ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (It is never too late to mend):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มกราคม 01, 2016, 09:27:17 am »


 
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

พราหมณสูตร
อริยมรรคเรียกชื่อได้ ๓ อย่าง
[๑๒] สาวัตถีนิทาน. ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร
เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ได้เห็นชาณุสโสณีพราหมณ์ออกจากพระนครสาวัตถี ด้วยรถ
เทียมด้วยม้าขาวล้วน ได้ยินว่า ม้าที่เทียมเป็นม้าขาว เครื่องประดับขาว ตัวรถขาว ประทุนรถ
ขาว เชือกขาว ด้ามประตักขาว ร่มขาว ผ้าโพกขาว ผ้านุ่งขาว รองเท้าขาว พัดวาลวิชนีที่
ด้ามพัดก็ขาว ชนเห็นท่านผู้นี้แล้ว พูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ยานประเสริฐหนอ รูป
ของยานประเสริฐหนอ ดังนี้.

[๑๓] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต
กลับจากบิณฑบาต เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน
พระวโรกาส เวลาเช้า ข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี
ข้าพระองค์เห็นชาณุสโสณีพราหมณ์ออกจากพระนครสาวัตถี ด้วยรถม้าขาวล้วน ได้ยินว่า ม้าที่
เทียมเป็นม้าขาว เครื่องประดับขาว ตัวรถขาว ประทุนรถขาว เชือกขาว ด้ามประตักขาว ร่มขาว
ผ้าโพกขาว ผ้านุ่งขาว รองเท้าขาว พัดวาลวิชนีที่ด้ามก็ขาว ชนเห็นท่านผู้นี้แล้ว พูดอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ยานประเสริฐหนอ รูปของยานประเสริฐหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระองค์อาจทรงบัญญัติยานอันประเสริฐในธรรมวินัยนี้ได้ไหมหนอ?

[๑๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ อาจบัญญัติได้ คำว่ายานอันประเสริฐ
เป็นชื่อของอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ นี้เอง
เรียกกันว่า พรหมยานบ้าง ธรรมยานบ้าง รถ
พิชัยสงคราม
อันยอดเยี่ยมบ้าง.
[๑๕] ดูกรอานนท์ สัมมาทิฏฐิบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะ
เป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๑๖] ดูกรอานนท์ สัมมาสังกัปปะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัด
ราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๑๗] ดูกรอานนท์ สัมมาวาจาที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัด
ราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.

[๑๘] ดูกรอานนท์ สัมมากัมมันตะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัด
ราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๑๙] ดูกรอานนท์ สัมมาอาชีวะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัด
ราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๒๐] ดูกรอานนท์ สัมมาวายามะที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัด
ราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๒๑] ดูกรอานนท์ สัมมาสติที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะ
เป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.

[๒๒] ดูกรอานนท์ สัมมาสมาธิที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัด
ราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.
[๒๓] ดูกรอานนท์ ข้อว่า ยานอันประเสริฐ เป็นชื่อของอริยมรรคประกอบด้วย
องค์ ๘ นี้เอง เรียกกันว่า พรหมยานบ้าง ธรรมยานบ้าง รถพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมบ้าง
นั้น
พึงทราบโดยปริยายนี้แล.


พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถา
ประพันธ์ต่อไปอีกว่า
[๒๔] อริยมรรคญาณนั้นมีธรรม คือ ศรัทธากับปัญญาเป็นเอก มีศรัทธา
เป็นทูบ มีหิริเป็นงอน มีใจเป็นเชือกชัก มีสติเป็นสารถีผู้ควบคุม
รถนี้มีศีลเป็นเครื่องประดับ มีญาณเป็นเพลา มีความเพียรเป็นล้อ
มีอุเบกขากับสมาธิเป็นทูบ ความไม่อยากได้เป็นประทุน กุลบุตร
ใดมีความไม่พยาบาท ความไม่เบียดเบียน และวิเวกเป็นอาวุธ
มีความอดทนเป็นเกราะหนัง กุลบุตรนั้นย่อมเป็นไปเพื่อความเกษม
จากโยคะ พรหมยานอันยอดเยี่ยมนี้ เกิดแล้วในตนของบุคคล
เหล่าใด บุคคลเหล่านั้นเป็นนักปราชญ์ ย่อมออกไปจากโลกโดย
ความแน่ใจว่า มีชัยชนะโดยแท้.

จบ สูตรที่ ๔

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ บรรทัดที่ ๗๔ - ๑๒๔. หน้าที่ ๔ - ๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=19&A=74&Z=124&pagebreak=0
ฟังพระสูตรนี้ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/listen/?b=19&item=12
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=12


Google+ชาตรี กองนอก
Shared publicly 1.1.2529 - 4:25 AM
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2012, 05:03:49 pm »




   ตราบเท่าที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราจะยังต้องเผชิญกับความขึ้นลง และความผันผวนของชีวิตนานัปการ บางครั้งอะไร ๆ ก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นด้วยดี แต่บางครั้งกลับต้องประสบกับความผิดหวัง ความท้อถอย ความทุกข์และโทมนัสต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้ครอบครองยานพาหนะสู่พระนิพพานแล้ว จะสามารถขับเคลื่อนผ่านเวลาแห่งความทุกข์ยากไปได้อย่างราบรื่น และไม่เสียสมดุลจนเกินไปในยามที่มีความสุข ประตูสู่อบายได้ปิดตายลงแล้ว และบุคคลผู้นั้นสามารถดำเนินไปสู่พระนิพพานอันเป็นที่ที่ปลอดจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ตลอดเวลา

   เป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวสรรเสริญความเลิศล้ำของราชรถสู่พระนิพพานได้ทั้งหมด แต่ขอให้แน่ใจได้ว่า หากผู้ปฏิบัติสามารถสร้างและครอบครองยานนี้ได้โดยบริบูรณ์ จะได้พบกับความเต็มเปี่ยมที่แท้จริงของชีวิต

