ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 11, 2015, 06:10:11 pm »



การปรินิพพาน
เมื่อทรงสั่งสอนสาวกองค์สุดท้าย คือ สุภัททะปริพาชกแล้ว พระพุทธเจ้าก็เสด็จดับขันธปรินิพพานในวันวิสาขปุณณมี
Passing Away into Parinibbana
Instructing His last disciple, Subhadda, the Wanderer, the Lord Buddha passed away into Parinibbana on the Vesakha Full Moon day.



การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
พระพุทธสาวกและเหล่ากษัตริย์มัลละแห่งกรุงกุสินารา จัดการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
The Buddha's Cremation at Kusinara.
The Lord's spiritual disciples and groups of Malla monarchs of Kusinara arranged the cremation of the Master's body.



การแจกพระบรมสารีริกธาตุ
โทณพราหมณ์ ได้รับมอบหมายให้แจกพระบรมสารีริกธาตุและพระอังคารแก่อาณาจักรต่างๆ ซึ่งส่งทูตมาขอรับส่วนแบ่ง
Distribution of the Buddha's Relics
Dona, the Brahmin, was entrusted to distribute the Buddha's relics and ashes to various kingdoms which sent their messengers to ask for some portions.

http://www.buddhist-elibrary.org/
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 08:12:19 pm »



ช้างไม่อาจทำอันตรายพระพุทธเจ้า
พระ เทวทัตศิษย์ทรยศของพระพุทธเจ้า ติดสินบนนายควาญช้างให้ปล่อยช้างตรงไปจะประหารพระบรมศาสดา แต่ด้วยพระเมตตาจิตของพระองค์ ช้างกลับไปคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระพักตร์
The Buddha subdues a raging elephant
Bribed by Devadatta, the rebel disciple of the Buddha, the mahout let the elephant charge to kill the Master. But through the Lord's loving kindness the elephant knelt down in front of the Buddha.



พระโมคคัลลานะถูกประทุษร้าย
พระโมคคัลลานะ พระอัครสาวกรูปหนึ่งของพระพุทธเจ้า ถูกกลุ่มอาชญากรทำร้าย ด้วยการว่าจ้างของกลุ่มผู้ริษยา
Ven. Moggalana was Injured
Venerable Moggalana, one of the Lord's pre-eminent disciples, was injured by gangsters who were hired by a rival group.



พระกระยาหารมื้อสุดท้าย
ได้รับนิมนต์ให้ไปเสวยพระกระยาหาร ณ บ้านของนายจุนทะ บุตรช่างทอง พระศาสดาได้เสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้าย ณ ที่นั้น
The Buddha's Last Meal
The Buddha's last meal from which he became sick and passed away was at the house of Cunda,the goldsmith's son.



การประชวรของพระพุทธเจ้า
เมื่อ เสด็จออกจากบ้านของนายจุนทะไปแล้ว ในการเดินทางไปสู่กรุงกุสินารา ซึ่งมีพระพุทธประสงค์จะเสด็จปรินิพพาน ณ ป่าไม้สาละซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียง พระศาสดาก็ทรงพระประชวร
The Buddha's Last Sickness
Leaving Cunda's house on His way to Kusinara where He intended to pass away at the Sala tree forest nearby, the Buddha become sick.
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 07:24:28 pm »



ทรงระงับข้อพิพาทเรื่องน้ำของพระประยูรญาติ
พระพุทธเจ้าทรงระงับข้อพิพาทเรื่องน้ำของพระประยูรญาติ ทั้งจากราชสกุลศากยะและโกลิยะ
Pacifying His Relatives
The Lord Buddha calmed down His relatives of the Sakya as well as the Koliya clans in the case of water controversy.



เสด็จออกบิณฑบาตในกรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อประทับอยู่ในพระนครหลวงของพระพุทธบิดา พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต ในเวลาเช้าหลายครั้ง
On Alms Round in Kapilavastu
Staying in the capital city of His father the Lord Buddha, several times, went out for alms in the morning.



ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธบิดา
พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสาวก ทรงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าสุทโธทนะ
The Buddha's Father was cremated
The Lord Buddha, along with His noble disciples arranged the cremation of King Suddhodana's body.



พระราหุลบรรลุความเป็นพระอรหันต์
พระ ราหุล โอรสของพระศาสดา ทรงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็นสามเณรพระองค์แรก และต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ท่านมีความกระตือรือร้นในการศึกษาและฝึกอบรมแรงกล้า จึงได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์ คือสภาพที่เป็นอิสระจากกิเลส(ความชั่วที่ทำจิตให้เศร้าหมอง) ทั้งปวง
Ven. Rahula Attains Arahatship
The Master's Son. Rahula, was allowed to be ordained as a first novice and later as a monk. He throught enthusiastic study and training attained Arahatship. the state of being free from all defilements.



