ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 06:48:05 pm »


be there for each other,
อยู่ตรงนั้นเพื่อกันและกัน


listen to each other
รับฟังซึ่งกันและกัน


>>>facebook.com/pages/นิทานเซน/
ระหว่าง รู้ กับ ทำ นั้นช่างห่างไกลกันเสียเหลือเกิน
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 04:24:31 pm »



นิทานเซน :ชาวนาซื้อที่ดิน

คนผู้หนึ่ง เอ่ยถามอาจารย์เซนว่า “สิ่งใดน่ากลัวที่สุดในโลก?”
อาจารย์เซนตอบว่า “ความอยาก”

คนผู้นั้นยังคงไม่เข้าใจ อาจารย์เซนจึงเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้เขาฟัง ใจความดังนี้

“ยังมีชาวนาผู้หนึ่ง ต้องการหาซื้อที่ดินสักหนึ่งผืน เขาได้ยินมาว่ามีคนต้องการขาย จึงได้เดินทางไปพบเพื่อติดต่อขอซื้อ เมื่อไปถึง ชาวนาจึงได้เอ่ยถามคนผู้นั้นว่า “ที่ดินของท่านขายอย่างไร?”

ผู้ที่ต้องการขายที่ดินตอบว่า “ขอเพียงท่านมอบเงินให้ข้า 1000 ตำลึงเท่านั้น จากนั้นให้เวลาท่านหนึ่งวันเต็มๆ นับจากพระอาทิตย์ขึ้นจนกระทั่งพระอาทิตย์ตก ให้ท่านออกเดินเท้าไปรอบๆ ที่ดิน หากท่านสามารถเดินวนไปได้ไกลเท่าไหร่ ที่ดินเหล่านั้นล้วนนับเป็นของท่าน แต่หากว่าท่านเดินทางกลับมายังจุดเริ่มต้นไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน ท่านจะไม่ได้ที่ดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว”

วันรุ่งขึ้น เมื่อพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ชายชาวนาก็เร่งฝีเท้าจ้ำเดินออกไปทันที เมื่อถึงยามเที่ยงวัน เขาหันหลังกลับมามองก็พบว่าเขามาไกลจนมองไม่เห็นจุดเริ่มต้นแล้ว จึงค่อยเลี้ยงโค้งเพื่อเดินวนไปอีกด้านหนึ่ง พร้อมทั้งก้าวเดินต่อไปโดยไม่ยอมหยุดพัก แม่ว่าจะหิวโหยและเหนื่อยอย่างยิ่งก็ตาม เขาก้าวเดินต่อไป ต่อไป จนกระทั่งพบว่าพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว ในใจเขาจึงร้อนรนขึ้นมาเพราะเกรงว่าหากกลับไปไม่ทันพระอาทิตย์ตกจะหมดสิทธิ์ ครอบครองที่ดินทั้งหมด เขาจึงรีบหันหลังกลับเพื่อเดินไปยังจุดเริ่มต้น

 แต่พระอาทิตย์ก็ใกล้จะลาลับฟ้าเต็มที เขาที่ทั้งเหน็ดเหนื่อย ตื่นเต้น และหิวโหยพยายามเร่งฝีเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า จนกระทั่งเหลือเพียงสองก้าวจะถึงจุดเริ่มต้น ทว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามีได้ถูกใช้หมดสิ้นไปแล้ว สุดท้ายได้แต่ล้มลง ณ ที่นั้น ขณะล้มลงมือทั้งสองพลันทาบทับไปที่จุดเริ่มต้นพอดีกับที่พระอาทิตย์ลาลับฟ้า พร้อมกับชายชาวนาที่ล้มหายใจขาดห้วง สิ้นใจไปในลักษณะนั้น

ที่ดินผืนกว้างใหญ่มหาศาลตกเป็นของชาวนาตามที่ได้ตกลงกันไว้ แต่จะมีความหมายอันใด ในเมื่อเขาไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว”

เมื่อจบเรื่องราวที่อาจารย์เซนเล่า เหล่าศิษย์ก็กระจ่างในใจ เข้าใจว่าเหตุใด “ความอยาก” จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก

ปัญญาเซน : กิเลส ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์
ที่มา : หนังสือ 《菩提树下听禅的故事》, 惟真 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 中国华侨出版社, 2004.08, ISBN 7-80120-851-X

11 กรกฎาคม 2013
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 04:19:24 pm »




นิทานเซน :อารมณ์ร้ายโดยสันดาน !

