ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2015, 03:25:03 pm »สัจธรรมของพระพุทธองค์ มิเคยแบ่งแยกใดๆ แต่ลัทธิศาสนากลับแบ่งแยกมนุษย์ออกเป็นฝักฝ่าย นักบวชเจ้าเล่ห์ จอมลวง ชั่วร้าย ลวงมนุษย์ลงเป็นทาส เพื่อทรัพย์และผลประโยชน์ทั้งหลาย ด้วยพิธีกรรม ความเชื่อ ความปรารถนา และความกลัว
..........
“สัจธรรมดุจดั่งความว่างเปล่า” แต่กลับถูกบรรจุและหุ้มห่อไปด้วย ตำรา และพิธีกรรมมายาทั้งปวง ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งชัดตรัสสอนว่า “ธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน เราเขา ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” แต่สาวกกลับพากันเพิกเฉย ดั่งนี้แล้วก็จะไปยึดอะไรเล่ากับ ลัทธิ พิธีกรรม เจ้าสำนัก และตำราทั้งหลาย
..........
ศาสนา มิใช่ พิธีกรรม ความเชื่อ การสวดอ้อนวอน ร้องขอ นั่นแสดงว่าตนยังพึ่งพาตนไม่ได้ ศาสนาที่แท้ย่อมนำพามนุษย์และสังคมไปสู่ความเจริญ รุ่งเรือง มั่นคง แต่ศาสนามัวเมาจอมปลอม ที่มาพร้อมนักบวชจอมลวง หลอกล่อให้งมงาย ย่อมพามนุษย์และสังคมไปสู่ความเสื่อม และความเป็นทาสปกครอง
..........
“ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน” เท่านั้น ที่จะนำพาสังคมไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน จงใคร่ครวญให้ดีว่า มีแต่ผู้ขอ แต่ไม่มีผู้ให้ มันไม่เกิดความสมดุล ซึ่งความสมดุลเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงอยู่ ของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม
Isara Tong กับ Devilgirl Suratthani
..
..
2.4.2561
จิตที่แบ่งแยก ตัดสิน ตีความนี้แหละ ที่ทำให้คุณดิ่งไปยังขั้วใดขั่วหนึ่ง
อย่างขั้วของความสุข และ ขั้วของความทุกข์
มิได้ดำรงอยู่ตรงกลาง และแล้วมันก็สร้างปัญหา และ ความทุกข์ขึ้น นี่แลคือแก่นแท้ของศาสนาทุกศาสนา
ไม่ใช่แต่เพียงศาสนาพุทธ ในภัควัทคีตา ศรีกฤษณะ กล่าวแก่นักรบอรชุนว่า
"อรชุน! จงมีปัญญาเป็นที่พึ่งเถิด บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญาย่อมมองเห็นว่า
ทั้งความดีและเลวล้วนแต่เป็นสิ่งที่พึงสละทิ้งทั้งสิ้น
ความยึดติดที่ผิดๆ ในตัวตนก็ขอให้ท่านละเสีย
จงวางใจให้เป็นกลางทั้งในความสำเร็จและล้มเหลวของชีวิต
ไม่หวั่นไหวในคราวประสบทุกข์และไม่กระหายอยากในการแสวงหาสุขอันจอมปลอมใส่ตน
คนเช่นนี้เป็นผู้ข้ามพ้นจากความดิ้นรนทะยานอยาก จิตใจเยือกเย็นมั่นคง ถ้าทำได้ดังที่ว่ามา ย่อมได้ชื่อว่า ปฏิบัติครบถ้วนสมบูรณ์ อรชุน! บุคคลผู้ละความทะยานอยากทั้งมวลในจิตใจได้ บุคคลที่มีลักษณะนี้ท่านเรียกว่าผู้มีปัญญา "
เมื่อใดที่คุณตัดสิน แบ่งแยกคุณก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของตัญหาของคุณ
คุณหลงไปยึดมั่นถือมั้น ในสายของปฏิจจสมุปบาท คุณจะเห็นได้ชัดว่าเมื่อใดก็ตามที่มีตัญหา
เมื่อนั้นก็มีความทุกข์ระทมเกิดขึ้นตามมาเหล่านี้หาได้แยกขาดจากกันไม่
..
..