ทรงแสดงธรรมโปรดพระองคุลิมาล
พระพุทธเจ้า ทรงกลับใจพระองคุลิมาลจากการเป็นฆาตกรมาเป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนา
The Conversion of Angulimala
The Lord Buddha converted Angulimala from being a murderer to a Buddhist monk.
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 07:12:43 pm »



อุบาสกคู่แรก
พ่อ ค้า ๒ คน คือ ตปุสสะ กับภัลลิกะ ได้ถวายข้าวสัตตุก้อน และข้าวสัตตุผสมน้ำผึ้งแด่พระพุทธเจ้า และประกาศตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธกับพระธรรมเป็นสรณะ (เป็นที่พึง)
The First Two Lay Followers
The two merchants, Tapussa and Bhallika, offered the Lord rice and honey cake and declared themselves the Lord's followers - taking the Buddha and His Dhamma as their Path.



ทรงแสดงพระปฐมเทศนา
เสด็จ ไปสู่ป่าอิสิปตนะ พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระปฐมเทศนาแก่ภิกษุเบญจวัคคีย์ (กลุ่มภิกษุ ๕ รูป) และภิกษุรูปหนึ่งในจำนวนนั้น คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม ในวันอาสาฬหปุณณมี
Turning the Wheel of the Dhamma
Going to the forest at Isipatana, the Lord Buddha delivered His First Discourse to the five ascetics who became the first monks.



เสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์
พระพุทธเจ้าเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ ตามพระราชดำรัสเชิญพระพุทธบิดา ผู้ทรงทราบข่าวการตรัสรู้ของพระโอรส
Returning to Kapilavastu
The Lord Buddha went to Kapilavastu following the invitation of His father, King Suddhodana, who had learned of his son's Enlightenment.



เสด็จเยือนพระชายาและพระโอรส
เมื่อประทับอยู่ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ พระพุทธเจ้าได้เสด็จเยือนพระชายา คือ พระนางยโสธรา และพระโอรส คือ พระราหุล
Visiting His Wife and Son
Staying in Kapilavastu the Lord Buddha went to see His former wife, Princess Yasodhara, and His Son, Prince Rahula



พระประยูรญาติเจริญรอยตามพระยุคลบาท
พระประยูรญาติหนุ่มๆ เป็นอันมากเจริญรอยตามพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า เสด็จออกผนวช
Relatives followed the Lord's Foot-steps
Following the Buddha's foot-steps many young relatives entered the monk-hood and live a chaste life.
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 07:04:55 pm »



พระกระยาหารก่อนตรัสรู้
นางสุชาดา ถวายข้าวมธุปายาส คือ ข้าวหุงด้วยนมสด ผสมน้ำผึ้ง แด่พระโพธิสัตว์ เป็น พระกระยาหารมื้อก่อนตรัสรู้
The Meal Before Enlightenment
Sujata presented the milk-rice mixed with honey to the "Buddha to be" the meal before his Enlightenment.



ทรงลอยถาด
เจ้าชายเสด็จไปสู่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ภายหลังที่เสวยข้าวมธุปายาสนั้นแล้ว ทรงลอยถาดทองลงในแม่น้ำ
The Prince's alms bowl goes against the current
The Prince went to the bank of Neranjara River and after taking that milk-rice, his alms bowl goes against the current of the river.



การตรัสรู้ (คือรู้อย่างแจ่มแจ้ง)
นาย โสตถิยะ คนหาบหญ้า ๘ ฟ่อนแด่เจ้าชาย ทรงนำไปเกลี่ยใต้ไม้โพธิ์ และประทับนั่งบนนั้น ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ด้วยการปฏิบัติบำเพ็ญทางจิต ก็ได้ทรงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ (คือ พระปัญญาตรัสรู้เองโดยชอบ อันยอดเยี่ยม) ในเวลารุ่งอรุณ วันวิสาขปุณณมี
The Enlightenment
Sotthiya, the grass-carrier, presented eight bundles of grass to the Prince with which He made a seat at the foot of the Bodhi tree. Sitting facing towards the East, through His spiritual practice the Prince attain to full Enlightenment at dawn of Vesakha



ธิดาพญามาร
ตลอด เวลา ๗ วัน ที่พระพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขอยู่ใต้โคนต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทรที่เด็กเลี้ยงแพะพักอาศัยร่มเงา) ธิดาทั้ง ๓ ของพญามาร ได้มาพยายามเพื่อจะยั่วให้ทรงหันไปสู่ความยินดีทางโลก แต่ก็ไม่เป็นผล
The Daughters of Mara
During seven days while the Buddha was experiencing of the bliss of deliverance under the banyan tree, the three daughters of Mara came and tried in vain to lure the Lord to worldly pleasure.



พญานาค ชื่อมุจลินท์
ภายใต้ต้นมุจลินท์ หรือต้นจิก มีพญานาคชื่อ มุจลินท์ มาถวายอารักขา ป้องกันพระองค์จากฝนและลมหนาว
Mucalinda, the Serpent King
After the Buddha's Enlightenment while seated the Bodhi tree, Barringtonia Acutangula, the Serpent King named Mucalinda come to protect the Lord.
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 04:31:14 pm »



มหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกผนวช)
เมื่อกลับจากการประพาสพระราชอุทยานครั้งสุดท้าย ทรงทราบว่าพระชายา ประสูติพระโอรส ก็ทรงตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวชในคืนวันนั้น
The Great Renunciation
Coming from the last tour and learning that his consort was delivered of a son. The Prince then decided to renounce the world that night.



