ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 24, 2014, 07:29:00 am »

พาชมพิพิธภัณฑ์ครุฑ แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย

-http://travel.kapook.com/view96258.html-



พิพิธภัณฑ์ครุฑ แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย


เรียบเรียงข้อมูลและภาพประกอบโดยกระปุกดอทคอม

          ถ้าเอ่ยถึง "ครุฑ" หลาย ๆ คนคงนึกถึงเครื่องหมายสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงความผูกพันทางศาสนาและในวรรณคดีที่คนไทยรู้จักมาเนิ่นนาน แต่วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ไปเรียนรู้อีกมุมหนึ่งของครุฑผ่าน "พิพิธภัณฑ์ครุฑ" โดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งถือเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในไทยกันค่ะ



          แต่ก่อนที่เราจะไปเที่ยวชมภายในพิพิธภัณฑ์ครุฑ ควรต้องไปทราบถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับครุฑกันก่อนค่ะ โดย อาจารย์ประสาท ทองอร่าม (ครูมืด) ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย กรมศิลปากร ได้บอกเล่าว่า ครุฑเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสัตว์ประเสริฐ ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ โดยคำว่า องค์ครุฑ พญาครุฑ หรือครุฑ แปลว่า ผู้รับภาระหรือผู้ที่แบกภาระ ท่านเป็นวิหคกึ่งเทพ ลักษณะรูปร่าง คือ มีจะงอยปาก ส่วนหน้า หน้าตา มีปีก มีขาเป็นพญานกอินทรีย์ ส่วนร่างกายจะเป็นเทพหรือมนุษย์ที่น่าเกรงขาม ยิ่งใหญ่ และสง่างาม ตามตำนานของศาสนาฮินดูโดยแท้จริงนั้นบอกว่าท่านเป็นโอรสของพระกัศยปฤาษีและพระนางวินตา (โดยมีพี่น้องต่างมารดากับ "พญานาค" เทพเจ้าแห่งงูหรือสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งทั้งสองไม่ถูกกัน) อีกทั้งท่านยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญูต่อมารดาเป็นอย่างมาก เพราะท่านช่วยเหลือมารดาให้พ้นจากคำสาป



ตำนานขององค์ครุฑ

          ตามตำนานของศาสนาฮินดูเล่าว่าองค์ครุฑเป็นโอรสของ "พระกัศยปฤาษี" และ "พระนางวินตา" โดยก่อนหน้านี้ "พระทักษะ" ได้มอบธิดา 2 คน คือ "นางกัทรุ" และ "นางวินตา" ให้กับพระกัศยปฤาษีซึ่งใหญ่เทียบเท่ากับบรรดาเทพทั้งหลาย มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ใครขอพรอะไรจะได้อย่างนั้น ซึ่งต่อมาทั้ง 2 นาง ได้เข้าไปขอพรกับพระกัศยปฤาษี โดยนางกัทรุขอให้มีลูก 1,000 คน และมีอิทธิฤทธิ์เก่งกาจ ซึ่งนางก็ได้สมหวังโดยคลอดลูกออกมาเป็นพญานาค 1,000 ตัว ส่วนนางวินตาขอพรให้มีลูก 2 คน แต่ยิ่งใหญ่และเหนือกว่าลูกทั้งพันของนางกัทรุ เวลาต่อมานางวินตาก็คลอดลูกออกมาเป็นไข่ 2 ฟอง แต่นานวันเข้าไข่ทั้ง 2 ฟอง ก็ไม่ฟักซะที นางร้อนใจจึงทำการกะเทาะเปลือกไข่ 1 ฟอง ส่งผลทำให้ลูกที่เกิดมานั้นเป็นชายครึ่งนกที่มีสภาพร่างกายพิการ ชื่อว่า อนอุรุ (ต่อมาชื่อว่า พระอรุณ) ซึ่งอนอุรุโกรธมารดาที่ทำให้พิการ จึงสาปขอให้มารดาตกเป็นทาสของนางกัทรุ 500 ปี และจะพ้นจากสาปก็ต้องพึ่งใบบุญจากลูกที่เกิดจากไข่อีกหนึ่งฟองที่เหลือ ซึ่งจะเกิดหลังนี้อีก 500 ปี จากนั้นท่านก็บินจากไปเป็นสารถีของพระอาทิตย์



          ต่อมาเมื่อเวลาล่วงผ่านไป 500 ปี ไข่อีก 1 ฟอง ก็ถึงเวลากำเนิดเกิดขึ้น ว่ากันว่าเวลาที่ท่านกำเนิดออกมานั้นทั่วทั้งจักรวาลได้ยินเสียงกัมปนาทกึกก้องไปทั่วหล้า โดยองค์ครุฑมีลำตัวใหญ่ถึง 50 โยชน์ ปีกซ้ายและขวากว้างใหญ่อีกข้างละ 50 โยชน์ ลำคอ หาง 50 โยชน์ จะงอยปาก 9 โยชน์ ปากอ้ากว้างได้อีก 9 โยชน์ เวลาบินกระพือปีกกวักหนึ่งบินไกลไปได้ 100 โยชน์ (ความยาว 1 โยชน์ มีระยะเทียบเท่ากับ 16,000 เมตร หรือ 16 กิโลเมตร) และเมื่อเกิดมาแล้วองค์ครุฑก็ต้องคอยรับใช้นางกัทรุและลูก ๆ ที่เป็นพญานาคตามมารดา



          หยดน้ำตาที่หลั่งลงบนผืนดินของมารดายามหลับใหลด้วยความลำเข็ญ หลังการรับใช้นางกัทรุมาเป็นเวลานาน ทุก ๆ วันองค์ครุฑเฝ้าดูมารดาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนมารดาของตนต้องตกเป็นทาสเขาอยู่ร่ำไป จนวันหนึ่งที่ความอดทนถึงขีดสุด เมื่อนางกัทรุมารดาแห่งพญานาค ใช้ให้มารดาพานางและเหล่านาคกว่า 1,000 ตัว ข้ามไปยังมหาสมุทรอีกฝั่งด้วยความยากลำบากแสนสาหัส การเจรจาต่อรองกับพญานาคเพื่อไถ่ตัวมารดาให้พ้นทุกข์จึงเกิดขึ้น องค์ครุฑมิอาจทนเห็นมารดาของตนตกเป็นทาสรับใช้นางกัทรุ จึงไต่ถามนางกัทรุถึงวิธีที่มารดาจะเป็นอิสระ

          "เจ้าจงไปเอาน้ำอมฤตมาให้เราดื่ม บัดนั้นมารดาเจ้าจะพ้นจากการเป็นทาส" เพราะซึ่งน้ำอมฤตจากพระจันทร์สรรค์สร้างความอมตะนิรันดร์สู่ผู้ถือครอง ต่อมาพระอินทร์ได้เข้าขัดขวางองค์ครุฑ เกิดการต่อสู้กันขึ้น จนทำให้ขนจากกายองค์ครุฑร่วงหล่นลงเส้นหนึ่ง องค์ครุฑจึงได้ถวายขนเส้นนั้นให้แก่พระอินทร์ จึงได้นามว่า "สุบรรณ" และว่าขนอันงดงาม และเมื่อพระอินทร์รู้ว่าองค์ครุฑต้องการน้ำอมฤตเพื่อช่วยมารดา ท่านจึงเปิดทางให้ องค์ครุฑจึงกล่าวกับพระอินทร์ว่า "น้ำอมฤตนี้เพื่อแลกอิสรภาพของมารดา ขอท่านจงชิงกลับมาก่อนที่นาคจะได้ดื่ม หลังจากข้านำน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้สู่แดนพญานาคแล้ว"



          ครานั้นพระนารายณ์เทพผู้รักษา เสด็จขึ้นจากเกษียรสมุทรเพื่อมาขัดขวางองค์ครุฑมิให้สามารถนำน้ำอมฤตไปได้ แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์อันแรงกล้าจึงมิอาจมีผู้ใดชนะ และเมื่อพระนารายณ์รู้ว่าองค์ครุฑต้องการนำน้ำอมฤตไปช่วยมารดาหาใช่นำมาให้ตนเอง จึงชื่นชมในความกตัญญูและมอบน้ำอมฤตให้ไปเพื่อล้างคำสาปของมารดา

          "ข้าขอสรรเสริญที่ท่านไม่คิดดื่มน้ำอมฤตนี้ พรหนึ่งข้อจะเป็นของท่าน" พระนารายณ์ จึงประทานพรให้องค์ครุฑหนึ่งข้อ

          "ข้าขออยู่สูงกว่าพระองค์ ขอเป็นผู้ไม่มีความเจ็บแม้ไม่ได้ดื่มน้ำอมฤต" องค์ครุฑได้เอ่ยขอพรจากพระนารายณ์

          "ท่านยอมเป็นพาหนะของข้า ข้าจะให้ท่านอยู่ที่เสาธงของข้า เพื่อที่ท่านจะได้อยู่สูงกว่าข้า" หลังจากนั้นปรางค์ "นารายณ์ทรงสุบรรณ" ได้ถือกำเนิดขึ้น เหตุนี้เององค์ครุฑจึงเปรียบเป็นดั่งพาหนะของกษัตริย์ ผู้ทรงเป็นอวตารของพระนารายณ์ ครุฑจึงได้รับการนับถือและยกให้เป็นสัตว์สัญลักษณ์แห่งแผ่นดินไทยนับแต่นั้นมา

          เอาล่ะ...พอทราบตำนานขององค์ครุฑกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ตามเราไปเที่ยวชมความสง่างามที่น่าเกรงขามขององค์ครุฑ ณ พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กันเลยค่ะ



ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ครุฑ

          พิพิธภัณฑ์ครุฑของธนาคารธนชาต นับเป็นพิพิธภัณฑ์ครุฑแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย จัดสร้างจากแนวความคิดของผู้บริหารธนาคารธนชาต ที่ต้องการส่งผ่านความเคารพและความรู้ที่มีความสำคัญเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งพระเจ้าแผ่นดิน อีกทั้งยังตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อและความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อองค์ครุฑ

          ทั้งนี้นับจากที่ธนาคารนครหลวงไทย ได้ควบรวมเข้ากับธนาคารธนชาต เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ธนาคารธนชาต ซึ่งได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญขององค์ครุฑพระราชทานที่มีความผูกพันและความศรัทธามาอย่างนานกับคนไทย จึงได้อัญเชิญเครื่องหมายครุฑพ่าห์ที่พระราชทานให้กับธนาคารหลวงไทย เพื่อติดตั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขาเป็นการเฉพาะนั้น ไปประดิษฐานในที่อันเหมาะสม ณ ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารธนชาต บางปู และมีการประกอบพิธีกรรมทางพราหมณ์ตามหลักประเพณีปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยคณะพราหมณ์จากสำนักพระราชวัง เพื่อจัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ครุฑขึ้นมา เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครุฑในทุก ๆ ด้านให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยมีพื้นฐานความเชื่อจากคติจักรวาลในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ อีกทั้งยังเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับสถาบันการปกครองของไทยอย่างลึกซึ้ง และครอบคลุมความเชื่อที่ปรากฏให้เห็นในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน



          สำหรับพิพิธภัณฑ์ครุฑนั้น แบ่งการจัดแสดงออกเป็น 5 ห้อง ได้แก่ โถงต้อนรับ, ห้องครุฑพิมาน (ป่าหิมพานต์), ห้องนครนาคราช, ห้องอมตะจ้าวเวหา และห้องจัดแสดงครุฑไม้สักเก่า

