ตอบ

ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2015, 03:25:03 pm »



สัจธรรมของพระพุทธองค์ มิเคยแบ่งแยกใดๆ แต่ลัทธิศาสนากลับแบ่งแยกมนุษย์ออกเป็นฝักฝ่าย นักบวชเจ้าเล่ห์ จอมลวง ชั่วร้าย ลวงมนุษย์ลงเป็นทาส เพื่อทรัพย์และผลประโยชน์ทั้งหลาย ด้วยพิธีกรรม ความเชื่อ ความปรารถนา และความกลัว
..........
“สัจธรรมดุจดั่งความว่างเปล่า” แต่กลับถูกบรรจุและหุ้มห่อไปด้วย ตำรา และพิธีกรรมมายาทั้งปวง ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งชัดตรัสสอนว่า “ธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน เราเขา ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” แต่สาวกกลับพากันเพิกเฉย ดั่งนี้แล้วก็จะไปยึดอะไรเล่ากับ ลัทธิ พิธีกรรม เจ้าสำนัก และตำราทั้งหลาย
..........
ศาสนา มิใช่ พิธีกรรม ความเชื่อ การสวดอ้อนวอน ร้องขอ นั่นแสดงว่าตนยังพึ่งพาตนไม่ได้ ศาสนาที่แท้ย่อมนำพามนุษย์และสังคมไปสู่ความเจริญ รุ่งเรือง มั่นคง แต่ศาสนามัวเมาจอมปลอม ที่มาพร้อมนักบวชจอมลวง หลอกล่อให้งมงาย ย่อมพามนุษย์และสังคมไปสู่ความเสื่อม และความเป็นทาสปกครอง
..........
“ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน” เท่านั้น ที่จะนำพาสังคมไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน จงใคร่ครวญให้ดีว่า มีแต่ผู้ขอ แต่ไม่มีผู้ให้ มันไม่เกิดความสมดุล ซึ่งความสมดุลเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงอยู่ ของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม

Isara Tong กับ Devilgirl Suratthani


..
..
2.4.2561
จิตที่แบ่งแยก ตัดสิน ตีความนี้แหละ ที่ทำให้คุณดิ่งไปยังขั้วใดขั่วหนึ่ง
อย่างขั้วของความสุข และ ขั้วของความทุกข์
มิได้ดำรงอยู่ตรงกลาง และแล้วมันก็สร้างปัญหา และ ความทุกข์ขึ้น นี่แลคือแก่นแท้ของศาสนาทุกศาสนา
ไม่ใช่แต่เพียงศาสนาพุทธ ในภัควัทคีตา ศรีกฤษณะ กล่าวแก่นักรบอรชุนว่า

"อรชุน! จงมีปัญญาเป็นที่พึ่งเถิด บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญาย่อมมองเห็นว่า
ทั้งความดีและเลวล้วนแต่เป็นสิ่งที่พึงสละทิ้งทั้งสิ้น
ความยึดติดที่ผิดๆ ในตัวตนก็ขอให้ท่านละเสีย
จงวางใจให้เป็นกลางทั้งในความสำเร็จและล้มเหลวของชีวิต
ไม่หวั่นไหวในคราวประสบทุกข์และไม่กระหายอยากในการแสวงหาสุขอันจอมปลอมใส่ตน
คนเช่นนี้เป็นผู้ข้ามพ้นจากความดิ้นรนทะยานอยาก จิตใจเยือกเย็นมั่นคง ถ้าทำได้ดังที่ว่ามา ย่อมได้ชื่อว่า ปฏิบัติครบถ้วนสมบูรณ์ อรชุน! บุคคลผู้ละความทะยานอยากทั้งมวลในจิตใจได้ บุคคลที่มีลักษณะนี้ท่านเรียกว่าผู้มีปัญญา "

เมื่อใดที่คุณตัดสิน แบ่งแยกคุณก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของตัญหาของคุณ
คุณหลงไปยึดมั่นถือมั้น ในสายของปฏิจจสมุปบาท คุณจะเห็นได้ชัดว่าเมื่อใดก็ตามที่มีตัญหา
เมื่อนั้นก็มีความทุกข์ระทมเกิดขึ้นตามมาเหล่านี้หาได้แยกขาดจากกันไม่
..
..
2.4.2562
โศลกแห่งเมฆบ้า

ก่อนปฏิบัติธรรม
เห็นภูเขา เป็นภูเขา
เห็นแม่น้ำ เป็นแม่น้ำ

เมื่อเริ่มปฏิบัติธรรม
เห็นภูเขา ไม่ใช่ภูเขา
แม่น้ำ ไม่ใช่แม่น้ำ

หลังจากปฏิบัติธรรม
ก็เห็นภูเขา เป็นภูเขา
เห็นแม่น้ำ เป็นแม่น้ำ

เมื่อค้นหาเหตุเราก็จะเจอผล
ทุกข์ ก็เป็นผลที่เกิดมาจากเหตุ และ
ในเหตุและผลเหล่านั้น
ก็มีความดับอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว
ที่เราเรียกว่าความดับทุกข์
และในความดับทุกข์นี่เอง คือหนทางแห่งการออกจากความทุกข์
หากพูดหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเองว่า
หากมีหนทางแห่งความดับทุกข์
ก็ต้องมีการปฏิบัติเพื่อการออกจากทุกข์
แล้วทุกคนที่ปรารถนาจะออกจากทุกข์ ก็เร่งปฎิบัติ
ปฎิบัติตามหนทางที่ว่านั้น
แล้วอีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายปลายทาง
หากทุกคนผู้ที่ปราถนาจะออกจากทุกข์มีความคิดเห็นเช่นนี้เสียแล้วรับรองได้ ว่า จุดหมายปลายทางที่ว่านั้นก็ยังอยู่อีกไกล
และเชื่อว่าผู้นั้นก็ยังไม่เห็นหนทางอะไรเลย
ยังไม่ได้เสวยรสแห่งพระธรรมที่พระผู้มีภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เตสญฺ จ โย นิโรโธ จ
ความว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ
พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และเหตุแห่งความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา

หากว่าเราเข้าใจความธรรมดาที่ว่านี้เสียแล้ว
ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีคำอธิบายอื่นอีกต่อไปแล้ว
นี่ยังเป็นเพียงการว่าด้วยเรื่อง
เมื่อยังเห็นว่ามี และสิ่งที่เห็นว่ามีนั้น
มันดับไปเป็นธรรมดาแต่เพียงเท่านั้น

แต่ความเข้าใจที่แท้จริง
นั้นมันเป็นความเข้าใจที่จบในธรรม
ไม่ต้องอาศัยการปรุงแต่งจาก สังขาร ธาตุขันธ์ แต่อย่างใดเลย
เป็นความเข้าใจที่เรียบง่าย
ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่วิเศษเลิศเลอแต่อย่างเลย
แต่ความเรียบง่ายที่ว่านี้แหละคือความวิเศษ ประเสริฐ
เพราะนั่น คือ ความพ้นจากทุกข์
ถึงแม้เราไม่ปรารถนา แต่สิ่งนี้ก็มีก็เป็นอยู่เช่นนั้น
แต่เป็นเพราะว่าเราหลงเข้าไปยึดทุกข์และสุข
หลงหมกมุ่นอยู่กับการปฎิบัติ
หลงอยู่กับวิธีที่เราสร้างขึ้นมา
หลงเข้าใจว่าเราเป็นสิ่งหนึ่งแยกจากธรรมชาติ
แต่นั่นก็เป็นความหลงผิดที่มีที่เป็นอยู่เองแล้วในธรรมชาติ
ไม่เป็นความผิดของใครเลย
ด้วยว่าเราก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่นี่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการของธรรมชาติทั้งสิ้น
เหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า
ก่อนที่เราจะเริ่มปฎิบัติธรรม
เราเห็นภูเขาเป็นภูเขา
เห็นแม่น้ำเป็นแม่น้ำ
เห็นธรรมชาติเป็นธรรมชาติ