เจ้าชายทรงตัดพระเมาลี
เมื่อเสด็จถึงฝั่งแม่น้ำอโนมา เจ้าชายทรงตัดพระเมาลีด้วยพระขรรค์
The Prince in an act of renuciation, cuts His hair
On reaching the bank of Anoma River the Prince cut off hair with the sword.



ทรงแสวงหาโมกขธรรม คือ ความหลุดพ้น
ในชั้นแรกเจ้าชายเสด็จไปศึกษาอบรมกับดาบสบางท่าน เพื่อแสวงหาความเป็นผู้หลุดพ้น จากทุกข์
The Quest for Enlightenment
The Prince first approached some ascetics for learning and training in search of freedom from suffering



เจ้าชายทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา
เมื่อ ไม่พอพระทัยด้วยอุดมคติและข้อปฏิบัติของดาบสทั้งสอง เจ้าชายจึงทรงแสวงหามรรคาด้วยพระองค์เอง โดยทรงบำเพ็ญตบะทรมานพระองค์ มีพระภิกษุเบญจวัคคีย์คอยปฏิบัติ
The Practice of Austerities
Dissatisfied with the two ascetics' ideologies and practices the Prince tried to find out the way for himself by practicing austerities with five monks in attendance.



พิณสามสาย
ท้าวสักกะ จอมเทพ ทรงดีดพิณสามสาย สายหนึ่งตึงเกินไป สายหนึ่งหย่อนเกินไป สายหนึ่งพอดี
The Harp of Three Strings
Sakka, The Divine King, played the harp of three strings: The taut, the slack and the moderate.
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 04:25:53 pm »

ภาพพุทธประวัติ (Shakyamuni Buddha’s life)



พระพุทธบิดาและพุทธมารดาในพิธีอภิเษกสมรส
เจ้าชายสุทโธทนะ และเจ้าหญิงมหามายา เข้าสู่พิธีอภิเษกสมรถ ณ อโศกอุทยาน
The Royal Wedding
Prince Suddhodana and Princess Mahamaya in the royal wedding ceremony at Asoka Park.



พระนางมหามายาทรงพระสุบิน
พระนางมหามายาทรงพระสุบินว่า ลูกช้างเผือกเข้าไปสู่ประครรภ์ของพระนาง ตั้งแต่นั้นมาก็ทรงพระครรภ์
Queen Mahamaya's Dream
Queen Mahamaya had a dream that a young white elephant entered into her womb, after which she became pregnant.



เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ
พระนางมหามายาประสูติเจ้าชายสิทธัตถะ ณ อุทยานลุมพินี ในวันวิสาขปุณณมี ๘๐ ปี ก่อนพุทธศักราช
Prince Siddhatta's Birth
Queen Mahamaya gave birth to Prince Siddhatta at Lumbini Park on Vesakha Full Moon Day, 80 years before the Buddhist era.



เจ้าชายทรงอภิเษกสมรส
เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงอภิเษกสมรสกับนางยโสธรา หรือพิมพา แห่งโกลิยวงศ์ประทับสำราญในปราสาท ๓ ฤดู
The Prince's marriage
Prince Siddhattha married Princess Yasodhara or Bimba of the Koliya clan and lived happily in the three castles built for the three seasons.



เสด็จประพาสพระราชอุทยาน
ใน การเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช โดยลำดับ ทำให้เจ้าชายทรงเบื่อหน่ายต่อสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งทั้งหลาย
The Four Signs
On the four royal park tours the Prince saw an old man, a sick man, a dead man and a ascetic respectively which made Him weary of the conditioned things.

- http://dhamma-human.blogspot.com/2011/05/blog-post_8906.html
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 12:46:45 pm »




ครั้นแล้วก็ตรัสถึงถูปารหบุคคล อัฐิของบุคคลที่ควรบรรจุไว้บูชาในสถูป ๔ จำพวก คือ พระอัฐิพระพุทธเจ้า ๑, พระอัฐิพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑, พระอัฐิของพระอรหันตสาวก ๑ และพระอัฐิของพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑ ตรัสปลอบพระอานนท์ทีกำลังเศร้าโศก และสรรเสริญพระอานนท์ต่อหน้าหมู่สงฆ์ว่า พระอานนท์เป็นยอดพระอุปัฏฐาก เป็นพหูสูต มีสติรอบคอบ มีความเพียร มีปัญญามาก และรู้จักกาลเทศะ พระอานนท์กราบทูลให้เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองอื่น เพราะกุสินาราเป็นเมืองเล็ก พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสีย แล้วแสดงให้ทราบว่า เมืองกุสินารานี้ในอดีตเคยเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ชื่อว่า กุสาวดีราชธานี มีพระเจ้าจักรพรรดิราชพระนามว่า มหาสุทัศน์ปกครองแผ่นดินโดยธรรม ลำดับถัดมา พระองค์ให้แจ้งข่าวการปรินิพพานของพระองค์ แก่เหล่ามัลลกษัตริย์ และได้เข้าเฝ้าพระองค์เป็นวาระสุดท้าย