          โดยเรามาเริ่มกันที่ "โถงต้อนรับ" ซึ่งเป็นรูปวงกลม ที่เมื่อเดินเข้าพิพิธภัณฑ์ครุฑสิ่งที่เห็นเด่นเป็นสง่า ก็คือ โลโก้พิพิธภัณฑ์ครุฑที่ตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง และทางด้านขวามือจะเป็นกาพย์ห่อโคลงที่กล่าวถึงพญาครุฑในแง่มุมทางพุทธศาสนา ที่ได้รับเกียรติจากยอดกวีแห่งยุครัตนโกสินทร์ อาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ส่วนทางด้านขวามือของโถงต้อนรับยังมีภาพถ่ายหน้าสาขาต่าง ๆ ของธนาคารนครหลวงไทย ที่ถ่ายทอดความประทับใจเก็บไว้ รวมถึงมีวีดิทัศน์แนะนำเรื่องราวและความสำคัญขององค์ครุฑโดย อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมไทยและเป็นที่ปรึกษาในการจัดสร้างพิพิธภัณฑ์ครุฑแห่งนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีคำบอกเล่าประสบการณ์การปั้นครุฑจากศาสตราภิชาน สัญญา วงศ์อร่าม ภาควิชาศิลปศึกษา คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



          จากนั้นเมื่อชมโถงต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ก็เดินขึ้นไปที่ชั้น 2 เพื่อท่องไปยังดินแดนหิมพานต์ ณ ห้องครุฑพิมาน หรือวิมานแห่งครุฑ ซึ่งเป็นการรังสรรค์ห้องจัดแสดงให้เป็นเสมือนป่าหิมพานต์ ดินแดนที่กำเนิดขึ้นภายใต้แนวความคิดศูนย์กลางของจักรวาลตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ห้องนี้จะมีการจำลองสัตว์วิเศษที่ปั้นเสมือนจริง ต้นมักกะลีผล สระอโนดาตจำลอง ฯลฯ



          ดื่มด่ำกับดินแดนหินพานต์แล้วก็ได้เวลาไปชื่นชมความงามของ "นครนาคราช" โดยเนรมิตอุโมงค์ทางเดินกว่า 10 เมตร ให้กลายเป็นมหานครใต้น้ำทั้งสีสันและบรรยากาศ เพื่อให้สมกับเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของเทพเจ้าแห่งสายน้ำอย่างพญานาค ซึ่งเป็นคู่ปรปักษ์กับองค์ครุฑ โดยมีการจิตรกรรมฝาผนัง "ครุฑยุดนาค" ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ขององค์ครุฑและพญานาค



          ก่อนจะเข้ามาชมสื่อมัลติมีเดีย ณ ห้องอมตะจ้าวเวหา ที่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ขององค์ครุฑในด้านการกตัญญูกตเวที พละกำลัง และความเสียสละ ซึ่งที่ห้องนี้ได้มีการนำเอาองค์ครุฑบางส่วนมาประทับไว้บนผนัง




          และเมื่อรับรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับองค์ครุฑกันบ้างแล้ว ก็ถึงเวลาไปพบกับ "ห้องจัดแสดงครุฑไม้สักเก่าแก่" จำนวนมาก โดยแต่ละตัวมีรูปแบบที่สง่างามแตกต่างกันไปตามจินตนาการของช่างแกะสลัก เพราะในอดีตไม่มีการกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่กำหนดลักษณ์ขององค์ครุฑ ทั้งนี้ เสน่ห์ขององค์ครุฑไม้สักแกะสลักนั้นไม่ได้อยู่ที่ความสวยงาม ท่วงท่าอันสง่างามที่แสดงถึงพลังอำนาจอันน่าเกรงขามอย่างเดียว หากแต่อยู่ที่คุณค่าและประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์องค์ครุฑแต่ละตัว ซึ่งทุกตัวถูกอันเชิญมาประดิษฐานที่พิพิธภัณฑ์ครุฑก็มีความเก่าแก่แตกต่างกันไป โดยตัวที่เก่าแก่ที่สุด คือ องค์ครุฑจากสาขาราชดำเนิน ซึ่งเป็นสาขาแรกของธนาคารนครหลวงไทย มีอายุกว่า 70 ปี



          ทั้งนี้พิพิธภัณฑ์ครุฑ โดยธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ยังไม่เปิดให้เยี่ยมชมอย่างเป็นทางการ หากใครต้องการไปสัมผัสกับมนตร์เสน่ห์ต่าง ๆ ขององค์ครุฑนั้น อดใจรอกันสักหน่อยนะคะ ^__^



แผนที่การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์ครุฑ

ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 03, 2014, 10:23:48 am »

ชมความงาม เรือพระราชพิธี แห่งเดียวในโลก

-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=553135-
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: สิงหาคม 03, 2014, 10:22:53 am »

ชมความงาม เรือพระราชพิธี แห่งเดียวในโลก

-http://www.innnews.co.th/shownews/show?newscode=553135-


พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี ตั้งอยู่บริเวณปากคลองบางกอกน้อยอยู่ติดกับกองเรือเล็ก กองทัพเรือ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งเดียวในโลก ที่มีการจัดแสดงเรือที่สำคัญที่ใช้ในงานพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์มาแต่อดีตโบราณกาล  ที่บ่งบอกถึงคุณด้านวัฒนธรรมของศิลปกรรมงานเชิงช่างที่สง่างามวิจิตรบรรจง  เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ได้รับรางวัลเกียรติยศจากองค์การเรือโลกแห่งสหราชอาณาจักร และได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเหรียญรางวัลมรดกทางทะเล ในปี ค.ศ. ๑๙๙๒ ( THE WORD SHIP THUST MARITIME HERITAGE AWARD “ SUPHANNAHONG ROYAL BARGE) แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อันนำมาซึ่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ

วันนี้จึงขอนำชมเรือพระราชพิธีกันอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าหลายคนได้มีโอกาสชื่นชมขบวนเรือพระยุหยาตราชลมารค ซึ่งเป็นราชประเพณีว่าด้วยการเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยที่มีขบวนเรือทั้งหมด๕๒ ลำ ที่มีการจัดรูปกระบวนเรือรบในแม่น้ำตามตำราพิชัยสงคราม ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งปัจจุบัน ได้มีประเพณีการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราชลมารค ถวายผ้ากฐินหลวงวัดอรุณราชวราราม
เรือพระราชพิธีที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ฯ มีจำนวน ๘ ลำได้แก่
๑.เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ จัดเป็นเรือพระที่นั่งลำดับชั้นสูงสุด สำหรับพระมหากษัตริย์ประทับ เรียกว่าเรือพระที่นั่งทรง โขนเรือเป็นรูปหงส์ ซึ่งหมายถึงหงส์อันเป็นพาหนะของพระพรหมตามคติฮินดู และเป็นเครื่องหมายของความสง่างามที่ควรคู่กับพระราชฐานของพระมหากษัตริย์ ในพระพุทธศาสนาได้มีกล่าวไว้ในชาดก เรื่องของหงส์ซึ่งบอกเล่าถึงชาติกำเนิดในอดีตของพระพุทธองค์ หงส์ในสังคมไทยเป็นเครื่องหมายแสดงความสง่างาม สิ่งสูงส่ง และบุคคลมีชาติตระกูล เรือสุพรรณหงส์มีลักษณะ ปิดทองประดับกระจก มีความยาว ๔๖.๑๕ เมตร กว้าง ๓.๑๗ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๐ นาย  นายท้าย ๒ นาย
๒.เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชจัดเป็นเรือสำหรับพระมหากษัตริย์ประทับ หรืออัญเชิญผ้าพระกฐิน หรือประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ เรียกว่าพระที่นั่งรอง  โขนเรือเป็นรูปพญานาค ๗ เศียร นาคปรากฏอยู่ในตำนานอินเดียที่อาศัยอยู่ในโลกบาดาลทำหน้าที่ปกปักรักษาผืนน้ำ อนันตนาคราชผู้แผ่ร่างเป็นที่ประทับของพระนารยณ์ขณะบรรทมเหนือเกษียรสมุทร ในช่วงเวลาที่ถูกสร้างโลกใหม่หลังจากที่เวลากัลป์หนึ่งได้สิ้นสุดลงอนันตนาคราจึงถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นนิรันดร สะท้อนถึงความเชื่อของสังคมไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นอวตารแห่งพระนารายณ์เมื่อพระองค์เสด็จประทับในเรือพระที่นั่งเปรียบเสมือนพระนารายณ์ประทับเหนือพญาอนันตนาคราช โดยเรือมีลักษณะเป็นไม้จำหลักปิดทองประดับกระจก ภายนอกทาสีขาว ภายในทาสีแดง ความยาว ๔๔.๘๕ เมตร กว้าง  ๓.๑๗ เมตร ใช้ฝีพาย ๕๒ นาย นายท้าย ๒ นาย
๓.เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เป็นเรือพระที่นั่งลำแรกและลำเดียว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นเรือพระที่นั่งรอง โขนเรือ สลักลวดลายเป็นนาคเกี่ยวกระหวัดนับร้อยนับพันตัว หรือที่เรียกว่านาคเกี้ยว แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่านาคผู้มีถิ่นที่อยู่ในน้ำและเป็นผู้พิทักษ์ผืนน้ำ ลักษณะปิดทองประดับกระจก มีลวดลายนาคเกี้ยวตลอดลำ ภายนอกลำเรือทาสีชมพู ภายในทาสีแดง ความยาว ๔๕.๖๗ เมตร กว้าง ๒.๙๑ เมตร ใช้ฝีพาย ๖๐ นาย นายท้าย ๒ นาย
๔.เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙ โขนเรือเป็นพระนารายณ์หรือพระวิษณุ เป็นเทพเจ้าที่สำคัญในศาสนาฮินดู ได้รับการนับถือว่าเป็นผู้ปกป้องโลก ตามตำนานกล่าวว่าพระวิษณุประทับอยู่กลางเกษียรสมุทรเมื่อเกิดทุกข์เข็ญ รูปของพระวิษณุ คือ บุรุษมีสี่กร ถือตรี คฑา จักร สังข์ และทรงครุฑ (สุบรรณ)เป็นพาหนะ สังคมไทยในอดีตมีความเชื่อในคติสมมติเทพที่รับมาจากศาสนาพราหมณ์หรืฮินดู เชื่อว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอวตารของพระวิษณุ การสร้างสิ่งต่าง ๆ สำหรับพระมหากษัตริย์จึงสอดคล้องกับความเชื่อนี้  เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙  เป็นเรือลำแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กองทัพเรือร่วมกับกรมศิลปากรและสำนักพระราชวัง จัดสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ครบ ๕๐ ปี  มีลักษณะไม้จำหลักลงรักปิดทองล่องชาดประดับกระจกสีน้ำเงิน พื้นเรือทาสีแดงชาด ลำเรือแกะสลักประดับกระจก ลายก้านขดกระหนกเทศ  ความยาว ๔๔.๓๐ เมตร กว้าง ๓.๒๐ เมตร  ใช้ฝีพาย ๕๐ นาย นายท้าย ๒ นาย
๕.เรือครุฑเหินเห็จจัดเป็นเรือรูปสัตว์ ในประเภทเรือกระบวนปิดทอง ลักษณะโขนเรือเป็นรูปพญาครุฑหยุดนาคสีแดง สร้างขึ้นตามตำนานของอินเดียว่าเป็นพาหนะของระนารายณ์ ซึ่งในงานศิลปะมักปรากฏครุฑคู่อยู่กับนาค ซึ้งสร้างตามเรื่องราวของการต่อสู้ครุฑกับนาคที่เป็นอริกัน ตัวเรือปิดทองประดับกระจก ตัวเรือภายในทาสีแดง ภายนอกทาสีดำ เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๒๘.๕๘ เมตร กว้าง  ๒.๑๐เมตร ใช้ฝีพาย ๓๔ นาย นายท้าย ๒ นาย
๖.เรือกระบี่ปราบเมืองมาร จัดเป็นเรือรูปสัตว์ โขนเรือกระบี่ปราบเมืองมาร แสดงถึงหนุมานในฐานะนายทหารผู้จงรักภักดีต่อพระราม (อวตารหรือพระวิษณุ) มีหน้าที่สำคัญในการยกทัพไปตีเมืองมาร หรือกรุงลงกาของทศกีณฑ์ประเภทกระบวนปิดทอง สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ ๑  โชนเรือเป็นรุปกระบี่สีขาว ปิดทองประดับกระจก เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๒๘.๘๕ เมตร  กว้าง ๒.๑๐ เมตร ฝีพาย ๓๖ นาย นายท้าย ๒ นาย 
๗.เรือสุรวายุภักตร์ จัดเป็นเรือรูปสัตว์ ประเภทเรือกระบวนเขียนลายทอง สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ ๑  โขนเรือสลักเป็นรูปยักษ์ กายเป็นนกสีคราม ปรากฏในเรื่องราวรามเกียรติ์ว่าคราวหนึ่งบินไปเห็นพระราม พระลักษณ์ ก็จะโฉบเอาไปกิน หนุมานและสุครีพตามไปช่วยไว้ได้ และฆ่าอสุรวายุภักษ์เสีย ลักษณะเรือ ปิดทองประดับกระจก เครื่องแต่งกายสีม่วงด้านหลังสีเขียว ลำเรือภายนอกทาสีดำ เขียนลายดอกพุดตานสีทอง ความยาว ๓๑.๐๐ เมตร กว้าง ๒.๐๓ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๐ นาย  นายท้าย ๒ นาย
๘.เรือเอกไชยเหินหาว สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑  โขนเรือเป็นทวนไม้รูปดั้งเชิดสูง เขียนลายทองรูปเหรา หรือจระเข้ เป็นสัตว์หิมพาน อาจมีที่มาจากมกรที่มีลำตัวยาว มีขา ๔ ขา มาจากศิลปะอินเดียโบราณ ดังปรากฏในศิลปะทวารวดีและศิลปะลพบุรี เรียกชื่อ เหรา เห็นได้จากปราสาทบายนของเขมรโบราณ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘  ราว ๘๐๐ ปีมาแล้ว ตัวเรือมีความยาว ๒๙.๗๖ เมตร กว้าง ๒.๐๖ เมตร ใช้ฝีพาย ๓๘ นาย นายท้าย ๒  นาย