   ไม่พึงคิดยอมพ่ายแพ้เป็นอันขาด
ขอเพียงทุ่มเทกำลังและความเพียรทั้งหมดที่มี พยายามประกอบ และมียานพาหนะนี้ไว้ในครอบครองให้จงได้

   ปิดประตูอบาย   
   เมื่อประมาณกว่า ๒๕๒๕ ปีมาแล้ว พระพุทธองค์ได้ประกาศให้โลกได้รู้จักราชรถสู่พระนิพพาน อันเป็นราชรถแห่งพระธรรมเป็นครั้งแรก ในคราวที่ทรงแสดงปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” หลังจากที่ได้ตรัสรู้

   ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก สัตว์โลกทั้งหลายตกอยู่
ในความมืดมิดแห่งอวิชชา ไม่รู้จักอริยมรรคมีองค์แปด ผู้ปลีกตัวจากโลก อนาคาริก นักพรต นักปราชญ์ทั้งหลายล้วนมีความคิดเห็น คาดคะเน และตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับสัจธรรมของตนเองไปต่าง ๆ นานา


   ในเวลานั้น เช่นเดียวกับในขณะนี้ บางคนเชื่อว่าพระนิพพานคือความสุขทางผัสสะทั้งหลาย จึงพยายามบำรุงบำเรอตนเองด้วยกามสุข บางพวกมองพฤติกรรมดังกล่าวด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยาม และต่อต้านด้วยการทรมานหรือทำร้ายตนเอง พวกเขาละทิ้งความยินดีและความสุขสบายทางร่างกาย โดยมองว่านี้คือความเพียรอันประเสริฐ โดยรวมแล้ว สัตว์โลกมีชีวิตอยู่ในความหลง ไม่มีหนทางเข้าถึงสัจธรรม ทำให้ความเชื่อและการกระทำเป็นไปตามยถากรรม ต่างคนต่างมีความคิดเห็นของตัวเอง และด้วยความคิดเห็นเช่นนั้น ก็ทำอะไรไปต่าง ๆ กันมากมาย

   พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธการบำเรอตนเองด้วยกามสุข หรือการทำร้ายเบียดเบียนตนเอง วิถีทางของพระองค์ตั้งอยู่ระหว่างทางอันสุดโต่งทั้งสอง เมื่อทางประกาศอริยมรรคมีองค์แปดต่อเวไนยสัตว์ ศรัทธาที่แท้จริงอันมีรากฐานอยู่บนสัจธรรมแห่งชีวิต ศรัทธาตั้งมั่นอยู่บนความเป็นจริง มิใช่เพียงแนวความคิด

   ศรัทธามีพลานุภาพยิ่งใหญ่ต่อจิตสำนึกของแต่ละบุคคล ศรัทธาจึงเป็นหนึ่งในอินทรีย์ทั้งห้า เมื่อมีศรัทธา วิริยะก็จะเกิดขึ้นได้ ศรัทธากระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในการเจริญภาวนา และเป็นบาทฐานของธรรมะอื่น ๆ ทั้งหมด เช่น สมาธิ และปัญญา เมื่อพระพุทธองค์ทรงประกาศอริยมรรคมีองค์แปด พระองค์ทรงจุดประกายให้อินทรีย์ทั้งห้าเจริญขึ้นในหมู่ชน ความเข้าใจในสัจธรรมก็เริ่มปรากฏขึ้นในหัวใจของชาวโลก ทำให้สามารถเข้าถึงอิสรภาพและสันติสุขอันแท้จริง


   อาตมาขอให้ศรัทธาในการปฏิบัติของทุกท่านจงเป็นศรัทธาที่จริงใจ และลึกซึ้ง และเป็นรากฐานให้ทุกท่านบรรลุความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง

                                                                    พระกัมมัฏฐานาจริยะ อูบัณฑิตาภิวังสะ




คุณสินีรัตน์ ศรีประทุม พิมพ์ต้นฉบับ
นำมาแบ่งปันโดย : miracle of love
:http://bhaddanta.blogspot.com/2006/01/blog-post_24.html
-http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=757.30



Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * สุขใจดอทคอม
อกาลิโกโฮม.. บ้าน ที่แท้จริง...

กุศลผลบุญใดที่พึงบังเกิดจากธรรมทานนี้ ขอจงเป็นบุญเป็นปัจจัย
แด่ท่านผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธรรมทานเหล่านี้ ทุกๆท่าน
รวมทั้งท่านเจ้าของภาพ ทุกๆภาพ เรียนขออนุญาตใช้ภาพ

ไว้ ณ ที่นี้... นะคะ
อนุโมทนาสาธุ.. ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2012, 03:14:27 pm »


   พระพุทธองค์ทรงสรุปไว้อย่างชัดแจ้งว่า ความสำเร็จในการเจริญภาวนานั้น มิได้แบ่งแยกด้วยเพศแต่ประการใด ไม่ว่าหญิงหรือชาย สามารถมั่นใจได้ว่าราชรถนี้สามารถนำไปสู่พระนิพพานได้อย่างแน่นอน ราชรถนี้เคยมีอยู่ในอดีต และยังมีอยู่ในปัจจุบันสำหรับทุก ๆ คน

   ในยุคสมัยใหม่ เรามีพาหนะมากมายหลายประเภทที่ใช้ในการเดินทาง มีสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ในการเดินทาง มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นในวงการเดินทางขนส่งอยู่เสมอ มนุษย์สามารถเดินทางบนบก ทางทะเล หรือในอากาศ คนธรรมดา ๆ สามารถเดินทางรอบโลกได้โดยไม่ยากนัก มนุษย์ได้เดินทางขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์มาแล้ว ยานอวกาศมากมายเดินทางไปสู่ดวงดาวอื่น และไกลออกไปกว่านั้นอีก

   แต่ไม่ว่ายานอวกาศเหล่านี้จะไปได้ไกลสักเพียงไร ก็คงไม่อาจช่วยให้เราไปถึงพระนิพพานได้ หากมียานพาหนะใดที่ไปถึงพระนิพพานได้ อาตมาก็อยากจะมีไว้สักลำ อย่างไรก็ตาม อาตมายังไม่เคยได้ยินโฆษณา หรือว่ามีใครรับประกันว่ามียานวิเศษที่จะนำบุคคลไปสู่ความสันติอันสมบูรณ์ของพระนิพพานได้