หากแต่ว่าเรายังขาดความเข้าใจ
ทำให้เราหลงเข้าไปปฎิบัติ
และ เมื่อเราหลงเข้าไปปฏิบัติแล้ว
ภูเขาก็ไม่เป็นภูเขา
แม่น้ำก็ไม่เป็นแม่น้ำ

เมื่อเราเห็นตามความเป็นจริง
เมื่อนั้นเราก็จะเห็นภูเขาเป็นภูเขา
เห็นแม่น้ำเป็นแม่น้ำ
ธรรมชาติก็กลับเป็นธรรมชาติ

เมฆขาวพราวฟ้าบ้าคลั่ง
ละล่องลอยระรื่นไหลไอระเหย
ละล่องลิ้วพลิ้วแรงลมมาชมเชย
หยาดฝนเอยคือหยาดฟ้าน่าชื่นชม

fbณัฐนนท์ ระกำทอง
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 20, 2014, 09:19:48 pm »



ในโลกใบนี้นั้น
ไม่มีศาสตร์ใดเลย ที่ไม่เป็น
"มายา"
ไม่ว่าจะเป็น...
โหราศาสตร์
เทวศาสตร์
หรือแม้แต่พุทธศาสตร์
ก็ไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่น ด้วยประการทั้งปวง

เราต่าง.. ติดกับดักของ.. ความคิด
ความคิด.. สร้างความมี.. ความไม่มี
ของทุกสรรพสิ่งขึ้นมา
จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อละครโรงใหญ่คือ "โลก"

นักแสดงส่วนใหญ่ ต่างหลง
เป็นตัวละครนั้นๆเสียเอง
จนลืม ตัวตนที่แท้จริงของตน
ยุ่งเหยิง...สับสน...วุ่นวาย ด้วยความหลง
ในบทบาทที่ไม่มีจริง

15 ธันวาคม 2557
..
..



แม้โลกนี้จะว่างเปล่า
แต่กรรมของสัตว์โลกนั้นก็มากมาย
จนแทบมิอาจบรรจุได้
กรรมนั้นเป็นแค่ภาพมายา

มูลเหตุของการเกิดกรรม เพราะสัตว์โลกไม่เข้าใจจิตตน
ต่างพากันสร้างเหตุซึ่งเป็นมายา
และรับผลแห่งความทุกข์ที่เป็นมายาด้วยเช่นกัน
วิบากกรรมจึงมาจากความว่างเปล่า
และเวทีที่เป็นสถานที่ชดใช้กรรม ที่สัตว์โลกต่างสถาปนาขึ้นมา
ก็คือ"โลก"นี่เอง

ผู้ใดที่เข้าใจว่า ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเกิดจากจิตตน
สร้าง.. ความมีอยู่ ความไม่มีอยู่ ขึ้นมา
และขันธ์ทั้ง5 นั้นว่าง
อายตนะ6 แต่เดิมมิได้มีอยู่จริง

การตกเป็นเหยื่อให้โลกพลิกหมุนตน
ก็จะกลายเป็นผู้พลิกหมุนโลกนั้นเสียเอง
การตระหนักรู้ว่า ธรรมทั้งปวง(ทุกสรรพสิ่ง) มิใช่ธรรม
หากเป็นเพียง "นาม" ที่เรียกว่าธรรมเท่านั้น
มายาที่จิตสร้างสลาย กรรมทั้งหลาย ก็จะสลายไปด้วย
นี่เป็นวิถีทาง "ทางเดียว"ที่จะชำระกรรม
..
..



มือ...ที่ยื่นไป ในสังสารวัฎ
ย่อมสะอาด และสกปรกเสมอ
หากแต่.. มือที่ "ว่างเปล่า"
ย่อมไร้สถานะ

‪#‎ขอบพระคุณเครดิตจาก‬ Xuar Bodhisattva#
Devilgirl Suratthani

7 ธันวาคม 2557
..
..



เพราะโลกนี้อุบัติด้วยจินตนาการ
และจินตนาการแต่ละคนต่างกัน มีทั้งสร้างสรรค์และทำลาย
พระศาสดาในทุกศาสนาจึงต้องมีจินตนาการที่กว้างใหญ่กว่า
ด้วยมุ่งหวัง ควบคุมให้เกิดสันติภาพ ของโลก
แต่...หากถามว่าศาสนาใดจริงใจที่สุด
ขอตอบว่า ศาสนาของพระศากยะมุนีพุทธเจ้า

ด้วยเป็นศาสนาเดียวในโลก ที่ให้อิสระและปลดปล่อย
อย่างแท้จริง
สอนไม่ให้ขึ้นตรงต่อพระเจ้า
สอนไม่ให้ขึ้นตรงต่อศาสดา
และสอน กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้เป็นคำพูดครูบาอาจารย์

ความจริงใจ และ ความเสียสละ 45 ปี
พระองค์ไม่เคยต้องการการบูชา
หากแต่ต้องการปลดปล่อย
ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้หนึ่ง ที่ยังจะยอมรับพระองค์เสมอ
ไม่ว่านิพพาน จะเป็นแค่...จินตนาการหรือไม่ก็ตาม

4 ธันวาคม 2557

..
..



คำว่า"สัมมาสัมโพธิ" เป็นนามสมมุติ
ใช้เรียก ภาวะ การเห็นแจ้งว่า
"ไม่มี ธรรม ใดเลย ที่ไม่เป็นโมฆะ"

สิ่งมีชีวิต และ สิ่งไม่มีชีวิตในจักรวาล
เป็นเพียง.. รูป และ นาม
ที่ใดมีรูป ที่นั้นย่อมมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั่นย่อมมีรูป
เมื่อรวมกันก็เป็นเหตุ
ให้เกิดปฏิกิริยา เปลี่ยนแปลง หมุนเวียน รอบตัวเอง
ตามเหตุปัจจัย
นั่นเป็นที่มาของกฎไตรลักษณ์
เกิดขึ้น..ตั้งอยู่...ดับไป เสมอตามธรรมชาติ

ถ้าเมื่อใด..ที่เราเข้าใจว่า
ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำคือ สิ่งเดียวกัน
ความยึดมั่นใน รูปธรรม... นามธรรม... ก็สลาย
ทุกสรรพสิ่ง ก็จะเป็นเพียง.. มายา ที่จิตขีดเขียนขึ้นมาทั้งสิ้น

เราคือท่าน....ท่านคือเรา
ตั้งแต่จักรวาล ดวงดาว ภูเขา ตลอดจนมาถึงเม็ดฝุ่น
ไม่มีสิ่งใดที่นอกเหนือไปจาก.....จิต

การยึดมั่นถือมั่น....ย่อมไม่ใช่"พุทธะ".
..
..