ครั้งหนึ่ง มีอุบาสกเอ่ยถามอาจารย์เซนผานกุยว่า
"ข้าเป็นคนอารมณ์ร้ายโดยสันดาน ไม่ทราบว่า
ท่านอาจารย์จะชี้ทางแก้ไขได้หรือไม่?"
อาจารย์เซนผานกุยถามว่า
"เป็น "สันดาน" อย่างไร? ตอนนี้เจ้าจงแสดงออกมา เพื่อที่ข้าจะได้ช่วยแก้ไข"
อุบาสกผู้นั้นจึงกล่าวว่า
"มิสามารถทำได้ เพราะตอนนี้ไม่มี ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ใดมากระทบ สันดานอารมณ์ร้อนอารมณ์ร้ายนั้น จึงจะแสดงออกมา"

ได้ฟังดังนั้น อาจารย์เซนผานกุยจึงกล่าวว่า
"หากในตอนนี้ไม่มี ก็ไม่นับเป็นสันดาน โทสะเป็นนิสัยที่เจ้าเพาะสร้างขึ้นแต่สันดานคือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หากเจ้าเรียกโทสะว่าเป็นสันดานยิ่งทำให้ยากที่จะแก้ไข ทั้งยังไม่เป็นธรรมต่อบุพการีของเจ้าสักเท่าใด"

ยามนั้นอุบาสกจึงสำนึกได้ พยายามปรับปรุงนิสัย ไม่อารมณ์เสียง่ายๆอีก

ปัญญาเซน: ธรรมชาติของจิตล้วนผ่องใส เมื่อวางได้จึงหลุดพ้น
ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

11 กรกฎาคม 2013
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 04:16:34 pm »



นิทานเซน :ทรายในกำมือ

หญิงสาวคนหนึ่งกำลังจะออกเรือน มารดาจึงพานางมาไว้พระเสี่ยงเซียมซีที่วัด จากนั้นก็มากราบคารวะพระอาจารย์เซน
ผู้เป็นแม่ถามว่า "ลูกสาวของข้ากำลังจะแต่งงาน แต่งงานไปแล้ว นางจะมีความสุข ชีวิตรักหวานชื่น ราบรื่นดีหรือไม่?"
พระอาจารย์ยิ้มๆแล้วพูดกับหญิงที่เป็นแม่ว่า "โยมลองกอบทรายสักกำมือหนึ่ง แล้วกำไว้ในมือ" อาจารย์เซนหันไปถามหญิงสาวว่า โยมเห็นทรายในมือแม่ไหม ตอนนี้มันเป็นอย่างไร หญิงสาวตอบว่า มันพูนๆเต็มฝ่ามือ ดูสมบูรณ์ดีเจ้าค่ะ

อาจารย์เซนหันไปบอกผู้เป็นแม่ว่า โยมลองบีบมือกำทรายให้แน่นๆสิ ผู้เป็นแม่ทำตาม ออกแรงบีบทรายในมือจนแน่น ทรายหลุดร่วงออกมาจากร่องมือของนาง ครั้นคลายมือออกทรายที่อยู่เต็มกำมือ ตอนนี้เหลืออยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
หญิงสาวมองดูทรายในมือแม่แล้วพยักหน้าเหมือนเข้าใจ

พระอาจารย์เซนพูดอย่างเมตตาว่า "ใครๆก็อยากมีชีวิตรักที่หวานชื่นสมบูรณ์ หากปรารถนาเช่นนั้นจริง ก็ต้องเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์ของระยะห่าง จงเห็นความรักเป็นเหมือนทรายในกำมือ ถ้าอยากเห็นทรายพูนมือสมบูรณ์ดี ก็อย่าไปบีบไปอัดมันแรงๆ ต้องถืออย่างถะนุถนอม รักษาระยะห่างให้พอดีๆ ไม่กำแน่นเกินไป บีบ อัดจนร่วงหล่นหายไปจากกำมือ"