   ไม่ว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะมีความก้าวหน้าสักเพียงไร ก็ยังไม่อาจรับประกันได้ว่า ยานพาหนะที่ประณีตเลิศล้ำที่สุดจะปราศจากอุบัติเหตุโดยสิ้นเชิง อุบัติเหตุที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตเกิดขึ้นทั้งบนบก ในทะเล ในอากาศ และในอวกาศ คนจำนวนมากเสียชีวิตด้วยเหตุนี้ อาตมามิได้หมายความว่า การเกิดอุบัติเหตุทำให้ยานพาหนะต่าง ๆ ไร้ประโยชน์ แต่หมายเพียงว่า เราไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของยานพาหนะเหล่านี้ได้ ยานพาหนะประเภทเดียวกันที่มีประกันภัยร้อยเปอร์เซ็นต์มีเพียงอริยมรรคมีองค์แปดเท่านั้น


   รถยนต์สมัยใหม่มีมาตรฐานสมรรถนะ และความปลอดภัยสูงมาก หากท่านร่ำรวย ท่านสามารถซื้อรถยนต์ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก รวดเร็ว และหรูหราที่สุด ซึ่งจะพาท่านเดินทางไปในที่ต่าง ๆ เมื่อใดก็ได้ หากท่านไม่ร่ำรวย ท่านอาจขอกู้ยืมเงินเพื่อมาซื้อรถ หรือเช่ารถเก๋ง หรือรถสปอร์ตสักคันไว้เป็นเวลาสั้น ๆ หรือไม่ก็นั่งรถโดยสารสาธารณะ แม้กระทั่งหากท่านยากจน ท่านก็อาจยืนข้างถนน และโบกรถเพื่อขอร่วมทางโดยสารไปกับรถคันอื่น

   อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นที่รับรองว่าการเดินทางนั้นจะราบรื่น แม้ว่ารถนั้นจะเป็นรถของเราเอง เราต้องนำรถไปเติมน้ำมัน ดูแลบำรุงรักษา ซ่อมแซมเวลาที่รถเสียหาย มีภาระต่าง ๆ มากมาย และยานพาหนะทุกชนิดก็ต้องถูกลากไปทิ้งที่กองขยะรถเก่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง ยิ่งเราใช้งานมากเพียงใด รถของเราก็ใกล้วันถูกทิ้งเข้าไปมากเพียงนั้น


  ดังนั้น จึงเป็นการดีกว่า ถ้าเราจะสร้างยานพาหนะไปสู่พระนิพพานด้วยวิธีการที่ล้ำเลิศและมีมาตรฐานที่สูงส่งเช่นกัน เพราะยานพาหนะนี้จะไม่มีวันเสื่อมสลาย จะเป็นการดีสักเพียงไร หากคนทั่วไปสามารถครอบครองยานพาหนะนี้ได้โดยง่าย หากใครก็ได้สามารถเป็นเจ้าของยานพาหนะสู่พระนิพพาน ลองคิดดูว่า โลกจะมีสันติสุขสักเพียงใด ยานพาหนะนี้นำไปสู่สิ่งที่ประมาณค่ามิได้ พระนิพพานไม่สามารถซื้อหาหรือเช่ามาได้ ไม่ว่าท่านจะร่ำรวยสักเพียงใดก็ตาม ท่านต้องออกแรงทำความเพียรเพื่อให้ได้มา พระนิพพานนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อท่านก็ต่อเมื่อท่านได้เป็นเจ้าของพระนิพพานเองเท่านั้น

   ในโลกนี้ ยานพาหนะส่วนใหญ่ล้วนสร้างไว้เสร็จเรียบร้อยมาจากโรงงาน แต่ยานพาหนะสู่พระนิพพานนั้นต้องสร้างด้วยตนเอง เป็นอุปกรณ์ที่ต้องต่อเติมเอง เบื้องต้นผู้ปฏิบัติต้องมีศรัทธา พระนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติบรรลุได้ และต้องมีศรัทธาต่อหนทางที่จะนำไปสู่พระนิพพาน นอกจากนี้ ผู้ปฏิบัติต้องมีแรงบันดาลใจอันได้แก่ความปรารถนาอย่างจริงใจ และมุ่งมั่นที่จะเดินทางไปสู่จุดหมาย แต่แรงบันดาลใจเพียงอย่างเดียวจะพาผู้ปฏิบัติไปไม่ได้ไกล นอกเสียจากผู้ปฏิบัติจะลงมือปฏิบัติจริง ๆ ผู้ปฏิบัติต้องลงทุนลงแรง ใช้ความพยายามพากเพียรเจริญสติอย่างไม่ย่อมท้อ ยืนหยัดภาวนาทุก ๆ ขณะเพื่อให้สมาธิเกิดขึ้น และปัญญาเจริญงอกงามและแก่กล้าโดยสมบูรณ์

   หากอริยมรรคสามารถประกอบได้สำเร็จรูปเหมือนรถยนต์ที่มาจากสายการผลิตที่โรงงาน ก็คงจะดีไม่น้อย ทว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้น ผู้ปฏิบัติที่น่าสงสารอย่างเรา ๆ จึงต้องลงมือสร้างยานนี้เอง เราต้องติดเครื่องมืออาวุธให้ตัวเราเองด้วยศรัทธาและความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย เราต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในทุกสถานการณ์ ฝ่าฟันความยากลำบาก ความเหนื่อยล้า ความเบื่อหน่าย และความตึงเครียดจากการดิ้นรนที่จะประกอบยานของเราขึ้นมาเอง เมื่อประกอบเสร็จแล้ว เราต้องทุ่มเทความเพียรเพื่อให้ล้อของยานนี้หมุนไป พยายามดำรงเกราะกำบังแห่งสติไว้ให้มั่นคง ตั้งมั่นอยู่ในหิริและโอตตัปปะ อันเป็นเสมือนพนักพิงที่จะให้เราอิงอาศัยได้ ฝึกสัมมาทิฏฐิอันเป็นสารถีของเราให้ขับเคลื่อนไปตามทางที่ถูกต้อง ในที่สุด หลังจากที่ผ่านญาณลำดับต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว เราก็จะได้ครอบครองราชรถแห่งโสดาปัตติมรรค เมื่อราชรถดังกล่าวเป็นของเราแล้ว เราจะสามารถดำเนินสู่พระนิพพานได้อย่างสะดวกและง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง


