ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 28, 2015, 08:11:15 pm »

ในชีวิตประจำวันผู้ครองเรือน
จะรักษาจิตให้นิ่งไม่ได้
แต่การดูแลจิตให้ดี
ไม่ให้ปรุงแต่งในสิ่งกระทบ
ด้วยความยินดีหรือยินร้าย
ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีพิษมีภัย
ตรงกันข้าม.....
กลายเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติ
คือวัตถุดิบในการผลิตปัญญา
..
..
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
ถ้าเรากำหนดรู้ “ทุกข์”
ตรงตามความเป็นจริงแล้ว
ในขณะนั้นเราก็ได้ละ “สมุทัย”
ทำ “นิโรธ” ให้แจ้ง
และเจริญ “มรรค” ให้ถึงพร้อมไปด้วย

พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ
>> F/B เพจ สมาธิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



ถ้าเรามองดูแล้วก็ต้องยอมรับว่าบางสิ่งบางอย่างเจอแรกๆนี่ชอบมาก
อยู่นานๆเฉยๆ บางสิ่งบางอย่างเคยชอบมาก ตอนหลังไม่ชอบเลยก็มี
ในทำนองเดียวกันบางสิ่งบางอย่าง คนบางคนเจอแรกๆไม่ชอบเลย
อยู่ไปนานๆก็ทนได้ ในที่สุดกลายเป็นเพื่อนสนิทกันก็ได้

 ดังนั้นเมื่อความรู้สึกต่างๆเปลี่ยนได้ ไม่ใช่ของตายตัวแน่นอนทีเดียวแล้ว
เราก็จะไม่ต้องเพลิดเพลินกับสิ่งที่ชอบจนเกินไป เราก็ระมัดระวัง
เพราะมันก็เปลี่ยนได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นมากจนเกินไป เจอสิ่งที่ไม่ชอบก็ไม่ต้อง
ทุกข์ใจมาก เพราะสิ่งนั้นก็เปลี่ยนแปลงได้ ความรู้สึกของเราก็เปลี่ยนแปลงได้
ทั้งสองฝ่ายนี้ไม่แน่นอน
 นี่ไม่ใช่การปลอบใจ แต่เป็นการยอมรับความจริงที่เราสามารถมองเห็นได้
พระอาจารย์ชยสาโร
..
..





พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
ฉะนั้นเราจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งโดยแท้ได้
ก็ด้วยการเข้าถึงพระธรรม
พระพุทธเจ้าปรินิพพานนานแล้วก็จริง แต่ธรรมะเป็นอมตะ
ไม่ได้หายไปไหน เหมือนน้ำที่อยู่ไต้ดินใครยอมขุดดิน
อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคย่อมมีสิทธิ์ดื่มรสพระธรรม
และการดื่มรสพระธรรมนั้นเปรียบเสมือนการกราบพระพุทธเจ้า
พระอาจารย์ชยสาโร


                            >> F/B jayasaro.panyaprateep.org
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 24, 2015, 01:03:54 pm »



ตอนอาตมาบวชใหม่ๆ มักจะมีคนถามบ่อยๆว่า ท่านคิดถึงบ้านไหม
อาตมาจะตอบเสมอว่า ไม่ แล้วเสริมว่า.. แต่... ระลึกถึง ทุกวัน
อาตมาแยกแยะอย่างนี้ เพราะความรู้สึกของสองคำนี้ ต่างกันมาก
ความคิดถึง เกิด เมื่อจิตอ่อนแอ ไม่สามารถมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ความคิดถึงย่อมทวีขึ้นด้วยความปรุงแต่ง และเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

ส่วนการ ระลึกถึง ก็เกิดจาก การสำนึกในบุญคุณ ของผู้ที่มีพระคุณต่อตน
พยายามไม่ลืมสิ่งดีที่ได้รับจากท่าน และด้วยความตั้งใจจะให้ความพลัดพราก
จากบุพการี เกิดผลดีที่สุด ให้ท่านได้รับส่วนบุญจากการทำความดีของเราไปด้วย




ความอ่อนน้อมถ่อมตน เกิด เมื่อเรามีปัญญา
เห็นความกะล่อนของจิตใจตัวเอง เห็นความลำเอียง
และเมื่อเราตั้งใจ ไม่ลืมความผิดพลาดของเราในอตีต




อย่าเพิ่งรังเกียจ สิ่งกระทบ อย่างไรๆ ก็หนีไม่พ้น
ผู้มีสติและสัมปชัญญะครอบครอง จิตใจเปรียบเหมือนระฆัง
กระทบแล้ว เหง่ง เหง่ง เหง่ง เพราะดี



วินโย สาสนาสา อายุติ
วินัยคือชีวิตของพระศาสนา
พระสงฆ์วัดป่านานาชาติสวดปาติโมกข์กลางป่า อุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี


ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
15 เมษายน เวลา 6:00 น. ·
'เหนื่อยจัด'
หลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศซึ่งท่านอาจารย์มีภารกิจอย่างหนักตลอดเวลาสามวันที่เดินทาง จากสนามบินท่านก็ตรงเข้าร่วมพิธีทำวัตรสวดมนต์พร้อมทั้งแสดงธรรมแก่ญาติโยมเนื่องในวันอาสาฬหบูชาทันที ต่อด้วยการร่วมพิธีกรรมกับพระสงฆ์รูปอื่นๆ จนใกล้เที่ยงคืน เช้าวันรุ่งขึ้นลูกศิษย์จึงไต่ถามท่านด้วยความเป็นห่วง
ลูกศิษย์ “เมื่อคืนท่านอาจารย์เหนื่อยมากมั้ยครับ”
ท่านอาจารย์ “หลับเป็นมรณภาพเลยล่ะ”
--
ที่มา: 'เรื่องท่านเล่า' หนังสือรวมนิทานที่พระอาจารย์ชยสาโรเมตตาเล่าไว้ เรียบเรียงโดย ศรีวรา อิสสระ
https://www.facebook.com/jayasaro.panyaprateep.org?fref=nf
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มีนาคม 29, 2015, 04:52:48 pm »



สร้างภาพ ?