ขบวนพยุหยาตราชลมารค ได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของชาวต่างประเทศมาแล้วถึงความสง่างามยิ่งใหญ่หาที่ใดเสมอเหมือน ที่มีความสวยงามและทรงคุณค่าในด้านศิลปวัฒนธรรมไทยและเป็นขวัญกำลังใจให้พสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชมในพระบารมีพระมหากษัตริย์ เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยยิ่งนัก หากมีเวลาควรไปชมด้วยตนเองเพราะถือได้ว่าสมบัติของแผ่นดินที่มีเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกนี้ การเดินทางไม่อยากหากคุณเริ่มต้นจากสนามหลวงสามารถขึ้นรถโดยสารประจำทาง ๑๔๕  สังเกตกรมอู่ทหารเรือ แล้วสามารถลงป้ายนั้นเดินผ่านกรมอู่ทหารเรือมาเข้าซอยเล็ก ๆ ก็จะพบพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เปิดให้เข้าชมทุกวันไม่เว้นวันหยุด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข ๐-๒๔๒๔-๐๐๐๔


พาเที่ยวไปกับ.....โชติกา วีรนะ
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2014, 10:17:31 pm »

10 ที่ท่องเที่ยวฮิตชลบุรี ระยอง เมืองริมทะเลอ่าวไทย

-http://travel.sanook.com/1391046/10-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/-




1. พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลเขาหมาจอ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็น 5 อาคาร คือ เทิดพระเกียรติมหาราช ปวงปราชญ์ร่วมใจ ใฝ่เรียนรู้ผู้ฉลาด พิฆาตความไม่ดีที่ประจักษ์ และ พิทักษ์ศักยภาพทะเลไทย ตามลำดับ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเชิงวิชาการ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมได้มีความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ




2. อาณาจักรปลาการ์ตูน เพอคูล่า ฟาร์ม (PERCULA FARM) ที่ตั้ง : 3/46 หมู่ 2 ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี  ฟาร์มปลาการ์ตูนเอกชนรายแรกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มารู้จักชีวิตความเป็นอยู่ เรียนรู้ขั้นตอนวิธีการเพาะเลี้ยงและการขยายพันธุ์ของปลาการ์ตูน ตื่นตากับเหล่าฝูงปลาการ์ตูนพันธุ์ต่างๆ นับแสนตัว บริเวณด้านในอควอเรียม และถ้าหากท่านใดต้องการสัมผัสกับปลาทะเลให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น สามารถนั่งเรือไปชมปลาในกระชังพร้อมให้อาหารปลาทะเลที่หาดูยาก อาทิ ปลาช่อนทะเล ปลาฉลาม ปลาโฉมงาม ปลาหูช้าง และปลาอื่นๆ อีกกว่าร้อยชนิดได้




3 ตลาดสดอาหารทะเลแสมสาร เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเพราะคุณสามารถซื้อหาอาหารทะเลทุกประเภทได้ที่นี่ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา นานาชนิด ที่ส่งตรงมาจากท้องทะเลทุกวัน หน้าตาคุ้นบ้าง ไม่คุ้นบ้าง แต่แม่ค้าบอกว่ารับประทานได้ทุกตัว จะจ้างร้านค้าแถวนั้นให้นึ่งหรือย่างให้เลยก็ได้ โดยมีน้ำจิ้มรสเด็ดปรุงขายพร้อม หรือจะซื้อกลับไปทำรับประทานเองที่บ้านก็ดี ราคาไม่แพง ในส่วนของร้านค้าฝั่งตรงข้ามจะจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้งและของที่ระลึก




4. เรือหลวงจักรีนฤเบศร ที่ตั้ง : กองเรือยุทธการ ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นเรือบรรทุกอากาศยานลำแรกของประเทศไทย ที่ทางกองทัพเรือมีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างขึ้นเพื่อให้สามารถตอบสนองกับการปฏิบัติภารกิจแบบครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่ออันเป็นมงคลว่า "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ซึ่งมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งราชวงศ์จักรี




5. หาดนางรำ ตั้งอยู่ภายในท่าเรือจุกเสม็ด บริเวณใกล้เคียงกับกองเรือยุทธการ จุดจอดเรือหลวงจักรีนฤเบศร หากขับรถตรงเข้าไปก่อนถึงกองเรือยุทธการให้เลี้ยวซ้าย ขับไปตามทางจะพบกับหาดนางรำ ซึ่งเป็นหาดที่มีความสวยงามและสมบูรณ์แห่งหนึ่งในฝั่งทะเลอ่าวไทยแถบตะวันออกแห่งนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของชาวบ้านท้องถิ่นและคนบริเวณแถบนี้ เพราะมีความเงียบสงบ น้ำทะเลมีความสะอาดใส หาดทรายสีขาวนวลสวย เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว




6. ถนนยมจินดา ตลาดเก่าเมืองระยอง ในสมัยก่อนที่นี่ถือว่าเป็นศูนย์กลางการค้าขาย แหล่งรวมเศรษฐกิจแห่งแรกของเมืองระยอง ที่พรั่งพร้อมไปด้วย ตลาดสด ธนาคาร โรงหนัง และร้านค้าขายต่างๆ รวมไปถึงยังเป็นที่ตั้งบ้านเจ้าเมืองต้นตระกูลยมจินดาอีกด้วย ในปัจจุบันยังคงหลงเหลือไว้เพียงความเงียบเหงา ที่แฝงไว้ซึ่งเสน่ห์ของบ้านเก่า เรือนเก่าที่บางหลังก็มีคนอยู่บ้าง หรือบางหลังก็อาจปิดไว้เพื่อรอการบูรณะในโอกาสต่อไป การมาเดินเล่นที่นี่ก็ได้บรรยากาศแบบย้อนยุคดีเหมือนกัน




7. เจดีย์กลางน้ำ เจดีย์องค์นี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2416 ในสมัยที่พระยาศรีสมุทรโภคชัยโชคชิตสงคราม (เกตุ ยมจินดา) เป็นเจ้าเมืองระยอง ในสมัยนั้นการเดินทางทางน้ำถือว่าเป็นการคมนาคมสายหลักของจังหวัดระยอง เจดีย์กลางน้ำจึงได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ว่าได้เดินทางเข้ามาถึงยังตัวเมืองระยองแล้ว ปัจจุบันได้รับการบูรณะเพื่อให้มีทางเชื่อมถึงยังองค์พระเจดีย์ได้ มีความร่มรื่น เงียบสงบ เหมาะแก่การมานั่งพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง การเดินทางจากตัวเมืองไปตาม ถนนอดุลย์ธรรมประภาส เลี้ยวขวาที่ถนนสมุทรคงคา ตัดผ่านตรงต่อไปผ่านวัดปากน้ำไปอีกราว 1.5 กิโลเมตร ไปจนสุดทางก็จะพบกับพระเจดีย์กลางน้ำ




8.ตลาดน้ำเกาะกลอย ตั้งอยู่ในบริเวณด้านหลังปั้มน้ำมัน ปตท. บนถนนสาย 36 ตรงข้าม Big C ระยอง เป็นตลาดน้ำเปิดใหม่ขนาดกะทัดรัดกำลังเดิน ในคอนเซ็ป "เพลิดเพลินเดินเล่น ตลาดเกาะกลอย อุ่นไอร่องรอย ความทรงจำครั้งเยาว์วัย" มีให้เลือกช้อปและเลือกชมกันทั้งของกินของใช้ ในบรรยากาศย้อนยุค สถานที่สะอาด ลมพัดเย็นสบาย




9.ทุ่งโปรงทอง ชมพันธุ์ไม้ป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ที่ชาวประแสภูมิใจเสนอในเวลานี้ ทางเดินไปชมทุ่งโปรงทอง เป็นสะพานไม้ทอดยาวบนป่าชายเลน เมื่อเดินมาถึงปลายทางก็จะพบทุ่งโปรงทองที่ขึ้นกันอย่างหนาแน่นเต็มพื้นที่ หากจะมาเที่ยวแนะนำให้มาช่วงตอนสายนิดๆ กับตอนเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะตก เพราะบรรยากาศดีมากๆ เหมาะกับการถ่ายรูปและชมวิวชิลล์ๆ เป็นที่สุด




10. เรือรบหลวงประแส เรือรบหลวงของไทยที่ผ่านสมรภูมิรบเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยจากอริศัตรูมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันได้มีการนำเรือหลวงประแสมาตั้งไว้บริเวณปากน้ำประแสเพื่อสร้างความภูมิใจกับชาวประแส นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมและถ่ายภาพกับเรือรบได้ทุกซอกทุกมุม หรือหากใครอยากนั่งชมวิว บริเวณนั้นก็มีศาลาและร้านอาหารให้สั่งมาชิมลองท้องในบรรยากาศเงียบสงบติด ทะเล เหมาะสำหรับพาเพื่อนฝูงและครอบครัวมาเที่ยวมาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารคู่หูเดินทาง

ข้อความโดย: กระตุกหางแมว
« เมื่อ: มกราคม 29, 2014, 06:44:43 pm »

ขอบคุณมากครับผม  :13:
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: มกราคม 01, 2014, 09:08:34 pm »

อิ่มบุญปีใหม่ “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 มกราคม 2557 10:24 น.