   เมื่อราชรถแห่งการเข้าสู่กระแสพระนิพพานได้บรรลุเป้าหมายแล้ว ก็จะไม่มีวันเสื่อมค่าหรือมีสมรรถภาพลดลง ซึ่งแตกต่างจากยานพาหนะอื่น ๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ เราไม่ต้องหยอดน้ำมันเครื่อง ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วน ยิ่งใช้ก็ยิ่งแข็งแรงและมีความประณีตยอดเยี่ยมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นยานพาหนะที่ปลอดอุบัติเหตุอย่างสิ้นเชิง เมื่อเราเดินทางบนยานพาหนะนี้ รับประกันได้ว่าจะมีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2012, 01:06:01 pm »



  อริยทรัพย์
   คุณประโยชน์อีกประการหนึ่งของการเข้าสู่กระแสพระนิพพาน คือ การได้อริยสมบัติเจ็ดประการ อริยบุคคลคือ ผู้ที่หมดจดจากความชั่ว เป็นบุคคลผู้ประเสริฐ เป็นผู้บรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งในการบรรลุธรรมสี่ระดับ อริยทรัพย์ดังกล่าวได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และปัญญา

   อริยสมบัติประการแรก คือ ศรัทธา ได้แก่ความเชื่อมั่นที่ยั่งยืนและไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นความเชื่อมั่นที่ไม่หวั่นไหว เพราะเกิดจากประสบการณ์และการประจักษ์แจ้งของตนเองโดยตรง อริยบุคคลไม่อาจถูกลวงล่อ หรือถูกติดสินบนให้ละทิ้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการอันละมุนละม่อม การใช้เล่ห์เพทุบาย หรือการข่มขู่ใด ๆ อริยบุคคลจะไม่มีวันยินยอมเพิกถอนความเชื่อมั่นนี้ได้เลย

   อริยสมบัติประการที่สอง คือ ศีล ได้แก่ ความบริสุทธิ์ของความประพฤติ ในที่นี้หมายถึง ศีลห้า กล่าวกันว่า พระโสดาบันจะไม่สามารถจงใจทำให้ศีลขาด และไม่สามารถคิดหรือกระทำอกุศลกรรมที่จะนำไปเกิดในอบายภูมิได้ พระโสดาบันจะรอดพ้นจากกายทุจริตทั้งสาม จะเป็นผู้เว้นจากการประกอบวจีทุจริต หรือการเลี้ยงชีวิตมิชอบ อีกทั้งยังไม่มีความเพียรในการปฏิบัติธรรมในวิถีทางที่ผิดอีกด้วย

   อริยสมบัติประการที่สามและสี่ คือ หิริและโอตตัปปะ เราได้กล่าวถึงไปแล้ว ผู้ถึงกระแสพระนิพพานจะประกอบด้วยคุณธรรมทั้งสองอย่างแรงกล้า และจะไม่สามารถกระทำชั่วได้

   อริยสมบัติประการที่ห้า คือ พาหุสัจจะ (ความเป็นผู้ได้เรียนรู้มาก) หมายถึง ความรู้หลักการเจริญกรรมฐาน และความเข้าใจที่เกิดจากการปฏิบัติ พระโสดาบันนับว่าเป็นผู้รู้แจ้งวิธีดำเนินบนอริยมรรคมีองค์แปดสู่พระนิพพานอย่างแท้จริง

   อริยสมบัติประการที่หก คือ จาคะ มักจะแปลกันว่า การบริจาคทาน แท้จริงแล้วหมายถึง การละ พระโสดาบันได้ละกิเลสทั้งหลายที่จะนำไปสู่อบายภูมิ นอกจากนี้ พระโสดาบันยังให้ทานโดยไม่ตระหนี่ ทานของท่านนั้นเป็นความโอบอ้อมอารีอย่างแท้จริงและต่อเนื่องอยู่เสมอ

   อริยสมบัติประการสุดท้าย คือ ปัญญา หมายถึงวิปัสสนาญาณและปัญญา การเจริญกรรมฐานของพระโสดาบันจะปราศจากการกำหนดสติ และการเจริญสมาธิที่ผิด ๆ พระโสดาบันจะเป็นอิสระจากกิเลสที่รุนแรง ซึ่งอาจจะพลุ่งพล่านออกมาทางกาย วาจา หรือใจ และปราศจากความกลัวการเกิดในอบายภูมิ

      สันติสุขส่วนบุคคลนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างสูงสุด สันติสุขนี้จะเกิดได้เนื่องจากเป็นอิสระจากความกลัว หากบุคคลจำนวนมากสามารถมีสันติสุขเช่นนั้น หากคนทั้งหลายสามารถมีสันติสุขภายในใจจริง ๆ เราคงพอจินตนาการได้ว่า จะมีผลดีต่อสันติสุขภายในจิตใจเท่านั้น

  พุทธบุตรที่แท้จริง
   ประโยชน์อีกประการหนึ่งของการเข้าถึงกระแสพระนิพพาน คือ ผู้ปฏิบัติจะกลายเป็นพุทธบุตรที่แท้จริง คนจำนวนมากอาจมีความศรัทธาทุ่มเทอย่างยิ่ง และสักการบูชาพระรัตนตรัยเป็นประจำทุกวัน แต่เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป ย่อมเป็นไปได้เสมอที่บุคคลอาจละทิ้งศรัทธา ในชาตินี้เราอาจเป็นบุคคลที่น่าเคารพบูชา และมีจิตใจสูงส่ง แต่ในชาติใหม่เราอาจกลายเป็นคนเลวทราม ไม่มีสิ่งใดจะรับประกันได้เลย จนกว่าเราจะได้บรรลุธรรมขั้นแรก และได้เป็นพุทธบุตรอย่างแท้จริง

