ พวกผู้ใหญ่ในเรื่องไม่เห็นมัน
...แต่บ้างก็ว่า โลกของโอฟีเลีย เป็นเพียงจินตนาการที่เธอสร้างมันขึ้นมา
ความสำคัญของหนังเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่ว่า ฟอนและเขาวงกต มีอยู่จริงหรือไม่
เพราะไม่ว่าจะมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงแค่ความฝัน
สุดท้ายแล้ว โอฟีเลีย ก็ไม่อาจหลีกหนีความจริงที่เป็นโลกของผู้ใหญ่นี้ไปได้พ้น
...มีคนบอกผมก่อนดูหนังว่า ถ้าดูเรื่องนี้ ต้องคิดถึง Bridge to Terabithia หนังที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้ ดูไปผมก็เห็นพ้อง แต่ ทันทีที่ฉากสุดท้ายของหนังเรื่องปิดฉากลง ผมกลับเห็นภาพของหนังเรื่อง Life is beautiful ขึ้นมาซ้อนทับแทน
หนังสองเรื่องนี้ แทบจะไม่ต่างกันเลยในมุมที่ผมเห็น
การนำเสนอภาพความชั่วร้ายโหดเหี้ยมของ สงคราม ที่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ ผลของสงคราม กลับลุกลามทำร้าย เด็กๆ ที่ไม่เคยเกี่ยวข้องใดๆแม้แต่น้อย
และ สงคราม ก็ไม่เคยมีความงดงามแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
เด็กสองคนจากหนังทั้งสองเรื่อง เติบโตท่ามกลางความโหดร้ายของสงคราม และ ต้องเผชิญกับ ความจริงอันเจ็บปวด
...ในภาวะสงคราม ทุกคนล้วนต้องต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงผู้แก่ผู้เฒ่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ร้ายหรือผู้ดี ทุกคนต้องหาทางมีชีวิตรอด ด้วยวิธีที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับคนเป็นผู้ใหญ่ อย่าง แม่ของโอฟีเลีย ต้องยอมพินอบพิเทาและเอาใจ กัปตันจอมโหด เพื่อความอยู่รอดของตนและลูกๆ
หมอ ต้องคอยดูแลคนทั้งสองฝ่าย เพื่อให้อีกฝ่ายไว้เนื้อเชื่อใจ
เมอเซเดส ต้องยอมเป็นทาสรับใช้ให้กัปตันและลูกน้องโขกสับ แลกกับการเป็นหูเป็นตาและหาหยูกยาอาหารช่วยคนของตัวเอง
ประชาชนบนหุบเขา ต้องป้องกันตัวและต่อสู้กับเหล่าทหารของนายพลฟรังโก้ที่ตามมากำจัดผู้ต่อต้าน
กัปตันที่แสนจะชั่วร้าย ต้องคอยปราบปรามฝ่ายตรงข้าม และต่อสู้ภายในใจ กับ ภาพของพ่อที่หลายคนชื่นชมยกย่อง
ฯลฯ
นั่นคือวิธีการของผู้ใหญ่ การต่อสู้ด้วยการเข่นฆ่า ใช้เล่ห์กลมารยา ใช้อำนาจ ใช้ยุทธวิธี ฯลฯ
...วิธีการของเด็กต่างออกไป
อาวุธหนึ่งที่ พวกเด็กๆมีเหลือล้น แต่ผู้ใหญ่มีอยู่น้อยนิด นั่นคือ การมองโลกผ่านสายตาแห่งจินตนาการ
เด็กๆยังคงเชื่อและมีความสุขกับ fantasy ในขณะที่ เหล่าผู้ใหญ่ต่างค่อยๆสูญเสีย จินตนาการ ตามอายุที่เติบโต และจินตนาการหรือ fantasy นี้เอง คือ วิธีการที่เด็กสองคนจากหนังทั้งสองเรื่อง ใช้มันเป็นอาวุธเอาตัวรอดจาก สงครามที่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่
