ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มีนาคม 22, 2015, 05:02:38 pm »แนวทางแก้ไขความขัดแย้งทางศาสนา
จากเหตุการณ์ต่าง ๆ อันเป็นที่มาแห่งความขัดแย้งทางศาสนา ล้วนแต่มาจากการศึกษาศาสนาที่ไม่ถ่องแท้ นักการศาสนาควรจะมองเห็นความสำคัญของการศึกษาศาสนาอย่างจริงจัง และหาแนวทางป้องกันความขัดแย้งทางศาสนาอันจะเกิดขึ้นจากความแตกต่างหลายประการโดยมีวิธีที่พอจะหาแนวทางป้องกันความขัดแย้งทางศาสนาได้ดังนี้
1. ไม่ศึกษาและนับถือศาสนาด้วยความลำเอียง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราศึกษาศาสนาโดยมีอคติเข้าไปเกี่ยวข้องย่อมจะไม่เห็นแก่นแท้ของศาสนานั้น ๆ อคติในที่นี้คือ
1. ฉันทาคติ ความลำเอียงเพราะชอบ เข้าข้างศาสนาตัวเอง
2. โทสาคติ ความลำเอียงเพราะไม่ชอบ มองเขาในแง่ไม่ดี
3. โมหาคติ ความลำเอียงเพราะความไม่รู้ มีแต่ความเชื่อย่างเดียวขาดปัญญา
4. ภยาคติ ความลำเอียงเพราะความกลัวขาดการไตร่ตรองที่ดี
ทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดี คำว่า มุสลิม แปลว่า ผู้รักสันติหรือผู้นำสันติมาใช้ในการดำเนินชีวิต คริสต์ศาสนาก็เช่นกันก็เป็นผู้รักสันติ ไม่ต้องการการมีเรื่องกับใครดังคำที่ว่า “เมื่อเขาตบแก้มขวา จงเอียงแก้มซ้ายให้เขาตบอีกข้าง” แต่อย่างไรก็ดีถ้าเราศึกษาจริยธรรมขั้นพื้นฐานของแต่ละศาสนาจะเห็นได้ว่าแทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลยดังเช่น บัญญัติ 10 ประการกับศีล 5 เป็นสิ่งไปด้วยกันได้ เป็นหลักประกันได้เป็นอย่างดีดังนี้
ศีลข้อ 1 ห้ามเบียดเบียน ฆ่าสัตว์ เป็นหลักประกันชีวิต
ศีลข้อ 2 ห้ามลักขโมยของที่เจ้าของเขาไม่อนุญาต เป็นหลักประกันทรัพย์สิน
ศีลข้อ 3 ห้ามประพฤติผิดในกาม เป็นหลักประกันความสามัคคี
ศีลข้อ 4 ห้ามพูดปด กล่าวเท็จ เป็นหลักประกันศักดิ์ศรี
ศีลข้อ 5 ห้ามดื่มสุรายาเสพติด เป็นหลักประกันสุขภาพ
โดยจริยธรรมขั้นพื้นฐานแล้วจะสามารถโยงหากันได้เป็นอย่างดี.
2. ศึกษาศาสนาเพื่อรู้และเข้าใจความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก แน่นอนที่สุดทุกศาสนามีความแตกต่างกัน ทางด้านพิธีกรรมก็ดี ทางด้านคำสอน แต่ถ้าเราศึกษาเพื่อความเข้าใจและถึงแม้เราจะเห็นความแตกต่าง แต่เราไม่แสดงความแตกแยก ในความต่างย่อมมีความเหมือนอยู่เสมอ เพราะที่สุดของคนเราก็คือ ต้องการความสุข รังเกียจทุกข์ไม่ต้องการให้ใครดูถูกตัวเอง ดูถูกศาสนาที่ตัวเองเคารพ แม้กระทั่งในสนามรบก็ให้ความเคารพกับศาสนาอื่นเช่นบัญญัติในการรบของผู้ที่ได้รับชัยชนะชาวมุสลิมเขียนไว้ว่า “จะต้องไม่เบียดเบียนพระหรือนักบวชในศาสนาอื่นใดก็ตาม และจะต้องไม่ทำลายศาสนสถานของศาสนาอื่น” ขอเราท่านทั้งหลายอย่าได้คิดแม้แต่น้อยเลยว่า หากเราศึกษาศาสนาของผู้อื่นแล้ว จะทำให้เราเสื่อมความเชื่อในศาสนาของเรา แต่นั่นคือการเปิดกว้างสำหรับการยอมสิ่งที่มีอยู่จริงอีกมิติหนึ่ง ผู้ใดที่เข้าถึงหัวใจของศาสนาของตนเองได้ ผู้นั้นย่อมจะเข้าถึงหัวใจของศาสนาอื่นได้เช่นเดียวกัน
3. จัดตั้งโครงการเพื่อศาสนสัมพันธ์ เพื่อความเข้าใจอันดีขึ้น ในสังคมที่มีความหลากหลายทางศาสนา อาจจะให้มีการประชุมทางศาสนาทุก 1 เดือน มีการเชิญวิทยากรของแต่ละศาสนามาอภิปรายหรือบรรยายในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อความสามัคคีเราสามารถที่จะอยู่รวมกันได้อย่างสันติ อาจจะช่วยลดภาพลักษณ์บางศาสนาที่คนอื่นมองในแง่ไม่ดีให้มองในแง่ดีได้มากขึ้น นักปราชญ์ทางศาสนาบางท่านยังมีโครงการที่จะรวมศาสนาในโลกเป็นศาสนาสากล แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ศาสนาก็เป็นเพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและได้รับการดัดแปลงแก้ไขจากปัญญาของมนุษย์ เพื่อตอบสนองความต้องการศาสนาจึงมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน เป็นประดิษฐกรรมของมนุษย์ โดยมนุษย์ เพื่อมนุษย์
