ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 16, 2015, 03:26:52 pm »พระะพุทธศาสอนอะไร - พระอภิธรรมสอนอะไร เรียนแล้วมีคุณประโยชน์อย่างไร
การศึกษาพระอภิธรรมนั้น ข้าพเจ้าหมายถึงการศึกษาด้วย สุตตะ และ จินตา ซึ่งหมายความถึง การศึกษาด้วยการฟัง การอ่าน แล้วใคร่ครวญพิจารณา ซึ่งท่านอาจจะค้นคว้าหาฟัง หาอ่านได้จากอินเทอร์เนทด้วยตนเอง จากซีดีของสถาบันที่สอนพระอภิธรรมต่างๆ (ดังจะได้ค่อยๆ รวบรวมไว้ในเว็ปไซต์นี้ต่อไป) จากซีดีพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับพระอภิธรรมที่ครูอาจารย์บันทึกไว้ ตลอดจนการพูดคุยสนทนา ศึกษาโดยตรงกับผู้มีความรู้ในทางพระอภิธรรม โดยเลือกศึกษาเฉพาะหมวดธรรมที่สนใจ หรือเข้ารับการศึกษาแบบเป็นหลักสูตรได้ที่โรงเรียนสอนพระอภิธรรมต่างๆ ที่เปิดอยู่ทั่วประเทศ ทั้งยังมีการศึกษาพระอภิธรรมโดยย่อทางไปรษณีย์อีกด้วย
คำถามที่ได้ยินบ่อยๆ คือ พระอภิธรรมสอนอะไร ทำไมต้องเรียน ไม่เรียนได้ไหม ทำไมครูอาจารย์บางท่านกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องเรียน แต่ให้ปฏิบัติไปเลยก็ได้ และเรียนแล้วมีประโยชน์อย่งไร
คำถามแรก พระอภิธรรมสอนอะไร มีอะไรในพระอภิธรรม หลายครั้งที่เพื่อนธรรมทั้งหลาย ได้กล่าวกับข้าพเจ้าด้วยความตื่นเต้นว่า ได้ฟังพระธรรมเทศนา เรื่องนั้น เรื่องนี้ ดีจริงๆ มีประโยชน์มาก แล้วท่านเหล่านั้นก็เล่าให้ข้าพเจ้าฟังในรายละเอียดของพระธรรมเทศนานั้นๆ ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยปีติ หลังจากที่ข้าพเจ้าฟังจบแล้ว ก็ได้กล่าวถามกลับไปว่า ชอบฟังพระธรรมในทำนองนี้ใช่ใหม ก็ได้คำตอบว่าใช่ ข้าพเจ้าจึงแนะนำว่า สิ่งที่ได้อธิบายให้ฟังนี้ มีในคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าสนใจอยากเรียนรู้เพิ่มเติมก็เรียนพระอภิธรรม
ผลลัพธ์ที่ได้คือ หลายท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า จริงหรือ พระอภิธรรมสอนสิ่งเหล่านี้หรือ ไม่เคยทราบเลยว่านี้เป็นพระอภิธรรม แต่ถึงแม้จะทราบแล้วก็ตาม ก็ยังมีส่วนน้อยที่สนใจจะศึกษา ส่วนใหญ่ได้ยินคำว่า พระอภิธรรมก็สวัสดีแล้ว บางท่านก็ว่า ไม่มีเวลา บางท่านก็บอกว่ายากต้องท่องจำ บางท่านก็แบ่งรับแบ่งสู้ ผลัดไปเรื่อยๆ ท่านที่เป็นนักปฏิบัติก็ว่า เอาเวลาไปปฏิบัติดีกว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยจิต บรมครูอาจารย์หลายท่านก็ไม่ต้องเรียนท่านก็ยังปฏิบัติรู้แจ้งเห็นธรรมได้ อันนี้ก็นานาจิตตัง
ข้าพเจ้าเชื่อว่า ความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่แน่นอน ดังนั้นจึงตั้งใจเขียนบทความนี้ หวังว่าจะทำให้บางท่านที่ไม่สนใจเรียนพระอภิธรรม เปลี่ยนใจมาสนใจขวนขวายที่จะศึกษาบ้าง
พระอภิธรรมสอนอะไร