แง่คิด...รักษาระยะห่างให้พอดี พระอาจารย์เซนเปรียบเทียบชีวิตรักว่า เหมือนทรายในกำมือแม้ใจอยากจะกำมันไว้แน่นๆ แต่ยิ่งกำแน่น ทรายก็ยิ่งหลุดไหลออกไป หายไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเรากำพอหลวมๆ ทรายก็อยู่เต็มฝ่ามือเหมือนเมื่อตอนที่กำขึ้นมาใหม่ๆ การรักษาระยะห่างในขนาดที่พอดี การดำเนินชีวิต หากสนิทสนมกับใครมากเกินไป ก็มักมีเรื่องกระทบกระทั่งกัน ขัดใจกันเป็นธรรมดา หากห่างเกินไป ก็ไม่มีเรื่องคุย ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ชีวิตหาความสุขไม่ได้ กับญาติมิตรก็เช่นกัน กับคนรักก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

ชีวิตรักจะยืนยง ก็ต่อเมื่อคู่รักต่างมีธรรมะในใจ เป็นความรักที่มีสติ มีปัญญา มองเห็นความเป็นจริง จึงเป็นความรักที่มั่นคง รู้จักให้รู้จักอภัย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่อารมณ์ ยิ่งรักยิ่งปรับปรุงตัวเป็นคนดี ยิ่งอยู่นานสายใยรักก็ยิ่งแน่นแฟ้น ยิ่งแก่ก็ยิ่งเห็นคุณค่าของกันและกัน.

9 สิงหาคม 2013
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 02:52:55 pm »



นิทานเซน :ธรรมะปัจจุบัน

มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นยังไง ถ้าถามเซน เซนจะตอบว่าก็คือการมีสมาธิ ขณะทำสิ่งใดก็ให้รู้ว่ากำลังทำสิ่งนั้น กินข้าวก็กินข้าว นอนหลับก็นอนหลับ อย่างนี้ที่เรียกว่ามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ถ้าถามว่า เรื่องอะไรสำคัญที่สุด วันอะไรสำคัญที่สุด ใครสำคัญที่สุดสำหรับเรา หลายท่านอาจตอบว่า "เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือ ได้ เลื่อนยศ ร่ำรวยเงินทอง ซื้อบ้าน รถ คนที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันคือ พ่อแม่ ลูกเมีย วันที่สำคัญที่สุดคือ วันสอบเข้ามหาวิทยาลัย วันแต่งงาน วันสอบเข้าทำงาน"

แต่เซนอยากจะบอกทุกท่านว่า ที่ตอบมาทั้งหมดนี้ล้วนไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต เรื่องที่สำคัญทีสุดในชีวิตก็คือเรื่องที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ คนที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่อยู่กับเรา ทำงานกับเราในขณะนี้ วันเวลาที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เวลานี้. นี่แหละคือ สิ่งที่เรียกว่า มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน. อยากมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ก็ต้องพึงพอใจกับปัจจุบัน ต้องเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเราในวินาทีนี้เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว ต้องเชื่อมั่นว่า ชึวิตของเรากำลังพัฒนาไปในทางที่ดีที่สุด.

9 สิงหาคม 2013
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 02:48:22 pm »



My Heart Burns Like Fire

Soyen Shaku, the first Zen teacher to come to America, said: "My heart burns like fire but my eyes are as cold as dead ashes." He made the following rules which he practiced every day of his life.
In the morning before dressing, light incense and meditate.

Retire at a regular hour. Partake of food at regular intervals. Eat with moderation and never to the point of satisfaction.

Receive a guest with the same attitude you have when alone. When alone, maintain the same attitude you have in receiving guests.

Watch what you say, and whatever you say, practice it.
When an opportunity comes do not let it pass you by, yet always think twice before acting.
Do not regret the past. Look to the future.
Have the fearless attitude of a hero and the loving heart of a child.

Upon retiring, sleep as if you had entered your last sleep. Upon awakening, leave your bed behind you instantly as if you had cast away a pair of old shoes.

ZEN notes...
19 สิงหาคม 2013
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 02:42:31 pm »



Time to Die

Ikkyu, the Zen master, was very clever even as a boy. His teacher had a precious teacup, a rare antique. Ikkyu happened to break this cup and was greatly perplexed. Hearing the footsteps of his teacher, he held the pieces of the cup behind him. When the master appeared, Ikkyu asked: "Why do people have to die?"

"This is natural," explained the older man. "Everything has to die and has just so long to live."

Ikkyu, producing the shattered cup, added: "It was time for your cup to die."