กาลนั้นสุภัททปริพาชกได้ขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อถามปัญหา แต่ถูกพระอานนท์ห้ามไว้ พระพุทธเจ้าได้สดับแล้วก็อนุญาตให้สุภัททะเข้ามา แสดงธรรม ประทานอุปสมบทให้ แล้วให้เฝ้าเพียรปฏิบัติอยู่จนบรรลุอรหัตตผลในคืนนั้น เป็นปัจฉิมสาวกที่ทันเห็นพระพุทธเจ้า ในปัจฉิมยามแห่งราตรีนั้น พระพุทธเจ้าได้ประทานโอวาทเป็นครั้งสุดท้ายความว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจของตน และของคนอื่นให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด” จากนั้นก็ไม่ตรัสอะไรอีกเลย

                 

เสด็จดับขันธปรินิพพาน รวมพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษาครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๗ วัน ทางมัลลกษัตริย์จะถวายพระเพลิงพระสรีระ แต่ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากขาดพระเถระไป ๑ รูป คือพระมหากัสสปะ กำลังเดินทางมา ฝ่ายพระมหากัสสปะได้เห็นอาชีวกเดินถือดอกมณฑารพกั้นศีรษะมา ดอกมณฑารพนี้เป็นดอกไม้ทิพย์ มีอยู่เฉพาะบนสวรรค์ จึงสอบถามที่มา ได้ความว่า พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระอรหันต์ขีณาสพได้แสดงธรรมสังเวช ส่วนภิกษุปุถุชนร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจ บัดนั้นสุภัททวุฑฒบรรพชิต ผู้บวชเมื่อแก่ ก็กล่าวจาบจ้วงพระวินัยว่า “พวกท่านอย่าเศร้าโศกไปเลยพระมหาสมณะปรินิพพานเสียก็ดีแล้ว ต่อจากนี้จะได้ไม่มีใครมาจ้องจับผิด ว่าสิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร” พระมหากัสสปะฟังคำเช่นนั้นแล้ว ก็ได้แต่สลดใจที่ว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้เพียงไม่กี่เพลา ก็มีผู้กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยเสียแล้ว แต่ไม่ได้ว่ากระไรเพราะต้องรีบเดินทาง


ครั้นพอพระมหากัสสปเถระ พร้อมด้วยบริวารไปถึงแล้ว ได้ทำประทักษิณถวายสักการะพระบรมศพเรียบร้อย ฉับพลันก็เกิดพระเพลิงพวยพุ่งขึ้นเองด้วยอานุภาพเทวดาเป็นที่อัศจรรย์ เหลือเพียงสิ่งที่พระองค์ทรงอธิษฐานไว้มิให้เพลิงไหม้คือ ผ้าห่อพระบรมศพชั้นใน ๑, ชั้นนอก ๑, พระเขี้ยวแก้วทั้ง ๔, พระรากขวัญทั้ง ๒ และ พระอุณหิส ๑ พอถวายพระเพลิงเสร็จสิ้น เหล่ากษัตริย์ทั้ง ๗ หัวเมืองทราบข่าวการปรินิพพาน ก็กรีฑาทัพมาขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ฝ่ายมัลลกษัตริย์ในกรุงกุสินารามิยอมแบ่งให้ ด้วยเหตุที่ว่า พระพุทธเจ้าทรงอุตส่าห์เสด็จมาปรินิพพานในเมืองของเขา แสดงว่า ทรงมีเจตนาให้ มัลลกษัตริย์ครอบครองพระบรมสารีริกธาตุแต่ผู้เดียว ครั้งนั้นโทณพราหมณ์ผู้เคยประสิทธิ์ประสาทศิลปวิทยาการแก่เหล่าลูกกษัตริย์ทั้งหลาย จึงเกลี้ยกล่อมแนะให้มัลลกษัตริย์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเท่า ๆ กัน ให้กษัตริย์ทั้งหลายนำไปสักการะบูชา ปฐมสังคายนา ทำเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้ว ๓ เดือน ณ ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภาระ เมืองราชคฤห์ ประชุมพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ปรารภเหตุเพราะสุภัททวุฑฒบรรพชิต กล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย พระมหากัสสปะเป็นผู้ถาม พระอุบาลีเถระเป็นผู้ตอบพระวินัย พระอานนทเถระเป็นผู้ตอบพระธรรม ใช้เวลาทำ ๗ เดือน จึงเสร็จ ได้รับการอุปถัมภ์จากพระเจ้าอชาตศัตรู


สังคายนาครั้งที่ ๒ ทำเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้ว ๑๐๐ ปี ณ วาลิกาคาม เมืองไพศาลี ประชุมพระอรหันต์ ๗๐๐ รูป มีพระยสกากัณฑกบุตรเป็นประธานพระ เรวตเถระเป็นผู้ถาม พระสัพพกามีเถระเป็นผู้ตอบ ปรารภเหตุที่ภิกษุวัชชีบุตรประพฤติย่อหย่อนแสดงวัตถุ ๑๐ ประการคัดค้านพระธรรมวินัย ใช้เวลาทำ ๘ เดือนจึงเสร็จ ได้รับอุปถัมภ์จากพระเจ้ากาลาโศกราช กษัตริย์เมืองไพศาลี สังคายนาครั้งที่ ๓ ทำเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้ว ๒๓๔ ปี ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร ประชุมพระมหาเถระจำนวน ๑,๐๐๐ รูป มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน และเป็นผู้ถาม พระมัชฌันติกเถระกับพระมหาเทวเถระเป็นผู้ตอบ ปรารภเหตุที่มีเดียรถีย์ปลอมบวชในพระศาสนาเพื่อลาภสักการะ ใช้เวลาทำอยู่ ๙เดือน จึงเสร็จ ได้รับอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์เมืองปาฏลีบุตรการสังคายนาครั้งหลัง ๆ ไม่ค่อยได้รับการยอมรับ ฯ