พระอภิธรรมมิได้สอนสิ่งที่อยู่นอกโลก หรือนอกตัวเรา คำสอนในพระอภิธรรมทั้งหมดเป็นความรู้เกี่ยวกับความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของร่างกายและจิตใจอย่างละเอียดทั้งนามธรรม และรูปธรรม พร้อมทั้งอธิบายเหตุและปัจจัยของการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปนั้นๆ ตลอนจนแสดงแนวทางที่จะสร้างเหตุที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขสงบ จนถึงที่สุดคือดับเหตุปัจจัยที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิด เข้าถึงความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน
ความรู้ในพระอภิธรรมมีเพียง ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เท่่านั้น เมื่อเทียบกับวิชาการความรู้ทางโลกๆ ที่มีเป็นแสนเป็นล้านๆ เรื่อง สอนสารพัดความรู้ไปถึงนอกโลก นอกจักรวาล มีความรู้ใหม่ๆให้ติดตามเล่่าเรียนกันได้มิจบสิ้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้ที่ผู้เรียนรู้ออกจากทุกข์ได้ ส่วนความรู้ในทางพระอภิธรรมที่ทรงแสดงไว้เรื่องกาย เรื่องใจเพียง ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เท่านี้ สำหรับผู้ที่มีศรัทธา มีความเพียรเรียนเพื่อนำไปปฏิบัติ ก็สามารถเลือกศึกษาเฉพาะหมวดธรรมที่เป็นหัวใจของการปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทาง เสมือนเป็นแผนที่นำทางเดินไปสู่มรรค ผล นิพพานได้
ตัวอย่างธรรมที่สอนในพระอภิธรรม ที่ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างยิ่ง :
ความแตกต่างระหว่าง บัญญัติธรรม และ ปรมัตถธรม พระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้เห็นความแตกต่างระหว่าง ความจริงสองอย่าง คือ ความจริงโดยสมมุติ และความจริงโดยสภาวะหรือโดยปรมัตถ์
ความจริงโดยสมมุติโวหาร หรือสมมุติสัจจะมี ๒ ประการคือ
๑. สมมุติสัจจะที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในพระสูตร คือเรื่องราวในพระสูตร ที่ประกอบด้วยสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา ชาดก พุทธประวัติ เป็นต้น
๒. สมมุติสัจจะที่ชาวโลกใช้พูดกัน เช่น ชื่อนาย ก นาย ข ชื่อเรียกว่าพ่อ ว่าแม่ ว่าโต๊ะ ว่าเก้าอี้ ว่าต้นไม้ก็เป็นชื่อสมมุติที่กลุ่มชนตกลงกันใช้ เป็นต้น จึงเห็นได้ว่า กลุ่มชนต่างกลุ่มกันก็สร้างสุมมุติซึ่งเป็นที่เข้าใจในกลุ่มของตนเอง ที่เห็นได้ชัดคือ คำที่ใช้เรียกสิ่งเดียวกันก็จะแตกต่างกันในแต่ละภาษา สมมุติจึงเป็นจริงตามที่สมมุติขึ้นเท่านั้น ยังไม่ใช่ความจริงแท้เหมือนปรมัตถธรม ดังจะกล่าวต่อไป
ปรมัตถธรรมมี ๔ ได้แก่ "ธรรมชาติ" ของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ซึ่งเป็นความจริงโดยสภาวะ ให้สังเกตุว่าข้าพเจ้าใช้คำว่า "ธรรมชาติ" เนื่องจาก "คำว่า" จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นบัญญัติ แต่ "ธรรมชาติ หรือสภาวะ" ของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นความจริงโดยปรมัตถ์ หากจะยกตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างบัญญัติ และปรมัตถ์ก็ เช่นประโยคที่ว่า