   คำภาษาบาลีที่ใช้ในวิสุทธิมรรค คือ โอรสปุตฺต ซึ่งหมายถึง ลูกผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริง คำว่า ปุตฺต มักจะแปลว่า ลูกชาย แต่ความจริงเป็นคำที่มีความหมายทั่วไปถึงผู้เป็นลูก ซึ่งหมายถึงลูกหญิงด้วย

   วิสุทธิมรรค ยังได้กล่าวด้วยว่า การเข้าถึงกระแสพระนิพพานนั้นมีคุณประโยชน์อีกนานัปการ อันที่จริงนับไม่ถ้วน พระโสดาบันนั้นจะมีความเชื่อมั่นศรัทธาในพระธรรมอย่างไม่มีข้อแม้ มีความสนใจธรรมะอันลึกซึ้งที่ผู้อื่นเข้าใจได้ยาก เมื่อพระโสดาบันได้ฟังพระธรรมเทศนาที่แสดงไว้ดี ก็จะเปี่ยมด้วยปีติสุข

   และเนื่องจากได้เข้าถึงกระแสพระนิพพานแล้ว หัวใจของพระโสดาบันแนบแน่นจึงอยู่กับพระธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่การงานในทางโลก พระโสดาบันจะเป็นเหมือนดังแม่วัวที่กินหญ้า (ปฏิบัติหน้าที่ทางโลก) พลางเฝ้าดูลูกวัว (เฝ้าดูจิต) ไปด้วย แม้ว่าจิตใจของพระโสดาบันนั้นจะน้อมไปสู่ธรรมะอยู่โดยปกติ พระโสดาบันก็จะไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบทางโลก นอกจากนี้ พระโสดาบันยังสามารถรวมจิตเป็นสมาธิได้ง่ายมาก หากมีความเพียรในการเจริญภาวนาอย่างเหมาะสม เพื่อเดินทางต่อไปตามอริยมรรค

   พาหนะที่ไม่มีวันพังทลายสำหรับทุกคน

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 26, 2012, 03:47:33 pm »



 

   มรรคมีองค์แปดเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะนำไปสู่พระนิพพาน ความเข้าใจนี้มีความลุ่มลึกมาก และจะเกิดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติเท่านั้น เมื่อมีความเข้าใจดังนี้ พระโสดาบันหรือผู้ถึงกระแสพระนิพพานย่อมละทิ้งความยึดมั่นหรือความเชื่อในอานุภาพของวิธีปฏิบัติอื่น ๆ ซึ่งมิได้ประกอบด้วยองค์แปดแห่งอริยมรรค

   อรรถกถาได้กล่าวไว้ด้วยว่า ยังมีกิเลสอีกสองชนิดที่ถูกประหารไปด้วย ได้แก่ อิสฺสา หรือ ความริษยา ไม่ต้องการเห็นผู้อื่นเป็นสุข หรือประสบความสำเร็จ และ มจฺฉริย หรือความตระหนี่ ซึ่งเป็นความไม่พึงพอใจที่เห็นคนอื่น ๆ เป็นสุขเสมอตน โดยส่วนตัวแล้ว อาตมาไม่เห็นด้วยกับอรรถกถาเหล่านี้ สภาวจิตดังกล่าวทั้งสองนี้ จัดอยู่ในหมวดของโทสะ คือความโกรธ หรือความรังเกียจผลักไส มีคำกล่าวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระสูตรว่า พระโสดาบันประหารกิเลสที่มิได้เกี่ยวข้องกับโทสะเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเป็นพระโสดาบันได้ปิดประตูสู่อบายภูมิแล้ว ความอิจฉาและความตระหนี่ย่อมไม่มีกำลังมากพอที่จะทำให้พระโสดาบันไปเกิดใหม่ในอบายภูมิได้

   มีอรรถาธิบายที่น่าสนใจในวิสุทธิมรรค ซึ่งมิได้เป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก แต่ก็เป็นที่เคารพอย่างสูงกล่าวไว้โดยอ้างอิงความในพระไตรปิฎกว่า พระโสดาบันอาจถูกครอบงำโดยความโลภ ความโลภ และความหลง และยังอาจประกอบด้วยทิฏฐิและมานะได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอริยมรรคญาณได้ประหารกิเลสซึ่งนำพาไปสู่อบายภูมิแล้ว เราอาจพอสรุปได้ว่า พระโสดาบันเป็นผู้ปราศจากกิเลสที่รุนแรงเพียงพอที่จะทำให้ไปเกิดในภพภูมิที่ตกต่ำดังกล่าว


   นอกจากนี้ วิสุทธิมรรคยังได้ชี้ว่า พระโสดาบันสามารถทำมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แห่งสังสารวัฏให้เหือดแห้งลงได้ ตราบใดที่บุคคลยังไม่บรรลุธรรมในขั้นแรก ก็ยังจะต้องท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏอันไม่มีจุดเริ่มต้นอย่างไม่รู้จบ ขอบเขตแห่งสังสารวัฏนั้นกว้างใหญ่นัก เราต้องเวียนว่ายตายเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พระโสดาบันจะเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติเท่านั้นก็จะบรรลุอรหัตตผล เราจึงพอจะกล่าวได้ว่า มหาสมุทรแห่งสังสารวัฏได้เหือดแห้งลงแล้ว

   อกุศลกรรมจะเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจของอวิชชาและตัณหาเท่านั้น เมื่ออวิชชาและตัณหาเหือดแห้งไปในระดับหนึ่ง โอกาสที่จะเกิดอกุศลวิบากหมายถึงการไปเกิดในอบายภูมิก็ย่อมลดลงไปด้วย เมื่อถูกจู่โจมอย่างไร้ความปรานีจากกิเลสอันได้แก่ มิจฉาทิฏฐิเกี่ยวกับอัตตาตัวตน หรือความลังเลสงสัยเกี่ยวกับมรรคมีองค์แปดและกฎแห่งกรรม เราไม่อาจทราบได้เลยว่าบุคคลจะประกอบกรรมชั่วได้มากสักเพียงใด สิ่งเลวร้ายที่เขาจะกระทำย่อมนำเขาไปสู่อบายอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อปราศจากกิเลสเหล่านี้ พระโสดาบันจะไม่ก่อกรรมชั่วซึ่งจะนำไปสู่อบายภูมิอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น กรรมเก่าในอดีตของพระโสดาบันบุคคลซึ่งอาจนำไปสู่อบาย ก็จะเป็นอโหสิกรรมทันทีที่บรรลุอริยมรรคญาณ พระโสดาบันจึงไม่ต้องหวาดกลัวความทุกข์อันรุนแรงเช่นนี้อีกเลย



-http://agaligohome.fix.gs/index.php?topic=757.30
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 26, 2012, 03:43:07 pm »




   กิเลสประเภทที่สองที่ถูกประหารไปเกี่ยวข้องกับความเห็นผิดโดยตรง เมื่อผู้ปฏิบัติยังไม่เข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ก็ยากที่จะตัดสินได้อย่างมั่นใจว่าอะไรถูก อะไรผิด เหมือนกับคนยืนอยู่บนทางสองแพร่ง หรือเหมือนกับคนที่ระลึกได้ในทันทีทันใดว่า กำลังหลงทางก็ต้องมีความสงสัยว่าจะไปทางไหนดี ความสงสัยนี้อาจทำให้อ่อนเปลี้ยและหวั่นใจ

   เมื่อผู้ปฏิบัติมองเห็นกระบวนการของเหตุและผลก็จะละทิ้งความสงสัยได้ชั่วคราว ผู้ปฏิบัติจะเห็นว่าธรรมะเป็นของจริง จิตและกายเป็นสิ่งที่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขแห่งเหตุและผล และไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ความสิ้นสงสัยนี้จะตั้งอยู่นานเท่าที่สติและญาณยังคงอยู่ ความศรัทธาที่ไม่หวั่นไหวในอานุภาพและความจริงแท้ของพระธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลได้เดินไปจนสุดทางของอริยมรรคมีองค์แปดคือพระนิพพานแล้วเท่านั้น ผู้ปฏิบัติที่ได้เจริญรอยตามพระบาทของพระพุทธองค์จนสุดหนทางแล้วก็จะมีศรัทธามั่นคงในพระพุทธองค์จนสุดหนทางแล้ว ก็จะมีศรัทธามั่นคงในพระพุทธองค์และพระอริยบุคคลอื่น ๆ ที่ได้ไปสู่จุดหมายตามแนวทางเดียวกันนี้

                     

   กิเลสอย่างที่สามที่พระโสดาบันผู้ถึงกระแสละได้ก็คือ ความเชื่อในการปฏิบัติผิด ๆ ความเข้าใจนี้คงพอจะมองเห็นได้ชัดในกรณีทั่ว ๆ ไป และจะสามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น หากพิจารณาจากอริยสัจสี่ เมื่อผู้ปฏิบัติที่มีโอกาสเข้าถึงกระแสพระนิพพาน เริ่มเจริญมรรคมีองค์แปดให้เกิดขึ้นในตนเอง บุคคลเหล่านั้นจะเรียนรู้ที่จะเข้าใจอริยสัจข้อแรก กล่าวคือทุกสิ่งทุกอย่างไม่น่าพึงพอใจ รูปและนามล้วนเป็นทุกข์ พัฒนาการเบื้องต้นของโยคีจะเริ่มจากการตามดูสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นทุกข์ เมื่อประจักษ์แจ้งอริยสัจสี่ที่เหลืออีกสามประการโดยอัตโนมัติ กล่าวคือ การละตัณหาอันเป็นอริยสัจประการที่สอง การดับทุกข์เป็นอริยสัจประการที่สาม และการเจริญมรรคมีองค์แปดเป็นอริยสัจประการที่สี่

   การเจริญมรรคในเบื้องต้นที่ยังเป็นโลกียมรรคจะเกิดขึ้นทุกขณะที่ผู้ปฏิบัติดำรงสติอยู่ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่มรรคมีความแก่กล้าพอ ก็จะกลายเป็นโลกุตตรมรรค ดังนั้นเมื่อได้บรรลุนิพพาน เทพบุตรองค์นี้จึงระลึกรู้ได้ว่า การปฏิบัติของท่านเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะเข้าถึงพระนิพพาน ท่านประจักษ์ว่า ท่านได้ประสบกับการดับทุกข์ที่แท้จริง อันเป็นสภาวะที่ปราศจากสิ่งปรุงแต่ง และรู้ว่าไม่มีนิพพานอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ผู้ปฏิบัติทุกคนจะมีความรู้สึกเหมือนกันเมื่อมาถึงจุดนี้


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 25, 2012, 09:57:00 am »




  ณ จุดนี้ผู้ปฏิบัติจะเห็นว่า ไม่มีที่ใดให้หลบภัยจากสภาวธรรมที่เป็นอนิจจังเช่นนี้ได้เลย ความเห็นนี้ทำให้เกิดความผิดหวังอย่างแรง แต่แสงภายในกลับสว่างเพิ่มขึ้นไปอีก ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกได้ชัดเจนว่า สภาวธรรมทั้งหลายล้วนเป็นทุกข์และไม่มีตัวตน ขณะนั้นเอง มีเพียงม่านผืนเดียวที่เหลืออยู่ปิดบังไม่ให้เห็นพระนิพพาน และจะถูกกำจัดไปได้ก็ด้วยอริยมรรคญาณเท่านั้น ตรงนี้แหละที่แสงแห่งพุทธธรรมจะส่องสว่างเจิดจ้าอย่างแท้จริง