...ลูกชายของกุยโด้ ใน Life is beautiful อาศัย โลกที่พ่อวาดภาพขึ้นมาราวกับเป็นเกมส์ที่สนุกสนานให้เล่นผ่านด่านในแต่ละวัน
....เด็กหญิงโอฟีเลีย ใช้ชีวิตใน โลกแห่งจินตนาการที่มีเหล่าตัวละครในเทพนิยายปะปนเข้ามาในชีวิตจริงให้รับมือกับเรื่องร้ายๆในแต่ละวัน
แต่ในท้ายที่สุด โลกแห่งจินตนาการ ก็มิอาจ หลีกหนี ความจริงอันโหดร้ายของสังคมและสงคราม ต่อให้เด็กๆ จะ วิ่งเข้าไปหลบอาศัยอยู่ในโลกของจินตนาการนานเพียงใด สุดท้าย โลกของความเป็นจริง ก็ย่อมหมุนไล่ตามจนทัน
ลูกชายของกุยโด้ ต้องพบว่า พ่อไม่อาจเดินออกมาจากตรอกนั้นอีกตลอดกาล พ่อของเขาตายจากไปแล้ว
โอฟีเลีย ต้องพบว่า เลือดที่ออกมาจากท้องของตัวเองคือการโดนยิงจริงๆ เธอกำลังจะหมดลมหายใจและตายไปจากโลกใบนี้
... แล้วเราจะมีจินตนาการไปเพื่ออะไร เมื่อสุดท้าย เราทุกคนก็ต้องถูกกระชากกลับมาพบกับ โลกของความเป็นจริงที่ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น
ผมไม่มีคำตอบให้ แต่ หนังเรื่องนี้ มีคำตอบให้ โอฟีเลีย
...เมื่อดูจบ หนังสร้างข้อถกเถียงชวนให้ขบคิดว่า โลกของโอฟีเลียที่มีทั้งฟอน นางฟ้า คางคกยักษ์ ปีศาจจ๊ะเอ๋ ชอล์ควิเศษ รากไม้วิเศษ และดินแดนลึกลับ พร้อมเรื่องเล่าเจ้าชายเจ้าหญิง เป็น เรื่องจริงที่เธอเห็นเพียงคนเดียว หรือ เป็นเพียง จินตนาการที่เธอสร้างขึ้นมา
จากที่เกริ่นไปแล้วตอนต้นว่าไม่สำคัญเลยที่ โลกใบนั้นจะมีจริงหรือไม่ เพราะ การมีอยู่จริงของมัน ไม่ช่วยให้เปลี่ยนความโหดร้ายของสงคราม แต่ การมีอยู่ของโลกใบนี้ เปลี่ยนแปลง โลกภายในของโอฟีเลีย
1. หากโลกและเหล่าตัวละคร มีอยู่จริง มันคือ โลกของความฝัน โลกของความหวัง
...เหตุที่มีเพียง โอฟีเลีย เพียงผู้เดียวที่มองเห็น เพราะ ฟอน เลือกที่จะปรากฎเฉพาะแค่ให้เธอได้เห็น เธอได้รับรากวิเศษช่วยเยียวยาแม่ สามารถใช้ชอล์กวิเศษขีดเขียนไปยังทุกที่ที่อยากจะไป สามารถเข้าไปสัมผัสคางคกยักษ์และกินอาหารในบ้านปีศาจจ๊ะเอ๋ ฯลฯ
และ สุดท้าย ทางที่เธอเลือก คือ ตัดสินใจเสียสละ ก็สามารถทำให้เธอได้โอกาสกลับไปสู่ดินแดนของเธอ ในวินาทีสุดท้ายหลังโดนยิง ก่อนที่จะสายเกินไป เธอได้กลับไปเป็นเจ้าหญิงอยู่กับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ที่รอคอย ในดินแดนที่ฟอนเคยกล่าวถึง และนี่คือ ความเชื่อที่งดงาม คือ นิทานที่จบลงด้วยความทรงจำที่แสนดี คือ การมองโลกใบนี้ด้วยสายตาแห่งจินตนาการ
2.หากโลกและเรื่องราวเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง ทุกสิ่งเป็นเพียงจินตนาการของเธอ
...โลกของโอฟีเลีย เป็นเพียง จินตนาการ ความฝันที่ใช้เอาตัวรอดในภาวะสงคราม(escape fantasy)ของเธอเพียงผู้เดียว ฟอนและดินแดนเขาวงกตไม่มีอยู่จริง บนโลกใบนี้
อธิบายได้จาก