"นาย ก เป็นบิดาของนาง ข และเป็นลูกจ้างนาย ค ขับรถไปทำงานทุกวัน" เป็นความจริงโดยสมมุติ
ความจริงโดยสภาวะหรือโดยปรมัตถ์นั้น ไม่มีนายก ไม่มีนาง ข ไม่มีนาย ค และไม่มีแม้กระทั่งรถยนตร์ เพราะความจริงก็คือ เมื่อแยกแยะความเป็นกลุ่มเป็นก้อนออกมาแล้ว นาย ก นาง ข นาย ค และรถยนตร์ เป็นเพียงที่ประชุมกันของ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟเท่านั้น เป็นเพียงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟที่่รวมกันขึ้นมาเป็นอวัยวะ เป็นกระดูก เลือด เนื้อ เล็บ ขน ฟัน หนัง ตับ ไต ลำไส้ใหญ่ ลำใส้เล็ก ฯ เป็นชิ้นส่วนของร่างกายต่างๆ จนประกอบกันขึ้นมาเป็นรูปร่างหญิง ชาย แล้วเราก็บัญญัติเรียกรุปร่างนั้นว่า นาย ก นาง ข นาย ค เหมือนบิดามารดาตั้งชื่อให้บุตรที่เกิดใหม่ ต่างกันตรงที่ วัตถุสิิ่งของ มีเพียงรูป แต่คนและสัตว์มีทั้งรูป และความรู้สึกคือจิตใจด้วย นี้แหละคือปรมัตถธรรม นี่แหละความเป็นจริงของชีวิต คือดินน้ำลมไฟ กับ จิต และความปรุงแต่งในจิตที่เสื่อมสลายแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยจนสิ้นอายุขัย
แล้วความรู้เรื่องบัญญัติ ปรมัตถ์นี้ มีประโยชน์อย่างไร
มีประโยชน์ต่อการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพราะไม่ว่าผู้ปฏิบัติจะเริ่มเจริญกรรมฐานด้วยวิธีใด ไม่ว่าด้วยการเจริญสมถกรรมฐานด้วยการบริกรรม ด้วยการพิจารณาตามดูลมหายใจ ด้วยการพิจารณาอสุภะ (ว่าร่างกายเป็นของน่าเกลียด สกปรก) หรือด้วยการพิจารณาอาการ ๓๒ (ว่าร่างกายเป็นที่ประชุมกันของกระดูก เอ็น ขน ผม เล็บ ฟันหนัง ฯ ) เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอารมณ์ที่เป็นบัญญัติ แต่ที่สุดแล้วเมื่อผู้ปฏิบัติจะยกจิตขึ้นสู่การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็ต้องมีสติระลึกรู้อยู่ที่อารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์ คือ ที่จิต เจตสิก รูป ส่วนนิพพานนั้นเป็นผลของการปฏิบัติ ที่เกิดขึ้นเองเมื่อมีความเพียรเจริญองค์มรรคอย่างถูกต้องด้วยความต่อเนื่อง
จิต เจตสิก รูป ทรงแสดงไว้อย่างละเอียดว่าจิต เจตสิก รูป มีอะไรบ้าง เมื่อเข้าใจว่าจิต เจตสิก รูป มีอะไรบ้าง ก็ทำให้เห็นธรรมโดยละเอียดยิ่งขึ้น
ผู้ปฏิบัติที่หลายท่านท่ีฝึกการดูจิตโดยไม่มีพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับจิต ยิ่งดูจิตไป ท่านก็บ่นเองว่า ยิ่งฟุ้งซ่าน เนื่องจากท่านไปตามดูความคิด มิใช่ดูจิต ข้าพเจ้าไม่กว้่างขวาง ไม่รู้จักเพื่อนธรรมมาก แต่เท่าที่ได้สนทนาธรรมกับผู้้ปฏิบัติหลายท่านที่เรียกกันในสมัยนี้ว่าแนว "ดูจิต" ข ้าพเจ้าพบว่าหลายท่านมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติมาก แต่หลายท่านก็มีปัญหาที่ทำให้ปฏิบัติไปแล้วท้อ ปฏิบัติแล้วจิตในกลับว้าวุ่น ไม่โปร่งเบา
ประการแรก เพราะท่านเข้าใจว่าการตามดูความคิดคือการดูจิต จึงถลำลึกไปกับความคิด และความปรุงแต่ง คิดไปเรื่อยๆ แล้วตาม ดูความคิดไปเรื่อยๆ ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ
ประการที่สอง มักจะดูแต่ธรรมที่เป็นอกุศล เมื่อถามว่า ดูจิต ท่านดูอะไร คำตอบที่ได้รับส่วนใหญ่คือ "ก็ดูโลภะ ดูโทสะ ดูโมหะ" ซึ่งเหมือนกับการตั้งธงไว้ว่า การปฏิบัติธรรมนั้น ปฏิบัติแล้วจะเป็นคนดีขี้นด้วยการทำให้โลภะ โทสะ โมหะลดลง จึงคอยจับจ้องเมื่อธรรมเหล่านั้นเกิดขึ้น ดังเรามักจะได้ยินบ่อยๆ ว่า ปฏิบัติธรรมแล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีโทสะแล้ว อ้ันนี้ได้ยินบ่อยมาก ่ผู้ที่คิดว่าไม่โทสะแต่บ่นไม่หยุดเวลารถติด ยุงกัด หรื่อเมื่อต้องรอนานก็หงุดหงิด ท่านก็ว่าท่านไม่ได้มีโทสะ เพราะท่านเข้าใจว่าโทสะคือความโกรธต้องมีการแสดงออกทางกาย วาจา เมื่อท่านสำรวมกาย วาจาไว้ได้ท่านคิดว่าท่านเท่าทันโทสะ แต่ท่านมิได้สังเกตุใจ ว่าใจที่ยังขุ่นๆ ที่รำคาญเพียงน้อยนิด ที่เศร้าโศก อาดูร ความรู้สึกที่ไม่ได้ดังใจต่่างๆ ความอิจฉา ที่เป็นโทสะที่ละเอียดๆ ท่านสังเกตุหรือไม่ ท่านเคยหาของไม่พบแล้วกลุ้มอกกลุ้มใจ หรือหงุดหงิดตัวเองหรือไม่ นั่นก็โทสะอย่างหนึ่งเช่นกัน
หากไม่มีโทสะจริงๆ ก็นับว่าประเสริฐเพราะมีแต่พระอนาคามีเท่านั้นที่ตัดกิเลสที่ชื่อว่าโทสะนี้ได้ แต่หากว่ายังไม่ใช่พระอนาคามี ก็ต้องพิจารณาว่าการไม่โกรธนั้นเป็นเพียงหินทับหญ้า และโทสะนั้น มิได้หมายถึงความโกรธเท่านั้น เช่นเดียวกับ โลภะ โมหะ ซึ่งทรงแสดงแจกแจงไว้อย่างพิสดารและมีจริง
ถ้าไม่ศึกษาก็่จะมองสภาวะธรรมเป็นกลุ่มเป็นก้อน พระพุทธองค์ทรงแสดงถึง สิ่งที่ปิดบังมิให้ผู้ปฏิบัติเข้าถึงพระไตรลักษณ์ ว่ามี ๓ ประการ หนึ่งในนั้นคือ ฆนสัญญา ฆนสัญญาคือความจำสำคัญมั่นหมายว่าเป็นกลุ่มเป็นก้อน หรือเป็นหน่วยรวมที่ปิดบังอตัตลักษณะไว้ ดังนั้นเราจึงต้องมนสิการให้แยบคายถึงรายเอียดส่วนประกอบย่อยของทุกสรรพสิ่ง
เช่นเมื่อพิจารณาจิต อย่างน้อยก็ควรเข้าใจว่าจิตมิได้มีเพียงดวงเดียว ผู้ปฏิบัิตบางท่านเข้าใจว่าจิตมีดวงเดียว ถ้าเห็นจิตเป็นดวงเดียว ก็จะไม่เห็นความเกิดดับของจิต ไม่เห็นไตรลักษณ์
จิตมี ๘๙ หรือ ๑๒๑ ดวงโดยพิสดาร แต่ละดวงก็มีสภาพธรรมที่ต่างกันตามเจตสิกที่เข้าประกอบ แบ่งโดยย่อคือ จิตที่เป็นกุศล จิตที่เป็นอกุศล และจิตที่เป็นกลางๆ มิใช่กุศล มิใช่อกุศล คือเป็นอุเบกขา ซึ่งจิตทั้งสามประเภทก็แบ่งย่อยลงไปได้อีกตามคุณลักษณะที่ต่างกันออกไป
ตัวอย่างจิตที่เป็นกุศลก็มีหลายดวง เช่น จิตที่ประกอบไปด้วยศรัทธา ก็เป็นสภาวะที่ต่างกับจิตที่ประกอบไปด้วยกรุณา เมตตา ปีติ ความเพียร เป็นต้น
ผุู้ฏิบัติที่มีความเข้าใจเรื่องจิตเป็นพื้นฐานแล้ว เมื่อปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานก็จะแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น เห็นธรรมที่แตกต่างกันเกิดดับอยู่โดยละเอียด ดังที่พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรังสี วัดมเหยงคณ์) ได้กล่าวไว้ว่า "รู้จัก รู้จำ รู้แจ้ง" หมายถึง การรู้จัก