4. ให้เกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ไม่แบ่งแยกผิวพรรณวรรณะ เพราะคนที่แบ่งแยกผิวพรรณ เรื่องของเชื้อชาติ แต่ความจริงศักยภาพความเป็นคนของเราไม่ได้อยู่ที่ผิวพรรณหรือเชื้อชาติ แต่อยู่ที่การกระทำและเจตนาที่แสดงออกมา นั่นแหละคือความสามารถที่แท้จริงของเขา ไม่เหยียดหยามกันเพราะศาสนา ใครจะเกิดในตระกูลต่ำสูงอย่างไรก็ตามถ้าทำดีก็เป็นคนดี ถ้าทำความชั่วก็เป็นคนชั่ว ดังในสุนทริกสูตร ว่า “ไฟย่อมเกิดได้จากไม้ทุกชนิด ผู้รู้แม้เกิดในตระกูลต่ำ แต่เป็นผู้มีความพากเพียร เป็นผู้กันความชั่วด้วยความละอาย มีสัตย์ ฝึกตน ก็เป็นคนอาชาไนยได้”
5. ยอมรับข้อดีของแต่ละศาสนา คือเรามองกันในแง่ดี พิจารณาข้อที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคม ร่วมกันจรรโลงสังคม เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะมามัวทะเลาะกันเรื่องศาสนา แต่เราทุกศาสนาควรจะมองถึงปัญหาสังคมมีอยู่ในปัจจุบัน เช่นปัญหายาเสพติด อันเป็นตัวบ่อนทำลายความมั่นคงทุกสถาบันในสังคมทำอย่างไรจะนำหลักธรรมทางศาสนามาปลดปล่อยให้เยาวชนของเราที่ตกเป็นทาสยาเสพติดได้ ทั้งฝ่ายเทวนิยมและอเทวนิยมโดยมีหลักอยู่ 4 ประการคือ
- มีความจริงใจไมตรีจิตจะให้สัตว์ทั้งปวงมีสุขถ้วนหน้า
- มีความเอ็นดูสงสารและความตั้งใจจริงที่จะช่วยให้พ้นทุกข์
- พลอยยินดีและร่วมเป็นแรงกายแรงใจ ไม่อิจฉาริษยากัน
- วางใจเป็นกลางในการทำงานร่วมกัน
6. เผยแผ่ศาสนาอย่างถูกต้อง คือไม่ไปแย่งชิงศาสนิกของศาสนาอื่น โดยวิธีการบังคับ ขู่เข็ญ และแบบมีเล่ห์เพทุบายก็หมายความว่าศาสนาที่เสียศาสนิกไปย่อมเกิดความไม่พอใจ แต่ควรชี้ให้เขาเห็นข้อดีของศาสนาของเราจริง ๆ แต่ถ้าเป็นการเผยแผ่โดยเอาผลประโยชน์ทางการศึกษา ทางเศรษฐกิจ ทางสังคมเข้ามาเป็นเหยื่อล่อก่อนไม่ควรกระทำเพราะไม่ใช่การประกาศอย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นการใช้เหยื่อล่อเหมือนล่อปลามาติดเบ็ด เท่ากับเป็นการหลอกลวงโดยตรง
7. ศาสนาเปรียบกับต้นไม้ ตามแนวของท่านศ.ดร.แสง จันทร์งาม ธรรมดาต้นไม้ย่อมมีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วนคือ
ราก เปรียบเหมือน ความเป็นมนุษย์
ลำต้น เปรียบเหมือน ความต้องการทางจิตวิญญาณ 5 ประการคือ ปรัชญา
ชีวิต ที่พึ่งอันประเสริฐ สิ่งสมบูรณ์ที่สุด ความดีและความสุขชั้นสูง
กิ่ง เปรียบเหมือน ศาสนาต่าง ๆ
นกทั้งหลาย เปรียบเหมือน ศาสนิกชน
ก่อนที่นกจะลงจับต้นไม้นั้น มันจะต้องพิจารณาดูเสียก่อนว่ากิ่งไหนจะเหมาะสมขนาดตัวของมันนกตัวใหญ่จะจับที่กิ่งใหญ่ นกขนาดกลางจับกิ่งขนาดกลาง นกตัวน้อยจะจับกิ่งขนาดเล็ก นกตัวใหญ่จะไม่เกิดความหยิ่งผยองในกิ่งใหญ่ของตน และจะไม่หันไปดูถูกกิ่งเล็กของนกตัวอื่น เพราะมันรู้ดีว่าไม่ว่าจะกิ่งใหญ่หรือเล็ก ก็ล้วนมาจากลำต้นเดียวกัน เป็นต้นไม้ต้นเดียวกันให้ประโยชน์ที่สำเร็จแก่นกทุกตัวอย่างเท่าเทียมกัน มันก็จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
โลกทั้งผองพี่น้องกัน
แม้แตกต่าง ศาสนา สามัคคี
ดังน้องพี่ มวลมิตร จิตรแจ่มใส
ขอก้าวไป มอบดวงใจ ให้ห่วงใย
ร่วมสร้างไทย ให้มีธรรม ค้ำชูชน.
โดย.....ชูวิทย์ ไชยเบ้า
อาจารย์ประจำโปรแกรมวิชาสังคมศึกษา
อนุโมทนา หลวงพี่
jiann tracheewa Google+
Shared publicly - 10:06 AM 22/3/2558