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000158884-



มหามณฑปเฉลิมพระเกียรติฯ วัดไตรมิตรฯ
       ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กิจกรรมหนึ่งที่ผู้คนนิยมทำกันมากก็คือการทำบุญไหว้พระ โดยเฉพาะการเดินทางไหว้พระ 9 วัด ใน 1 วันนั้นก็เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ และสำหรับในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ปี 2557 นี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดกิจกรรม “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ” ซึ่งเป็นเส้นทางไหว้พระ 9 วัด ที่จัดทำขึ้นใหม่ มีบางวัดที่น่าสนใจเข้ามาเพิ่มเติม เป็นเส้นทางทางเลือกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและศาสนา โดยวัดทั้ง 9 แห่งต่างก็มีคติอันเป็นมงคลแก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ อีกทั้งยังมีสิ่งที่น่าสนใจและเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันอีกด้วย ดังนี้


พระประธานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศ
       วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร : สุขภาพแข็งแรง
       
       “วัดบวรนิเวศวิหาร” เป็นวัดที่มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถซึ่งสร้างขึ้นตามแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปถึง 2 องค์ คือ “พระพุทธชินสีห์” และ “พระสุวรรณเขต (พระโต)” เป็นพระประธานประดิษฐานคู่กัน อีกทั้งภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามฝีมือของขรัวอินโข่ง
       
       ด้นหลังพระอุโบสถเป็นเจดีย์กลมขนาดใหญ่หุ้มกระเบื้องสีทอง รอบฐานเจดีย์มีศาลาจีนและซุ้มจีน บริเวณระเบียงองค์เจดีย์เป็นที่ประดิษฐาน “พระไพรีพินาศ” พระพุทธรูปโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้คนมากราบไหว้กันเป็นจำนวนมาก โดยเชื่อว่าท่านจะช่วยให้ผู้ที่คิดร้ายต้องแพ้ภัยต่อตัวเองในที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถมากราบขอพระจากท่าน ขอให้ท่านอวยพระให้สุขภาพแข็งแรง อายุยืนตลอดไป อีกทั้งขณะนี้วัดนี้ยังเป็นที่ตั้งพระศพของสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปอีกด้วย


วัดทิพยวารีวิหาร (กัมโล่วยี่)
       วัดทิพยวารีวิหาร : ความรักยืนยาว
       
       “วัดทิพยวารีวิหาร” (กัมโล่วยี่) เป็นวัดจีน ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนแต่แทรกศิลปะไทยบางแห่ง เช่น ลวดลายแกะสลักต่างๆ วิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปมีลักษณะเหมือนศาลเจ้าจีน ประดิษฐานพระประธาน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปแบบจีน
       
       ผู้คนนิยมมาสักการะเทพอุ้มสม ขอพรให้สมหวังในความรักและครอบครัวมีความสุข นอกจากนี้ศาลเจ้าที่วัดแห่งนี้เป็นศาลเจ้าเทพมังกรเขียวที่คนจีนแต้จิ๋วนับถือกันมากที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะความศักดิ์สิทธิ์ ของท่านมักอวยพรให้ผู้ศรัทธา ได้ผลสมความปรารถนา ด้านการคุ้มครองดวงชะตา เสริมพลังบารมี และโชคลาภ


พระพุทธเทวราชปฏิมากร แห่งวัดเทวราชกุญชร
       วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร : การงานก้าวหน้า
       
       “วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร” หรือชื่อเดิมว่า “วัดสมอแครง” เป็นวัดเก่าแก่ที่กรมพระพิทักษ์เทเวศรได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 และพระองค์จึงทรงรับวัดแห่งนี้เป็นพระอารามหลวง และพระราชทานนานว่า “วัดเทวราชกุญชร”
       
       สถานที่สำคัญภายในวัดนี้คือพระอุโบสถขนาดใหญ่ ภายในมีภาพจิตรกรรมที่งดงามเป็นหมู่เทวดาชุมนุมขณะที่พระพุทธองค์ทรงโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และยังมีภาพภิกษุปลงอสุกรรมฐานซึ่งหาชมได้ยาก
       
       เข้ามากราบนมัสการองค์พระพุทธเทวราชปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปโลหะหล่อลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ฝีมือช่างสมัยทวารวดี พุทธศาสนิกชนที่มากราบไหว้นิยมถวาย “ผ้าไตร” แทนดอกไม้ธูปเทียน ใครขอพรเรื่องการงาน อาชีพ ได้รับความสำเร็จเป็นทวีคูณ


หลวงพ่อโต หรือซำปอกง วัดกัลยาณมิตรฯ
       วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร : ค้าขายรุ่งเรือง
       
       “วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร” สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ภายในวัดกัลยาฯ มีสิ่งที่น่าสนใจคือ พระวิหารหลวง อันเป็นที่ประดิษฐานของ "พระพุทธไตรรัตนนายก" หรือที่ชาวบ้านจะนิยมเรียกท่านว่า "หลวงพ่อโต" ส่วนคนจีนก็จะเรียกว่า "ซำปอกง" โดยพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ
       
       พุทธศาสนิกชนทั้งคนไทยและคนจีนนิยมมากราบสักการะหลวงพ่อโต หรือซำปอกง และมักขอพรเรื่องธุรกิจการค้า การเดินเรือ และขอให้การเดินทางปลอดภัย


หลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตรฯ
       วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร : การเงินมั่งคั่ง
       
       “วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร” เป็นที่ประดิษฐาน “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร” หรือ "หลวงพ่อทองคำ" พระพุทธรูปทองคำแท้ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ถูกบันทึกไว้ในกินเนสบุค เชื่อกันว่าหลวงพ่อทองคำเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่เดิมถูกปูนพอกไว้แต่ต่อมาปูนกะเทาะออกด้วยอุบัติเหตุคนจึงได้เห็นว่าองค์พระสร้างด้วยทองคำ
       
       ปัจจุบันหลวงพ่อทองคำประดิษฐานอยู่ในพระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติฯ และภายในมณฑปยังจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อทองคำบอกเล่าเรื่องราวขององค์พระพุทธรูป และมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเยาวราช จัดแสดงเรื่องเกี่ยวกับชุมชนเยาวราชย่านไชน่าทาวน์ของไทย อีกทั้งผู้คนยังนิยมมากราบนมัสการพระพุทธทศทลญาณหรือ “หลวงพ่อโต” พระประธานในอุโบสถอันศักดิ์สิทธิ์ และนิยมมาบนบานกันด้วยพวงมาลัยดอกมะลิที่อธิษฐานขอพรให้สำเร็จสมหวัง การเงินมีทรัพย์มาก


ภายในพระอุโบสถวัดราชบพิธตกแต่งในสไตล์ตะวันตก
       วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร : ธุรกิจมั่นคง
       
       “วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร” เป็นวัดที่มีความโดดเด่นตรงที่พระอุโบสถที่ภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย แต่ภายในตกแต่งแบบตะวันตกในสไตล์ยุโรปแบบโกธิค คล้ายพระที่นั่งแห่งหนึ่งในพระราชวังแวร์ซาย ภายในประดิษฐาน “พระพุทธอังคีรส” พระประธานอันงดงามที่ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีหินอ่อนจากอิตาลี และที่ใต้ฐานพระได้บรรจุพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ถึง 5 พระองค์คือ พระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 ที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้ขอพรให้ธุรกิจมั่นคง
       
       ภายในวัดราชบพิธยังเป็นที่ตั้งของ “สุสานหลวง” ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อประดิษฐานพระสรีรังคารแห่งสายพระราชสกุลในพระองค์ ซึ่งอนุสาวรีย์เหล่านั้นก็มีรูปทรงที่หลากหลาย มีทั้งแบบไทย แบบฝรั่ง หรือแม้แต่แบบขอมก็มี


กราบเจดีย์ 4 รัชกาลที่วัดโพธิ์
       วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) : สำเร็จสมหวัง
       
       “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” เป็นวัดที่มีของดีน่าชมอยู่หลายสิ่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถที่ประดิษฐานพระพุทธเทวปฎิมากร พระพุทธรูปปางสมาธิอันงดงาม ผู้คนนิยมมากราบสักการะขอพรพระพุทธเทวปฏิมากร ให้พรสำเร็จดุจดังเทวดาสร้างสรรค์ทุกประการ
       
       ส่วนวิหารพระพุทธไสยาสก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดชม โดยองค์พระพุทธไสยาสที่วัดโพธิ์นี้เป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเมืองไทย ทอดพระองค์ยาว 46 เมตร พระบาทตกแต่งลายประดับมุกภาพมงคล 108 ที่รับคติมาจากชมพูทวีป ถือเป็นลายศิลปะไทยผสมจีน ผสมผสานกันอย่างประณีตศิลป์
       
       นอกจากนั้นในวัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ 4 รัชกาล ได้แก่ พระมหาเจดีย์พระศรีสรรเพชญดาญาณ (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 1) , พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 2) ,พระมหาเจดีย์มุนีบัตบริขาร (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 3) และพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัย (เจดีย์ประจำรัชกาลที่ 4) ซึ่งเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่และงดงามมากอีกด้วย


ไปวัดอรุณอย่าลืมชมยักษ์วัดแจ้งด้านหน้าทางเข้าพระอุโบสถ
       วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง) : ราบรื่น ร่มเย็น
       
       “วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร” มีพระปรางค์วัดอรุณตั้งโดดเด่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา องค์ปรางค์มีความสูงประมาณ 67 เมตร ล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศ และมณฑปทิศ ประดับด้วยกระเบื้องทำเป็นลวดลายต่างๆ สวยงามยิ่งนัก
       
       เข้าไปกราบสักการะพระประธานในพระอุโบสถพระนามว่า “พระพุทธธรรมิศราชโลกธาตุดิลก” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ภายในพระพุทธอาสน์บรรจุพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขอพรให้ชีวิตราบรื่น ร่มเย็น และอย่าลืมออกมาชม “ยักษ์วัดแจ้ง” ที่ด้านหน้าทางเข้าพระอุโบสถ ยักษ์ทั้งสองตนเป็นยักษ์ปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นลวดลายและเครื่องแต่งตัว นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปคู่กับยักษ์ทั้งสองตนนี้


โลหะปราสาทแห่งวัดราชนัดดา
       วัดราชนัดดารามวรวิหาร : ความสุข
       
       “วัดราชนัดดารามวรวิหาร” เป็นวัดที่มี "โลหะปราสาท" หนึ่งเดียวในประเทศไทย และหนึ่งเดียวของโลก ที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นโดยมีพระราชประสงค์ให้สร้างโลหะปราสาทขึ้นแทนการสร้างธรรมเจดีย์ โดยช่างได้เดินทางไปดูแบบถึงยังประเทศลังกาและนำเค้าเดิมนั้นมาเป็นแบบสร้าง แล้วปรับปรุงให้เป็นศิลปกรรมแบบไทย ด้านบนโลหะปราสาทเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า สามารถขึ้นไปกราบไหว้ขอพรให้ชีวิตมีความสุข ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง
       
       ผู้ที่สนใจเส้นทาง “ไหว้พระ 9 วัด สัมผัสวิถีแห่งบุญ” สามารถขอรับแผนที่ท่องเที่ยวได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ วัดทั้ง 9 แห่งที่กล่าวมานี้



http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000158884
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ธันวาคม 20, 2013, 09:28:26 pm »

เที่ยวย้อนยุค เจาะเวลา พาสนุก ที่ “พพ.ศิริราชพิมุขสถาน”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 ธันวาคม 2556 19:53 น.