จิตใต้สำนึกของเธอ ดึง ความจริง มาแต่งเติม ตัดต่อ ดัดแปลง จนกลายเป็น โลกแห่งจินตนาการของโอฟีเลีย หลายสิ่งในโลกของโอฟีเลีย ไม่ว่าจะเป็น ตัวประหลาด , ภารกิจ ฯลฯ ล้วนเป็น สัญลักษณ์(symbol)ที่มาจากโลกของความเป็นจริง
....คำว่า illusion หรือ ภาพลวง เป็น คำอธิบายของอาการเห็นสิ่งหนึ่งที่มีอยู่จริง แต่การรับรู้ของเราบิดเบือนไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เช่น มองสายน้ำเกลือแล้วเห็นเป็นงู ฯลฯ ในหนังมี ชอล์กจริง มีรากไม้จริง มีต้นไม้จริง แต่มันเป็นเพียง ชอล์ก รากไม้ และ ต้นไม้ธรรมดา
...คำว่า hallucination หรือ ประสาทหลอน คือ อาการเห็นภาพหรือได้ยินเสียงจากความว่างเปล่าไม่มีตัวตน เช่น เห็นฟอน ได้ยินฟอน เห็นปีศาจจ๊ะเอ๋
และ นั่นอาจเป็น อาการส่วนหนึ่งของ โอฟีเลีย ผสมปนเปไปกับ แฟนตาซีที่เธอสร้างขึ้นมา จากพื้นฐานเดิมที่เธอรักการอ่านเทพนิยาย และ การมองด้วยสายตาแห่งความเป็นเด็กของเธอ เธอจึงเห็นในสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่อาจเห็นได้ เพราะ เลนส์จินตนาการของผู้ใหญ่ ถูกทำลายตามอายุที่มากขึ้น ผู้ใหญ่ จึงถูกจำกัดให้มองเห็นอะไรแต่ ข้อเท็จจริง
ดังนั้น แม่จึงไม่เชื่อ โอฟีเลีย ในสิ่งที่เธอเล่า
ดังนั้น กัปตัน มองด้วยสายตาที่ไร้จินตนาการ ก็จะเห็น รากไม้วิเศษเป็นแค่รากไม้เน่าๆ เห็นเพียง ซากปรักหักพังและความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าโอฟีเลีย ซึ่งเธอมองเห็นเป็นดินแดนเขาวงกตและฟอน
... แมลงปีกแข็งเป็นแค่แมลงธรรมดาที่บินผ่าน แต่เธอเห็นภาพเป็นภูติหรือนางฟ้า , รากไม้คือรากไม้ธรรมดา แต่บังเอิญว่าแม่เธอจะหายพอดีจากยาของหมอ เลือดที่ต้องหยด 2 หยด ก็แต่งเติมเสริมมาจากคำพูดที่หมอบอก หยอดยา 2 หยด
...บริเวณซากปรักหักพังกับรูปปั้นเหล่านั้น เป็น สถานที่ร้างเก่าแก่ แต่ จินตนาการของเธอสร้างมันขึ้นมาให้มีรูปร่างดินแดนเก่าแก่ตามที่เธอคิดเธอฝัน
... คางคกยักษ์ใต้ต้นไม้ ก็เป็นเพียง ป่าธรรมดาที่เธอเข้าไปคลุกเคล้าจนชุดเลอะเทอะเปรอะเปื้อน
.... การเดินทางโดยอาศัยชอล์กวิเศษ แท้จริงแล้ว อาจเป็นเธอที่เดินไปตามทางธรรมดา ขึ้นบันได เข้าไปในห้อง แล้วแอบอยู่ เพียงแต่ช่วงเวลานั้นไม่มีใครเห็นและเธอคิดเอาเองว่า ใช้ ชอล์ควิเศษ
โลกและตัวละครเหล่านั้นเป็นแค่จินตนาการ ที่ โอฟีเลีย สร้างมันขึ้นมา เช่นเดียวกับ ลูกชายของกุยโด้ ใน Life is beautiful อาศัย จินตนาการที่พ่อวาดขึ้นราวกับว่า เขากำลังเล่นเกมส์ที่แสนสนุกสนาน
และสุดท้ายเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่นิทานหรือเทพนิยาย แต่คือ ความจริงที่เจ็บปวดและขมขื่น คือ เรื่องจริงที่โหดร้ายที่ถูกเล่าผ่านช่วงเวลาสงคราม
....หากจะเป็นเช่นนั้น หากแม้การมีโลกใบนี้ ของ โอฟีเลีย มิอาจเปลี่ยนแปลงสงคราม แต่ หากเรามองดูเนื้อความในโลกแห่งจินตนาการของโอฟีเลีย