การทำความเข้าใจใจความแตกต่างกันของสภาวะต่างๆไว้ก่อน และจำไว้ แล้วเมื่อปฏิบัติได้พบสภาวะนั้นเกิดขึ้นจริงเฉพาะหน้าก็จะรู้แจ้งด้วยตนเองว่า อ้อ นี้แหละ ความจำได้หมายรู้ในเรื่องนี้ๆ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ สภาวะที่แท้จริงเป็นเช่นนี้ ก็จะเข้าใจได้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น และสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจได้
ส่วนรูปนั้นก็เช่นกัน ฆนสัญญาที่ปิดบังรูปว่าเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ บุคคลเราเขา ก็จะน้อยลงหากได้ศึกษาเรื่้องรูป รูปนั้นพระพุทธองค์ทรงจำแนกไว้่ว่ามี ๒๘ ซึ่งหาอ่านได้ไม่ยาก ก็น่าที่จะศึกษาไว้เป็นพื้่นฐานบ้าง
สิ่งหนึ่งที่ควรทำความเข้าใจเรื่องรูปคือ ในรูป ๒๘ นั้น หทยวัตถุ หรือเรียกง่ายๆ ว่าหัวใจนั้น เป็นรูปหนึ่งที่อยู่ภายในกาย แต่หัวใจไม่ใช่จิต จิตเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม แต่หัวใจเป็นรูปธรรมที่เมื่อแยกออกมาแล้วก็คือธาตุดินน้ำลมไฟที่มีแต่จะเสื่อมสิ้่นสลายไปด้วยปัจจัยที่มากระทบ เมื่อเจิญวิปัสสนากรรมฐาน บางท่านหาจิตไม่เจอ ก็ไปเพ่งที่หัวใจ ซึ่งไม่ใช่จิต
การศึกษาเรื่องจิต เจตสิก รูป จึงเป็นประโยชน์มากสำหรับนักปฏิบัติที่มุ่งสู่ถนนสายนิพพาน
คำสอนเรื่องสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม โดยละเอียดมีอยู่ เราได้ฟังซีดี บทความ หนังสือมากมายที่ครูอาจารย์หลายท่านอธิบายรื่อง สติปัฏฐาน ๔ หากมีเวลาก็น่าที่จะอ่านเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ที่เป็นคำสอนตรงจากพระพุทธองค์บ้าง แล้วจึงเทียบเคีียงกับที่ครูอาจารย์ท่านสอนไว้เป็นการขยายความหรือประกอบการศึกษา
มรรคมีองค์ ๘ ในพระอภิธรรมมีการอธิบายความหมาย และแนวทางปฏิบิติไว้ เช่นอธิบายว่า อย่างไรเล่าเรียกว่าสัมมาสังกัปปะ (ดำหริชอบ) คำตอบคือการดำหริออกจากกาม ดำหริออกจากการเบียดเบียน และดำหริออกจากการพยาบาท เหล่ามิใช่หรือที่เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง แม้มิได้หวังมรรค ผล นิพพาน แต่การเจิญองค์มรรคก็จะนำความสันติสุขให้บังเกิดขึ่นได้ในชีวิตที่เป็นอยูุ่ หากไม่ศึกษา บุคคลส่วนใหญ่ก็ท่องหัวข้อองค์มรรค ๘ กันได้ แต่ถ้าถามว่า ดำหริชอบเป็นอย่างไร ก็ก็ตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้แล้วจะดำหริชอบได้อย่างไร
สมถะกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน การศึกษาเรื่องสมถะ วิปัสสนากรรมฐาน จะทำให้มีความเข้าใจแนวทางการปฏิบัติทั้งหลายว่ามีอะไรบ้างแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร เหมือนได้เห็นภาพรวมของหมวดหมู่และวิธีการปฏิบัติในทุกรูปแบบที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ผู้ปฏิบัติก็จะสามารถเลือกวิธีการเจริญกรรมฐานที่ตรงกับจริตของตนเอง เมื่อเข้าใจแล้ว ก็จะไม่มีคำถามว่าทำไมครูอาจารย์ท่านนั้นสอนอย่างนั้น อีกท่านสอนอย่างนี้ไม่เหมือนกัน หรือไปสำนักปฏิบัติโน้นี้แล้วสอนไม่เหมือนกันจนปฏิบัติไม่ถูก งงไปหมด (แท้จริงแล้วครูอาจารย์ท่านสอนดีแต่เราปฏิบัติไม่ได้เอง)