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000156374-


อาคารอนุรักษ์สถานีรถไฟธนบุรี (เดิม).

       ฉันว่าช่วงนี้ในกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร อากาศเย็นสบายดีเป็นพิเศษมากกว่าในหลายๆ ปีที่ผ่านมา อากาศดีก็ทำให้อารมณ์ดี จะให้นั่งจับเจ่าอยู่บ้านก็กระไรอยู่ ว่าแล้วก็จัดแจงแต่งตัว ออกไปเที่ยวสนุกๆ แถมหาความรู้ไปในตัวกันดีกว่า
       
       วันหยุดนี้ฉันก็เลยพาตัวเองมาอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชเสียเลย แต่ไม่ต้องตกใจว่าป่วยเป็นอะไร เพราะฉันจะมาเดินเที่ยวที่โรงพยาบาลแห่งนี้เท่านั้น ซึ่งอย่างที่เคยรู้กันว่าภายในโรงพยาบาลศิริราชนี้ก็มีพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์เปิดให้ผู้คนเข้าไปหาความรู้อยู่หลายแห่ง และล่าสุดนี้ก็ได้มีการเปิดพิพิธภัณฑ์ใหม่ ที่มีชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” แบบนี้ฉันก็ต้องไม่พลาดที่จะเข้าไปเยี่ยมชมเสียหน่อย


ห้องโถงบรรยากาศสถานีรถไฟ

       “พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” สร้างขึ้นบนพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่เดิมเคยเป็นที่ตั้งพระราชวังหลัง ต่อมามีการสร้างสถานีรถไฟธนบุรีและโรงพยาบาลศิริราช รวมทั้งเป็นพื้นที่ซึ่งผูกพันกับวิถีชีวิตของชุมชนบางกอกน้อย โรงพยาบาลศิริราชจึงได้รวบรวมประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้เพื่อนำมาจัดแสดงในอาคารสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม) ที่เป็นอาคารอนุรักษ์ และมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม
       
       ฉันเดินมาถึงพิพิธภัณฑ์ก็ต้องยืนชื่นชมความสวยงามของอาคารอนุรักษ์ที่เป็นสีเหลืองอ่อนๆ สลับกับอิฐสีส้มแดง และด้านข้างยังมีหอนาฬิกาสูง ดูแล้วเป็นอาคารที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งใน กทม. เลยทีเดียว


ชมวิดีทัศน์เล่าเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์

       พอเดินเข้ามาด้านในก็จะเจอกับห้องจำหน่ายบัตร ที่ตกแต่งบริเวณโดยรอบให้เหมือนกับสถานีรถไฟในสมัยก่อน ซึ่งก็เพื่อให้รำลึกถึงว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม) ที่เคยเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางรถไฟสายใต้
       
       ซื้อตั๋วเข้าชมกันแล้ว เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ก็พาฉันเข้ามาสู่การจัดแสดงห้องแรกที่มีชื่อว่า “ห้องศิริสารประพาส” ที่ห้องนี้จะนำเสนอเรื่องราวของพิพิธภัณฑ์โดยรวมผ่านวิดีทัศน์และสิ่งจัดแสดงต่างๆ ส่วนฉันก็นั่งดูอยู่ที่เก้าอี้ไม้สักทองแบบที่นักศึกษาแพทย์หลายรุ่นเคยใช้มาก่อน


จิตรกรรมฝาผนังที่วิจิตรงดงาม

       ส่วนจุดเริ่มต้นในการเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ “ห้องศิริราชขัตติยพิมาน” ซึ่งเป็นห้องฉันได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่มีต่อโรงพยาบาลศิริราช และการแพทย์ของประเทศไทย ทำให้พวกเราได้มีสุขภาพที่ดีกันเหมือนในทุกวันนี้
       
       ถัดมาเป็น “ห้องสถานพิมุขมงคลเขต” ที่ฉันได้นั่งชมจิตรกรรมไทยที่สวยงาม บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชประวัติกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ที่ผสมผสานแสงสีเสียงให้ได้ตื่นตาตื่นใจ และได้รับรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมาย


ภาพยนตร์ 4 มิติ ตื่นตาตื่นใจ

       สำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ภายในโรงพยาบาล ก็ไม่ได้มีแค่เรื่องราวเกี่ยวกับการแพทย์เท่านั้น ยังมีประวัติศาสตร์ ความเป็นมา และเรื่องราวของชุมชนในละแวกนี้ ที่นำเสนอผ่านการจัดแสดงในส่วนต่างๆ เริ่มจาก “ฐานป้อม” ที่เป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงอดีตของพระราชวังบวรสถานพิมุข (วังหลัง) ที่เคยตั้งอยู่ในพื้นที่นี้ ก่อนที่จะผ่านความทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา ใกล้ๆ กันก็มีการจัดแสดง “เครื่องถ้วยโบราณ” ที่ขุดค้นพบในช่วงที่มีการก่อสร้างอาคารสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช
       
       หรือจะเป็น “แผนที่เมืองธนบุรี” ซึ่งเป็นแผนที่จำลองมาจากของเก่าที่เขียนโดยชาวพม่าที่ลักลอบเข้ามาสืบความลับในสยาม มีการลงรายละเอียดของสถานที่ต่างๆ และยังมีการเปรียบเทียบกับสถานที่ในปัจจุบัน ทำให้พอนึกออกว่าสมัยธนบุรีนั้นบ้านเมืองเราเป็นอย่างไรบ้าง


สัมผัสบรรยากาศห้องตรวจโรค

       และห้องที่ฉันชอบที่สุดในส่วนของประวัติศาสตร์ก็คือ “ห้องโบราณราชศัตรา” ที่ห้องนี้จะจัดแสดงศาสตราวุธหลากหลายชนิดและหลากหลายชาติพันธุ์ที่ทรงคุณค่า เพราะว่าเป็นของเก่าที่ได้รับมอบมาจากราชสกุลเสนีวงศ์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ข้างๆ ตู้จัดแสดงก็ยังมีวีดิทัศน์ที่บอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับการทำความสะอาดและการเก็บรักษาศาสตราวุธต่างๆ ทำให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยในการรักษาของเก่าให้อยู่ในสภาพดีขนาดนี้ และแม้ว่าห้องนี้จะถ่ายรูปไม่ได้ แต่ฉันก็ได้เก็บเอาภาพความวิจิตรงดงามของศาสตราวุธทั้งหลายเอาไว้ในใจ
       
       ห้องถัดไปเป็นห้องสุดท้ายของบริเวณชั้นล่าง ในอาคารพิพิธภัณฑ์ 1 นั่นก็คือ “ห้องคมนาคมบรรหาร” ที่มีภาพยนตร์สี่มิติให้ได้ชมกัน ฉันลองไปยืนในห้องแล้วก็ใส่แว่นตาสี่มิติพร้อมๆ กับชมภาพยนตร์ไป ก็รู้สึกเหมือนเข้าไปยืนอยู่ในเหตุการณ์จริงตั้งแต่ช่วงการสร้างสถานีแห่งนี้ เข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ต้องเอี้ยวตัวหลบลูกระเบิดไปด้วย จนกระทั่งมาถึงช่วงปัจจุบันของสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม)


ลองมาเป็นแพทย์ผ่าตัด

       ขึ้นมาที่ชั้นสอง ก็เริ่มเข้าสู่เนื้อหาทางด้านการแพทย์กันบ้าง อย่างห้องแรก “งานพระเมรุสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์” ที่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันเป็นจุดเริ่มต้นของโรงพยาบาลศิริราช เนื่องจากไม้ อาคารประกอบ และเครื่องเรือนจากงานพระเมรุครั้งนี้ ได้นำมาสร้าง “โรงศิริราชพยาบาล” โรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของแผ่นดิน
       
       ห้องต่อมาเล่าเรื่องราวของโรงเรียนแพทย์ในยุคแรก ที่จะต้องเรียนรู้ผ่าน “หุ่นกายวิภาคมนุษย์” ที่ทำมาจากเยื่อกระดาษ และยังเล่าเรื่องราวของพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย ในห้อง “สมเด็จพระบรมราชชนก”


จำลองร้ายขายสมุนไพร

       ถัดมา ฉันก็ได้เรียนรู้เรื่องราวทางด้านการแพทย์มากขึ้น ทั้งการตรวจโรคในเบื้องต้น การสืบค้น การวินิจฉัยและรักษาโรค ในห้อง “หุ่นโรควิเคราะห์” ที่จัดแสดงให้เหมือนกับห้องตรวจโรคผู้ป่วย และได้ลองเป็นคุณหมอฟังเสียงปอด เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะต่างๆ เพื่อการวิเคราะห์โรค
       
       แต่ส่วนที่สำคัญของการเรียนวิชากายวิภาคศาสตร์ ที่นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะต้องรู้จักดี ก็คือ “อาจารย์ใหญ่” ซึ่งเป็นผู้ที่เสียสละร่างกายของตนเองให้ทำการศึกษา เพื่อผลิตแพทย์ที่มีคุณภาพในอนาคต การจัดแสดงในส่วนนี้ใช้โต๊ะปฏิบัติการที่เคยรองรับอาจารย์ใหญ่มารุ่นแล้วรุ่นเล่า ทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความขลังผ่านการจัดแสดงและการจัดแสงในส่วนนี้
       
       มาถึงอีกห้องที่ฉันชอบมากก็คือ “ห้องจำลองการผ่าตัด” เป็นการจำลองการผ่าตัดแบบย้อนยุค ให้ได้รู้ว่าเครื่องไม้เครื่องมือ และบุคลากรที่ทำงานในห้องผ่าตัดมีใครบ้าง แล้วฉันก็ได้ลองมาเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่ง ลองจับเครื่องมือผ่าตัดให้คนไข้ (จำลอง) เป็นประสบการณ์สนุกๆ อีกอย่างหนึ่งที่ฉันได้ลอง


ชุมชนบางกอกน้อยในสมัยก่อน

       นอกจากเรื่องราวของแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ก็ยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยอีกด้วย โดยในห้อง “มหัศจรรย์ร่างกายมนุษย์” จะมาไขรหัสการแพทย์จากมุมมองของแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์แผนที่ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร และยังมีการจำลอง “ร้านโอสถวัฒนา” ร้านยาสมุนไพรไทยมาให้ได้ชมกัน
       