19 สิงหาคม 2013
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 02:37:43 pm »



พระอาจารย์หย่าศึก

วันหนึ่ง ท่านเซียนหยาออกบิณฑบาต พบสามีภรรยาคู่หนึงกำลังทะเลาะกัน ภรรยาเอามือเท้าสะเอว ด่าสามีดังต่อหน้าธารกำนัลว่า “แกเป็นผัวประสาอะไร ไม่ให้ตังค์แต่งตัวฉันไม่ว่า แม้แต่เงินค่าเล่าเรียนลูก ก็ยังไม่ให้อีก แกนี่ไม่เอาไหนจริงๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีอะไรเหมือนผู้ชายเลย” สามีถูกด่าต่อหน้าสาธารณชน ก็รู้สึกเสียหน้ามาก ถึงกับถลกแขนเสื้อ แล้วชี้หน้าด่ากลับไปว่า “นังแพศยา ด่าอีกที พ่อจะตบเสียให้กลิ้งเลย” ภรรยาไม่ลดราวาศอก ด่าตอบว่า “ไม่ต้องท้า ข้าด่าแน่ แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย”

 ท่านเซียนหยาแหวกฝูกชนเข้ามาร้องตะโกนว่า “พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย มาดูคนกัดกันเร็วเข้า ปกติดูชนไก่ ชนวัว ต้องเสียตังค์ แต่คนกัดกัน ไม่ต้องซื้อตั๋ว นานทีปีหนถึงจะได้เจอของดีๆแบบนี้ รีบเร่เข้ามาดูเร็วเข้า” สองผัวเมียไม่สนใจ ยังคงทะเลาะกันต่อไป สามีตวาดว่า “แกลองด่าข้าอีกทีสิว่าไม่ใช้ลูกผู้ชาย ข้าจะฆ่าแกเสียทันที” ภรรยาไม่ยี่หระ ด่าว่า “แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย เอาสิ...ฆ่าเลย...ฆ่าเลย”
 ท่านเซียนหยาตะโกนว่า “ฉากบู๊นองเลือดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว กำลังจะฆ่ากันแล้ว หาดูที่ไหนไม่ได้เทียวนะทุกท่าน รีบเร่มาดูเร็วเข้า” ชาวบ้านที่เดินผ่านมา เห็นท่านเซียนหยาส่งเสียงเชียร์แบบนี้ ก็ทนไม่ได้ ตำหนิท่านว่า “พระสงฆ์ ผัวเมียทะเลาะกัน ท่านไม่ห้าม พวกเราไม่ว่า แต่ยังยุส่งอีก มีประโยชน์อะไร”
ท่านเซียนหยาตอบอย่างสะใจว่า “มีสิ ประโยชน์เยอะแยะ พวกเขาบอกว่าจะฆ่ากันตาย พอมีคนตาย พระก็มีงานทำ ได้เงินทำบุญ อาตมาก็มีเงินใช้ ไม่ดีได้อย่างไร”

 ชาวบ้านได้ยินเช่นนั้นก็สิ้นศรัทธา ด่าพระเสียงดังลั่นว่า “เพื่อเงินเล็กๆน้อยๆ พระเจ้าถึงกับลุ้นให้คนเขาฆ่ากันตายเชียวหรือ” เสียงเอะอะโวยวายของชาวบ้านที่ทุ่มถียงกับพระสงฆ์ ทำให้สามี ภรรยาที่กำลังทะเลาะกันต้องหันกลับไปดูพระโดยมิได้นัดหมาย เลิกทะเลาะกันชั่วคราว พอท่านเซียนหยาเห็นว่าเบี่ยงเบนความสนใจได้แล้ว จึงพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่อยากเห็นคนฆ่ากันตาย ฟังอาตมาเทศน์สักหน่อย” ผัวเมียกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน ต้องเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่นแก่อีกฝ่ายหนึ่ง ทำความคิดของอีกฝ่ายให้สุกงอม คนที่จะครองคู่เป็นผัวเมียกันนั้น มันต้องเคยทำบุญร่วมกันมาก่อน ผัวเมียจะต้องเคารพซึ่งกันและกัน สองสามีภรรยาจึงรู้ตัวว่าตัวเองปล่อยให้โมหะจริตเข้าครอบงำจนเสียผู้เสียคนไปแล้ว จึงขอขมาซึ่งกันและกัน