คำถามข้อที่ ๒๒ คนทุกคนมีข้อดีและข้อด้อยในตัวเอง การที่เราทำแต่สิ่งที่ดี ประพฤติดีให้คนอื่นเห็น แต่ไม่ได้ประพฤติข้อด้อย ข้อบกพร่องของเราให้ผู้อื่นรู้ ทำให้คนอื่นคิดว่าเราดี อย่างนี้เป็นการโกหกหรือไม่

ท่านชยสาโรตอบ : เราทราบว่าจิตใจมีผลต่อการพูดและการกระทำ จิตมาก่อนใช่ไหมเราจึงพูดจึงทำ แต่ในขณะเดียวกันการกระทำและการพูดก็มีผลต่อจิตใจ ยกตัวอย่างในเรื่องของศีล ถ้าเรารักษาศีลข้อแรกอย่างเคร่งครัด จะสังเกตได้ว่าการต้องงดเว้น คิดจะฆ่า คิดจะทำอะไรก็ไม่ทำ จะทำให้ความรู้สึกต่อสัตว์เปลี่ยนไป เพราะเจตนาจะงดเว้น ถ้าเรามีการกระทำหรือการพูดในสิ่งที่ดี ก็เป็นการสรรเสริญสิ่งที่ดี ถ้ามีการกระทำหรือการพูดตามอำนาจของสิ่งที่ไม่ดี ก็เป็นการสรรเสริญสิ่งที่ไม่ดี

อันนี้คือหลักการอย่างหนึ่ง เราก็มีทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี แต่เราต้องการให้พ้นจากสิ่งที่ไม่ดี เหลือไว้แต่สิ่งที่ดี วิธีการก็ต้องใช้อาวุธหลายอย่าง ใช้วิธีการหลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งก็คือ สิ่งที่ไม่ดีให้มันอยู่ที่จิตใจอย่างเดียว อย่าพึงแสดงออกภายนอก มันจะทำให้พลังของสิ่งที่ไม่ดีนั้น ค่อยๆลดถอยลง

ในขณะเดียวกัน การไม่ทำตามและไม่พูดตามสิ่งไม่ดีงามในจิตใจ ไม่ได้หมายความว่าเราปิดบังอำพราง ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ดีแล้วยอมรับผิด อย่างนี้ก็ถือว่าไม่โกหก แต่ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ดีแล้วต้องเที่ยวประกาศให้ทุกคนทราบ นี่ก็ไม่จำเป็น

พระพุทธองค์สอนเรื่องความแตกต่างระหว่างบัณฑิตกับพาลในหลายกรณีเรื่องการพูด

ท่านว่าพาลชอบพูดถึงเรื่องที่ไม่ดีของคนอื่น แม้ไม่มีคนถาม เขาจะพูดก่อน แล้วพูดอย่างละเอียดด้วย ไม่เบื่อ ไม่มีสรุป ไม่มีสังเขป พูดทั้งหมดเลย และอาจจะเกินความจริงด้วยซ้ำไป สิ่งที่ดีของคนอื่นไม่อยากพูดถึง ถ้าไม่มีใครถามจะไม่บอก ถึงจะรู้ก็ไม่อยากให้เขาทราบความดีของคนอื่น แต่ถ้ามีใครปรารภหรือใครถาม ก็จะตอบอย่างสั้นที่สุด

แต่เรื่องของตัวเองจะตรงกันข้าม ความไม่ดีของตัวเองไม่อยากให้ใครทราบ ถ้ามีใครถามหรือว่าจำเป็นต้องพูดจะพูดให้สั้นที่สุด แล้วก็จะมีข้ออ้างมากมายด้วย แต่ถ้าจะพูดถึงความดีของตนจะเทศน์ได้ทั้งวันทั้งคืน “ตอนเริ่มต้นฉันก็ไม่มีอะไรนะ ฉันก็สร้างตัวเองด้วยความขยันหมั่นเพียรของตัวเอง” อะไรอย่างนี้ พูดเรื่องความดีของตัวเองนี่สนุก แต่สนุกคนเดียว คนอื่นเขาไม่ค่อยสนุกหรอก นี่คือลักษณะของพาล

ส่วนนักปราชญ์จะตรงกันข้ามทุกข้อ ปราชญ์ไม่อยากจะพูดถึงความไม่ดีของคนอื่น พยายามจะไม่พูด แต่ถ้าการไม่พูดนั้นจะมีผลกระทบต่อสถาบันหรือต่อส่วนรวม บางทีต้องพูดเหมือนกัน แต่จะพูดอย่างสั้นที่สุด ไม่ได้พูดชวนให้เกิดความโกรธจากอคติและอาจจะพยายามมองที่เหตุปัจจัยที่ทำให้เขาทำอย่างนั้น

ปราชญ์ชอบที่จะพูดถึงความดีของคนอื่น “นี่สังเกตไหม คนนั้นเขาน่ารักนะ เขาดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ” ใจเขาเองก็เป็นกุศล แล้วคนอื่นก็ค่อยๆชื่นใจด้วย “ใช่ไม่ได้สังเกตมาก่อน... ใช่” ก็เลยมีความสุขในความดีของคนอื่นและชอบเปิดเผย ชอบประกาศให้คนอื่นได้ทราบด้วย

ส่วนความไม่ดีของตัวเองยินดีจะเปิดเผยโดยที่คนอื่นยังไม่ถาม ก็พูดได้เลย เราจะเห็นครูบาอาจารย์ไม่ว่าหลวงพ่อชา ไม่ว่าท่านสุเมโธ ท่านเล่าถึงสมัยที่ท่านบวชใหม่ๆ ท่านมักจะเล่าถึงกิเลสของท่าน เราก็เคยอ่านเคยฟังท่านพูด ท่านจะพูดอย่างตลก

วันหนึ่งท่านอาจารย์สุเมโธเล่าว่า ท่านโกรธพระองค์หนึ่งมาก ไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านก็เดินเข้าป่าแล้วก็เลือกต้นไม้ต้นหนึ่ง แล้วก็ ตูม !! ชกต้นไม้ในป่า ไม่กล้าชกพระ

เรื่องทำนองนี้ท่านจะเล่าโดยไม่ปิดบัง เราก็ขำด้วยได้กำลังใจด้วย เพราะเราเห็นว่าตอนท่านเริ่มต้นการปฏิบัติท่านก็มีปัญหามากเหมือนกัน ที่ท่านเป็นอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเป็นตั้งแต่เกิด ท่านเป็นด้วยการฝึกฝนอบรม

