ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มิถุนายน 19, 2015, 07:34:34 pm »....สู่อิสระภาพ.....
//-" เราเป็นสาวก พุทธเจ้า อย่ามัวแต่บ้าบุญ
เอาความรู้ธรรมะ มาดับ อารมณ์ทุกข์ในใจตน ให้ได้
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นไปเพื่อวิมุติ คือไม่ทุกข์ ไม่สุข แต่เย็น
ไม่ใช่เพื่อ อร่อยทางปัญญา บ้าน้ำลายไปวันๆ"(อ.พุทธทาส)
.................................................
คำสอนที่พระพุทธเจ้า สอนมากที่สุด ตลอดพระชนม์มายุ ของพระองค์
อนุปุพพีกถา
พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพีกถา คือถ้อยคำที่ กล่าวโดยลำดับ
1.พรรณนาทานการให้ก่อนแล้ว (คุณค่า สุขจากการแบ่งปัน)
2.พรรณนาศีลความรักษากายวาจาเรียบร้อยเป็นลำดับแห่งทาน(ขัดเกลาสันดานดิบ)
3.พรรณนาสวรรค์ คือกามคุณที่บุคคลใคร่ซึ่งจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมอันดี
คือทานและศีลเป็นลำดับแห่งศีล (สัคคะ สวรรค์บนดิน เพราะทำหน้าที่ที่ควรทำ)
4.พรรณนาโทษ คือความเป็นของไม่ยั่งยืน(กามฑีนพ)
เพราะ ทุกสิ่งที่ปรุงแต่ง ย่อมอยู่ในอำนาจ
ความเปลี่ยนแปลง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ขึ้นอยู่กับ กฎเหตุ ปัจจัย ปรุงแต่ง
ไม่เป็นดังใจ ใครทั้งสิ้น
และประกอบด้วยความคับแค้นแห่งกาม
อันได้ชื่อว่าสวรรค์นั้น อันมีความ สมใจ สะใจ ภาคภูมิใจ หรรษา ปรุงแต่งอยู่
5.พรรณนาอานิสงส์แห่งความออกไปจากกาม (เนกขัมมะ)
เป็นลำดับแห่งโทษของกาม ฟอกจิตยสกุลบุตรให้ห่างไกลจากความยินดีในกาม
ควรรับพระธรรมเทศนาให้เกิดธรรมจักษุ
เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้ฉะนั้น
6.แล้วจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระองค์ยกขึ้นแสดงเอง
คืออริยสัจ ๔ อย่าง
1.คือทุกข์ ด้วยการกำหนดรู้ด้วยสติ
2.เหตุให้ทุกข์เกิด ด้วยการ ลด ละ เลิก เหตุนั้น ด้วยปัญญา
3.ผลของเหตุให้ทุกข์ดับที่ดับแล้ว ด้วยพบประสบการณ์ตรงด้วยตนเอง
4.และข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับ ต้องเพียร ฝึกฝนด้วยตนเอง
ใครติดการ.......................ทำทาน ก็เห็นว่า"ศีล สำคัญกว่า ทาน
ใครติดศีล........................ก็เห็นว่า การเจริญกุศล สำคัญกว่าศีล
ใครติดในกุศล...................ก็เห็นว่า การออกจาก ความติด ความพยาบาท เบียดเบียน(เนกขัมมะ)
ดีกว่า ทาน ศีล สัคคะ(สวรรค์)
ใครติด เนกขัมมะ................ก็เห็นว่า การปลุกสติตื่น เห็น อริยะสัจจะ
ที่เกิดขึ้น ใน กายตน สำคัญ และเร่งฝึกฝนตน
ด้วย...เวลา กรรม มัจจุราช ไม่เคยคอยใคร
บันใดมีให้ปีน สู่ ทางสว่างด้วยตนเอง สาธุ
Hug birds save earth originally Shared publicly - Jun 17, 2015
ฟ้ามีสิ่งวิเศษสามสิ่ง
สุริยัน จันทรา ดารา
มีสิ่งวิเศษสามสิ่ง ในตัวเรา
จิ้ง ชี่ เสิ้น
1.พลังสติ
(เป็นพลัง ที่ควบคุม ร่างกาย จิตใจ ให้แข็งแรง)
2.พลังสมาธิ
(เป็นการรวม พลัง วิริยะ สติ สมาธิ จนเกิดเป็นพังมุ่งมั่น หนักแน่น ของจิต)
3.พลังปรีชาญาณแห่งการรู้แจ้ง
(เป็นพลังแห่ง สัมมาสติโพธิปัญญา ที่ปลุกให้ตื่น ชนะอุปาทานที่จิตปรุงแต่งสร้างขึ้น)
มาปลุกพลังทั้งสาม เกิดชีวาในชีวิตถาวรกันนะครับ
สุขภาพดี กาย จิต วิญญาณ ดีๆ เราเขียนบทและ เล่นเองได้ สาธุ
Wudang Five Animals Qi Gong (武当五行气功)
Suraphol Kruasuwan originally shared to