เราจะพบเห็นว่าโลกใบนี้ช่วยเหลือโอฟีเลียให้เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อด้วยความหวัง ตรงกันข้ามกับ ความหวังของผู้ใหญ่หลายคนที่มอดมลายไปท่ามกลางไฟสงคราม
สำหรับเธอแม้จะการได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่อย่างสงบสุข เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ พ่อตัวจริงของเธอก็จากไปแล้ว และ สงครามก็ยังคุกรุ่น แถมดูจากหน้ากัปตันจอมโหด เราคนดูก็แทบจะหมดหวังตั้งแต่นาทีแรกที่ลงจากรถ
แต่ fantasy ที่เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงและดินแดนในเทพนิยาย มันทำให้จุดประกายการมีชีวิตอยู่เพื่อความหวังของ การได้เป็นเจ้าหญิงกลับไปอยู่กับบิดา มารดา ในดินแดนอันสงบสุข (ภาพแม่บนบัลลังค์ตอนจบก็คือแม่จริงๆของเธอที่เสียชีวิตไป)
และ เนื้อความในจินตนาการนั้น หากเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตในโลกของความจริง
เราก็จะพบว่า
...ฟอน ผู้กุมชะตาชีวิตของ โอฟีเลีย ในโลกจินตนาการ ก็ไม่ต่างอะไรจาก กัปตัน ที่กุมชะตาชีวิตของโอฟีเลีย ในโลกของความเป็นจริง
ทั้งฟอนและกัปตัน มอบโอกาสในการมีชีวิตอยู่โดยมี 'เงื่อนไข' ที่เธอต้องทำตาม
และ ภาพของฟอน กับ กัปตัน ก็มาซ้อนทับกันในภารกิจสุดท้ายคือ ทั้งคู่ล้วนต้องการน้องชายของเธอ
และ เมื่อเธอปฏิเสธ
ก็ถึงเวลาที่ โลกของความเป็นจริง หมุนมาซ้อนทับ โลกจินตนาการอย่างเต็มตัว
กัปตัน กลับมาปรากฎตรงหน้า พร้อมๆกับ ฟอน ที่หายไป
ฟอนในจินตนาการสลายตัวหลอมรวมไปเป็น กัปตัน ที่ยืนอยู่เพียงผู้เดียว
...ยังมีสัญลักษณ์ที่น่าสนใจ นั่นคือ หากมองเข้าไปในเนื้อแท้ของภารกิจทั้งสาม เราจะพบความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ว่า 3 ภารกิจในหนัง
การเผชิญหน้ากับคางคก ก็คือ บททดสอบของความกล้าหาญ
การอดใจไม่กินอาหารที่ยั่วยวนชวนลองบนโต๊ะ ก็คือ บททดสอบของความอดกลั้น
การขโมยน้องมามอบให้ฟอน ก็คือ บทพิสูจน์ความเห็นแก่ตัวเอาตัวรอด และ บททดสอบของความเสียสละ
...คุณสมบัติทั้งสามข้อ นั้น ไม่ใช่ใช้เฉพาะในโลกของฟอน
แต่ เป็นคุณสมบัติสำคัญที่เด็กคนหนึ่งพึงมีในโลกของความเป็นจริง สำหรับการก้าวผ่านช่วงวัยตัวเอง เป็นบทพิสูจน์การต่อสู้ของมนุษย์ทุกคนทุกวัย เมื่อต้องรับมือกับสภาวะสงครามรอบตัว ว่า
จะกล้าหาญเพียงพอในการต่อสู้กับปัญหาที่ไม่อาจทำนายทายทักเข้ามาเผชิญได้หรือไม่ จะอดทนอดกลั้นหยัดยืนกับความลำบาก ความโหดร้ายของสงครามได้หรือไม่ และ จะเห็นแก่ตัวเอาตัวรอดทิ้งพวกพ้องหรือพร้อมจะเสียสละในยามคับขันจำเป็น
แน่นอนว่า ถ้าสำเร็จ ก็ย่อมมีโอกาสยืนหยัดท่ามกลางไฟสงครามจนสงบ เช่นเดียวกัน ถ้า โอฟีเลีย ประสบความสำเร็จ เธอก็สามารถกลับไปยังดินแดนของเธอดั่งที่ ฟอน บอกไว้