สังสารวัฎนี้... ยาวนาน และซับซ้อนยิ่งนัก
เมื่อสัญญาเดิมหวนคืน
ภาพที่เคยโลดแล่นท่ามกลางสายธาราก็อุบัติ
เนิ่นนานแห่งการบำเพ็ญเพียร ด้วยมุ่งหวังโพธิญาน
จวบจนเปลี่ยนภพภูมิ
ละทิ้ง กายพร้อมสมบัติส่วนตน ฝังมืดมนใต้บาดาล
สุดรัก...สุดอาลัย
หวนไห้..แต่มิอาจหวนคืน



ได้แต่ทอดถอนใจ....ทดท้อในการเวียนวน
ตระหนักเห็น ชาติภพเป็นเพียง...มายา!!!
เกิดมาทำไม ?? วันนี้ได้คำตอบ
เกิดมาในโลกใบนี้ เพื่อ "ทิ้ง" สถานเดียว

1 ธันวาคม 2557

Devilgirl Suratthani
https://www.facebook.com/Samanalayaa?fref=tl_fr_box&pnref=lhc.friends

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2014, 03:30:51 pm »



มันไม่ใช่ตรงที่จิตนิ่งหรือตรงจิตเคลื่อนไหว
จิตนิ่งก็ปล่อยของมันเอง จิตไม่นิ่งก็ปล่อยของมันเอง
ปล่อยให้ทุกสภาวะมันปรับเปลี่ยนกันเอง
ไม่ต้องหลงมีเราไปคอยเป็นผู้จัดการซ้อนธาตุขันธุ์
ก็จะตรงต่อธาตุที่ของมันอยู่เองเเล้ว หมดภาระอยู่เเล้ว..
..
..


มันไม่ใช่การตั้งเอากับสภาวะจิต
หรือจะมาคอยเห็นว่า......
จิตชนิดนี้จึงจะok จิตชนิดนั้นไม่ok
เเต่มันคือการนอกเหนือสภาวะจิตทุกชนิด
เเละปราศจากการเฉพาะเจาะจงตรงภาวะหนึ่งภาวะใด
3 มกราคม 2557
..
..


พยามทำจิตให้มันนิ่งให้มันสงบ........
มันก็จะมีเเต่ความขัดเเย้ง ขัดเเย้ง...และขัดเเย้ง.!!!
1 มีนาคม 2014
..
..


จิตดีก็ปล่อย..จิตไม่ดีก็ปล่อย
จิตสงบก็ปล่อย..จิตไม่สงบก็ปล่อย
จิตปรุงเเต่งก็ปล่อย..จิตไม่ปรุงเเต่งก็ปล่อย
จิตว่างก็ปล่อย..จิตไม่ว่างก็ปล่อย
ที่ว่าปล่อย..ก็คือปล่อยให้เป็นเรื่องของมันเอง..
จะจิตชนิดไหนก็ไม่ต้องให้ความสำคัญกับมัน..
มันก็จะนอกเหนือจิตทุกชนิดไปเอง
18 เมษายน 2014
..
..


จิตคิดจิตนึกมันคือความธรรมดาของจิต
การพยายามจะห้ามไม่ให้จิตคิด..
มันคือความผิดปกติของเธอ
จิตจะคิดหรือจิตจะไม่คิดก็ช่าง
ปล่อยให้มันผ่านมาเองเเละผ่านไปเอง
และมันก็ผ่านมาเองเเละผ่านไปเองอยู่เเล้ว
ไม่ต้องไปคอยแทรกแซงอะไรมัน
จบซะเองเลย วางซะเองเลย
ยุตติตัวจุ้นซะเองเลย...
..
..


ความอยากจะให้จิตสงบนี่เเหละ..
มันคือตัวไม่สงบซะเอง..
จิตสงบหรือจิตไม่สงบก็ช่างมันประไร.!!
ไม่ต้องหลงซ้อนอยากเข้าไปอีก
ไม่ต้องยอมรับหรือปฏิเสธจิตชนิดไหนทั้งนั้น
จะจิตสงบหรือจิตวุ่นวายก็อนิจจังเหมือนกันหมด...
19 เมษายน 2014
..
..


ชีวิตที่ผ่อนคลาย ไม่มากไปด้วยความจริงจัง
มันจะเป็นชีวิตที่ทุกข์น้อย ความคับเเค้นน้อย
ที่มันทุกข์น้อยลง ก็เพราะไม่หลงสร้างเหตุไปซะเอง
ดังนั้นความทุกข์ มันจะมากหรือจะน้อย..
มันจะขึ้นอยู่กับระดับความจริงจังของเรานั้นเอง
เกี่ยวข้องกับสิ่งใด ก็ไม่ต้องจริงจังอะไรจนเกินไป
เพราะความจิงจังเเท้จริงแล้ว มันก็คือสมุทัยนั่นเอง..
(สมุทัยก็คือ สาเหตุเเห่งความทุกข์)
24 เมษายน 2014
..
..


มัวเเต่ตระหนักถึงความว่าง...
ก็เลยไม่ว่างกันซักที...
25 เมษายน 2014
..
..


เมื่อไม่เอาจิตชนิดไหนเป็นประมาณ
ความขัดแย้งทั้งหลายที่เคยมีมา...
...มันก็สิ้นสุดลง..
26 เมษายน 2014
..
..


มีเเม่ชีเข้าไปหาหลวงพ่อเเล้วพูดว่า..
แม่ชี : หลวงพ่อคะ หนูเป็นคนที่หวั่นไหวกับคำพูดของคนอื่นมากเลยคะ..
หลวงพ่อ : ไม่ใช่มีเเต่ลูกหรอก"ที่หวั่นไหวกับคำพูดของคนอื่น
ใครๆเค้าก็หวั่นไหว กับคำพูดของคนอื่นกันทั้งนั้นเเหละ..
หลวงพ่อ ; แล้วลูกอยากรู้มั๊ยว่าทำไม ลูกต้องได้ยินเรื่องที่
มันทำให้ลูกต้องหวั่นไหวอยู่เรื่อย ๆๆ
แม่ชี : อยากรู้คะ..
หลวงพ่อ : มันเกิดจากกรรม ที่ลูกชอบพูดให้คนอื่นเค้าหวั่นไหวนั่นแหละ....
26 เมษายน 2014
..
..

โดเงน เซ็นจิ
supattro?hc_location=timeline
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2014, 01:20:07 pm »



นิพพานนั้น..เป็นเรื่องของการวางเรา หรือสลายเรา..,
ดังนั้น..จึงไม่มีเราเป็นผู้..เข้าถึงนิพพาน..!!!
25 ตุลาคม 2013
..
..


ความสุขปรากฎขึ้น เพื่อจบลง
ความทุกข์ปรากฎขึ้น เพื่อจบลง
ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้กฎของ อนิจจังด้วยกันหมด
ลดการคาดหวัง ลดการเอาเป็นเอาตาย
กับความสุขกับความทุกข์ลงบ้าง
ชีวิตก็จะ คล่องตัวขึ้น...
สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้..ไม่ต้องจริงจังอะไร ของชั่วคราว....!!!!
25 ตุลาคม 2013
..
..


การให้การสละนั้น ไม่ต้องมาคอยห่วง....,,
ว่าผู้รับจะมีศิลมากศิลน้อยขนาดไหน....
จะได้อานิสงมากน้อยขนาดไหน..ก็ไม่ต้องห่วง
เพราะการให้ ไม่ใช่การเอา..!!
เมื่อให้ก็จบตรงที่ให้ไปเลย..เป็นทานที่บริสุทธิ์หมดจด....
23 ตุลาคม 2013
..
..


จิตใจจะสงบ..หรือไม่สงบ..ก็ไม่ต้องเอา
นั่นแหละสงบแล้ว..สงบจากตัวจะเอา
ตัวจะเอาความสงบหน่ะ ..
มันคือความไม่สงบซะเอง..
23 กันยายน 2013
..
..
นิพพานไม่ใช่เรื่องของ เรา
เเละไม่ได้เกี่ยวกับ เรา เลยแม้แต่นิดเดียว.!!
เพียงแต่เมื่อ ยุติเรา หรือ วางเรา เมื่อไหร่นั่นแหละนิพพาน
มี เรา ทำอะไรเพื่อนิพพานเมื่อไหร่
กลายเป็นการบดบังนิพพานเมื่อนั้น
เรากับนิพพานเนี่ย มันเป็นของแสลงต่อกันอย่างมาก
เมื่อหมด เรา ที่จะดิ้นรนทำอะไรเพื่อนิพพาน
นั่นแหละจะตรงต่อพระนิพพาน
.......แท้จริงแล้วนิพพานไม่ได้ต้องการ เรา
มีแต่เรานั่นแหละที่ หลง ต้องการนิพพาน.......!!
ดังนั้นยุติเหตุ ก็คือยุติ เรา ที่จะเอานิพพานนั่นเอง..!!
10 กันยายน 2013
..
..