ความรู้เรื่องการเจริญสมถะ วิปัสสนากรรมฐานจะเป็นประโยชน์มากในการทำให้มีความเข้าใจ ไม่สับสนในแนวทาง หริอวิธีการฏิบัติกรรมฐานหลายรูปแบบที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ และยังสามารถนำวิธีการที่ต่างกันมาปฏิบัติได้ในสถาณการณ์ที่แตกต่างกัน โดยเข้าใจว่า ไม่ว่าจะใช้แนวทางไหน ที่่สุดแล้วก็จะนำไปสู่ความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมได้
อริยสัจสี่ เรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และ ปริวัฏฏ์ ๓ อาการ ๑๒ คงเคยได้ยินได้ฟังกันบ้าง ธรรมเหล่านี้มีแสดงไว้ในพระอภิธรรม คำสอนในเรื่องอริยสัจ ๔ นี้มีตัวอย่างเช่นทรงแสดงว่า จิต ๘๑ดวง เจตสิก ๕๑ และ รูป ๒๘ เป็นทุกข์ อันนี้ฟังดูก็เข้าใจได้ว่ารูปนาม ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ จิตที่เป็นทุกข์นั้น ท่านหมายความเฉพาะโลกียจิต ่ไม่ได้รวมมรรคจิต และผลจิตซึ่งเป็นโลกุตตรจิต เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดตามคำสอนเฉพาะในส่วนที่ว่าโลกียจิตเป็นทุกข์นั้น เมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ความเข้าใจที่ฝังรากลึกกันมาแล้วจะพบว่าเป็นสัจจธรรมที่สวนกระแสโลกอย่างมาก โลกียจิตในส่วนที่เป็นอกุศลนั้น เราย่อมเข้าใจได้ง่ายว่าเป็นทุกข์อย่างแน่นอน เช่น ความอยากได้สิ่งต่างๆ ทำให้จิตใจเร่าร้อนเป็นทุกข์ อันนี้เป็นความจริงที่สัมผัสได้ง่าย เรายอมรับยอมเข้าใจได้ง่าย
แต่โลกียจิตในส่วนที่เป็นกุศลนี่ซิ ข้าพเจ้าเองกว่าจะเข้าใจว่าเป็นทุกข์จริงๆ ก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกันที่จะเห็นได้ด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยความจำ หากข้าพเจ้าเดินไปบอกใครสักคนที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสถวายสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์ด้วยใจที่มีปีติในบุญอยู่ดีๆ แต่ข้าพเจ้ากลับสะกิดบอกเขาว่าความปีติในใจท่านน่ะเป็นทุกข์นะ เขาคงว่าข้าพเจ้าเสียสติ นี้แหละที่เรียกว่าสวนกระแส ทำอย่างไรจะให้เขาเห็นว่าปีติก็เป็นทุกข์ จิตที่เป็นโลกียกุศลทั้งหมดเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะไม่สามารถตั้งอยู่ได้ ต้องเสื่อมสิ้น แปรปรวน เปลี่ยนแปลงไป โดยที่เราไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เรียกว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