แง่คิด ใช้วิธีไม่ปกติในเวลาที่ไม่ปกติ ชาวจีนบอกว่า ปัญญาเกิดเมื่อเจอเหตุคับขัน ดังนั้นคนที่เจอปัญหาบ่อยๆ ต้องแก้ปัญหาด่วนๆ อยู่เสมอ จึงมักจะมีปณิธานไหวพริบเฉียบไว มีปัญญาอันหลากหลาย ผิดจากคนที่ไม่เคยเจอปัญหามาก่อน คนประเภทนี้ ถ้าเจอปัญหามักจะลนลานทำอะไรไม่ถูก กลายเป็นคนเงอะงะเบาปัญญาในบัดดล

3 กันยายน 2013
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 12:43:17 pm »



นิทานเซน :สัตบุรุษกับคนถ่อย

ศิษย์ถามอาจารย์ว่า “สัตบุรุษทำผิดอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ถูกคนตำหนิ ติเตียน แต่คนถ่อยทำผิดคิดชั่วสารพัด ทำไมคนเขาไม่รู้สึกอะไร” อาจารย์ตอบว่า “สัตบุรุษเปรียบประดุจดังหยกชิ้นงาม เนื้อหยกหากมีตำหนิแม้เพียงเส้นเท่าขนแมว คนเขาก็มองเห็น และลงคะแนนว่าเป็นหยกที่มีตำหนิ ส่วนคนถ่อยที่ทำเลวทำชั่วทุกวี่วัน ชั่วจนชินตา ชั่วทุกตารางนิ้ว ชั่วจนหาที่ดีไม่เจอ จึงไม่มีใครนึกอยากจะตำหนิติเตียน”

แง่คิด เป็นคนดี มันยากนะ ทั้งหนักทั้งเหนื่อยทั้งถูกจับจ้องคาดหวัง
“สัตบุรุษ” แปลว่า คนดี คนสงบ คนที่พร้อมมูลด้วยธรรม นิทานเซนเรื่องนี้ บอกว่า “สัตบุรุษ” เป็นกันยาก เรามาดูกันหน่อยว่า สัตบุรุษ ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ในทางปฏิบัติคือคนที่ประกอบธรรม 7 ประการ คือ

- เป็นคนที่มีศรัทธา มีความละอายต่อบาป มีความกลัวต่อบาป เป็นคนได้ยินได้ฟังมาก มีความเพียร มีสติมั่นคง
- ไม่ปรึกษาอะไรที่เบียดเบียนตนและผู้อื่น
- ไม่คิดอะไรเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น
- ไม่พูดอะไรเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น
- ไม่ทำอะไรเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น
- มีความเห็นชอบ เป็นสัมมาทิฐิ
- ให้ทานโดยความเคารพ ไม่ให้แบบทิ้งขว้าง

กล่าวกันว่า เป็นคนนั้นยาก เป็นสัตบุรุษก็ยิ่งยาก ธรรมชาติก็ได้โปรแกรมให้เราต้องเป็นสัตบุรุษอยู่แล้ว ยังไงๆ เราก็ไม่เลือกที่จะเป็นคนถ่อย แม้คนถ่อยจะเป็นง่ายกว่าสัตบุรุษหลายพันหลายหมื่นเท่าก็ตาม เมื่อธรรมชาติแห่งจิตพุทธะในตัวคนสำแดงเดชให้มนุษย์ต้องเป็นคนดี ยามเจอเงื่อนไขหนักเหนื่อย จงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมอย่าได้ท้อแท้ทุกข์ตรมไปเลย เพราะนี่คือธรรมชาติ

ขงจื้อสอนไว้ว่า ความผิดพลาดของสัตบุรุษนั้น เปรียบประดุจดังสุริยุปราคา ใครๆก็มองเห็น แต่หลังจากที่เขาแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นแล้ว ทุกคนก็ยังคงเคารพนับถือเขา

10 กันยายน 2013
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2014, 12:37:12 pm »