โย  ธมฺมํ  ปสฺสติ  โส  มํ  ปสุสติ
(ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา)



-http://phrasuwan.blogspot.com/2011/08/blog-post_16.html

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 12:38:53 pm »



               

มีเศรษฐีหนุ่มผู้หนึ่งชื่อ สุทัตตะ แต่ผู้คนละแวกนั้นเรียกเขาว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐี เพราะความใจกว้างตั้งโรงทานไว้เลี้ยงคนอนาถาของเขา ได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้า ก็รู้สึกศรัทธาจึงได้มานมัสการแลฟังธรรม พระพุทธเจ้าแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็บรรลุโสดาปัตติผล แลแสดงตนเป็นอุบาสกในพระศาสนา แล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองสาวัตถึในแคว้นโกศลชนบท ส่วนตนเดินทางล่วงหน้าสู่เมืองสาวัตถีบ้านของตน ขอซื้อสวนของพระเชตราชกุมาร เพื่อสร้างวัดถวายพระพุทธเจ้า ใช้ชื่อว่า วัดเชตวันมหาวิหาร ตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับพระราชกุมารว่า วัดที่สร้างจะต้องตั้งชื่อเป็นชื่อท่าน

พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดสัตว์ในที่ต่าง ๆ อยู่ ๔๕ พรรษาพรรษาสุดท้ายทรงประทับอยู่ ณ บ้านเวฬุวคาม เมืองไพศาลี แคว้นวัชชี ทรงประชวรด้วยโรคปักขันทิกาพาธอย่างหนักจนเกือบปรินิพพาน ทว่าทรงอดกลั้นด้วยอธิวาสนขันติ วันหนึ่งขณะประทับ ณ ปาวาลเจดีย์ ทรงมีพระประสงค์ให้พระอานนท์อาราธนาให้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ต่อ จึงทรงทำนิมิตโอภาสโดยตรัสกับพระอานนท์ว่า“อานันทะ ดูก่อน อานนท์ เมืองไพศาลีนี้ เป็นสถานที่รื่นรมย์ ทัศนียภาพสวยงาม มีทั้งปาวาลเจดีย์ และ โคตมเจดีย์ ถ้าบุคคลได้เจริญอิทธิบาท ๔ และมีความปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อชั่วกัปหรือมากกว่านั้น ย่อมสามารถทำได้” พระอานนท์ฟังแล้วก็มิได้เข้าใจพระพุทธประสงค์ นิ่งอยู่ ครั้นพระอานนท์หลีกไปแล้ว พระยาวสวัตดีมารจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลอาราธนาให้พระองค์ปรินิพพานเสีย

พระองค์พิจารณาแล้วจึงตรัสว่า “ดูก่อน มารผู้ชั่วช้า ท่านอย่าพยายามมากเลย ตถาคตจักปรินิพพานไม่ช้านี้คือต่อจากนี้ไป ๓ เดือน ตถาคตจักปรินิพพาน” เพลานั้นตรงกับวันเพ็ญเดือน ๓ เมื่อพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร ฉับพลันก็เกิดเหตุอัศจรรย์แผ่นดินไหวกึกก้องทั่วปฐพี เสียงกลองทิพย์ก็อื้ออึงไปในอากาศ พระอานนท์เห็นเหตุดังนั้น ก็เข้าเฝ้าทูลถามถึงเหตุของแผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าจึงมีพระดำรัสตรัสตอบว่า เหตุของแผ่นดินไหวมีด้วยกัน ๘ อย่าง คือ ลมกำเริบ ๑, ผู้มีฤทธิ์บันดาล ๑, พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์ ๑, พระโพธิสัตว์ประสูติ ๑, พระตถาคตตรัสรู้ ๑, พระตถาคตแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร ๑, พระตถาคตปลงอายุสังขาร ๑, พระตถาคตเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๑ ดังนี้แล้วพระอานนท์จึงมาคิดได้ว่า เหตุทุกอย่างได้เกิดขึ้นแล้วเหลือแต่การปลงอายุสังขาร และปรินิพพานเท่านั้น เห็นว่าแผ่นดินไหวคราวนี้คงเป็นเพราะพระองค์ปลงอายุสังขารเป็นแน่ จึงทูลอาราธนาให้เสวยอายุอยู่ต่อ แต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะรับอาราธนาจากพระยาวสวัตดีมารแล้ว