วิปัสสนาญาน พระอภิธรรมอธิบายลำดับขั้นของวิปัสสนาญานที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มจนถึงนิพพาน ก็ควรจะทราบไว้บ้างว่า ที่เรียกว่าวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นแล้วนั้นเป็นเช่นไร เรื่องวิปัสสนาญาณนี้ไม่ใช่แนวทางหรือวิธีการปฏิบัติ แต่เป็นผลของการปฏิบัติที่เกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัย จะบังคับให้เกิดไม่ได้ (ยิ่งบังคับหรืออยากให้เกิดก็จะไม่เกิด) ดังนั้นเมื่อเข้าใจแล้ว ก็วางเสีย ข้อสำคัญที่ควรระลึกเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณ คือ ทรงแสดงเรื่องวิปัสสนูปกิเลสอันทำให้วิปัสนนาเศร้าหมอง ไม่ก้าวหน้า เพื่อผู้ปฏิบัติจะได้เท่าทัน และปฏิบัติต่อไปได้โดยไม่ติดอยู่กับวิปัสสนูปกิเลส
ปฏิจจสมุปบาท ทรงแสดงไว้ว่า ธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ แล้วทรงแสดงถึงเหตุปัจจัยต่างๆ ของความเกิดดับทั้งหลาย ตลอดจนการทำเหตุให้ถูกต้องเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ เพื่อที่จะดับเหตุนั้นๆ ทำให้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
วิถีจิต ทรงแสดงวิถีของการเกิดดับของจิต ตั้งแต่ปฏิสนธิ จนถึงจุติ คือตาย
ในทางการแพทย์สามารถอธิบายได้เพียงว่าร่างกายมนุษย์นั้นปฏิสนธิเมื่อไร แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจิตของมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อใด เรื่องนี้ถามคุณหมอที่เรียนพระอภิธรรม ท่านก็ยังถึงกับอึ้งและไม่กล้าตอบแน่ชัด เพราะไม่มีสอนในโรงเรียนแพทย์ว่าจิตมนุษย์เกิดในวันไหน ตอนไหน หรือเกิดพร้อมร่างกายเมื่อปฏิสนธิ ถ้าจะตอบก็ด้วยการคาดคะเน แต่เรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณและทรงแสดงไว้อย่างละเอียด
อีกเรี่องหนึ่งที่ทรงแสดงไว้คือ ธรรมชาติของจิตที่ใกล้จะตาย เรื่องนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นที่สนใจมากในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มีหนังสือ มีบทความ มีการสอน มีคำถามมากมายเรื่องเกี่ยวกับจิตที่ใกล้จะตาย หรือจะรักษาจิตอย่างไรเมื่อใกล้จะตาย เรื่องนี้ก็ทรงแสดงไว้โดยละเอียด จึงควรศึกษาตรงจากคำสอนเรื่องมรณาสันนวิถี เป็นวิถีจิตที่ใกล้จะตายนิมิตในจิตก่อนตายดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้บ้าง จะเป็นประโยชน์มากในขณะที่มีชีวิตอยู่นี้โดยไม่ต้องรอตอนใกล้จะตาย ด้วยรื่องมรณาสันนวิถีนี่้ท่านทรงชี้ให้เห็นว่า
ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายที่ยังมิได้เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา พรหม หรือสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉานก็ตาม เมื่อใกล้จะตาย จะมีนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าในทวารใดทวารหนึ่งด้วยอำนาจของกรรมที่เคยทำไว้ก่อนหน้า นิมิตเหล่านี้เป็นเครื่องหมายที่จะนำไปเกิดใหม่ในทุคติภุมิ หรือสุขติภูมิ นิมิตมี ๓ คือ กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ และคตินิมิตอารมณ์ ดังนั้นหากเราได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนิมิตทั้ง ๓ ว่าเกิดขึ้นด้วยอำนาจของกรรม ก็จะทำให้เราหมั่นทำกรรมดีละเว้นการทำกรรมชั่ว