นิทานเซน :พื้นผิวของชีวิต

ฟ้าเพิ่งสาง นาย ก.ผู้ถือศีลกินเจถือช่อดอกไม้สดกับผลไม้ถาดหนึ่ง กุลีกุจอมาไหว้พระแต่เช้า เพิ่งย่างเท้าเข้ามาในโบสถ์เท่านั้นก็มีคนคนหนึ่งวิ่งพรวดออกมาชนปะทะกันจังๆ ทำเอาถาดผลไม้พลิกคว่ำ ผลไม้หกเกลื่อนกระจายไปทั่วพื้น นาย ก. โกรธมาก ตวาดว่า “ดูสิ ทะเล่อทะล่าวิ่งมาชนผลไม้ไหว้เจ้าของข้าหกกระจาย ทีนี้จะว่าอย่างไร” ผู้วิ่งมาชนกล่าวอย่างไม่พอใจนักว่า “ก็มันชนเข้าให้แล้วนี่ ข้าก็พูดได้คำเดียวว่า ขอโทษ คนถือศีลกินเจ ทำไม่ต้องดุขนาดนี้ด้วย” นาย ก. โกรธยิ่งกว่าเดิม กล่าวว่า “อะไรกัน ตัวเองทำผิด ยังจะโทษคนอื่นอีก”

พูดจบ ผู้ถือศีลกินเจทั้งสองก็ทะเลาะกันใหญ่ ท่านอาจารย์ก่วงหวี่เดินผ่านมาพอดี จึงสอนว่า “เดินทะเล่อทะล่าเป็นเรื่องไม่สมควร แต่ว่าไม่ยอมรับคำขอโทษของผู้อื่นก็ไม่ถูกเช่นกัน การยอมรับผิดอย่างจริงใจกับการยอมรับคำขอโทษจากผู้อื่นอย่างมีเมตตาจิต เป็นพฤติกรรมของผู้มีปัญญา” การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จะต้องรู้จักปรับพื้นผิวชีวิตของตัวเอง อย่างเช่นในทางสังคม เราจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างปรองดองได้อย่างไร ในทางเศรษฐกิจ เราจะใช้จ่ายให้รายรับกับรายจ่ายสมดุลกันได้อย่างไร ในทางสุขภาพเราจะฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงได้อย่างไร ในทางจิตวิญญาณเราจะเลือกวิถีชีวิตให้กับตัวเองอย่างไรจึงจะไม่ทำให้รู้สึกเสียชาติเกิด ลองคิดดูนะว่า เป็นเพราะเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่ง เราก็ทะเลาะกันแต่เช้า เสียอารมณ์ หงุดหงิด จิตใจไม่สงบ เสียศรัทธาต่อเพื่อนมนุษย์ มันคุ้มค่าไหม?

วิธีแก้ไข นาย ข. ข้าสำนึกผิด กล่าวจากใจจริง “ข้าผิดไปแล้ว ข้าขาดสติไปหน่อย จึงเดินทะเล่อทะล่าไปชนท่าน ข้าขอโทษ” นาย ก. ใจอ่อนลง พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ข้าก็ไม่ถูกเหมือนกัน ไม่ควรโมโหโทโส เอ็ดตะโรใส่ท่าน ข้าขอโทษ”

แง่คิด รู้จัก “ขอโทษ” กันบ้าง การไม่ยอมขอโทษมี 2 กรณี แรกเกิดจากเราผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้จริงๆว่าตัวเองทำความเสียหายแก่ผู้อื่นเข้าแล้ว จึงไม่ขอโทษ กรณีที่ 2 เป็นปัญหาเกี่ยวกับศักดิ์ศรีหน้าตา รู้สึกว่าใครถูกใครผิดก็ช่าง แต่ถ้าใครขอโทษก่อน คนนั้นเสียหน้า จะให้พ่อแม่ไปขอโทษลูกนั้นก็ทำไม่ได้ ขอโทษเพื่อนก็เหมือนกันเสียหน้าออกจะตาย

เกิดเป็นคน ย่อมทำถูกทำผิดกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าหากเรามีความกล้าหาญพอที่จะยอมรับผิด ยอมอภัยให้คนอื่น โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยความเมตตาปราณี น่าอยู่น่าอาศัยยิ่งขึ้น เรื่องนี้ยังสอนถึง รูปแบบที่ดีย่อมสร้างความประทับใจเป็นที่ต้อนรับของคนทั่วไป คนที่คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีภาษีมากกว่าคนที่คิดดี ทำดี แต่พูดไม่ดี

3 กันยายน 2013