Philosophy and healthy ปรัชญา และสุขภาพดี (การสนทนา): 19/6/2558 - 7:12 AM
***********
15.7.2017
https://plus.google.com/+SurapholKruasuwan
//-สวัสดี ยามเช้าๆ
ดูกระทู้อื่นๆ ก็ยังไม่ตอบนะ
เห็นผู้ชม สนใจ วันนี้เอา โลกนิติ คำโคลง
ที่หลานๆ เสาะหามา ฝากกันอิๆ
-------------------------------------------------------
ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้.................. มีพรรณ
ภายนอกแดงดูฉัน ...................ชาดบ้าย
ภายในย่อมแมลงวัน................ หนอนบ่อน
ดุจดังคนใจร้าย .......................นอกนั้นดูงามฯ
-------------------------------------------------
คนมีมักเหี่ยวแห้ง .....................หวงแหน
กินอยู่สู้ขาดแคลน.................... พร่องท้อง
คนกากยากไร้แกน โกยกอบ .......กินแฮ
เป็นวิบัติขัดข้อง ........................คิดแล้วหลากเหลือฯ
--------------------------------------------------
ทําบุญบุญแต่งให้...................... เห็นผล
คือดั่งเงาตามตน .......................ติดแท้
ผู้ทําสิ่งอกุศล กรรมติด ...............ตามนา
ดุจจักรเกวียนเวียนแล้ ................ไล่ต้อนตีนโคฯ
---------------------------------------------------
ปลูกผักมักมากล้วน ....................หลากพันธ์
ชีหอมลอยหน้ามัน ......................มากแม้
ทุรชนทำงานกัน .........................ด้วยปาก
ห่อนตักชิ้นผักแท้ ........................ลิ้มรส โอษฐ์หวานฯ
----------------------------------------------------
นาคีมีพิษเพี้ยง ...........................สุริโย
เลี้อยบ่ทำเดโช ...........................แช่มช้า
ฤทธิ์น้อยหยิ่งโยโส.......................แมลงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า ............................อวดอ้าง ฤทธีฯ
---------------------------------------------------
ก้านบัวบอกลึกตื้น ........................ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน .......................ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขาน ..................ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ .................บอกร้าย แสลงดินฯ
------------------------------------------------
๏ ผจญคนมักโกรธด้วย ..............ไมตรี
ผจญหมู่ทรชนดี ........................ต่อตั้ง
ผจญคนจิตโลภมี .......................ทรัพย์เผื่อ แผ่นา
ผจญอสัตย์ให้ยั้ง .......................หยุดด้วยสัตยา๚ะ๛
------------------------------------------------------
หลีกเกวียนให้หลีกห้า ...................ศอกหมาย
ม้าหลีกสิบศอกกราย ....................อย่าใกล้
ช้างยี่สิบศอกคลาย ......................คลาคลาด
เห็นทุรชนหลีกให้ .........................ห่างพ้นลับตาฯ
-------------------------------------------------------
งาสารฤๅห่อนเหี้ยน ........................หดคืน
คำกล่าวสาธุชนยืน .........................อย่างนั้น
ทุรชนกล่าวคำฝืน ...........................คำเล่า
หัวเต่ายาวแล้วสั้น ...........................เล่ห์ลิ้นทรชนฯ
------------------------------------------------------
หอมกลิ่นดอกไม้ที่ ..............นับถือ
หอมแต่ตามลมฤา ................กลับย้อน