จากนั้นเสด็จประทับ ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน ประชุมสงฆ์ประทานโอวาท แล้วตรัสอำลาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายว่า ต่อไปอีก ๓ เดือนข้างหน้า ตถาคตจักปรินิพพาน วันรุ่งขึ้นบิณฑบาตในเมืองไพศาลี ยืนมองเมืองไพศาลีเป็นครั้งสุดท้ายด้วยอาการ นาคาวโลก (การมองดูเยี่ยงช้าง) แล้วก็เสด็จสู่บ้านภัณฑุคาม บ้านหัตถีคาม อัมพคาม และชัมพุคามตามลำดับ จนลุเข้าโภคนคร ประทับ ณ อานันทเจดีย์ ทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ พร้อมทั้งแสดงมหาปเทส ๔ อย่าง เพื่อเป็นเครื่องวินิจฉัยพระธรรมวินัย ต่อมาเสด็จไปยังเมืองปาวา ประทับ ณ อัมพวันสวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร นายจุนทะถวายสุกรมัทวะ และโภชนาหารอันประณีตแด่พระพุทธเจ้า และภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ได้มีพระพุทธบัญชาให้นายจุนทะถวายสุกรมัทวะแด่พระองค์รูปเดียว ที่เหลือให้ฝังดินเสีย ครั้นฉันภัตตาหารเรียบร้อย โรคปักขันทิกาพาธก็กำเริบ มีเวทนาอย่างแรงกล้า ทรงระงับด้วยอธิวาสนขันติ แล้วตรัสกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ เราไปเมืองกุสินารากันเถิด”ระหว่างทางแวะพักผ่อนใต้ร่มไม้ ทรงกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงให้พระอานนท์ไปตักน้ำในแม่น้ำมาถวาย

พระอานนท์เห็นน้ำขุ่นจึงไม่ยอมไปตักมา จนพระพุทธองค์ต้องตรัสย้ำถึง ๓ ครา เมื่อตักมาน้ำขุ่นก็ใสด้วยพุทธานุภาพ จากนั้นก็เดินทางต่อ พบนายปุกกุสะ ราชบุตรแห่งมัลลกษัตริย์ ลูกศิษย์อาฬารดาบส กาลามโคตร พระองค์จึงทรงแสดงสันติวิหารธรรมโปรด ด้วยความศรัทธา เธอจึงถวายผ้าสิงคิวรรณผืน ๑ อีกผืนถวายพระอานนท์ เมื่อนายปุกกุสะหลีกไปแล้ว พระอานนท์ก็ถวายผ้านั้นแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงรับ ทันทีที่นุ่งผ้าทั้งสองนั้นปรากฏดุจถ่านไฟปราศจากเปลว ผิวพรรณพระวรกายก็ผ่องใสยิ่งนัก พระอานนท์เห็นดังนั้นก็ทูลสรรเสริญ พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า กายของตถาคตจะผุดผ่องใสยิ่งใน ๒ เวลา คือ เวลาได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ และ เวลาจะปรินิพพาน ๑ ครั้นได้ลงสรงน้ำในแม่น้ำกกุธานทีแล้ว ทรงเสด็จบรรทมด้วยสีหไสยาสน์บริเวณสวนมะม่วง ตรัสแก่พระอานนท์ว่า อานนท์วันข้างหน้าอาจมีผู้เข้าใจว่าตถาคตเสด็จปรินิพพานเพราะสุกรมัทวะของนายจุนทะ เธอจงบอกเขาว่าตถาคตตรัสว่า บิณฑบาตที่ได้บุญมาก มีอานิสงส์ยิ่งกว่าบิณฑบาตทานในกาลอื่นมี ๒ คือ บิณฑบาตที่นางสุชาดาถวายในวันตรัสรู้ ๑ และ บิณฑบาตที่นายจุนทะถวายในวันใกล้ปรินิพพาน ๑
 
จากนั้นเสด็จสู่เมืองกุสินารา โดยเสด็จผ่านแม่น้ำหิรัญญวดี ถึงเมืองกุสินาราเพียงวันเดียว วันนั้นเป็นวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ประทับแรม ณ สาลวัน อันเป็นพระราชอุทยานของพระเจ้ามัลละ ทรงเสด็จขึ้นบรรทม หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ สำเร็จสีหไสยาสน์ระหว่างต้นสาละคู่ แล้วมิคิดจะลุกขึ้นอีกเลย กิริยานี้เรียกว่าอนุฏฐานไสยาสน์ ต่อมาทรงสรรเสริญการปฏิบัติบูชายิ่งกว่าอามิสบูชา ตรัสถึงสังเวชนียสถาน แห่ง ได้แก่ สถานที่ตถาคตประสูติ คือ ลุมพินีวัน ๑, สถานที่ตถาคตตรัสรู้ คือ ต้นศรีมหาโพธิ์ ณ อุรุเวลาเสนานิคม ๑, สถานที่แสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตรคือ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ๑ และสถานที่ตถาคตปรินิพพาน คือต้นสาละคู่ ณ สาลวโนทยาน ๑ แล้วตรัสถึงอานิสงส์ว่า ผู้ที่มีศรัทธาได้ไปเยือนสังเวชนียสถานเหล่านี้ด้วยความเลื่อมใสแล้ว ครั้นตายไปย่อมเข้าสู่สุคติในโลกสวรรค์ และตรัสถึงการปฏิบัติตนต่อสตรีของภิกษุว่า การไม่เห็นสตรีนั่นแหละดี ถ้าจำเป็นต้องเห็นก็อย่าพูดด้วย ถ้าต้องพูดด้วยก็ต้องพูดความระมัดระวัง มีสติอย่างยิ่ง