หลวงพ่อชาก็เหมือนกัน ท่านไม่เคยคิดที่จะปิดบังเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าท่านบริสุทธิ์และน่าเลื่อมใสทุกอย่าง ท่านยินดีเปิดเผยกิเลสของท่านเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ส่วนความดีของท่าน ๆ จะพูดถึงน้อยมาก ไม่อยากจะพูด

ฉะนั้นให้เรามีความจริงใจ สำคัญอยู่ที่เจตนาของเรา

ถ้าเราเห็นว่าการเปิดเผยข้อบกพร่องของเราเป็นสิ่งที่สมควร จะเป็นคติธรรมหรือเป็นการให้กำลังใจคนอื่น เราก็พูด ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับคนอื่น พูดแล้วไม่ได้ประโยชน์ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่องไป

จากหนังสือคลายปม ท่านชยสาโรภิกขุ หน้าที่ ๕๓-๕๖
Anucha Ko G+
สนทนาธรรมตามกาล  -  Mar 13, 2015
 
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2015, 03:55:24 pm »



ไม่มีอะไรในโลกนี้ ใม่มีใครในโลกนี้ที่บังคับให้เราทุกข์ใจได้
บางสิ่งบางอย่าง คนบางคน อาจชวนให้เราทุกข์ใจ
แต่ถ้าเราไม่ขาดสติ
ไม่ปล่อยให้ตัณหาผสมโรงกับสิ่งหรือกิริยาที่ยุอารมณ์
ความทุกข์ใจเกิดไม่ได้
ข่าวร้ายคือ ไม่ฝึกจิตให้รู้เท่าทันสิ่งกระทบ จะต้องโลภในสิ่งที่ชวนให้โลภ
โกรธในสิ่งที่ชวนให้โกรธ และหลงในสิ่งที่ชวนให้หลง อย่างไม่มีวันจบสิ้น

ข่าวดีคือ มนุษย์ทุกคนไม่ว่าชายว่าหญิง
สามารถฝึกจิตของตนให้เป็นอิสระภายในได้
คือไม่ต้องโลภในสิ่งที่ชวนโลภ ไม่ตัองโกรธในสิ่งที่ชวนโกรธ
และไม่ต้องหลงในสิ่งที่ชวนหลง

พระอาจารย์ชยสาโร
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2014, 04:14:46 pm »



เปรียบเทียบจิตใจ เหมือนท้องฟ้า
อารมณ์และสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นดับไป อยู่ในจิตใจ
เหมือนสิ่งที่ปรากฏอยู่ในท้องฟ้า..
เราแยกได้ระหว่างท้องฟ้ากับสิ่งที่ปรากฏในท้องฟ้า
เราก็ควรจะแยกระหว่างจิตใจ กับ สิ่งที่ปรากฏในจิตใจ

พระอาจารย์ชยสาโร
..
..



ถ้าเรามองดูแล้วก็ต้องยอมรับว่าบางสิ่งบางอย่างเจอแรกๆ นี่ชอบมาก
อยู่นานๆ เฉยๆ บางสิ่งบางอย่างเคยชอบมาก
ตอนหลังไม่ชอบเลยก็มี ในทำนองเดียวกันบางสิ่งบางอย่าง
คนบางคนเจอแรกๆไม่ชอบเลย
อยู่ไปนานๆก็ทนได้ ในที่สุดกลายเป็นเพื่อนสนิทกันก็ได้

ดังนั้นเมื่อความรู้สึกต่างๆเปลี่ยนได้ ไม่ใช่ของตายตัวแน่นอนทีเดียวแล้ว
เราก็จะไม่ต้องเพลิดเพลินกับสิ่งที่ชอบจนเกินไป
เราก็ระมัดระวังเพราะมันก็เปลี่ยนได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นมากจนเกินไป
เจอสิ่งที่ไม่ชอบก็ไม่ต้องทุกข์ใจมาก เพราะสิ่งนั้นก็เปลี่ยนแปลงได้
ความรู้สึกของเราก็เปลี่ยนแปลงได้ ทั้งสองฝ่ายนี้ไม่แน่นอน
นี่ไม่ใช่การปลอบใจ แต่เป็นการยอมรับความจริงที่เราสามารถมองเห็นได้

พระอาจารย์ชยสาโร
..
..



What is the purpose of walking meditation and how is it practiced?

Walking meditation provides both a supplement and an alternative to sitting meditation. Some meditators prefer it to sitting and may make it their main practice. Walking meditation is a particularly useful option when illness, tiredness or a full stomach make sitting meditation too difficult. Whereas in sitting meditation mindfulness is developed in stillness, in walking meditation it is developed in movement. Practicing walking meditation in combination with sitting thus helps the meditator to develop a flexible all-round awareness that can be more easily integrated into daily life than that which is developed by sitting meditation alone. As an added bonus, walking meditation is good exercise.

To practice walking meditation, a path of some 20-30 paces long is determined, with a mark placed at the mid-point. Meditators begin by standing at one end of the path with hands clasped in front of them. Then they begin walking along the path to its other end, where they stop briefly, before turning around and walking back to where they started. After another brief halt, they repeat this, walking back and forth along the path in this way for the duration of the walking meditation session. Meditators use the beginning, the end and the mid-point of the path as check-points to ensure that they have not become distracted. The speed at which meditators walk varies according to the style of meditation being practiced and to individual preference.

In the initial effort to transcend the five hindrances to meditation a variety of methods may be employed. One popular method, similar to that mentioned in the discussion of sitting meditation, is to use a two-syllable meditation word (mantra): right foot touching the ground mentally reciting the first syllable; left foot touching the ground, the second. Alternatively, awareness may be placed on the sensations in the soles of the feet as they touch the ground. As in sitting meditation, the intention is to use a meditation object as a means to foster enough mindfulness, alertness and effort to take the mind beyond the reach of the hindrances, in order to create the optimum conditions for the contemplation of the nature of body and mind.

from without and within by Ajahn Jayasaro
..
..