       เดินมาก็ตั้งนาน เพิ่งจะหมดบริเวณของอาคาร 1 ออกมาที่ระเบียงชั้น 2 ที่เชื่อมต่อกับอาคารพิพิธภัณฑ์ 2 ก็มีมุมร้านกาแฟให้นั่งพักผ่อนก่อนจะเดินต่อไปยังอาคาร 3 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องกับชุมชนบางกอกน้อย
       
       เริ่มจากการมาสักการะ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)” อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม พระมหาเถระที่ได้รับการเคารพศรัทธาตั้งแต่พระมหากษัตริย์ไปจนถึงชาวบ้านทั่วไป แล้วก็มาลองชม “วิถีชีวิตชาวบางกอกน้อย” ที่มีการจำลองโรงละคร ร้านค้า ร้านอาหาร แสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คนสองฝั่งคลองบางกอกน้อยในสมัยก่อนว่าเป็นอยู่กันอย่างไร


เรือโบราณลำใหญ่

       สุดท้ายก็เดินมาชม “เรือโบราณ” ที่ขุดค้นพบในพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งเรือลำนี้เป็นเรือไม้โบราณขนาดใหญ่ มีความยาวถึง 24 เมตร และถือว่าเป็นเรือไม้ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเท่าที่เคยขุดค้นได้ เดินดูรอบๆ แล้วก็ต้องทึ่งในความสามารถของคนไทยเราที่สามารถต่อเรือลำใหญ่ได้ขนาดนี้
       
       กว่าจะเดินชมจนครบทุกห้องที่อยู่ภายในพิพิธภัณฑ์นี้ ก็ต้องใช้เวลาเกือบหมดวันเลยทีเดียว แต่ก็ได้ความรู้พร้อมๆ กับความสนุกสนาน ที่ทำให้เพลิดเพลินจนลืมเวลาไปเลย สถานที่ดีๆ แบบนี้ มาแล้วก็ต้องบอกต่อให้คนอื่นลองมาชมด้วย จะได้มีความรู้และสนุกสนานเหมือนกันฉัน
       
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
       
       “พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” ตั้งอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลศิริราช เขตบางกอกน้อย กทม. เปิดให้บริการวันจันทร์, พุธ-อาทิตย์ (หยุดวันอังคารและวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 10.00-17.00 น. ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ผู้ใหญ่ 80 บาท เด็ก (ไม่เกิน 18 ปี) 25 บาท ต่างชาติ 200 บาท เด็กสูงไม่เกิน 120 ซม. เข้าฟรี
       
       นอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถานแล้ว ภายในโรงพยาบาลศิริราชยังมีพิพิธภัณฑ์การแพทย์อีก 5 แห่ง ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ในวันและเวลาเดียวกัน ได้แก่ พิพิธภัณฑ์พยาธิวิทยาเอลลิส, พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ สงกรานต์ นิยมเสน, พิพิธภัณฑ์ปรสิตวิทยา, พิพิธภัณฑ์กายวิภาค-คองดอน และ พิพิธภัณฑ์และห้องปฏิบัติการเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ สุด แสงวิเชียร
       
       ซึ่งหากสนใจเข้าชมทั้งพิพิธภัณฑ์ศิริรราชพิมุขสถาน และพิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช สามารถซื้อบัตรเดียวเที่ยว 2 พิพิธภัณฑ์ได้ในราคาพิเศษ ผู้ใหญ่ 150 บาท เด็ก (ไม่เกิน 18 ปี) 50 บาท ต่างชาติ 300 บาท เด็กสูงไม่เกิน 120 ซม.
       
       สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2419-2601, 0-2419-2618-9
       www.si.mahidol.ac.th/museums
       FB : siriraj.museum
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 08:53:20 pm »

ร่วมย้อนอดีตเมืองกรุงฯในงาน “เทศกาลรัตนโกสินทร์”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 ธันวาคม 2556 17:09 น.

-http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000155361-



 กรมธนารักษ์ จับมือหลายหน่วยงานจัดงาน “เทศกาลรัตนโกสินทร์” ภายใต้ในแนวคิด “ ยุคทองของแผ่นดิน ร้อง รำ ทำ กิน สะท้อนงานศิลป์ถิ่นไทย” ระหว่างวันที่ 20-22, 28-29 ธ.ค. 56 และ 4-5, 11-12 ม.ค. 57 บริเวณพื้นที่รอบเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ถนนพระอาทิตย์ถึงใต้สะพานพระปิ่นเกล้า
       
       นริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังโดยกรมธนารักษ์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสืบสานและการอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้จัดโครงการเทศกาลรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2555 ในชื่องาน "รำลึกรัตนโกสินทร์ 230 ปี" ซึ่งได้รับการตอบรับทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อให้เกิดกระแสอนุรักษ์และกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงได้ต่อยอดการจัดงานอีกครั้ง และถือโอกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษาในปีนี้ พร้อมสืบสานศิลปวัฒนธรรม สัมผัสวิถีชุมชนไทย รวมถึงจะมีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ของกรมธนารักษ์ และห้องสมุดชุมชนชาวบางลำพู
       
       สำหรับงาน “เทศกาลรัตนโกสินทร์” ครั้งนี้ ภายในงานแต่ละสัปดาห์จะมีกิจกรรมไฮไลท์แตกต่างกันไป อาทิ สัปดาห์แรก - เทศกาลแสดงรถโบราณ, สัปดาห์ 2 - การแสดงโชว์ศิลปะด้านกีฬา เช่น มวยไทย มวยทะเล หลากหลายประเภท สัปดาห์ 3 - เทศกาลวัฒนธรรมของกรุงรัตนโกสินทร์สมัยต้น กลางและปลาย สัปดาห์ 4 - สัปดาห์ที่สี่อยู่ในช่วงวันเด็กจะมีความพิเศษ มีดาราเด็ก กิจกรรมของเด็กๆ ในทุกๆ สัปดาห์จะมีการแสดงของดารา และคนในชุมชน มีเวทีการแสดงถึง 6 เวที ที่ศูนย์การเรียนรู้จะมีวีดิทัศน์ความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ กำแพงเมือง ประวัติต่างๆ ที่น่าสนใจ
       
       นอกจากนี้ในทุกๆ สัปดาห์จะมีการแสดงของดารา และคนในชุมชน มีเวทีการแสดงถึง 6 เวที ที่ศูนย์การเรียนรู้จะมีวีดิทัศน์ความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ กำแพงเมือง ประวัติต่างๆที่น่าสนใจ การประกวดภาพถ่าย กิจกรรมการแสดงต่างๆอีกหลากหลาย ผู้สนใจดูเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/rattanakosinfestival
ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ธันวาคม 16, 2013, 07:56:03 pm »

ตามรอยความอร่อยในงาน “กินข้างทาง…นั่งข้างวัง” ที่ "มิวเซียมสยาม"
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 ธันวาคม 2556 19:21 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000154389-




  มิวเซียมสยาม ชวนร่วมงาน “ไนท์ แอท เดอะ มิวเซียม (Night at the Museum)” ครั้งที่ 4 ตอน มิวเซียมกินได้ “กินข้างทาง...นั่งข้างวัง” ในวันที่ 20 - 22 ธ.ค.56 ตั้งแต่เวลา 18.00 - 22.00 น. ณ มิวเซียมสยาม พบกับการสาธิตการปรุงอาหารชาววัง ของห้องเครื่องต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นต้น
       
       โดยภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การสาธิตการปรุงอาหารชาววัง อาหารโบราณของห้องเครื่องต้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา พระมเหสีในรัชกาลที่ 5 สาธิตโดย อาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ที่สูตรอาหารในแต่ละวันจะไม่ซ้ำกัน เพื่อเผยให้เห็นถึงวิวัฒนาการอาหารสตรีทฟู้ดของไทย ที่มีรากเหง้าแต่ดั้งเดิมมาจากห้องเครื่องต้นในรั้ววัง และในงานนี้ยังมีวางจำหน่ายให้ได้ลิ้มลอง อาทิ น้ำพริกลูกหนำเลี๊ยบ, น้ำพริกลงเรือ, น้ำพริกตะไคร้, ไก่นมวัว, ข้าวในกะหล่ำปลี, ข้าวงบไก่, ข้าวบายศรีปากชาม, แกงเลียงนพเก้า เป็นต้น พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงาน ได้เวิร์คช็อปกับการปรุงอาหารสูตรสำรับห้องเครื่องต้น รัชกาลที่ 5
       
       นอกจากนี้ยังมีการออกร้านค้าอาหารชื่อดัง ที่ความอร่อยยกนิ้วให้จนเป็นตำนานร่วม 30 บูธ อาทิ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อนายโส่ย, ข้าวแกงร้านฉวาง, ผัดไทยร้านสวัสดี, ข้าวหมกไก่คุณเล็ก, กาแฟโกปี๊ นครศรีธรรมราช และน้ำแข็งใสร้านเซ็งเซียมอี้ ท่ามกลางบรรยากาศลมหนาวเย็นสบาย เคล้าเสียงเพลงอันไพเราะที่จะขับกล่อมตลอดงาน และชมนิทรรศการที่จะสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของอาหารการกิน นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
       
       สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0-2225-2777 ต่อ 414, 415 หรือ www.facebook.com/museumsiamfan

-----------------------------------------------


มิวเซียมสยาม
-http://www.museumsiam.com/book.php-

 ข้อมูลสำหรับผู้เข้าชม
ที่ตั้ง

มิวเซียมสยาม  | สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ
เลขที่ 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์ 02-225-2777
โทรสาร 02-225-2775
เวลาเปิดให้บริการ

วันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา 10.00 - 18.00 น.
(ปิดให้บริการทุกวันจันทร์)
ค่าเข้าชม
บุคคลทั่วไป
นักเรียน นักศึกษา (อายุ 15 ปีขึ้นไป)
50 บาท
ผู้ใหญ่คนไทย
100 บาท
ผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ
300 บาท

หมู่คณะ 5 คนขึ้นไป
นักเรียน นักศึกษา (อายุ 15 ปีขึ้นไป)
25 บาท
ผู้ใหญ่คนไทย
50 บาท
ผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ
150 บาท




-http://www.museumsiam.com/map.html-



ข้อความโดย: sithiphong
« เมื่อ: ธันวาคม 14, 2013, 07:47:31 am »

เที่ยวทะเลปีใหม่กับ 15 สถานที่เด็ด ๆ สวยจับใจ

-http://travel.kapook.com/view78061.html-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           “ปีใหม่” ทั้งทีหลายคนคงเตรียมตัววางแผนทริปเดินทางท่องเที่ยวต้อนรับปีใหม่กันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภูเขา น้ำตก ทะเล หรือไปสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านในจังหวัดต่าง ๆ แต่สถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงครองใจและเสมือนเป็นแรงดึงดูดให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เดินทางมาเที่ยวพักผ่อน นั่นก็คือ ท้องทะเลสวย ๆ ทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เพราะมีความงดงามซุกซ่อนอยู่มากมาย ฉะนั้น เรามาต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ ด้วยทริปท่องเที่ยวต้นปี กับบรรยากาศสวย ๆ กันดีกว่า โดยกระปุกท่องเที่ยวได้รวบรวมเอาเกาะและหาดน่าเที่ยวในช่วงปีใหม่มาฝากกัน ส่วนจะมีที่ไหนน่าสนใจบ้างนั้น ไปชมกันเลยจ้า