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2012, 09:45:04 am »



                   

ลำดับนั้น อุปติสสะ บุตรของนางสารี และ โกลิตะ บุตรของนางโมคคัลลี บวชอยู่สำนักสัญชัยปริพาชก สองสหายมิได้บรรลุธรรมวิเศษให้พึงพอใจ จึงชวนกันออกหาโมกขธรรม สัญญากันว่า หากใครได้พบก่อน จักรีบมาบอกอีกฝ่ายหนึ่ง อุปติสสะได้มาพบ พระอัสสชิ มีผิวพรรณหมดจด จริยาสงบน่าเลื่อมใส จึงถามว่า ใครเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านสอนว่าอะไร พระอัสสชิตอบว่า “เย ธมฺมา เหตุ ปปฺภวา เตสํเหตุ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณติ” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า่ ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับไปแห่งธรรมนั้น พระองค์มีปกติตรัสอย่างนี้ อุปติสสะ ฟังแล้วดวงตาเห็นธรรมบรรลุโสดาปัตติผล จึงนำธรรมไปกล่าวแก่ โกลิตะ ก็บรรลุธรรมเช่นกัน แล้วจึงพากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ครั้นได้อุปสมบทแล้ว อุปติสสะ ได้ชื่อว่า พระสารีบุตร โกลิตะ ได้ชื่อว่า พระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะ บวชได้ ๗ วัน บรรลุอรหัตตผล ทรงตั้งให้เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้เอตทัคคะด้านฤทธิ์ ระหว่างบำเพ็ญเพียร เกิดความง่วง

พระพุทธเจ้าเสด็จแสดงอุบาย ประการ เพื่อระงับความง่วง ได้แก่ มีสัญญาอย่างไร ใส่ใจสัญญานั้นให้มาก ๑, พิจารณาธรรมที่ฟังมาแล้ว ๑, ท่องบ่นธรรมนั้น ๑, ยอนหูทั้งสอง เอามือลูบตัว ๑, ยืนขึ้น เอาน้ำลูบตัว เหลียวซ้ายแลขวา ๑, ใส่ใจถึงแสงสว่าง ๑, เดินจงกรม ๑,และ สำเร็จสีหไสยาสน์ ๑ พร้อมทั้งตรัสสอนให้สำเหนียกในใจอีก ๓ ข้อ คือ เราจักไม่ชูงวง เข้าไปสู่สกุล ๑, เราจักไม่พูดส่อเสียด ๑ และเราจักไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๑ ส่วนพระสารีบุตรบวชได้ ๑๕ วัน ขณะกำลังถวายงานพัดพระพุทธเจ้า ทีฆนขปริพาชกมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ อวดอ้างอย่างมิจฉาทิฏฐิ ๓ ประการ ได้แก่ คนบางพวกว่า สิ่งทั้งหลายควรแก่เรา เราชอบทั้งหมด๑, คนบางพวกว่า สิ่งทั้งหลายไม่ควรแก่เรา เราไม่ชอบทั้งหมด๑, และ คนบางพวกว่า บางสิ่งควรแก่เรา เราชอบใจ บางสิ่งไม่ควรแก่เรา เราไม่ชอบใจ๑ พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรม เวทนาปริคคหสูตร ทีฆนขปริพาชกบรรลุโสดาปัตติผล พระสารีบุตรบรรลุอรหัตตผล ทรงตั้งให้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เอตทัคคะด้านปัญญา

ครั้งนั้น ปิปผลิมาณพ ตกอยู่ในข่ายพระญาณ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จประทับรอที่ใต้ต้นไทรชื่อว่า พหุปุตตนิโครธ ระหว่างเมืองราชคฤห์กับเมืองนาลันทา เมื่อได้พบพระพุทธองค์จึงได้ขออุปสมบท พระองค์จึงทรงประทานอุปสมบทให้ด้วยการประทานโอวาท ๓ ข้อว่า กัสสปะ ท่านพึงศึกษาเถิดว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอาย และยำเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า, เป็นผู้ปานกลาง และเป็นผู้บวชใหม่ อย่างแรงกล้า ๑, ธรรมใดประกอบด้วยกุศล เราจักเงี่ยหูตั้งใจสดับ และพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมนั้น ๑,เราจักไม่ละสติออกจากกาย ๑ เรียกอุปสมบทวิธีนี้ว่า โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา บวชได้ ๘ วันก็บรรลุอรหัตตผล ทรงตั้งให้เป็นผู้เอตทัคคะด้านยินดีธุดงควัตร ครั้นทรงประกาศพระศาสนาอยู่ได้ ๙ เดือน หลังตรัสรู้ พอถึงวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ซึ่งตรงกับ วันมาฆบูชา จึงได้แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ อันเป็นหัวใจหลักของพระพุทธศาสนา ๓ ข้อ มีใจความว่า
 
                            สพฺพปาปสฺสอกรณํ การไม่ทำบาปทั้งปวง
                            กุสฺสลสฺสูปสมฺปทา การทำกุศลทั้งปวง
                            สจิตฺตปริโยทปนํ การรักษาจิตให้ผ่องแผ้วอยู่เสมอ