ส่วนมากเราก็อยู่ในลักษณะหวัง คือทำเหมือนเดิม คิดเหมือนเดิม
พูดเหมือนเดิม แต่หวังว่า
ผลของการกระทำนั้นจะไม่เหมือนเดิม จะดีกว่าเดิม

ตราบใดที่เรายังหวังพึ่งสิ่งหรือบุคคลนอกตัว
แต่เหตุปัจจัย คือการกระทำ การพูด การคิด เหมือนเดิม
ผลก็มักเหมือนเดิมอยู่ดี (คือไม่ดี)
เราสามารถทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ด้วยการรับผิดชอบการกระทำของตน
คือความจริงใจในเรื่องทาน ศีล และภาวนา

พระอาจารย์ชยสาโร
..
..



นิพพิทา กับความเบื่อหนายทั่วไป ไม่เหมือนกัน
จิตใจเราเหมือนลิง เบื่อทั่วไป
คือตัวลิงมันเบื่อ
นิพพิทาคือเราเบื่อตัวลิง
เบื่อทั่วไปคือกิเลส นิพพิทาคือทางออกจากกิเลส

พระอาจารย์ชยสาโร
..
..

ถึงแม้ว่ากิเลสยังมีอยู่
และเรายังไม่เบื่อกิเลส
อย่างน้อยขอให้มีศีลธรรมกำกับ
ไม่ให้กิเลสเป็นเหตุ
เบียดเบียนตนหรือผู้อื่น

- พระอาจารย์ชยสาโร
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

even though the defilements remain
even though we’re still willing to give them a home
govern them with precepts
don’t allow them to cause harm
to self or others

- Ajahn Jayasaro
..
..



ที่พระตถาคตสอนให้พวกเธอ
ละบาป บําเพ็ญกุศล
ก็เพราะเป็นสิ่งที่พวกเธอทําได้
ถ้าทําไม่ได้ เราก็ไม่สอน

- พระอาจารย์ชยสาโร
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

“That the Tathagata teaches you to abandon
the unwholesome and develop the wholesome
is because it is something you can do.
If you could not, I would not teach you to do so.”

- Ajahn Jayasaro
..
..


- ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
>>> ------------ 10 มีนาคม 57




ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/ Dhamma by Ajahn Jayasaro
18/12/2557

การยอมพูดเท็จในบางกรณีที่อ้างว่าจำเป็นหรือสมควร แม้แต่ในเรื่องที่ฟังเผินๆชวนรู้สึกว่าไม่น่าจะผิด เช่นการพูดเท็จเพื่อไม่ให้เขาเสียใจ ย่อมมีโทษทุกครั้ง ในทำนองเดียวกันการงดเว้นจากการพูดเท็จย่อมเกิดผลดีทุกครั้ง

๑. พูดเท็จแล้ว สัจจะบารมีไม่เจริญ เราจะตั้งมั่นอย่างแน่วแน่ในสัจจะได้ ก็เมื่อเราฝึกพูดความจริงในทุกๆสถานการณ์โดยไม่มียกเว้น ไม่มีกรณีพิเศษ การตั่งมั่นอยู่ในสัจจะคือความสุข และเป็นฆราวาสธรรมข้อแรก

๒. การยอมพูดเท็จในบางกรณีย่อมเปิดช่องให้กิเลสครอบงำได้ เช่นอ้างว่าจำเป็นเมื่อไม่จำเป็นจริงๆ ที่จริงเป็นการพูดเท็จเพราะเขินหรืออายบ้าง หรือเพราะกลัวเขาโกรธ หรือเพราะความอยากได้ เพราะกลัวพลัดพรากจากสิ่งที่ชอบ เพราะขี้เกียจอธิบาย เป็นต้น กิเลสหลายตัวเพิ่มขึ้นเพราะการไม่สำรวมวาจา

๓. การไม่ยอมพูดเท็จเป็นอันขาด บังคับให้ฉลาดในการสื่อสาร เช่นทำให้ต้องหาคำพูดที่ได้ผลทั้งสองฝ่าย คือ เขาไม่เสียใจ เราไม่ผิดศีล

๔. ผู้มีปัญญาในการสื่อสาร ผู้ไม่ยอมพูดเท็จเป็นอันขาด ย่อมกลายเป็นที่ยอมรับ ที่ไว้ใจ และที่เคารพนับถือของคนรอบข้าง คำพูดของคนผู้นี้มีนำ้หนัก

พระอาจารย์ชยสาโร
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2014, 03:59:49 pm »




อาหารกาย ป้อนได้ แต่อาหารใจ
ทุกคนต้องกินเอง ย่อยเอง
..
..

สมมุติว่ามีคนคนหนึ่งยืนอยู่กลางถนนสี่เลน บ่นตลอดเวลาว่า
“ที่นี่ไม่สงบเลย ที่นี่วุ่นว่าย ที่นี่ทำไมรถเยอะ”
รถเยอะเพราะถนนเป็นที่ของรถซิ อยากสงบอย่ายืนอยู่ตรงนั้น

จิตใจที่ยังขาด การฝึกอบรม ย่อมมีอารมณ์
วิ่งไปวิ่งมาตลอดทั้งวัน
เหมือนถนนสี่เลนมีรถวิ่งไปวิ่งมาตลอดเวลา
อยากสงบต้องเรียนวิธีนำจิตออกจากที่ขวักไขว่
มาอยู่ใต้ร่มของต้นไม้ใหญ่คือพุทธธรรม

พระอาจารย์ชยสาโร
..
..

ลึกๆมนุษย์เราต้องการความสุขที่มั่นคงแน่วแน่
ความสุขที่ไว้ใจได้ ที่ไม่มีวันเสื่อม ปัญหาคือเราแสวงหา
ความสุขที่เที่ยงแท้ถาวรนั้นในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ถาวร
คือ รูป เสียง กลิ่น รส การสัมผัสทางกาย และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ
สิ่งเหล่านี้มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเป็นธรรมดา
แม้แต่เครื่องรับสิ่งเหล่านี้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
ก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเป็นธรรมดา
สรุปว่าเราหาความสุขผิดที่ ความทุกข์ ความขับข้องใจต่างๆที่เกิดในระหว่าง
การแสวงหาความสุขอย่างขาดปัญญาคือ ทุกขะ อริยสัจที่๑

พระอาจารย์ชยสาโร
..
..