   หากผู้ปฏิบัติสามารถเจริญสัมมาทิฏฐิได้ทั้งหกประการ จะมีความผ่องใส ผู้ปฏิบัติจะไม่พรากจากแสงของปัญญาอีกเลย ไม่ว่าจะเดินไปทางใดในอนาคต ในทางตรงข้าม ปัญญาจะส่องแสงสว่างเจิดจ้าในตัวผู้ปฏิบัติ ตลอดการท่องเที่ยวที่เหลืออยู่ในสังสารวัฏ ในที่สุดจะมีแสงสว่างไสวที่สุดปรากฏขึ้นเมื่อผู้ปฏิบัติบรรลุอรหัตตมรรคอรหัตตผลซึ่งเป็นการบรรลุธรรมขั้นสุดท้าย

   การครอบครองราชรถ
   “ใครก็ตาม ไม่ว่าชายหรือหญิงที่ครอบครองราชรถเช่นนี้ และสามารถขับขี่ไปด้วยดี ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะบรรลุถึงพระนิพพานโดยแน่แท้”

   กล่าวกันว่าเมื่อเทพบุตรผู้เคยเป็นพระภิกษุมาก่อนองค์นั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับราชรถ ท่านเข้าใจสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสสอนและได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ทันที ท่านเข้าครอบครองราชรถอันบรรเจิดคืออริยมรรคมีองค์แปด ถึงแม้ว่าพุทธดำรัสมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่อรหัตตผล ท่านยังไม่พร้อมสำหรับการบรรลุธรรมขั้นสุดท้าย บารมีของท่านมีเพียงพอที่จะเป็นผู้ถึงกระแสแห่งโสดาปัตติผลเท่านั้น

   ประโยชน์ของการเข้าถึงกระแส : การทำมหาสมุทรแห่งสังสารวัฏให้เหือดแห้งลง
   ในการบรรลุธรรมขั้นที่หนึ่งนี้ ผู้ปฏิบัติจะพ้นจากอันตรายที่จะนำให้ตกไปสู่อบายภูมิ พระสูตรกล่าวไว้ว่า กิเลสสามอย่างถูกประหารไป คือ มิจฉาทิฏฐิ วิจิกิจฉา และการยึดมั่นในการปฏิบัติที่ผิด ในอรรถกถากล่าวว่า ความอิจฉาริษยาและความตระหนี่ก็ถูกทำลายไปด้วย

   คงจะไม่เป็นไรที่จะสมมติว่า เทพบุตรองค์นี้เคยได้ญาณที่ประจักษ์ในลักษณะของรูปและนามมาล้างแล้วในชาติที่ท่านเป็นพระภิกษุ ในขณะได้ดวงตาเห็นธรรมนี้ ท่านก็ปราศจากความเห็นผิด ๆ ที่ว่า มีตัวตนภายในหรืออัตตา อย่างไรก็ตาม การละความเห็นที่ผิดนี้เป็นเพียงชั่วคราวจนกว่าจะได้เห็นพระนิพพานเป็นครั้งแรกเท่านั้น ที่ความเห็นจะเปลี่ยนไปอย่างถาวร ผู้ที่ได้บรรลุโสดาบันจะไม่เชื่อเรื่องของอัตตาอีกต่อไป


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มีนาคม 08, 2012, 08:32:50 pm »



                         
   อีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่ กระบวนการรับรองเอกสารของทางราชการ ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนมากมาย กระบวนการนี้ต้องใช้เวลานานมาก เริ่มด้วยประชาชนต้องเข้าไปติดต่อประชาสัมพันธ์ที่ชั้นแรกของอาคาร จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะส่งบุคคลนั้นขึ้นไปที่ชั้นสองเพื่อรับเอกสาร และไปติดต่อขอลายเซ็นอนุมัติจากฝ่ายหนึ่งสู่อีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อไปยื่นเอกสารเจ้าหน้าที่อีกฝ่ายหนึ่งก็จะขอให้กรอกแบบฟอร์มแล้วรอจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบลงนาม ตลอดทั้งวันประชาชนคนนั้นต้องติดต่อผ่านหน่วยงานต่าง ๆ จากชั้นหนึ่งไปอีกชั้นหนึ่ง กรอกแบบฟอร์มและรอรับลายเซ็นกว่าจะได้เอกสารทั้งหมดครบถ้วนต้องใช้เวลานานมาก ในที่สุด บุคคลผู้นั้นก็ขึ้นไปหาเจ้าหน้าที่สูงสุด และใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นลงนามเอกสารได้รับการรับรองเป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว แต่เขาผู้นั้นจำต้องผ่านขั้นตอนของราชการที่ยาวเหยียดเหล่านั้นก่อน

   เช่นเดียวกับการปฏิบัติวิปัสสนา มีกระบวนการมากมาย แต่มรรคญาณเกิดเร็วกว่าเวลาที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้นั้นใช้ในการลงนามเสียอีก ถึงกระนั้นผู้ปฏิบัติต้องทำหน้าที่ของตนก่อน เมื่อทุกอย่างพร้อม มรรคญาณก็จะปรากฏและรับรองอย่างเป็นทางการว่า กิเลสได้ถูกประหารไปหมดสิ้นแล้ว

   ช่วงแรกของวิปัสสนาญาณ อาจเรียกได้ว่าเป็น “หนทางของคนทำงาน” ผู้ปฏิบัติต้องทำงานให้เสร็จโดยสมบูรณ์โดยไม่หลบเลี่ยง มรรคญาณเปรียบเหมือนเจ้านายสูงสุดทำหน้าที่สั่งการ เจ้านายคงไม่อาจลงนามในกระดาษเปล่าที่ยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนการทำงานเบื้องต้นอย่างสมบูรณ์ได้

   อริยมรรคและผลญาณ : ดับไฟและชโลมน้ำลงบนเถ้าถ่านแห่งกิเลส

   เมื่อวิปัสสนาญาณบริบูรณ์แล้ว มรรคญาณก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ติดตามด้วยผลญาณ ในภาษาบาลี สภาวจิตนี้เรียกว่า มรรค และผล องค์ประกอบของมรรคญาณและผลญาณก็คือสัมมาทิฏฐิประเภทที่สี่และห้า จากทั้งหมดหกประเภท