การประชุมครั้งนั้นชื่อว่า จาตุรงคสันนิบาต หมายถึง การประชุมที่ประกอบด้วยองค์ ๔ ได้แก่ วันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนสาม ๑, ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ๑, ภิกษุทั้งหลายเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ๑ และ ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุสัมปทา ๑ กาลต่อมา เมื่อเห็นว่า มีผู้ออกบวชมากมาย พระศาสนาเป็นปึกแผ่นมากแล้ว จึงโอนอำนาจทั้งหมดให้สงฆ์ปกครองกันเอง แลทรงอนุญาตการบวชแบบใหม่ชื่อ ญัตติจตุตถกัมมวาจาอุปสัมปทา ผู้บวชด้วยวิธีนี้คนแรกคือ พระราธะ มีพระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์ การบวชแบบนี้ใช้กันมาจนปัจจุบัน แลทรงยกการบวชแบบติสรณคมนูปสัมปทามาใช้บวชสามเณรแทน

เช้าวันหนึ่ง สิงคาลมาณพ กำลังไหว้ทิศต่าง ๆ อยู่ พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปถาม ทราบความแล้วจึงตรัสแสดงธรรมว่า ทิศทั้ง ๖ นั้น แท้จริงแล้ว เป็นดังนี้ คือ ทิศเบื้องหน้า หมายถึง บิดามารดา ทิศเบื้องขวา หมายถึง ครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายหมายถึง เพื่อน มิตรสหาย ทิศเบื้องหลัง หมายถึง ลูก ภรรยา ทิศเบื้องล่าง หมายถึงบริวาร ทิศเบื้องบน หมายถึง สมณพราหมณ์ สิงคาลมาณพได้สดับแล้วเกิดความเลื่อมใส ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต ครั้นพระพุทธองค์ประกาศพระศาสนาได้ระยะหนึ่ง กิตติศัพท์ระบือไกลไปถึงพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ จึงแต่งตั้งให้ กาฬุทายีอำมาตย์พร้อมคณะ ไปทูลเชิญพระพุทธองค์ให้เสด็จมายังกรุงกบิลพัสดุ์ กาฬุทายีเดินทางไปถึงวัดเวฬุวัน พร้อมคณะ ขณะพระพุทธองค์กำลังแสดงธรรมอยู่ สดับธรรมนั้นแล้วบรรลุอรหัตตผลทั้งหมด แล้วทูลเชิญสู่กรุงกบิลพัสดุ์ ทรงเสด็จเดินทางวันละ ๑ โยชน์เป็นเวลา ๒ เดือน รวมระยะทาง ๖๐ โยชน์

เมื่อไปถึงเหล่าประยูรญาติ บ้างถือทิฏฐิว่าอาวุโสกว่า บ้างไม่แสดงความเคารพ พระพุทธองค์จึงแสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปบนอากาศ โปรยธุลีดินจากพระบาทลงบนศีรษะของประยูรญาติเหล่านั้น เพื่อทำลายความมานะถือตัว แลยังจิตให้เลื่อมใส ครั้นแล้วพระพุทธบิดาเห็นอัศจรรย์ดังนั้น ก็ประนมถวายอภิวาท ๓ ครั้ง เหล่าประยูรญาติก็สิ้นทิฏฐิก้มลงกราบตาม ขณะนั้นได้เกิดเหตุอัศจรรย์มี “ฝนโบกขรพรรษ” ตกโปรยปราย มีสีแดง ตกลงพื้นก็ไม่เปียกเฉอะแฉะ ผู้ปรารถนาให้เปียกก็เปียก ผู้ไม่ปรารถนาให้เปียก ก็ไม่เปียกเลย พระพุทธองค์จึงได้อธิบายว่า ฝนนี้ก็เคยตกลงมาครั้งหนึ่งแล้ว สมัยพระเวสสันดร พระประยูรญาติได้ฟังแล้วก็เกิดความเลื่อมใส แยกย้ายกันกลับ

วันรุ่งขึ้น พระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสาวก ก็ออกเที่ยวบิณฑบาตตามปกติชาวเมืองราชคฤห์บางคนไม่เข้าใจเห็นเป็นการเสียเกียรติที่ลูกกษัตริย์จะมาขอทาน จึงนำความไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะ พระเจ้าสุทโธทนะทราบความจึงรีบเสด็จมาห้าม พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “การบิณฑบาตนี้ ถือเป็นธรรมเนียมที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ปฏิบัติสืบ ๆ กันมา การเป็นสมณะที่แท้นั้น ต้องไม่ประมาทในบิณฑบาต คือยินดีตามที่ได้มา และพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่ควรประพฤติธรรมที่ทุจริต ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า” ตรัสจบ พระเจ้าสุทโธทนะบรรลุโสดาปัตติผล ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมสงฆ์สาวกเข้าไปในพระราชวังถวายภัตตาหารด้วยความบันเทิงใจ ครั้นเทศนาโปรดพระประยูรญาติได้ ๗ วัน ก็เสด็จกลับกรุงราชคฤห์ ประทับแรมอยู่ ณ สีตวัน