ปัญหาของปุถุชนมักจะเป็นเรื่องง่ายๆ ว่าสิ่งที่มาพร้อมกับความสุข
ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป และสิ่งที่มาพร้อมกับความทุกข์และทุกขเวทนา
ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีเสมอไป ดังนั้นเราจะคบหรือไม่คบ
จะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้อง โดยเอาสุขหรือทุกข์เป็นหลักตัดสิน
อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ถ้าเราเฉยๆ
ไม่ทำอะไรเพียงเพราะว่าไม่รู้สึกสุขหรือทุกข์ อันนี้ความเสียหายต่างๆ
มันก็จะค่อยๆ เกิดทีละเล็กทีละน้อยได้โดยเราไม่รู้ตัวได้
เพราะฉะนั้น การฝึกสติถึงสำคัญอย่างยิ่ง ฝึกสติคือรู้ตัว
ในแต่ละสถานการณ์แต่ละฉากของชีวิต นักปฏิบัติต้องคิดว่า
เมื่อมีสิ่งแวดล้อมอย่างนี้ มีหน้าทีการงานอย่างนี้
วางใจอย่างไร มันจึงจะดีที่สุด จึงจะได้มีสติ
และจะมีสติกับอะไร มีสติกับการเคลื่อนไหวของกายไหม
มีสติกับความรู้สึกในกายไหม มีสติกับการพูดไหม
จะตั้งสติอยู่ตรงไหนอย่างไรมันจึงจะปลอดภัย
ทุกข์มันจึงจะเกิดขึ้นไม่ได้
ปัญญาจึงจะมีโอกาสทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว
นี่มันเป็นกีฬาประจำวัน มันสนุกตรงนี้

พระอาจารย์ชยสาโร
..
..

อานิสงส์ผลดีด้านนอก
ของการขัดเกลาพฤติกรรม
คือความสามัคคีของชุมชน
บรรยากาศปลอดภัย
และอบอุ่น

- พระอาจารย์ชยสาโร
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

the visible fruit of the training of conduct
is harmony of the group
an atmosphere of safety
and warmth

- Ajahn Jayasaro
..
..

อานิสงส์ผลดีด้านใน
ของการขัดเกลาพฤติกรรม
คือจิตปราศจากความเดือดร้อน
เคารพนับถือตัวเอง
รู้สึกเป็นมิตรกับตัวเอง
พร้อมที่จะรับแสงสว่างของธรรม

- พระอาจารย์ชยสาโร
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

the internal fruit of the training of conduct
is a mind free of guilt and regret
fortified by self respect
we become a friend to ourself
primed to welcome the Dhamma’s light

- Ajahn Jayasaro
..
..

สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
เกลียดทุกข์ รักสุข
ไม่ต่างกับตัวเราเลย
ผู้มีปัญญาจึงไม่เบียดเบียนสัตว์
ให้ความปลอดภัย
และเมตตา

- พระอาจารย์ชยสาโร
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

all yes all beings
hate to suffer
love to feel good
just as we do
knowing this
the wise person harms no creature
but offers them safety
and kindness

- Ajahn Jayasaro
..
..

ส่วนมากความรู้ของมนุษย์เรา มักจะ
เป็นในลักษณะนี้
คือว่า ผิดพลาดแล้วจึงค่อยสำนึกตัว
ในทางพระพุทธศาสนา
เราต้องการความรู้เท่าทันในปัจจุบัน
ไม่ปล่อยให้สายเกินแก้

พระอาจารย์ชยสาโร
..
..



รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ เป็นของกลาง
ไม่มีพิษมีภัยในตัวมันเอง
แต่จิตใจมีตัณหา เหมือนโรงงานผลิตทุกข์
โดยเอาสิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุดิบ
ตราบใดที่ยังไม่ละสมุทัย โรงงานย่อมผลิตทุกข์ไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าเราละตัณหาได้เมื่อไหร่ โรงงานก็ปิด และธรรมชาติก็
กลับกลายเป็นธรรมชาติล้วนๆ

พระอาจารย์ชยสาโร
..
..
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 12, 2014, 09:28:59 pm »


                           

เอกลักษณ์ของศาสนาพุทธ คือการยกปัญญาเป็นคุณธรรมสูงสุด ชาวพุทธเราหากมีความจริงใจต่อพระศาสนา จึงต้องมุ่งมั่นให้เป็นผู้มีปัญญา พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าสมาธิเป็นบาทฐานของปัญญาประเภทที่รู้เห็นตามความเป็นจริง จนสามารถทำลายกิเลสได้ ส่วนปัญญาที่เกิดจากความจดจำหรือคิดไตร่ตรอง เป็นประโยชน์มากในชีวิตประจำวัน แต่ได้ผลดีเฉพาะเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างปกติ พอกิเลสเกิดขึ้น พอมีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง มักจะลืมปัญญาระดับนี้เลย พออารมณ์ดับแล้ว เราจึงนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร ฉะนั้น ปัญญาแบบจำได้คิดได้ มีบทบาทจำกัดในการสร้างที่พึ่งภายใน เราจำเป็นต้องเสริมด้วยปัญญาที่สามารถยืนหยัดตลอดเวลา แม้ในยามวิกฤติ บัณฑิตผู้มีปัญญา เห็นเรื่องที่ควรคิด ควรพิจารณาก็คิดพิจารณาในเรื่องนั้น แต่บัณฑิตรู้จักกาละเทศะ เวลาไหนไม่ต้องคิดก็สามารถปล่อยวางได้ ท่านว่า สามารถอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต้องการ ตามความต้องการคือสมาธิภาวนา จิตสงบแล้ว ถึงเวลาที่สมควรก็น้อมใจเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในหลักธรรม เหมือนแมงมุม ไม่มีแมลงก็อยู่เฉยๆ อย่างมีสติ พอแมลงติดหยากไย่ก็ออกไปจัดการ

ในสมัยปัจจุบันนี้ คนจำนวนมากเป็นทุกข์เพราะความคิดมากกว่าปัญหาในการเอาตัวรอดทางด้านวัตถุ แต่สังคมยังไม่ค่อยปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ ยังไม่มีค่านิยมในการบริหารความคิด ระบบการศึกษาสอนแต่ให้คนรู้จักคิด เราจึงคิด คิด คิด อยู่ตลอดเวลา แต่หยุดคิดไม่ค่อยเป็น นอกจากเวลานอนหลับเท่านั้น และทุกวันนี้คนเครียดมากเสียจนนอนไม่ค่อยหลับก็มีเยอะ หรือถึงจะนอนหลับก็ยังต้องฝันอีก หลับแล้วต้องฝันเพราะอะไร เพราะความคิดยังคั่งค้างอยู่ ไม่ยอมปล่อยวาง ตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ไม่สดชื่นเพราะสมองแช่อยู่ในความอยาก ความกลัว ความกังวลอยู่ทั้งคืน จะจัดการกับความคิด ไม่ให้มันเป็นพิษเป็นภัยต่อชีวิตเรา อาตมาเชื่อว่าการฝึกจิตคือทางเดียวที่ได้ผล