กรรม ศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรม และผลของกรรม ในพระอภิธรรมก็อธิบายเรื่องกรรมไว้มาก ทำให้เข้าใจว่าสัตว์ บุคุลที่เกิดมาล้วนแตกต่างกันตามอัตภาพที่ได้นั้นมีเหตุมาจากกรรมใด
ภพภูมิ ทำกรรมเช่นใดจะได้ไปเกิดในภพภูมิใดอย่างไร ภพภูมิใดที่ บุคคลเหล่าใดสามารถบรรลุธรรมได้ บุคคลเหล่าใดสามารถบรรลุธรรมได้บุคคลเหล่าใดจะกิดอีก และจะเกิดที่ใดอย่างไร บุคคลใดจะไม่เกิดอีก ่ และ หรือจะเวียนว่ายตายเกิดอีกกี่ชาติจึงจะเข้าถึงพระนิพพาน บุคคลเหล่าใดเกิดมาแล้วก็จักตายไปไม่สามรถบรรลุธรรมได้ เป็นต้น
อนึ่ง คำว่าบุคคลเหล่าใด มิได้หมายถึงบุคคลโดยสมมุติบัญญัติ แต่พระองค์ทรงแสดงสภาวะของบุคคลโดยปรมัตถ์ เช่นว่า ติเหตุกบุคคล คือบุคคลที่เกิดมาด้วยเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ บุคคลเหล่านี้เท่านั้นที่ีสามารถบรรลุธรรมได้ และจะเกิดในปัญจโวการภูมิ และอรูปภูมิเท่านั้น ดังนั้นพวกเราทั้งหลายที่ถือกำเนิดมาในโลกใบนี้ ก็นับว่าอยู่ในปัญจโวการภูมิ ท่านมิอาจทราบได้ว่าท่านเป็นติเหตุกบุคคลหรือไม่ จนกว่าท่านจะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม ติเหตุกบุคคลนั้น จะมีความแตกฉานในพระธรรมเนื่องด้วยได้เคยสะสมปัญญาบารมีทั้งปริยัติ ่และปฏิบัติมาหลายภพหลายชาติ เมื่อได้มาปฏิบัติในชาตินี้จนบารมีแก่กล้าก็จะสามารถบรรลุธรรมได้ ส่วนบุคคลที่เป็นทุคติอเหตุกบุคคล เช่นบุคคลที่เกิดมา หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เหล่านี้พระอภิธรรมสอนไว้ทั้งสิ้น
ทั้งหมดข้างต้นนี้เป็นการกล่าวโดยสังเขปว่าให้เห็นภาพว่าที่ว่าเรียนพระอภิธรรมนั้น เรียนอะไร และจะมีประโยชน์นำมาใช้ในการปฏิบัติโดยเฉพาะการเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างไร
นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังทรงแสดงหลักธรรมต่างๆ ไว้ในพระอภิธรรม
อันมีประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับการดำรงชีวิต ควรค่ากับการทำความเข้าใจ เช่น
อกุศลกรรมบท ๑๐ ซึ่งเป็นความชั่วที่ควรละเว้น เพราะอกุศลกรรมจะนำไปสู่การเกิดเป็น สัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ไม่ครบ ๓๒ ปัญญาอ่อน พิการเป็นต้น
กุศลกรรมบท ๑๐ ซึ่งเป็นหนทางแห่งการทำความดีเพื่อนำชีวิตไปสู่ความสุขความเจริญ
สังคหวัตถุ ๔ หลักธรรมอันเป็นเครื่อง ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจและสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
อิทธิบาท ๔ เป็นฐาน เป็นคุณอันวิเศษที่เกื้อหนุนให้ประสบความสำเร็จในกิจหรืองานต่างๆ
สัปปุริสธรรม ๗ หมายถึง ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดี ธรรมของผู้ดี
วิธีและอานิสสงค์ของการเจริญเมตตา
http://www.analaya.com/buddha-s-word-of-wisdom.html?start=3
พอเพียง มาก
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=550936348370825&id=100003633942410