เย็นวันนี้ หลวงพ่อได้พูดถึง เรื่องไม่ต้องพยายามวาง
เเต่ให้วางความพยายาม
เเละให้เลิกหวังที่จะบรรลุธรรมยุติเป้าหมายทั้งหมด
แม้แต่การปล่อยก็ไม่ต้องไปคอยปล่อย
การคอยปล่อยมันยังเป็นเรื่องของตัณหา
5 กันยายน 2013
..
..
การที่เราไม่สามารถ หมดภาระหรือจบกิจได้นั้น
ทั้งๆที่การจบกิจนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย แต่เราก็ไม่แจ้งได้
ก็เพราะมันมีการถูกผลักดัน ด้วยเหตุอดีตที่เคยมุ่งหวังตั้งเอา
มาต่อภพต่อชาติต่อกันต่อกัปมา เรียกว่าตัณหาอยากบรรลุธรรม
มาชาตินี้ก็จะเอาอีก มุ่งจะบรรลุให้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องผิดธรรม
หลวงพ่อจึงให้ประกาศสละ เพื่อล้างเหตุคือตัวมุ่งหวังตั้งเอา
เมื่อตัวมุ่งลดลงหรือหมดไป ก็ไม่ต้องถามหานิพพาน
นิพพานเอง ซึ่งนิพพานนี้มันนิพานอยู่แล้ว
ที่มันรู้สึกว่าไม่นิพพานซักที ก็เพราะตัวมุ่งมันบัง ตัณหามันบัง
ดังนั้นเราก็ประกาศสละกันเรื่อยๆ ยุติเหตุทั้งอดีตเเละปัจุบันครับ
5 กันยายน 2013
..
..


คนที่1 ติดกรอบ ตอบไม่ถูก
คนที่2 พันผูก ทั้งซ้ายขวา
คนที่3 อยากออก บอกจะลา
คนที่4 ชื่นอุรา พานิพพาน
........คือ.ผู้หลุดพ้น..........
4 กันยายน 2013
..
..
มัวแต่อยากจะรู้แจ้ง ก็เพราะมันยังไม่แจ้งเรื่องความอยากรู้'!
31 สิงหาคม 2013
..
..
ปัญญาวิมุติ ก็คือวิมุติจากปัญญา ไม่ใช่ใช้ปัญญาแสวงหาวิมุติ
ปัญญาเป็นแค่การปรุงแต่งของขันธ์5
วิมุตินอกเหนือการปรุงแต่ง และนอกเหนือขันธ์ทั้ง5
ดังนั้นยิ่งใช้ปัญญาก็ยิ่งมุดยิ่งคุดยิ่งไม่หลุดจากจากตัวเอง

ปัญญาวิมุติก็คือหลุดพ้นจากปัญญา หลุดพ้นจากการปรุงแต่ง
การที่ไม่ต้องใช้สติปัญญาอะไรเลยนั่นแหละวิมุติตลอดกาล
30 สิงหาคม 2013
..
..

..
..
ความหมดจดกับความไม่หมดจด ก็เหมือนกันนั่นแหละ
มาจากตัวหลงมอง ถ้าไม่หลงมอง ไม่มีหรอกหมดจดไม่หมดจด
18 สิงหาคม 2013
..
..


ตราบใดที่เธอยังเปิดโอกาสให้กับคำว่ายังไม่บรรลุธรรม
กับบรรลุธรรมแล้ว มามีอิทธิพลกับเธอ
เธอก็จะถูกจองจำอยู่ในลูกกรง2เส้นอันแสนจะคับแคบและน่าอึดอัด
เธอควรที่จะลืมมันซะ2คำนี้ อย่าให้มันตามหลอกหลอนและรังควานเธอได้
เมื่อนั้นแหละภาระกองโตที่เธอหลงเเบกมาเป็นกัปๆก็จะสิ้นสุดลง THE END
17 สิงหาคม 2013
..
..

ไม่เอาแม้แต่การบรรลุธรรม
ภิกษุฮังฉิเป็นอาจารย์องค์หนึ่ง ในนิกายธยานะ ท่านได้ไปหาท่านสังฆปรินายก และได้ตั้งคำถามขึ้นว่า ผู้ปฏิบัติควรส่งจิตของตนพุ่งไปยังสิ่งใด อันจะทำให้การบรรลุธรรมของเขา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดได้ ด้วยเครื่องวัดคุณวิเศษ ตามที่คนทั่วไปเขารู้กัน สังฆปรินายกถามว่า: ก็ท่านกำลังปฏิบัติอยู่อย่างไรเล่า ภิกษุฮังฉิตอบว่า: แม้ธรรมคืออริยสัจ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสอนไว้ ข้าพเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นอะไร ที่จะต้องเข้าไปแตะต้องด้วย พระสังฆปรินายกถามต่อไปว่า: แล้วเดี๋ยวนี้ท่านอยู่ในคุณวิเศษชั้นไหนเล่า ภิกษุฮังฉิย้อนว่า: จะมีชั้นคุณวิเศษที่ไหนเล่า ในเมื่อข้าพเจ้าปฏิเสธที่จะเข้าเกี่ยวข้องด้วย แม้อริยสัจที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้สอนไว้ การตอบได้อย่างทันควันของภิกษุฮังฉิ ทำให้สังฆปรินายกเกิดความนับถือ ถึงกับยกเธอขึ้นเป็นหัวหน้าคณะ ท่านพูดกับภิกษุฮังฉิว่า ท่านควรไปประกาศธรรม ในท้องถิ่นของท่านเอง เพื่อที่คำสอนจะไม่ลับหายสิ้นสุดไป@ มันไม่ใช่การดิ้นรนอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปศึกษาแม้อริยะสัจ ก็ตรงต่อวางอยู่แล้ว ไม่เริ่มก็จบอยู่แล้ว เมื่อจับปลาได้แล้ว ลอบก็ไม่จำเป็น
14 สิงหาคม 2013
..
..