1. เกาะตาชัย



           มาเริ่มกันที่ “เกาะตาชัย” ถือเป็นเกาะสุดฮิตน่าท่องเที่ยว อยู่ในเขตจังหวัดพังงา ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และอยู่ไม่ไกลจากหมู่เกาะสุรินทร์มากนัก โดยผู้ที่ค้นพบครั้งแรกชื่อ ตาชัย ทำให้เกาะนี้ถูกตั้งชื่อเกาะตามคนค้นพบว่า “เกาะตาชัย” ทั้งนี้ เกาะนี้ได้ถูกสำรวจพบมานานแล้ว แต่เพิ่งจะขึ้นตรงกับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ไปยลโฉมความงามได้ไม่นาน ทำให้ตอนนี้บนเกาะตาชัยยังไม่มีบ้านพักไว้คอยบริการแต่ทางอุทยานฯ อนุญาตให้กางเต็นท์พักค้างคืนได้ มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างห้องน้ำแยกชายหญิงเป็นสัดส่วนไว้บริการอีกด้วย โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งช่วงเวลาที่เกาะตาชัยงดงามที่สุด คือ เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน จากนั้นเกาะตาชัยจะปิด 6 เดือน เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟู

           ทั้งนี้ ผู้สนใจการท่องเที่ยวธรรมชาติสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน 93 หมู่ 5 บ้านทับละมุ ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา โทรศัพท์ 0 7645 3272

 
2. เกาะสมุย



           เกาะสมุย อยู่ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเกาะที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวไทย ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออก 84 กิโลเมตร รวมทั้งยังเป็นพื้นที่ 1 ใน 3 ของเกาะเป็นที่รายล้อมไปด้วยภูเขา ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นช่วงคลื่นลมสงบจึงเหมาะแก่การท่องเที่ยวมากที่สุด นอกจากนี้ เกาะสมุยยังเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก แถมยังมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ก็ต่างขนานนามให้เกาะสมุยนี้เป็น "สวรรค์กลางอ่าวไทย" เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรการท่องเที่ยวที่มีความโดดเด่น สวยงาม มีเสน่ห์แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำทะเลใสบริสุทธิ์ หาดทรายขาวทอดขนานไปกับทิวต้นมะพร้าวริมชายหาด และนอกจากธรรมชาติชายทะเลแล้วยังมีน้ำตกที่มีน้ำใสเย็นเกือบตลอดทั้งปี มีแหล่งท่องเที่ยวที่แสดงถึงศิลปวัฒนธรรมของชาวท้องถิ่น เช่น วัดสำเร็จ วัดละไม วัดพระใหญ่ เจดีย์แหลมสอ เป็นต้น

           ส่วนในท้องทะเลโดยรอบบริเวณเกาะสมุยยังมีแนวปะการังอยู่ทั่วไป ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังพร้อมไปด้วยโรงแรม ที่พัก รีสอร์ท สนามกอล์ฟ สปา ร้านอาหาร สถานบันเทิง บริการนำเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ซึ่งล้วนเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยมาเยือนเกาะสมุยเสมอ

 
3. เกาะหลีเป๊ะ



           เกาะหลีเป๊ะ เจ้าของฉายา “มัลดีฟส์เมืองไทย” เป็นเกาะเล็ก ๆ ของจังหวัดสตูล มีลักษณะแบน ๆ คล้ายบูมเมอแรง โดยชื่อ "เกาะหลีเป๊ะ" หมายถึง เกาะที่ราบเรียบคล้ายกระดาษ ซึ่งมีที่มาจากภาษาท้องถิ่นชาวเล ซึ่งส่วนใหญ่ประชากรบนเกาะจะประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก บริเวณโดยรอบเกาะเต็มไปด้วยปะการังอันสมบูรณ์ มีเวิ้งอ่าวที่สวยงาม หาดทรายขาวละเอียด อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของความสะดวกสบายทั้งที่พัก ที่กิน ที่เที่ยวยามค่ำคืนครบครัน

           นอกจากนี้ เกาะหลีเป๊ะยังเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยธรรมชาติของปะการังบริเวณรอบเกาะ มีหาดทรายละเอียดนิ่มเหมือนแป้ง โดยมีชายหาดหลัก ๆ อยู่ 3 หาดคือ หาดซันเซ็ท หาดซันไรส์ และหาดพัทยา (บันดาหยา) ส่วนกิจกรรมที่เป็นที่นิยมบนเกาะหลีเป๊ะ คือ การดำผิวน้ำและการดำน้ำลึก รวมถึงการรับประทานอาหารเที่ยงบนชายหาดที่สวยงามร้านดำน้ำ และรีสอร์ทต่าง ๆ มักจะมีอุปกรณ์ดำน้ำให้เช่า และสามารถจัดเรือให้บริการสำหรับทริปดำน้ำต่าง ๆ


4. เกาะพงัน



           เกาะพะงัน ตั้งอยู่ภายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ห่างจากเกาะสมุยขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 20 กิโลเมตร โดยเนื้อที่ประมาณ 120,625 ไร่ หรือ 168 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 3 ตำบล คือ ตำบลเกาะพงัน ตำบลบ้านใต้ และตำบลเกาะเต่า โดยลักษณะภูมิประเทศของเกาะจะมีภูเขาอยู่ตรงกลางเกาะ ทอดตัวจากทิศเหนือจดทิศใต้ มีที่ราบทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ ส่วนทางทิศตะวันออกเป็นเทือกเขาจรดทะเล นอกจากนี้ เกาะพะงันยังเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะบริเวณ "หาดริ้น" ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานฟูลมูน ปาร์ตี้ เป็นประจำทุกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งถือเป็นเทศกาลดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศทั้งในและต่างประเทศ ให้เดินทางไปเยือนกันเป็นประจำทุกปี รวมทั้งยังมีท้องทะเลสวย ๆ และมีน้ำใส ๆ รวมทั้งหาดทรายสีขาวอีกด้วย


5. เกาะหมาก



           ถือเป็นเกาะขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดตราด อยู่ระหว่าง เกาะช้าง กับ เกาะกูด มีรูปร่างคล้ายดาวสี่แฉก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสวนมะพร้าว โดยรอบมีอ่าว ชายหาด และน้ำใสสะอาดหลายแห่ง ซึ่งบริเวณชายฝั่งรอบเกาะและเกาะใกล้เคียงพบแนวปะการังที่สมบูรณ์ บนเกาะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย ช่วงฤดูท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤษภาคม นอกจากนี้ บริเวณเกาะหมากยังเป็นที่อยู่ของชุมชนดั้งเดิม ส่วนใหญ่เป็นเขมรเชื้อชาติไทยที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อครั้งเมืองประจันตคีรีเขตรหรือเกาะกงเป็นของฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2447 โดยมี หลวงพรหมภักดี ต้นตระกูลตะเวทิกุล เป็นผู้ควบคุมคนจีนบนเกาะกง คนบนเกาะส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกัน มีอาชีพเกษตรกรรมทำสวนยางพารา และสวนมะพร้าวจนเกาะหมากได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกมะพร้าวที่สำคัญของจังหวัดตราดอีกด้วย
 

6. เกาะนางยวน



           เกาะนางยวน ตั้งอยู่ภายในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นอีกหนึ่งเกาะที่ให้บรรยากาศส่วนตัวมีธรรมชาติที่สวยงามและมีความพิเศษสุด ๆ กับภาพสันทรายสะอาดที่เชื่อมเกาะเต่า เกาะนางยวน และเกาะเล็ก ๆ เข้าไว้ด้วยกัน นับเป็นความงดงาม 1 ใน 10 ของโลก ที่มาเยือนแล้วก็ต้องพลาดไม่ได้ที่จะขึ้นไปเที่ยวชมจุดชมวิวของสุดยอดเกาะส่วนตัวแห่งนี้กัน รวมทั้ง เกาะเต่า เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นเกาะสวรรค์กลางทะเลอ่าวไทย และเพราะมีธรรมชาติสวยงามและอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งมีแนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกขนาดใหญ่และสวยงาม จึงเป็นจุดดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกแห่งหนึ่งอีกด้วย
 

7. เกาะล้าน



           เกาะล้าน ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดชลบุรี อยู่ห่างจากชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้ที่มีเวลาเที่ยวน้อย โดยสามารถนั่งเรือข้ามไปที่เกาะโดยใช้เรือโดยสารใช้เวลา 45 นาที พื้นที่ของเกาะมีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำเพราะน้ำทะเลที่เกาะล้านนี้ใส และสะอาดมาก สามารถว่ายลอยตัวบนผิวน้ำใส ๆ ก็ได้เช่นกัน หรือจะเลือกไปดำน้ำดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำก็ได้จ้า อีกทั้งบนเกาะล้านยังมีที่พักหลายสไตล์  ใครชอบแบบไหนเลือกได้ตามใจชอบเลยจ้า


8. เกาะช้าง



           เกาะช้าง เป็นหนึ่งเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากเกาะภูเก็ต แถมยังมีเกาะเล็กเกาะใหญ่มากกว่า 52 เกาะ แต่เดิมไม่มีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย หากมีความสำคัญในฐานะที่เป็นท่าจอดเรือหลบลมมรสุม เป็นแหล่งเสบียงอาหารและน้ำจืด โดยเฉพาะบริเวณอ่าวสลักเพชรหรืออ่าวสลัด เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่โจรสลัด ชาวจีนไหหลำ  และญวน สำหรับภูมิประเทศของเกาะช้าง มีพื้นที่กลางเกาะเป็นภูเขา และป่าดิบชื้น มีที่ราบอยู่ตามขอบเกาะก่อนถึงชายหาดของอ่าวต่าง ๆ ที่ราบเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสวนมะพร้าว สวนยางพารา และสวนผลไม้ เช่น เงาะ ทุเรียน ส้มโอ ฯลฯ ตลอดจนเปิดเป็นที่พักของนักท่องเที่ยวมากมายหลากหลาย ทั้งที่พักริมชายหาด บนเขา หรือแบบโฮมสเตย์สัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้าน


9. ปราณบุรี



           ปราณบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลฝั่งอ่าวไทย ที่เริ่มได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น เพราะอยู่ห่างจากหัวหินเพียง 30 กิโลเมตร และเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าชายทะเลอื่น ๆ ในละแวกใกล้เคียงกัน จึงเหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจ นอนฟังเสียงทะเล ท่ามกลางบรรยากาศแสนโรแมนติก และเหมาะกับการเล่นกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งพายเรือคายัก ปีนหน้าผา ปั่นจักรยาน ยิ่งไปกว่านั้นปราณบุรียังเป็นศูนย์รวมของโรงแรม รีสอร์ท เก๋ไก๋ มีสไตล์ เป็นเอกลักษณ์ รองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างครบครับ ปราณบุรีจึงเป็นสถานที่อินเทรนด์อีกแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนอย่างแท้จริง

           โดยมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ชายหาดปราณบุรี เป็นชายหาดที่ยาวต่อเนื่องจากชายหาดหัวหิน เงียบสงบร่มรื่น มีที่พักหลายแห่งให้บริการ และหมู่บ้านปากน้ำปราณ บริเวณช่วงที่แม่น้ำปราณบุรีไหลลงสู่ทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง หมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์รวมอาหารทะเลจำหน่ายในราคาย่อมเยา