การฝึกสมาธิภาวนาจะประสพความสำเร็จอย่างเต็มที่ ต้องประกอบด้วย สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สิ่งที่ผู้ภาวนาจะขาดไม่ได้คือ ความเข้าใจในหลักสำคัญทางพระพุทธศาสนาเช่นกฎแห่งกรรม อริยสัจสี่ ไตรลักษณ์ เป็นต้น จำเป็นต้องรู้ความสัมพันธ์เนื่องอาศัยกันของศีล สมาธิ ปัญญา ต้องไม่เชื่ออะไรที่ขัดกับความจริงของธรรมชาติ เช่นไม่เชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลกคอยดลบันดาลชีวิตของมนุษย์ ไม่เชื่อว่านิพพานเป็นอัตตาเป็นต้น ถ้าอย่างนั้นผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่นทำสมาธิได้ไหม ได้สิ และได้ผลคือความสงบสุขในระดับหนึ่งด้วย ที่ไม่ได้คือความตั้งใจมั่นซึ่งเป็นบาทฐานของวิปัสสนา อันเป็นอาวุธเดียวที่สามารถนำเราไปสู่ความเป็นอิสระจากกิเลสอย่างแท้จริง

ความเห็นผิด ไม่ใช่อุปสรรคเดียวที่ควรระวัง ความอยากผิดก็อันตรายเหมือนกัน หลวงพ่อชาท่านสอนลูกศิษย์ของท่านอยู่เสมอว่า อย่าปฏิบัติเพื่อเอาอะไร อย่าปฏิบัติเพื่อจะได้อะไร จงปฏิบัติเพื่อละ ปฏิบัติเพื่อปล่อย ถ้านั่งสมาธิคิดอยากได้นั่น อยากเห็นนี่ อยากมี อยากเป็น การทำสมาธิจะเศร้าหมอง แล้วจะไม่เป็นสมาธิพุทธ เพราะการทำสมาธิด้วยตัณหา ไม่ใช่แนวทางเพื่อพ้นทุกข์ ทั้งนี้ก็เพราะมันเป็นการกระทำที่ขัดแย้งในตัว คือถ้าเผื่อเราทำสมาธิเพื่อละตัณหาเป็นแรงบันดาลใจแล้วเราจะสำเร็จไหม เหมือนผู้นำประเทศเชิญเจ้าพ่อเป็นอธิบดีกรมตำรวจช่วยปราบคนพาล ครูบาอาจารย์ให้เราทำสมาธิด้วยฉันทะ คือความอยากไม่อยู่เกี่ยวกับกามหรืออัตตา เช่นต้องการให้จิตใจเรามีคุณธรรม ละกิเลสได้ เรานั่งหลับตาเพื่อทำให้จิตเราสงบจากกาม สงบจากอกุศลทั้งหลาย พอที่จะอำนวยความสะดวกแก่การทำงานของปัญญา

                     

The uniqueness of Buddhism Is to lift up the moral wisdom . If we are true to the Buddhist religion. It must strive to be wise . The Buddha said that mindfulness baht base of intellectual types accomplice after the fact . It can be frustrating Passion The intelligence that arises from the recognition or contemplated . Be very useful in everyday life. It is effective only when everything normal. Passion is happening I have severe traumatic . Intellectual level tend to forget this. The mood extinct We realized what was happening, so intelligent designer recalls thinking . Play a limited role in creating a refuge within. We need to supplement with wisdom that can stand all the time. Even in times of crisis Graduate spirituality Comments should think about Consideration should also think about that. Secretary is selectively I think it's time not to be able to let him be the one you want. According to the spiritual meditation to calm the mind should bow to achieve a deeper understanding of the principles do not like spiders, insects are dormant consciously stick insects cobweb enough to handle it .

In this present Many people are suffering because of the greater difficulty in inciting the object. But society has not adapted to the new situation . N values in management thinking. Education system , but to teach people to think we were thinking , thinking, thinking all the time , but rarely stop to think . It 's time to sleep And the stressful day, so much so that sleep a lot. I also need to sleep or to dream more. What sleep to dream I think the bottleneck Not released Waking up in the morning refreshed because the brain is not immersed in craving , fear, worry all night . To deal with the idea It's not a threat to life . The ego believes that a spiritual practice is the only way to be effective.

Practicing meditation will succeed fully. Sammādiṭṭhi approval must include what the prayer is indispensable . Understanding of the significance of the Four Noble Truths of Buddhism such as karma , Trinity , etc. need to know the relationship between the living precepts , meditation wisdom must not believe anything that is contrary to the truths of nature. God created the world , such as do not believe there are preordained life. Nirvana's ego will not believe . So those of other religions or cults like meditation to me , and the result is peace in the future. That was not intended, it is the base of introspection baht . As a weapon, one that can lead us to a truly free from passion .

Comments are not the only obstacle to be aware of . I want the same danger . Ajahn he always taught his devotees . Do not practice what Do not do anything to Give effect to the Practice to leave I meditate, I think that I see here, I have wanted to be a gloomy meditation . It is not a Buddhist meditation Because meditation with passion Aligned to suffering This is because it is an act of contradiction . If meditation is for us to be inspired by the passion , we will accomplish this . The Godfather -like leader is the chief of police to subdue a bully . Meditation teacher gave us a proxy . It is not erotic or ego. To my mind , such a moral passion and we ride our eyes to make the mental peace of Kam. Propagators are composed of Enough to facilitate the work of intelligence.