มีคำกล่าวว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติสมบูรณ์ตลอดเวลา
ก็เลยพากันเจริญสติกันใหญ่เลย หลงสร้างภาระขึ้น
จะทำอะไรต้องรู้ตัวตลอดเลย นั่งเฉยๆนอนเฉยๆก็คอยรู้อยู่นั่นดูอยู่นั่น
คุมตัวเองตลอดเลย เพราะตีไม่ถ่อง ถองไม่แตก เคี้ยวไม่แหลก
แล้วรีบแดกรีบกลืน พระอรหันต์มีสติก็ต่อเมื่อใช้ขันธ์ อัตโนมัติในการใช้
แต่ถ้าอยู่เฉยๆท่านก็ปล่อยว่างไป ไม่ใช่ตรงอะไรไป
พระอรหันต์ที่ไหนจะมาคอยคุมตัวเองตลอดเวลา เป็นภาระตายเลย
ถ้าอยากเป็นอย่างท่านก็เลิกซิ เลิกแล้วจบ@
22 มิถุนายน 2013
..
..
คำว่าบรรลุมันเป็นดั่งคำลวง เป็นเหมือนการสับขาหลอกให้เราหลงทาง
เราเลยมุ่งพยามกันทุกวิถีทางเพื่อที่จะบรรลุ
แล้วก็ได้แห้วไปรับประทานกันทุกคน@
แต่แท้จริงแล้ว มันเป็นการสิ้นสุดความปราถนาที่จะบรรลุอะไรต่างหาก. "
21 มิถุนายน 2013
..
..
โลกียะมาจากการสร้างเหตุ แล้วเสวยผล หรือชัดชัด
ทำกรรมแล้วรับผลกรรม สติ สมาธิ ฌาน ญาณ ปัญญา
เป็นเรื่องของโลกียะทั้งหมด เพราะมาจากการกระทำ
@ แต่อริยะมาจากการทิ้งเหตุ แล้วอริยะผล ชัดชัด การที่
ไม่หลงดิ้นรนอะไร
มันก็ทิ้งเหตุเรียบร้อยแล้ว มันไม่หลงเจริญตัณหา ก็จบเหตุ.
21 มิถุนายน 2013
..
..
นิพพานไม่เนื่องด้วยเหตุปัจจัย แล้วจะเอาเหตุปัจจัย
และวิธีการปฏิบัติต่างๆเพื่อเข้าถึงนิพพานได้ไง?
มันเป็นการเปล่าประโยชน์โมฆะสิ้นดี เหนื่อยไป ใครเหนื่อยไปมัน
ผิดหวังไปตามตามกัน ผิดหวังเพราะหวังผิด
นิพพานเป็นเรื่องของการยุติเหตุไม่สร้างเหตุ จบเหตุ
ลองเลิกกันดูบ้างซิ พระอานนท์บรรลุก็เพราะเลิกนา"
21 มิถุนายน 2013
..
..
สติเป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นมาและอนิจจังเปลี่ยนแปลงตลอด
แล้วจะเอาสติมารักษาจิตได้ไง ในเมื่อตัวสติยังรักษาตัวเองไว้ไม่ได้เลย
เดี๋ยวก็มีสติเดี๋ยวก็ขาดสติ จิตก็อนิจจัง สติก็อนิจจัง
กลายเป็นอนิจจังตามรักษาอนิจจัง @ดังนั้นจะจิตแบบไหนก็ช่างไปเลย
15 มิถุนายน 2013
..
..

..
..
เลิกตั้งเอา
กิเลสกับนิพพานคือสิ่งเดียวกัน คือไม่ใช่สิ่งที่เราจะเลือกเอา
มันเป็นการนอกเหนือการยอมรับเเละปฏิเสธ ไร้การเจาะจง พ้นจากเจตนา
ถ้าเธอมุ่งแต่นิพพาน ธาตุขันธ์จะมีแต่ความขัดแย้งในตัวมันเอง
จนกว่าเธอจะเลิกเจาะจง ไม่แบบไหนกับธาตุขันธ์
ว่า.. ต้องอย่างไรถึงใช่ อย่างไรถึงไม่ใช่ ยกเลิกก็จบ

11 มิถุนายน 2013
..
..
ความสงบเเท้จริงนั้น..
มันไร้พันธนาการ ไร้เงื่อนไข
ไร้ขอบเขต ไร้การเฉพาะเจาะจง
เข้าถึงไม่ได้ด้วยการใช้เจตนา
และไม่เกี่ยวกับจิตชนิดหนึ่งชนิดใดเลย..
โดเงน เซ็นจิ
30 เมษายน
..
..
พยายามรักษาจิตเอาไว้ให้ดี
มันก็จะอยู่เเค่จิตผ่องใสเเละเศร้าหมอง
เดี๋ยวก็ผ่องใสเดี๋ยวก็เศร้าหมอง
เพราะจิตอนิจจังมันไม่อยู่ให้เรารักษาหรอก
จนกว่าจะปล่อย..
มันก็จะเลิกผ่องใสเลิกเศร้าหมองไปเอง
ยิ่งกว่าจิตยิ่งกว่าอารมณ์ไปเอง..!



โดเงน เซ็นจิ
12 พฤษภาคม
— กับ สรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตน แล้วจะไปทำลายตัวตนจากไหนเล่า
https://www.facebook.com/supattro?hc_location=timeline
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2014, 01:12:07 pm »



สภาวะจิตเเบบไหนก็ไม่ต้องดิ้นรน
ซ้อนเข้าไป ปล่อยให้มันอิสระธาตุอิสระขันธ์กันเต็มที่ไปเลย
ไม่ต้องคอยผูกคอยเเก้อะไรมันทั้งนั้น ปล่อยให้ทุกสภาวะจิตปรับเปลี่ยนกันเอง
จบกันเองในสภาพของมันเอง
ไม่ต้องหลงมีเราจอมปลอมไปคอยเป็นผู้จัดการ
ไร้เราท่ามกลางไปเลย อิสระจากเราที่ไปคอยเป็นเจ้าข้าวเจ้าของสภาวะจิต..
..
..
จะเอาหลุดจะเอาพ้น
ก็เลยไม่พ้นจากตัวจะเอาซักที..!!!
หลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้น ก็ไม่ต้องเลือกเอา
จะเอาหลุดจะเอาพ้นนี่ มันเป็นตัณหาดิ้นรน
ไม่ต้องดิ้น..ยิ่งดิ้นยิ่งติด ยิ่งดิ้นยิ่งอัตตา
30 ธันวาคม 2013
..
..

..
..
มันไม่เกี่ยวกับว่า จิตจะคิดหรือจิตจะไม่คิด
มันไม่ใช่การปฏิเสธความคิดเเล้วเลือกเอาการหยุดคิด
มันเป็นการนอกเหนือจิต ดังนั้นมันก็พ้นจากคิดไม่คิดด้วย
ความคิดจะมีหรือความคิดจะไม่มี ก็ไม่เกี่ยว
ความว่างนี้ มันว่างจากตัณหาคอยเลือก..
มันว่างจากการยอมรับ.เเละว่างจากการปฏิเสธ..
21 ธันวาคม 2013
..
..


ว่างเเบบอรูปพรหมต่างจากว่างของนิพพาน
ก็ตรงที่อรูปพรหมมีตัวเองแช่อยู่ในภาวะว่าง
หรือเรียกว่ามีตัวเองเเช่อยู่ในสภาวะจิต
ส่วนนิพพานไม่เกี่ยวกับจิต เเละไม่เกี่ยวกับตัวเอง
ไม่ใช่รูป ลักษณะ สภาวะ อาการ ไม่จัดว่าเป็นอะไร..
19 ธันวาคม 2013
..
..


สงบจากการเเสวงหา
ไม่ใช่มัวเเต่เเสวงหาความสงบ
การเเสวงหามันไม่พาสงบหรอก
การเเสวงหามันจะพาดิ้นรน
ยิ่งหายิ่งเป็นตัณหา..
15 ธันวาคม 2013
..
..
ความผันผวนเเปรเปลี่ยนนี่เเหละ
มันคือธรรมชาติธรรมดาเเห่งจิต
การเอะอ่ะลังเลวิภาควิจารณ์สภาวะจิตนั่นเเหละ''
มันคือความผิดปรกติจากธรรมชาติธรรมดาซะเอง
มันคือการไม่ยอมจบซะเอง..
จะจิตเเบบไหน ก็ไม่ต้องไปวิจารณ์มัน
จบตัวเองซะเอง...
11 ธันวาคม 2013
..
..
ธรรมชาตินี้เอง ย่อมดับในธรรมชาตินี้เอง
อารมณ์นี้เอง ย่อมดับในอารมณ์นี้เอง
ภาวะมันเอง ย่อมดับในภาวะมันเอง
ตัวมันเอง ย่อมดับในตัวมันเอง
การดับกิเลส ไม่สำเร็จด้วยการดิ้นรนไปดับมัน
เเต่หมายถึง ยุติความหลงตัวเข้าไปดับมัน
นี้เรียกว่า ดับความหลงสำคัญตัว..
..
..
นิพพานนั้นมันไม่ใช่การเอาชนะจิตใจ
เเต่มันคือการนอกเหนือจิตใจ
จะจิตเเบบไหนก็ไม่มีการข้องเกี่ยว..!!!!
10 ธันวาคม 2013
..
..
ความบริสุทธิ์ดั้งเดิมแท้นั้น
มันไม่ใช่ตรงจิตชนิดไหนทั้งนั้น
10 ธันวาคม 2013
..
..