2.4.2562
โศลกแห่งเมฆบ้า
ก่อนปฏิบัติธรรม
เห็นภูเขา เป็นภูเขา
เห็นแม่น้ำ เป็นแม่น้ำ
เมื่อเริ่มปฏิบัติธรรม
เห็นภูเขา ไม่ใช่ภูเขา
แม่น้ำ ไม่ใช่แม่น้ำ
หลังจากปฏิบัติธรรม
ก็เห็นภูเขา เป็นภูเขา
เห็นแม่น้ำ เป็นแม่น้ำ
เมื่อค้นหาเหตุเราก็จะเจอผล
ทุกข์ ก็เป็นผลที่เกิดมาจากเหตุ และ
ในเหตุและผลเหล่านั้น
ก็มีความดับอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว
ที่เราเรียกว่าความดับทุกข์
และในความดับทุกข์นี่เอง คือหนทางแห่งการออกจากความทุกข์
หากพูดหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเองว่า
หากมีหนทางแห่งความดับทุกข์
ก็ต้องมีการปฏิบัติเพื่อการออกจากทุกข์
แล้วทุกคนที่ปรารถนาจะออกจากทุกข์ ก็เร่งปฎิบัติ
ปฎิบัติตามหนทางที่ว่านั้น
แล้วอีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายปลายทาง
หากทุกคนผู้ที่ปราถนาจะออกจากทุกข์มีความคิดเห็นเช่นนี้เสียแล้วรับรองได้ ว่า จุดหมายปลายทางที่ว่านั้นก็ยังอยู่อีกไกล
และเชื่อว่าผู้นั้นก็ยังไม่เห็นหนทางอะไรเลย
ยังไม่ได้เสวยรสแห่งพระธรรมที่พระผู้มีภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เตสญฺ จ โย นิโรโธ จ
ความว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และเหตุแห่งความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
หากว่าเราเข้าใจความธรรมดาที่ว่านี้เสียแล้ว
ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีคำอธิบายอื่นอีกต่อไปแล้ว
นี่ยังเป็นเพียงการว่าด้วยเรื่อง
เมื่อยังเห็นว่ามี และสิ่งที่เห็นว่ามีนั้น
มันดับไปเป็นธรรมดาแต่เพียงเท่านั้น
แต่ความเข้าใจที่แท้จริง
นั้นมันเป็นความเข้าใจที่จบในธรรม
ไม่ต้องอาศัยการปรุงแต่งจาก สังขาร ธาตุขันธ์ แต่อย่างใดเลย
เป็นความเข้าใจที่เรียบง่าย
ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่วิเศษเลิศเลอแต่อย่างเลย
แต่ความเรียบง่ายที่ว่านี้แหละคือความวิเศษ ประเสริฐ
เพราะนั่น คือ ความพ้นจากทุกข์
ถึงแม้เราไม่ปรารถนา แต่สิ่งนี้ก็มีก็เป็นอยู่เช่นนั้น
แต่เป็นเพราะว่าเราหลงเข้าไปยึดทุกข์และสุข
หลงหมกมุ่นอยู่กับการปฎิบัติ
หลงอยู่กับวิธีที่เราสร้างขึ้นมา
หลงเข้าใจว่าเราเป็นสิ่งหนึ่งแยกจากธรรมชาติ
แต่นั่นก็เป็นความหลงผิดที่มีที่เป็นอยู่เองแล้วในธรรมชาติ
ไม่เป็นความผิดของใครเลย
ด้วยว่าเราก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่นี่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการของธรรมชาติทั้งสิ้น
เหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า
ก่อนที่เราจะเริ่มปฎิบัติธรรม
เราเห็นภูเขาเป็นภูเขา
เห็นแม่น้ำเป็นแม่น้ำ
เห็นธรรมชาติเป็นธรรมชาติ
หากแต่ว่าเรายังขาดความเข้าใจ
ทำให้เราหลงเข้าไปปฎิบัติ
และ เมื่อเราหลงเข้าไปปฏิบัติแล้ว
ภูเขาก็ไม่เป็นภูเขา
แม่น้ำก็ไม่เป็นแม่น้ำ
เมื่อเราเห็นตามความเป็นจริง
เมื่อนั้นเราก็จะเห็นภูเขาเป็นภูเขา
เห็นแม่น้ำเป็นแม่น้ำ
ธรรมชาติก็กลับเป็นธรรมชาติ
เมฆขาวพราวฟ้าบ้าคลั่ง
ละล่องลอยระรื่นไหลไอระเหย
ละล่องลิ้วพลิ้วแรงลมมาชมเชย
หยาดฝนเอยคือหยาดฟ้าน่าชื่นชม
fbณัฐนนท์ ระกำทอง