หลวงพ่อชยสาโร



ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรมให้อยู่เป็นสุข โดยธรรมสุจริต "ตดเกิดตดดับ"..
>>> F/B พอเพียง มาก กับ Kajitsai Sakuljittajarern
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 17, 2013, 09:52:15 pm »





...ผู้ที่มีสติกำหนดรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง จะเป็นผู้ที่รู้สึกสดใส
และเป็นผู้ไม่กระสับกระส่าย กระวนกระวาย
ที่จะแสวงหาความสุขและความมั่นคงจากภายนอก
ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
หรือจะเป็นความรักความเคารพจากคนอื่น

ทีนี้ เราไม่มีความรู้สึกว่าเราขาดอะไร
ไม่ต้องการอะไรจากใครในโลก
เราไม่มีความรู้สึกว่าเรามีอะไรเกิน
จะมีแต่ความรู้สึกว่ามันพอดี ตรงนี้แหละจิตเป็นธรรม...

(พระอาจารย์ชยสาโร)
>>> F/B คติธรรมนำชีวิต


ในระดับตัวบุคคล สิ่งที่สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้กับชีวิตเรามากที่สุด น่าจะเป็นความเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ความทุกข์กายไม่ใช่เรื่องของกายอย่างเดียว จิตใจมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่เสมอไม่มากก็น้อย เช่น ความเครียด ความซึมเศร้า ความกังวล อารมณ์เศร้าหมองทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมมีผลกระทบต่อภูมิต้านทานโรค ทำให้ป่วยง่ายและหายช้า เป็นที่ยอมรับกันแล้วในวงการแพทย์ว่า ความโกรธเป็นปัจจัยสำคัญของโรคหัวใจ ส่วนความโลภอาจทำให้ติดยาเสพติดหรือเป็นกามโรคได้ อีกเรื่องหนึ่งที่กำลังเป็นที่วิตกกันมากคือนิสัยการกิน

 คนจำนวนมากทีเดียวยอมกินอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายเพียงเพราะชอบรสชาติ คนสมัยนี้เป็นโรคเพราะวิถีชีวิตกันมาก โรคอ้วนเป็นตัวอย่างที่เด่นที่สุด สาเหตุสำคัญคือการกินมากเกินความต้องการของร่างกาย ในปัจจุบันนี้นักวิจัยบอกว่าคนอเมริกันตายเพราะโรคอ้วนปีละ ๓๐๐,๐๐๐ คน การรักษาโรคอ้วนใช้งบประมาณปีละ ๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ ยุคนี้คือยุคไขมันเจริญ การไม่ควบคุมอาหาร การไม่ยอมออกกำลังกาย เป็นปัญหาของพฤติกรรมก็จริง แต่เกิดจากมโนกรรมคือจิต ต้องแก้ที่จิตใจคนก่อน เพราะถ้าบริหารอารมณ์ได้ เรื่องปากมันจะเป็นเอง ไม่ต้องกินแก้กลุ้ม กินแก้เบื่อ กินแก้เหงา อีกต่อไป

การฝึกจิตทำให้รู้จักปล่อยวางความยึดถือยึดมั่นในอารมณ์ คนเรารู้จักบริหารอารมณ์ได้ดีก็ช่วยทางด้านสุขภาพกายได้ดีด้วย โรคที่เกิดเพราะกรรมยังคงมีอยู่จริง แต่โรคที่มีสาเหตุมาจากจิตจะลดน้อยลงมาก ยารักษาโรคที่กระทรวงสาธารณสุขต้องซื้อมาจากเมืองนอกในราคาแพงๆ จะลดลง สรุปว่าการนั่งหลับตาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ประหยัด แค่ราคายานอนหลับ ยากล่อมประสาท ก็ได้เงินมหาศาลแล้ว

หลวงพ่อชยสาโร
ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรมให้อยู่เป็นสุข โดยธรรมสุจริต "ตดเกิดตดดับ"..
>>> F/B พอเพียง มาก กับ Kajitsai Sakuljittajarern

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: กันยายน 14, 2013, 06:28:09 pm »




ในศาสนาพุทธ เราถือว่าสมาธิคือเครื่องระงับอารมณ์
มีแต่ปัญญาเท่านั้นที่สามารถระงับกิเลสได้
แต่ปัญญาจะทำหน้าที่ขจัดกิเลสได้ก็เมื่อจิตมีความสงบ
ความมั่นคง ความผ่องใส และพลังของสมาธิ

พระอาจารย์ชยสาโร


:mohandas karimpanackal
G+ NaiChang Boon สนทนาธรรมตามกาล
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 25, 2013, 04:51:01 pm »




ถ้าต้องการให้โลกไม่มีปัญหาเหมือนกับต้องการให้มหาสมุทรไม่มีคลื่น มันเป็นธรรมชาติของมัน… เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน เรียกว่ามันถูกต้อง มันถูกต้องของมัน บางทีที่ไม่ถูกต้องคือความคิดของเราที่อยากให้มันเป็นอย่างอื่น

 จากธรรมเทศนาเรื่อง เรื่อง อ่านใจ วันที่ 30 มกราคม ๒๕๕๖
ในการปฏิบัติธรรมบ้านพอ ปี ๒๕๕๖ ณ บ้านพอ แม่ริม เชียงใหม่
***************************

การพัฒนาสิ่งดีงามในชีวิตต้องพัฒนาทั่งกาย ทั้งวาจา ทั้งจิต ทั้งปัญญา พร้อมๆกัน ศีลในระดับละเอียดนั้นท่านแปลว่าปกติ เราสำรวมกาย วาจา สำรวมใจ ได้สำนึกได้สังเกตความไม่ปกติของตัวเอง เมื่อเราพยายามอยู่กับลมหายใจ จิตใจดิ้นรน ไม่ค่อยยอม นั่นก็เป็นกำไรทางปัญญา ถึงจะไม่ได้กำไรทางความสงบของจิตใจ ปัญญาที่รู้ว่าภาวะจิตของเราทุกวันนี้มันเป็นอย่างนี้ เราสังเกตว่าจิตมันชอบคิดเรื่องอะไรบ้างเวลาจะอยู่กับลมหายใจ แต่ว่ามันหนีไป มันโดดเรียน โดดเรียนแล้วมันหนีไปอยู่ที่ไหน มันไปหาความบันเทิงที่ไหน

 เวลาเราคิดต้องสังเกตว่าอาการของจิตใจที่เผลอที่กำลังคิดอยู่ เราจะมองในกรณีของเนื้อหาที่คิดก็ได้ ก็จะได้ปัญญาตรงนี้ด้วยว่าจิตใจสนใจเรื่องอะไรบ้าง