พักการอุปโลกตัวเองบ้าง
ไม่ต้องมัวจริงจังกับอะไร
ไม่ต้องจริงจังในการใช้ธาตุใช้ขันธ์
ไม่ต้องจริงจังในการใช้รู้ใช้เห็น
เรียกว่าเป็นการพักผ่อนทางจิตวิญญาณ
ตื่นอยู่ก็เหมือนนอนหลับ
มันเป็นการพักผ่อนไปในตัว
ธาตุขันธ์ไม่ถูกกดดันจากตัวคอยจริงจัง...
3 ธันวาคม 2013
..
..
นิพพานนั้น จะมามัวใช้การทำเอา
หรือปฏิบัติเอาไม่ได้ ยิ่งทำเอายิ่งห่างไกลนิพพาน
เพราะมันเป็นเรื่องของตัณหาทั้งขบวนการ
จุดอ่อนของผู้บำเพ็ญ ก็ตรงที่ใช้...
ความอยากได้อยากมีอยากเป็นกับนิพพานนี่เเหละ
เลยไม่นิพพานซักที.....!!
ไม่ต้องตั้งเอาอะไร..เเม้แต่นิพพานก็ไม่ต้อง..!!!'
ไม่ตั้งเอานิพพาน.. ก็จะตรงต่อนิพานอยู่เเล้วทันที..
3 ธันวาคม 2013
..
..


สุขก็สุขไม่จริง ทุกข์ก็ทุกข์ไม่จริง
มีเต่อนิจจังนั่นแหละจริง
ให้พร้อมเสมอกับการปรับเปลี่ยน
ไร้เงื่อนไขกับทุกสถานะการณ์
15 พฤศจิกายน 2013
..
..


หลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้นก็ไม่ต้องเอา.."
ถ้าเอาก็ไม่หลุด..
14 พฤศจิกายน 2013
..
..
จะเอาหลุดเอาพ้น..มันไม่หลุดไม่พ้นหรอก..''
เพราะความหลุดความพ้น..มันพ้นจากตัวจะเอา.
8 พฤศจิกายน 2013
..
..
ไม่ต้องเอาจิตชนิดไหนมาเป็นเครื่องอยู่
จิตบริสุทธิ์ จิตไม่บริสุทธิ์ก็ไม่ต้องเอา
เพราะตัวจะเอา คือตัวไม่บริสุทธิ์ซะเอง...
7 พฤศจิกายน 2013
..
..


มันไม่ใช่การพัฒนาจิตให้ผ่องใส
เเล้วก็อยู่กับจิตที่ผ่องใสนั้น..
แม้จิตที่ผ่องใสนั้น..ก็ไม่ใช่
สิ่งที่ควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
จิตผ่องใสได้..จิตก็เศร้าหมองได้
สลายการคอยเลือก..คอยเจาะจง"
จะจิตชนิดไหน..ก็ไม่ต้องเอา...!!!
ไม่ต้องคอยอยู่กับจิตชนิดไหนทั้งนั้น..
4 พฤศจิกายน 2013
..
..


มันไม่ใช่การเข้าถึงสัจธรรม
แต่มันคือธรรมโดยธรรมอยู่เองแล้ว..
เพียงยุติอัตตา..ที่พยายามจะเข้าถึงธรรม
มันก็จะตรงต่อว่างอยู่แล้วทันที..ไร้ผู้เข้าถึงธรรม
และไม่มีธรรมที่ถูกเข้าถึง...
4 พฤศจิกายน 2013
..
..


........ไม่ต้องวิตกกังวลกับสภาวะจิตชนิดไหนทั้งนั้น
....ทุกสภาวะจิตอนิจจังเหมือนกันหมด....
............ไม่ต้องคอยปล่อยคอยวางอะไรให้เมื่อย....
......ทุกสภาวะมันปล่อยวางกันเองอยู่แล้วของมันเอง..
2 พฤศจิกายน 2013
..
..


ในเเต่ละวัน..เราใช้กาย..ใช้วาจา..ใช้จิตใจ..
ขับเคลื่อนธาตุขันธุ์ ทำการงาน ก็ย่อมเกิดการ
กระทบกระทั่ง..กับบุคลรอบข้าง.สรรพชีวีตรอบข้าง
น้อมสำนึก และก็ขออโหสิกรรม ในทุกกรณีกรรม
ที่ประมาทพลาดพลั้งไป ทุกสิ่งทุกอย่าง อโหสิ อโหสิ อโหสิ
29 ตุลาคม 2013
..
..


ยืนแล้วๆไป..เดินก็แล้วๆไป นั่งก็แล้วๆไป
นอนก็แล้วๆไป จิตมันคิดมันนึกก็แล้วๆไป
รู้ก็แล้วๆไป..เห็นก็แล้วๆไป...
มันแล้วๆไป..ของมันเองอยู่แล้วทุกเรื่อง
เรียกว่า..มันสักแต่ว่า.,อยู่แล้วทุกเรื่อง
ไม่ต้องหลงมีเรา..ไปคอยสักแต่ว่า..!!!!
29 ตุลาคม 2013
..
..
การเสียสละ..เป็นการทำให้..ไม่ใช่ทำเอา
ถ้าการเสียสละ..เป็นการหวังผลจากการเสียสละ
หรือหวังผลจากบุญ..ทีตนได้ทำจนเกินไป
มันก็ไม่ต่างจาก..แม่ค้าที่คิดว่า
ลงทุนเท่านี้..ต้องได้กำไรเท่านั้น
การเสียสละ..ไม่ใช่การค้า..สละแล้วๆไป..!!
27 ตุลาคม 2013
..
..
บรรลุธรรม ไม่บรรลุธรรม..มันเป็นเพียงทิฏฐิคู่
เป็นเพียงความเห็นคู่..ความหมายคู่
สละเลย..ไม่ใช่ตรงที่บรรลุหรือไม่บรรลุ
หมดห่วงหมดภาระไปเลย....
27 ตุลาคม 2013
..
..


สภาวะอารมณ์ มันเป็นของปรับเปลี่ยน
มันจบตัวมันเองอยู่แล้ว ทุกๆอารมรมณ์
มันผ่านมาเอง แล้วก็ผ่านไปเองอยู่แล้ว
ไม่ต้อง มาคอยคิดหนี คิดสู้อะไรกับมัน
ยอมไร้ตัวเอง ท่ามกลางนั้นแหละ..!
ไม่ต้องคิดผูกคิดแก้อะไร..ให้มันต้องขวางทางอนิจจัง
นี่แหละ..เนื้อหา ไม่ข้อง ไม่คา ไม่ติด ไม่ขัด อยู่แล้ว..!!!!
27 ตุลาคม 2013
..
..
ไม่ใช่ละอวิชชา แล้วมาคว้าเอาวิชชา
ละความหลง แล้วมาเอาความไม่หลง
สละหมดหน้าตักไปเลย..หลงไม่หลงไม่ต้องเอา
มันจะได้ไร้ร่องรอย..ของตัณหาที่คอยยึดคอยเกาะ..!!!!
26 ตุลาคม 2013
โดเงน เซ็นจิ
— กับ สรรพสิ่งล้วนไม่มีตัวตน แล้วจะไปทำลายตัวตนจากไหนเล่า
..
..
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 17, 2014, 09:19:39 pm »