10. ทะเลสัตหีบ



           สัตหีบ อำเภอเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี ห่างจากตัวเมืองชลบุรี 85 กิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามและเงียบสงบหลายแห่ง เช่น หาดเตยงาม ตั้งอยู่บริเวณอ่าวเตยงาม มีชายหาดสีขาวยาวสุดสายตา, หาดนางรำ ตั้งอยู่ภายในท่าเรือจุกเสม็ด บริเวณจุดจอดเรือหลวงจักรีนฤเบศร เป็นหาดที่ยังคงความสวยงามและสมบูรณ์แห่งหนึ่งในฝั่งทะเลแถบตะวันออก, หาดนางรอง ตั้งอยู่ต่อจากแหลมนางรำ เป็นหาดทรายขาวละเอียด, หาดทรายแก้ว ตั้งอยู่ในพื้นที่โรงเรียนชุมพลทหารเรือ เป็นหาดทรายขาวลักษณะของเม็ดทรายจะสวยงามและน้ำทะเลใสสะอาด, หาดเทียนทะเล อีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงาม สามารถชมวิวได้ในมุมกว้าง, หาดบางเสร่ เป็นชายหาดที่ยาวประมาณ 1,500 เมตร สวยงามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนจำนวนมาก, หาดบ้านอำเภอ หาดที่ยังคงมีธรรมชาติที่สวยงาม น้ำทะเลใส และเป็นหาดที่เงียบสงบ

           เกาะแสมสาร ถือเป็น 1 ใน 9 เกาะ ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯ หรือ อพ.สธ. นับเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเกาะทั้งหมดในอำเภอสัตหีบ บนเกาะมีสถานที่เล่นน้ำ ได้แก่ หาดเทียน, หาดแหลมฝรั่ง, หาดลูกอม (สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากดำน้ำ ให้อาหารปลา), หาดขวด และหาดหน้าบ้าน และ เกาะขาม มีรูปร่างคล้ายตัว H มีพื้นที่ประมาณ 61 ไร่ อยู่ภายใต้การดูแลของกองเรือป้องกันฝั่ง เป็นเกาะที่มีความสมบูรณ์ทางด้านธรรมชาติ ชายหาดที่สวยงาม และแนวปะการังที่สมบูรณ์ไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เหมาะกับการอนุรักษ์และพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อศึกษาหาความรู้ด้านวิชาการ

 
11. เกาะห้อง



           เกาะห้อง หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เกาะเหลาบิเละ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จังหวัดกระบี่ เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีทัศนียภาพสวยงามมาก ล้อมรอบด้วยน้ำทะเลสีคราม มีกัลปังหาและปะการังรอบเกาะ ลักษณะโดยทั่วไปเป็นเขาหินปูน น้ำทะเลใส หาดทรายขาว มีแนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกเหมาะแก่การดำน้ำ ตกปลา นอกจากนี้ บนเกาะห้องยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 400 เมตร รอบ ๆ เกาะห้องสามารถพายเรือแคนูได้ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักเดินทางต่างอยากไปสัมผัสเกาะห้องด้วยตาตัวเอง นั่นคือ ทะเลใน ซึ่งเปรียบเสมือนสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ผนังเป็นหน้าผาชันโดยรอบ ลักษณะคล้ายห้อง มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียว กว้างประมาณ 10 เมตร สามารถนำเรือเข้าไปได้ พื้นเป็นทรายขาวสะอาดราบเรียบเสมอกัน น้ำตื้น และใสมาก เหมาะแก่การเล่นน้ำ


12. เกาะมุก



           เมื่อพูดถึงเกาะมุก สถานที่สำคัญที่เป็นไฮไลท์ภายในเกาะที่หลายคนต้องไปเยือนนั่น ก็คือ ถ้ำมรกต ซึ่งเป็นถ้ำน้ำขนาดเล็กที่หลังน้ำลดจะสามารรถนั่งเรือลอดเข้าไปได้ หรือไม่นักท่องเที่ยวก็ต้องลอยคอเข้าไปชมความงามภายในถ้ำ ซึ่งเมื่อพ้นปากถ้ำจะพบกับห้องโถงใหญ่ที่มีพื้นเป็นน้ำทะเลสะท้อนแสงสีเขียวมรกต ล้อมรอบด้วยผนังผาสูงชันและหาดขาวละเอียด ซึ่งช่วงที่ดีที่สุดในการเที่ยวถ้ำมรกต คือ ช่วงที่น้ำขึ้นในแต่ละวันระหว่างเวลา 10.00-14.00 น. และเดือนที่เหมาะสมในการเที่ยว ก็คือ ช่วงเดือนธันวาคม-พฤษภาคม นอกจากนี้ บริเวณรอบเกาะยังมีชายหาดสวยงามกับวิถีชุมชนมุสลิมที่ยังชีพด้วยการประมงพื้นบ้านเป็นบรรยากาศเงียบสงบที่เหมาะจะหลบมาพักผ่อนเป็นอย่างดี

 
13. เกาะกูด



           เกาะกูด เป็นเกาะที่อยู่สุดท้ายทางทิศตะวันออกของประเทศไทยในน่านน้ำทะเลตราด ลักษณะโดยทั่วไปของเกาะยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ โดยมีภูเขาและที่ราบสันเขาซึ่งเป็นต้นกำเนิดลำธาร สายน้ำ ทำให้เกาะกูดมีน้ำตกหลายแห่ง แต่ที่ขึ้นชื่อบนเกาะกูด คือ น้ำตกคลองเจ้า จะมีน้ำไหลตลอดทั้งปี ส่วนทางฝั่งตะวันตกของเกาะตั้งแต่อ่าวตาติ้น, หาดคลองยายกี๋, แหลมหินดำ, หาดคลองเจ้า, หาดง่ามโข่, แหลมบางเบ้า, หาดอ่าวพร้าว ไปจนสุดปลายแหลมเทียน

           อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางฝั่งตะวันออกที่น่าสนใจ ได้แก่ อ่าวสับปะรด, แหลมศาลา, อ่าวยายเกิด, อ่าวคลองหิน และอ่าวจาก ล้วนแต่เป็นหาดที่มีหาดทรายสวยงามและน้ำทะเลใส มีธรรมชาติสงบเงียบ ร่มรื่นด้วยทิวมะพร้าวริมหาด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบท่องเที่ยวและพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ โดยแต่ละหาดจะมีที่พักไว้บริการนักท่องเที่ยว ในแบบบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว นอกจากนี้ บนเกาะกูดยังมีป่าชายเลนที่สมบูรณ์ แนวปะการังนานาชนิดและปลาทะเลสีสันสวยงามในบริเวณทะเลด้านในของตัวเกาะอีกด้วย


14. เกาะทะลุ



           เกาะทะลุ ตั้งอยู่ในตำบลบางสะพาน อำเภอบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเกาะขนาดเล็ก เดินทางจากชายฝั่งบ้านหนองเสม็ด ภูมิประเทศเป็นชายหาด ภูเขาและสวนมะพร้าวซึ่งยังคงสภาพสวยงามอุดมสมบูรณ์ หาดทรายขาวสะอาด เช่น อ่าวมุก บรรยากาศเงียบสงบ ทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีสวย, อ่าวไทรใหญ่ เหมาะแก่การดำน้ำดูปะการัง พายเรือคายัก เล่นเรือใบ, อ่าวเทียน เหมาะแก่การชมวิวทิวทัศน์ เพราะมีต้นเทียนอยู่มาก ส่วนด้านตะวันออกของเกาะมีสุสานปะการังที่ถูกน้ำทะเลพัดมาทับถมจนเต็มหาด

           สำหรับหัวเกาะด้านทิศเหนือเป็นหน้าผาหินและมีช่องหินขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติของลมและน้ำทะเล ที่กัดเซาะจนสามารถมองเห็นทะเลอีกด้านหนึ่ง อันเป็นที่มาของชื่อเกาะ บริเวณรอบเกาะทะลุอุดมไปด้วยปะการังน้ำตื้นสีสวย หาดทรายขาวสะอาด เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังสามารถพายเรือคายักชมความงามรอบเกาะได้ รวมถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ


15. เกาะสีชัง



           เป็นเกาะใหญ่ที่มีฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของชลบุรี อยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาประมาณ 12 กิโลเมตร และเป็นเกาะที่น่าท่องเที่ยวในบรรยากาศแบบท้องถิ่น ซึ่งสามารถแวะท่องเที่ยวในวันเดียวหรือพักค้างคืนก็ได้ ชุมชนเกาะสีชังอยู่ทางด้านตะวันออกของเกาะ เป็นที่ตั้งของท่าเรือเทววงศ์ (ท่าล่าง) และเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางด้วยรถสามล้อเครื่องหรือสกายแล็ปไปยังจุดอื่น ๆ บนเกาะสีชังจุดท่องเที่ยวบนเกาะสีชัง ได้แก่ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวเกาะสีชังให้ความเคารพนับถือ, มณฑปรอยพระพุทธบาท อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเขาเดียวกับศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ รัชกาลที่ 5 ทรงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้ บนยอดเขาเป็นจุดชมทิวทัศน์ทะเลได้โดยรอบ

           ช่องเขาขาด ตั้งอยู่ด้านหลังของเกาะ หากนั่งเรือผ่านจะเห็นเป็นช่องเขา ในบริเวณมีสะพานสำหรับเดินชมทิวทัศน์ สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงาม มีหาดหินกลม ซึ่งเต็มไปด้วยหินกลม ๆ ขนาดต่าง ๆ มากมาย, พระจุฑาธุชราชฐาน สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน ภายในบริเวณมีสภาพภูมิทัศน์ที่งดงาม ด้านหน้าเป็นชายหาดท่าวัง ถัดขึ้นไปเป็นตึกวัฒนา พระตำหนักทรงปั้นหยา เรือนไม้ลวดลายขนมปังขิง ตึกผ่องศรีหรือศาลาแปดเหลี่ยม ตึกอภิรมย์ และวัดอัษฎางค์นิมิตบนยอดเขา ซึ่งก่อสร้างแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมตะวันตก และหาดถ้ำเขาพัง ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของเกาะ เป็นชายหาดกว้าง สะอาดและสวยงาม มีทรายละเอียด น้ำใสสะอาดเหมาะแก่การเล่นน้ำ

           ทั้งนี้ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังอยู่ห่างกันพอสมควร จะสะดวกมากหากจะเช่ารถสามล้อเครื่องจากท่าเทียบเรือไปชมสถานที่ต่าง ๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็เที่ยวได้ทั่วเกาะ


           เรียกได้ว่า 15 เกาะและชายหาดที่เราคัดเลือกมานั้น เป็นท้องทะเลที่เหมาะสำหรับวางแผนไป “เที่ยวทะเลปีใหม่” เป็นอย่างยิ่ง ใครอยากพักผ่อนเพื่อเริ่มต้นสิ่งดี ๆ หลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งปีก็อย่าลืมเลือกสักที่แล้วแวะไปเที่ยวกันนะจ๊ะ ^^


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://thai.tourismthailand.org/-
-http://www.dnp.go.th/index3d.asp-


http://thai.tourismthailand.org/
http://www.dnp.go.th/index3d.asp