 ดังนั้นคนเราเข้าข้างตัวเองเป็นประจำ อาจจะมองตัวเองในแง่ที่ดีเกินไปเสียส่วนใหญ่ สลับกับมองตัวเองในแง่ร้ายแต่จะตรงกับความเป็นจริงน้อยมาก ส่วนมากถ้าไม่ดีเกินความจริง มันก็ร้ายกว่าความจริง แต่เมื่อเราพยายามอยู่กับลมหายใจ จิตไปที่ไหนเราโกหกตัวเองไมได้ นี่คือสิ่งที่จิตเรายินดี นี่คือสิ่งที่จิตใจเราสนใจ เป็นการเปิดเผยว่าจิตใจของเรากำลังยึดติดในเรื่องอะไรบ้าง

 จากธรรมเทศนาเรื่อง ภาวนาคิอเรียนรู้
ณ บ้านพอ วันที่ 22 มกราคม 2555 แม่ริม เชียงใหม่
*********************

เราทำสมาธิเพื่อหาทางสายกลาง คือ จุดที่ไม่คิดแต่ไม่หลับ
 ถาม: ช่วงแรกของการนั่งสมาธิจะมีอาการง่วงมาก แต่พอฝืนใจตนเองไปสักนิด อาการง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้ง มีคนกล่าวว่าถ้าอาหารง่วงหาย เป็นเพราะมีสมาธิ แต่ทำไมดิฉันยังคิดมากฟุ้งซ่านอยู่ถ้าดิฉันมีสมาธิจริงๆ

 ตอบ: การที่ความง่วงหายนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะมีสมาธิก็ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะมีความฟุ้งซ่านก็ได้ เป็นแค่การเปลี่ยนตัวนิวรณ์ใหม่ คืออาจจะเป็นสมาธิสักพัก แต่สมาธิไม่มั่นคง แล้วก็เลยกลายเป็นความฟุ้งซ่านต่อ นี่ก็เป็นไปได้ ส่วนมากจิตใจของคนเราก็เหมือนเด็กเล็ก เคยสังเกตเด็กไหม คือมันรู้จักแต่วิ่งกับหลับ วิ่งไปวิ่งมาเหนื่อยก็หลับไปเลย ส่วนมากโตแล้วเราก็ยังเป็นอย่างนั้น จิตรู้แต่ฟุ้งซ่านกับง่วง ฟุ้งซ่านคิดไปคิดมา พอความคิดลดน้อยลงๆ ก็ง่วง เราจึงรู้จักแต่คิดกับหลับ ไม่คิดก็หลับ ไม่หลับก็คิด ทีนี้เราทำสมาธิเพื่อหาทางสายกลาง คือ จุดที่ไม่คิดแต่ไม่หลับ สมาธิมันอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องใช้เวลาเหมือนกัน

 จากหนังสือ ชีวิตคือความท้าทาย
จัดทำโดย มูลนิธิปัญญาประทีป และโรงเรียนทอสี
********************

...ความคิดก็เป็นผู้สร้างโลก เราสร้างโลกที่เราอยู่อาศัยด้วยความคิด ด้วยสัญญา นี่ไม่ได้หมายถึงโลกที่เป็นวัตถุแต่หมายถึงโลกแห่งความหมาย โลกของแค่ละคนคือสิ่งที่เราเลือกสำคัญมั่นหมาย สิ่งที่เราให้น้ำหนัก สิ่งที่เราถือว่าสำคัญ นั่นคือโลกที่เราอยู่

 ถ้าเราไม่ศึกษากระแสอารมณ์ ไม่ศึกษากระแสความคิด เราจะไม่รู้สึกตัวในเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นคอมม่อนเซนส์ เป็นเรื่องที่ชัดเจนแล้ว ทุกๆคนก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างนี้ แต่พอเราหยุดเมื่อไหร่ โลกที่เราสร้างขึ้นมาและสร้างอยู่ทุกวันทุกเวลานาทีนั้นก็วินาศ วันนี้มีพยากรณ์ว่าปีนี้ปลายปีนี้โลกจะวินาศ โลกมันก็วินาศอยู่ตลอดเวลา โลกวินาศมันก็ดีเหมือนกัน ถ้าเป็นโลกแห่งความคิด โลกมายาที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาและเครียดในการรักษาไว้

 ที่พระพุทธองค์และครูบาอาจารย์ต้องการให้เราพิจารณาถึงความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอนเป็นประจำก็คือ สัญชาตญาณของผู้ลอยตามกระแสคือการมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของแน่นอน การฝึกมองการระลึกสำนึกอยู่ในความไม่แน่นอนก็เป็นการทวนกระแสของตัณหาเหมือนกัน...

จากธรรมเทศนาเรื่อง ภาวนาคิอเรียนรู้
ณ บ้านพอ วันที่ 22 มกราคม 2555 แม่ริม เชียงใหม่
**************************

จิตใจปล่อยวางความเพลินอยู่ในความจำ ความเพลินอยู่ในความคิด สามารถอยู่อย่างสันโดษ มักน้อย อยู่ในปัจจุบัน ไม่หิวโหย ไม่แสวงหาสิ่งใดเป็นเครื่องบันเทิงของจิตใจ แล้วเรื่องแปลกคือพอเราหยุดการแสวงหาความสุข ความสุขก็ปรากฏทันที

 คือสามัญสำนึก อวิชชาบอกว่าเราต้องการความสุข เราก็ต้องแสวงหา แล้วยิ่งในสมัยปัจจุบันนี้ ก็จะเข้าใจว่าความสุขเกิดจากการบริโภค เกิดจากการจ่ายเงิน เกิดจากการตอบสนองความต้องการของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือเป็นเรื่องของกาม แต่เรื่องนี้เราไม่ต้องไปเถียงกับใคร ขอให้เราได้ศึกษาความจริงของชีวิต โดยไม่ต้องผ่านหนังสือ ไม่ต้องผ่านผู้รู้ ไม่ต้องผ่านอะไรก็ได้ เราแต่ละคนทุกคน มีศักยภาพที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเองได้ อันนี้เป็นบุญของการเกิดเป็นมนุษย์

 จากธรรมเทศนาเรื่อง โอฆะสี่ น้ำท่วมใจ
ณ บ้านบุญ วันที่อาทิตย์ 2 ตุลาคม 2554 ปากช่อง นครราชสีมา



:https://www.facebook.com/jayasaro.panyaprateep.org