ทางดีไม่มีคนเดิน

โสณทัณฑะ เป็นชื่อพราหมณ์ท่านหนึ่งซึ่งเย่อหยิ่งทะนงตนในความเป็นพราหมณ์ อีกทั้งยังครองตนอยู่ในลาภยศสรรเสริญที่ได้จากพระราชาและชาวบ้าน ต่อเมื่อพระพุทธองค์กระตุ้นให้พิจารณาด้วยตนเองว่า คุณสมบัติที่แท้ของความเป็นพราหมณ์คืออะไร โดยไล่เรียงไปตามลำดับ แล้วตัดออกไปทีละข้อ ๆ จากชาติกำเนิด การศึกษา รูปงาม จนเหลือแต่ศีลและปัญญา ซึ่งไม่อาจจะตัดข้อหนึ่งข้อใดออกไปได้ เนื่องจากทั้งสองอย่างนี้ต้องอาศัยกันและกันฯ

ต่อเมื่อโสณทัณฑะเห็นชัดว่าอะไรคือแก่นสาร อะไรคือกระพี้ พุทธองค์ก็ชี้ให้เห็นต่อไปอีกว่า ทางที่พระองค์เดินเป็นอย่างไรและนำไปสู่ตรงไหน แต่โสณทัณฑพราหมณ์ แม้จะเห็นดีเห็นงามไปกับพระพุทธองค์ทุกประการ จนไม่มีคำถามและข้อโต้แย้งใดๆ แต่ก็ไม่ประสงค์เดินทางที่พระองค์ทรงชี้ให้ เนื่องจากเห็นว่าลาภยศสรรเสริญสำคัญกว่าสิ่งใด จึงขอเดินตามทางของตนต่อไป มิหนำซ้ำยังกราบทูลให้พระพุทธองค์ทราบอีกว่า ตนจะขอทำความเคารพพระพุทธองค์ในท่ามกลางคนหมู่มากด้วยวิธีการอื่นที่ไม่ใช่การกราบไหว้ เนื่องจากจะทำให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาตนอีกด้วย

ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นตัวตนของคนจำนวนไม่น้อยในปัจจุบัน ทั้งที่เดินทางและกำลังเดินทางอย่างโสณทัณฑพราหมณ์ โดยเห็นลาภยศสรรเสริญเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิต จนลืมคิดไปว่ายังมีความสุขอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่ต้องอาศัยอามิส (การบูชาด้วยการแสดงความเคารพนับถือ หรือการนำสิ่งของไปสักการะไปบูชา) หรืออาศัยอามิสแต่น้อย ในการยังชีพแห่งตน

บุคคลที่เลือกเดินทางเช่นนี้ ขณะที่มีชีวิตอยู่ก็จะตะเกียกตะกายหาเงินหาทองให้ได้มากๆ โดยคิดว่าปั้นปลายชีวิตจะได้สุขสบายแต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึง ส่วนคนที่ไปถึง ก็รู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่าไร้จุดหมาย จนต้องใช้เงินซื้อหาความสุขทางใจในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิต ซึ่งก็เดินทางผิดอีกเช่นกัน

ด้วยเหตุดังนั้น ถ้าเราไม่ต้องการเดินทางตามโสณทัณฑพราหมณ์ หรือเดินตามโสณทัณฑพราหมณ์ แต่กอปรไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมะ” อยู่เต็มหัวใจคล้ายกับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ควรใช้วิถีแห่งปัญญาในการพิจารณาแยกแยะให้ตลอดสาย มีกัลยาณมิตร และมีศรัทธาอย่างยิ่งยวดที่จะค้นหาแก่นและกระพี้ ก็เชื่อแน่ว่าเราจะไม่เดินหลงทางอีกต่อไป ทางดีที่ไม่มีคนเดิน หรือมีคนเดินกันน้อยก็จะค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นไปเรื่อยๆ

สถาบันอ้อผะหญา
___________________
ที่มา: ทางดีไม่มีคนเดิน
>>> F/B Sathid Tongrak
3 พฤศจิกายน 2013


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 20, 2013, 12:02:34 am »



ไปดูมะพร้าวนาฬิเกร์กลางทะเลขี้ผึ้ง ที่นั่นมันว่างจากบุญและบาป กุศลและอกุศล ซึ่งเป็นทะเลขี้ผึ้ง โผล่ขึ้นพ้นทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้องฟ้าร้องไม่ถึง นี่ก็มีความหมายอย่างเดียวกันแหละ จะเรียกชื่อว่า นิพพานก็ได้ จะเรียกชื่อว่า อสังขตธรรมก็ได้ จะเรียกชื่อว่าอมตธรรม ก็ได้ แล้วแต่เถอะ มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนืออำนาจการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง ไม่มีเหตุปัจจัยอะไร อีกต่อไป

เดี๋ยวนี้เราก็ไม่อาศัยเหตุปัจจัยอะไรอีกต่อไป ไม่ยุ่งกับเหตุปัจจัยอะไรต่อไป หย่าขาดจากเหตุปัจจัย ทั้งหลาย ทั้งปวงทั้งสิ้นนี่คือ "อตัมมยตา" ถ้าสงสารผู้พูดว่า เหนื่อยเกือบตายแล้ว ก็ช่วยจำไว้ให้ได้ และก็เอาไปใช้ ให้เป็นประโยชน์ให้ได้ ทีละนิด ทีละนิด ไว้ตวาด ตวาดสิ่งที่จะไปหลงรักมัน ไปหลงยึดมั่นถือมั่นกับมัน จนหัวอกเป็นหนอง

หมายเหตุ "สังขตะ" แปลว่า มีเหตุปัจจัยผสมปรุงแต่งให้มีขึ้น
ที่มา มาฆบูชาเทศนา ปี ๒๕๓๑

ฟังเพลงมะพร้าวนาฬิเกร์ โดย จีวันแบนด์ และเสียงขับร้องแบบพื้นบ้าน
โดยชาวบ้าน จ.สุราษฎร์ธานี (ตอนท้าย)
มะพร้าวนาฬิเกร์



Credit by  “สะพานศิลป์สู่ถิ่นนิพพาน”
นำมาแบ่งปันโดย >>> Isara Tong >> F/B กลุ่ม ธรรมดีที่น่าทำ
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 19, 2013, 11:55:04 pm »




ทุกค่ำคืน คนๆหนึ่งมีพุทธะอยู่ในอ้อมแขนขณะนอนหลับ
ทุกเช้าตรู่เมื่อลืมตาตื่น พุทธะก็ยังอยู่กับคนๆนั้น
ไม่ว่าลุกยืน นั่งลง หรือสนทนา ทั้งสองอยู่ที่เดียวกัน
และไม่เคยแยกจากกันสักขณะจิต
จงอย่ามองพุทธะนอกตัวเลย
พระพุทธะนั้น พำนักอยู่ในตัวท่านเองนั่นแหละ
.......ภาษิต เซน.....



ภายในตัวท่านคือการบรรจบกันระหว่างโลกกับนิพพาน
ระหว่างสิ่งที่จับต้องได้กับสิ่งที่จับต้องมิได้
ท่านเป็นทั้งจุดบรรจบ และเป็นทั้งจุดตัด
ท่านคือจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกกับธรรม
แต่แท้ที่จริง...มันคือจุดเดียวกัน



ไม่ต้องหนีโลก และไม่ต้องแบ่งแยกธรรม
แต่จงทำหน้าที่แห่งตน ที่มีต่อทุกรูป ทุกนาม
"ให้สมบูรณ์ที่สุด"
*******************




เราปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพุทธะที่มีชีวิต ไม่ใช่เป็นพุทธะที่ตายแล้ว
กลายเป็น ทองไม้ดินหรือหิน แล้วจะเป็นพุทธะอย่างไร
ไม่สามารถฉุดช่วยผู้คน แล้วจะมีประโยชน์อะไร
....................ท่านเว่ยหล่าง...................