...ไม่ว่าโลกของฟอนและดินแดนเขาวงกต จะมีอยู่จริง หรือ เป็นเพียงจินตนาการ
แต่มันก็ทำให้ โอฟีเลีย ได้ใช้ชีวิตช่วงที่มีลมหายใจอย่างมีความหวัง ได้ช่วยแม่ให้พ้นภัย ได้ปกป้องน้องของตัวเอง ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวเลวร้ายของจริง และ ก็ทำให้ โอฟีเลีย ได้จากโลกไปอย่างสงบสุขพร้อมกับ ความเข้าใจที่งดงามว่าเธอจะได้กลับไปพบพ่อและแม่ในดินแดนที่ใฝ่ฝัน
เมื่อเรามองจากสายตาภายนอก โลกของโอฟีเลีย ปิดฉากลงแล้ว แต่ เมื่อมองโลกผ่านสายตาของโอฟีเลีย โลกของเธอกำลังเริ่มต้น ในดินแดนแห่งเขาวงกต ภายใต้ชื่อ เจ้าหญิงโมนนา
...ลองไล่ชื่อผู้กำกับที่สร้างสรรตัวประหลาดได้น่าเอ็นดูแบบหยองๆมาซักชื่อหนึ่ง ชื่อแรกที่คุณต้องคิดถึงไม่น่าจะพ้นกีลเลอโม่ เดล โทโร่ จาก Hellboy , Cronos , Mimic โลกจินตนาการของ เดล โทโร่ ไม่เคยหวานชื่นเหมือนในหนังเทพนิยายนาร์เนีย ที่ผ่านมา หนังของเขามักจะไม่พาคนดูให้ต้องชวนฝัน แต่จะฝากความน่ากลัวโหดร้ายสอดแทรกอยู่ใน ความประหลาดพิสดาร
ยิ่งมาถึง Pan’s Labyrinth เดล โทโร่ ยิ่งไม่ยั้งมือ เหมือนกับจะบอกให้รู้ว่า หนังแฟนตาซีของเขาไม่ได้สร้างมาให้เด็กดู เป็น Dark side of fairy tale หนังไม่กั๊กความรุนแรงใดๆทั้งสิ้น ชนิดที่ดูหนังเรื่องนี้ ยังจะโหดร้ายกว่าหนังสงครามพันธุ์แท้หลายต่อหลายเรื่อง คนดูจะได้พบทั้งฉากโหดๆจะๆชัดๆ ประมาณมีดกรีดปากเป็นรอยฉีกขาดยาวถังหู ปืนยิงจ่อหัวเลือดกระเซ็น
ความไม่ยั้งมือของสงคราม ยังตามมาด้วยความหยดหยองของตัวละครในจินตนาการหนูๆ ที่จะมีทั้ง ฟอนหุ่นอัปลักษณ์ที่ตอนร้ายก็แสนจะน่ากลัว , ปีศาจจ๊ะเอ๋ที่อยู่ใกล้ก็ชวนขนลุก และ ฉากเคี้ยวหัวนางฟ้าหยับๆ ก็แสนจะบดขยี้เทพนิยายแสนดีของเหล่าเด็กๆ
ความโหดร้ายเหล่านี้เอง มาพร้อมๆกับ งานด้านกำกับศิลป์ที่แสนจะอัศจรรย์ การออกแบบตัวละครเลอเลิศยอดเยี่ยมกระเทียมดอง ทั้งตัวละครในจินตนาการ (ผมชอบ ฟอน และ ปีศาจจ๊ะเอ๋ มากๆ ซาดิสต์ได้ใจเหลือเกิน) และ ตัวละครคนจริงทุกคน ต่างก็ฝากฝีไม้ลายมือที่เข้มข้น เพิ่มความกดดันให้กับคนดูได้ตลอดเวลา
...แถมดนตรีประกอบก็ช่างติดหูเหลือเกิน เพราะ จนถึงตอนนี้ เสียงฮัมเพลงกล่อมเด็กที่เป็นธีมในหนัง ยังดังวนเวียนในหูของผม จนผมต้องไปตามล่าหาแผ่น OST มาเก็บและก็ฮัมวันละสองรอบชนิดแทบจะเจอฟอนอยู่รอมร่อ
สิ่งที่ชอบ
1.ตัวหนังทั้งเรื่อง ... สมบูรณ์พร้อมเหลือเกินจนยากจะหาข้อตำหนิติเตียน นอกจากคนตั้งชื่อหนังของไทยที่ดันตั้งซะสวยหรูราวกับหนังอย่างนาร์เนีย จนอาจทำให้ผู้ใหญ่หลายคนเผลอจูงลูกตัวน้อยๆเข้าไปดู
2.บทหนัง ... ผมชอบบทหนังเรื่องนี้ที่จับ โลกของเด็ก โยนเข้าไปใน โลกของผู้ใหญ่ที่เลวร้าย โดยอาศัยจินตนาการมาเป็นตัวเล่าเรื่อง ก่อนจะทิ้งท้ายในฉากจบแบบชวนให้คิด