หอมแห่งกลิ่นกล่าวคือ ..........ศีลสัตย์ นี้นา
หอมสุดหอมสะท้อน .............ทั่วใกล้ ไกลถึงฯ
----------------------------------------------------------
เป็นคนคิดแล้วจึ่ง ..................เจรจา
อย่ามลนหลับตา ...................แต่ได้
เลือกสรรหมั่นปัญญา .............ตรองตรึก
สติริรอบให้.......................... ถูกแล้วจึงทำฯ
------------------------------------------------------------
ปลาร้าพันห่อด้วย ...................ใบคา
ใบก็เหม็นคาวปลา ...................คละคลุ้ง
คือคนหมู่ไปหา .......................คบเพื่อนพาลนา
ได้แต่รายร้าย*....................... ฟุ้ง เฟื่องให้เสียพงศ์ ฯ
-------------------------------------------------------------
เว้นวิจารย์ว่างเว้น .......................สดับฟัง
เว้นที่ถามอันยัง .........................ไป่รู้
เว้นเล่าลิขิตสัง- ..........................เกตว่าง เว้นนา
เว้นดั่งกล่าวว่าผู้ ..........................ปราชญ์ว่าฤามีฯ
------------------------------------------------------------
๏ โคควายวายชีพได้ ....................เขาหนัง
เป็นสิ่งเป็นอันยัง ..........................อยู่ไซร้
คนเด็ดดับสูญสัง ..........................ขารร่าง
เป็นชื่อเป็นเสียงได้ .......................แต่ร้ายกับดี๚ะ๛
--------------------------------------------------------
๏ สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ..................ในตน
กินกัดเนื้อเหล็กจน .........................กร่อนขร้ำ
บาปเกิดแก่ตนคน...........................เป็นบาป
บาปย่อมทำโทษซ้ำ .......................ใส่ผู้บาปเอง๚ะ๛
-----------------------------------------------------
อย่าโทษไทท้าวท่วย .......................เทวา
อย่าโทษสถานภูผา .........................ย่านกว้าง
อย่าดทษหมู่วงศา ...........................มิตรญาติ
โทษแต่กรรมเองสร้าง ......................ส่งให้เป็นเอง๚ะ๛
-------------------------------------------------------
๏ กาน้ำดำดิ่งด้น ..............................เอาปลา
กาบกคิดใคร่หา............................... เสพบ้าง
ลงดำส่ำมัจฉา ..................................ชลชาติ
สวะปะคอค้าง ................................ครึ่งน้ำจำตาย๚ะ๛
--------------------------------------------------
๏ เย็นเงาพฤกษ์มิ่งไม้ ........................สุขสบาย
เย็นญาติสุขสำราย.............................กว่าไม้
เย็นครูยิ่งพันฉาย ..............................กษัตริย์ยิ่ง ครูนา
เย็นร่วมพระเจ้าให้ .............................ร่มฟ้าดินบน๚
-------------------------------------------------------
//-คนโง่ไป่รู้.....................................คุณศีล
คนลวงร่ายเล่ห์ลิ้น..............................ลมลวงนั่น
คนถ่อยอ้างเอมโอษฐ์ถ้อย...................ธรรมถึกนา
คนบ้าแอบอ้าง...................................จำแลงธรรมฯ
---------------------------------------------------------
ครับ ใครอ่านแล้ว บ่เข้าใจบทไหน
เพราะบางบทเป็นสำนวนโบราญ นานเน อิๆ
ว่างจะมาช่วย แกะให้ เจริญในกุศลธรรม นะครับ เจี๊ยกๆ
--------------------------------------------------------