ไม่จำเป็นต้องไปดับความคิด ไม่มีความคิดแล้วจะไปทำอะไรได้
หากไม่มีความคิดก็เหมือนกับก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง
เหมือนกับเวลาที่เราแสดงธรรมหรือฟังธรรมต้องใช้ความคิดร่วมด้วย
แม้มีความคิดแต่ไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์นั้น ก็เหมือนกับไม่มีความคิด

ส่วนต้นโพธิ์นั้นแสดงถึงจิตเดิมแท้ของพุทธะ
ไม่เพิ่มไม่ลด ไม่เกิดไม่ดับ
แม้จะปฏิบัติธรรมจนเป็นพุทธะแล้ว ก็ไม่ได้เพิ่มอะไรแม้แต่นิดเดียว
แล้วจะมีอะไรเติบโตได้อย่างไร
***************************



โดย: Devilgirl Suratthani
นำมาแบ่งปันโดย >>> Isara Tong >> F/B กลุ่ม ธรรมดีที่น่าทำ
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 19, 2013, 11:24:16 pm »




ทุกศาสนา คือศาสนาเดียวกัน ทุกชีวิต คือเพื่อนร่วมทุกข์
***************




พระเจ้า คือ ผู้สร้างและผู้ทำลาย...
พระเจ้ามีองค์เดียว เราเรียกว่า...
ธรรมชาติสรรค์สร้าง...

ทุกชีวิต คือ พระเจ้า เมื่อสรรค์สร้างด้านดี
ทุกชีวิต คือ พระเจ้า เมื่อมุ่งสร้างด้านชั่ว
ทุกชีวิต จะเข้าสู่ดินแดนของพระเจ้า เมื่อดีก็ไม่เอาชั่วก็ไม่เอา

แท้จริงแล้วทุกชีวิตที่เวียนว่าย คือ..
พระเจ้าผู้กำหนดความเป็นมาเป็นไปของโลกนี้นั่นเอง
**********************




การยึดติดความสมบูรณ์นั้น เป็นอาการของโรคประสาทชนิดหนึ่ง
สรรพสิ่งล้วนเป็นอย่างที่เป็นอยู่

ไม่มีดี ไม่มีเลว
ต้นไม้บางต้นสูง บางต้นต่ำ
บางคนมีศีลธรรม บางคนไม่มี
บางคนกำลังสวดมนต์ และบางคนกำลังลักขโมย

แท้จริง ... มันคือวิถีทาง อิงอาศัยของทุกสรรพสิ่ง
อย่าจองจำ ตนเอง ไว้กับสมมุติบัญญัติที่สร้างขึ้นจากมายา

อย่าตัดสิน ...
เพียงแค่เข้าใจและยอมรับก็พอ !!!
*****************************




ศูนย์ คือ สมดุล สมบูรณภาพ ของสรรพสิ่ง
องค์พุทธะนำสัจธรรมแห่งธรรมชาติมาบอกกล่าว

หากท่านหลงเกินศูนย์ เป็นหนึ่งหรือมากกว่าสิบ
ก็ย้อนกลับเสีย สู่สมดุลภาพ
หากท่านยังติดลบหนึ่งหรือมากกว่าลบสิบ
ก็ศึกษาเสียให้กระจ่าง สู่สมดุลภาพ

อิสระภาพดังเดิม เป็นเช่นนั้น อยู่อย่างนั้น กัลปาวสาน...!!!
ขอบคุณ...คุณ Krabi TourGuide
*************************




พระพุทธะ มิได้ตรัสรู้อะไร ที่เธอรู้ ที่จำไว้
คือความลวง ...
สัจจะธรรมอันโชติช่วง มันพ้นไปจาก ...
ความคิด ความรู้ ผู้รู้ และความจำ
*******************************




ทะเลมิเคยปราศจากคลื่น เช่นเดียวกับความคิดไม่มีวันหยุด
“อาศัยคลื่นเข้าใจทะเล อาศัยความคิด เข้าใจสิ่งที่พ้นไปจากความคิด”

... เธอกำลังคิดอยู่ในทุกขณะ กำลังให้ค่าความหมายอยู่ในทุกขณะ รู้หรือไม่ ?
ดังนั้นจงตระหนักรู้
****************************



โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
นำมาแบ่งปันโดย >>> Isara Tong >> F/B กลุ่ม ธรรมดีที่น่าทำ
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มิถุนายน 27, 2013, 12:15:26 am »





กล่าวได้ว่า...เมื่อเข้าถึงสัจจะ
มันไม่มี  "อะไร"  ในจิต
ถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือได้เลย
..........................



คนเราสร้างความคิดปรุงแต่งขึ้นมา
แล้วจองจำตนเอง อยูกับสิ่งที่ปรุงแต่งนั้น
ผู้ที่มองทะลุ กำแพงความคิด
จึงจะหลุดพ้น จากคุกแห่งสังสารวัฎนั้น
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา




สิ่งที่มิเคยมีอยู่ในโลก มนุษย์ก็ช่างติไปถึง ...
ลมเอยพัดแรงไป
อาทิตย์เอยร้อนเกินไป ฝนเอยตกหนักไป ....
แม้แต่ธรรมชาติเอง หัวใจมนุษย์ก็ยังไม่มีความพอดีให้ ...
เป็นเพราะเหตุใดกัน ......
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา




ผู้ที่รู้ความจริง ย่อมไม่เถียงใคร...
เพราะเค้าเเจ้งชัดในความเป็นจริง ..
ที่อยู่เหนือทั้งการแบ่งแยกและไม่แบ่งแยก ..
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา




โลกว่าง .. ก้อนหินว่าง .. ที่นั่งว่าง .. มือว่าง ..
ใจว่าง ..... แต่เซนไม่ว่าง ....
เพราะเซนคือ ..
ขณะแห่ง  ความเป็นหนึ่งเดียวกัน  ตลอดสาย ...
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา




"สพฺพรติง ธมฺมรติ ชินาติ"
"ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง"

โดย: รักดนตรี ควบคู่ไปกับธรรม




ความหมายของ “ธรรม” คือ “หยุด”
.......... หากยังหยุดไม่ได้ธรรมก็ยังแสดงตัวอยู่ ..
และเมื่อหยุดได้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเข้าถึงอีกต่อไป ..
โดย: สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา




จริงๆแล้ว เราไม่สามารถควบคุมจิตของเราได้เลย
เพราะจิตมันเป็นอนัตตา
มีความจริงข้อที่ว่า"เรา"มิใช่ผู้ก่อ กุศล และ อกุศลจิตเหล่านั้น
ดังนั้น ปัญญาที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ต้องมาก่อน
การชนะกิเลสจึงจะตามมา
ถ้าคุณยังหงุดหงิดเพราะ มองเห็นว่า
จิตยังมีโลภ โกรธ หลง อยู่
คุณจะไม่มีวันเข้าใจธรรมชาติ ของกิเลสอย่างชัดเจนได้เลย
เพราะความหงุดหงิดจะบดบังทั้งหมด

....เมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นมันโดยไม่มี ความสำนึกผิด
แอบแฝงอยู่
และไม่มีความคิดที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง
คุณก็จะเข้าใจ... ธรรมชาติของมัน
และมันจะไม่มีอำนาจเหนือคุณอีกต่อไป เพราะคุณรู้จักมัน
อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
....แล้วคุณจะเป็นเช่นข้าพเจ้า มึงอยากคิดอะไรคิดไปเลย"กูขำอ่ะ"
โดย: Devilgirl Suratthani




Credit by  >>> F/B สู่นิพพานและอิสรภาพด้วยปัญญา
นำมาแบ่งปันโดย >>> Isara Tong >> F/B กลุ่ม ธรรมดีที่น่าทำ