3.งานด้านกำกับศิลป์และเอฟเฟกต์
4.ดนตรีประกอบ ... ฮื๊อ ฮือ หื่อ ฮือ ฮือ ฮื๊อ ฮือ ฯลฯ ผมฮัมจนคนข้างๆนึกว่าผมออกมาจากเขาวงกตแล้ว ธีมนี้ช่างจับคู่กับหนังได้อย่างลงตัวดีเหลือเกิน
5.ตัวละคร ... เยี่ยมทั้งคนแสดง ไม่ว่าจะเป็น กัปตัน , หมอ , เมอเซเดส (จำเธอได้หรือเปล่า หญิงสาวที่สองหนุ่มแย่งกันระหว่างการเดินทาง ในหนังสเปนที่ชื่อหนังแปลได้ว่า “แม่แกด้วยนะแหละ” หรือ Y tu mama tambien) , แม่ , โอฟีเลีย , เชลยที่ถูกทรมาน ฯลฯ ภาพตัวละครเหล่านั้นยังคงติดตาอยู่เรื่อยมา หากต้องให้ย้อนคิดถึง เช่นฉากกัปตันสอบสวนเชลยจับกระต่าย , ฉากหมอล้มสุดเท่ , ฉากเมอเซเดสกรีดปาก ฯลฯ ทุกคนเล่นกันชนิดสุดยอด เช่นเดียวกับการออกแบบตัวละครในดินแดนเขาวงกต ทั้งฟอน และ ปีศาจจ๊ะเอ๋
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.โดนแต่ยังไม่โดนแบบสุดๆ ... แหะๆ อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว คือ รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้สมบูรณ์แบบและผมก็ชอบ แต่มันยังขาดอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ มันไม่จี๊ดดดด เหมือนกับตอนที่ได้ดู Bridge to Terabithia หนังจินตนาการที่ไม่อาจหนีพ้นโลกความจริงคล้ายๆกัน หรือ ตอนที่ได้ดู The Lives of Others ผู้แซงเข้าวินรางวัลหนังออสการ์ต่างประเทศยอดเยี่ยม
สรุป … ไม่น่าแปลกใจที่ หนังจะกวาดรางวัลกันมาแบบว่าเล่น และ ได้รับการชื่นชมยกย่องด้วยการ standing ovation ถึงยี่สิบนาทีที่เมืองคานส์ เป็น ผลงานที่อุดมไปด้วยจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ มีบทที่น่าทึ่งซึ่งจะนำคนดูไปสู่โลกใบใหม่ที่สะกดเราไว้ไม่ให้คลาดสายตาตลอดสองชั่วโมงที่หนังฉาย เป็นหนังที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายห้ามพลาดที่จะรับชม แต่ อย่าพาเด็กเข้าไปดู
ป.ล. เมื่อพูดถึง เด็กและสงคราม ไม่ว่าจะเป็น สงครามโลก สงครามอ่าว หรือ แม้แต่ข่าวสามจังหวัดภาคใต้บ้านเรา
ไม่เก่าไปเลย ไม่เชยแต่อย่างใด กับบทเพลงของเฉลียงที่เขียนเนื้อไว้ว่า
“เกิดสงครามพันครั้ง เด็กก็ยังสวยงาม
เป็นเพียงแค่สงคราม ความเดียงสาเท่าเดิม”
น่าเศร้าใจ ที่หลายครั้ง สงครามของผู้ใหญ่ ก็เข้ามาทำลาย ความเดียงสาของเด็กๆ เด็กที่ไร้เดียงสาต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อแสนสาหัสอยู่แล้ว แต่ ผู้ใหญ่ยังม่าสาแก่ใจ ยังเริ่มนำความชั่วร้ายเลวระยำตำบอนเข้าไปแปดเปื้อนเด็กๆที่เหมือนผ้าขาว ไม่ว่าจะเป็นในหนังที่เราได้เห็น การจับเด็กมาล้างสมองเป็นทหารเช่นใน Blood diamond ที่มีอยู่จริงในหลายๆมุมบนโลกใบนี้
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=04-2007&date=16&group=1&gblog=235