   เมื่อเกิดมรรคญาณ อริยมรรคสัมมาทิฏฐิจะทำหน้าที่ประหารกิเลสที่จะนำเราไปเกิดในอบายภูมิ อันเป็นสภาวะที่ทุกข์ทรมาน ภพเหล่านี้ได้แก่ นรก เดรัจฉาน เปรต และอสุรกาย ต่อจากนั้นผลญาณก็จะตามมาทันที ซึ่งส่วนหนึ่งก็คืออริยผลสัมมาทิฏฐิ ผู้ปฏิบัติอาจสงสัยว่า ญาณนี้ทำหน้าที่อะไร เพราะอนุสัยกิเลสได้ถูกประหารไปแล้ว ผลญาณสัมมาทิฏฐิทำให้กิเลสเย็นลง กองไฟแห่งกิเลสอาจมอดไปแล้ว แต่ก็ยังมีเถ้าถ่านอุ่น ๆ เหลืออยู่ ผลญาณสัมมาทิฏฐินี้ ทำหน้าที่ชโลมน้ำลงบนเถ้าถ่านเหล่านั้น

   ปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ

   ความเห็นชอบประเภทที่หก คือ ปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ ทำหน้าที่ทบทวนความรู้ที่ติดตามมาจากผลญาณและประสบการณ์นิพพาน ญาณนี้จะทบทวนสิ่งห้าประการ คือ การเกิดมรรคญาณและผลญาณ นิพพานในฐานะที่เป็นอารมณ์ ๆ หนึ่ง กิเลสที่ได้ถูกทำลายไปและส่วนที่ยังเหลืออยู่ นอกจากนี้แล้ว ไม่มีหน้าที่สำคัญอื่นใด

   สัมมาทิฏฐิประเภทแรก คือ กมฺมสกตาสมฺมาทิฏฺฐิ กล่าวว่าเป็นสิ่งถาวร กล่าวคือเป็นสิ่งที่จะไม่หายไปจากชีวิต โลกนี้อาจแตกสลายถูกทำลายไป แต่ยังคงมีสิ่งมีชีวิตซึ่งบางทีอาจจะอยู่ในอีกโลกหนึ่งก็ได้ ที่มีความเห็นถูกว่าทุกคนมีกรรมเป็นของของตน

   บุคคลที่ไม่พยายามแยกแยะความแตกต่างระหว่างกุศลกรรมและอกุศลกรรมย่อมตกอยู่ในที่มืด เปรียบเหมือนเด็กทารกที่เกิดมาตาบอด บอดมาตั้งแต่ในครรภ์ และมืดบอดเมื่อคลอดออกมาแล้ว หากทารกนี้โตขึ้น ก็ไม่มีทางมองเห็นพอที่จะช่วยเหลือตนเองได้ คนตาบอดและขาดผู้นำทาง ย่อมจะประสบกับอุบัติภัยมากมาย

   ฌานสัมมาทิฏฐิ จะยังคงมีปรากฏอยู่เสมอ ตราบเท่าที่มีผู้ปฏิบัติธรรมและบรรลุฌาน แม้ในช่วงที่พระพุทธศาสนาไม่รุ่งเรือง ก็ยังจะมีผู้เจริญสมาธิ และเจริญฌานอยู่เสมอ

   อย่างไรก็ตาม ความเห็นชอบในส่วนที่เหลือจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่เท่านั้น นับแต่ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์จนถึงปัจจุบัน คำสอนของพระพุทธองค์ยังรุ่งเรืองอยู่ ขณะนี้พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก แม้ในประเทศที่มิได้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ยังมีองค์กร หรือกลุ่มชนซึ่งมีหลักการที่มีรากฐานมาจากคำสอนของพระพุทธองค์ บุคคลที่พอใจเพียงความเห็นชอบในเรื่องของกรรมหรือฌานเท่านั้น ยังไม่อาจได้รับแสงแห่งพระธรรมได้ เขาอาจได้รับความสว่างจากแสงทางโลก แต่มิใช่แสงของพระพุทธองค์ ความเห็นชอบอีกสี่ประเภทที่เหลือจากวิปัสสนาสัมมาทิฏฐิจนถึงปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ เท่านั้นที่ประกอบด้วยแสงแห่งพระพุทธธรรม

   เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถแยกรูปและนามออกจากกันได้ ก็จะหลุดพ้นจากทิฏฐิวิปลาสในเรื่องของตัวตน และม่านของความมืดชั้นที่หนึ่งก็จะถูกถอดออกไป กล่าวได้ว่าแสงแห่งธรรมะได้เริ่มส่องสว่างผ่านเข้ามาถึงจิตสำนึกของผู้ปฏิบัติแล้ว แต่ก็ยังมีม่านชั้นอื่น ๆ ที่ยังต้องถอดถอนออกไปอีก ม่านแห่งอวิชชาชั้นที่สองก็คือความเห็นที่ว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างไม่มีระเบียบและไม่มีเหตุผล ม่านนี้จะถูกยกออกไปเมื่อเกิดญาณหยั่งรู้ในเหตุและผล เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นเหตุและผลของสรรพสิ่ง แสงสว่างในจิตก็จะสว่างเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ผู้ปฏิบัติไม่พึงประมาทในชั้นนี้ เพราะว่าจิตยังมืดบอดด้วยอวิชชา ความไม่รู้ในอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เพื่อกำจัดความมืดนี้ ผู้ปฏิบัติพึงทำงานหนักอย่างไม่ย่อท้อ เฝ้าดูอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ลับสติให้แหลมคม ทำสมาธิให้ตั้งมั่น แล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มีนาคม 08, 2012, 06:30:16 pm »


                       

   เมื่อวิปัสสนาญาณมีความลุ่มลึกขึ้น ผู้ปฏิบัติเห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์ต่าง ๆ และประจักษ์ว่าทุกอย่างที่เคยประสบพบมาและจะประสบต่อไปในอนาคต ก็เป็นอนิจจังเช่นกัน ความไม่เที่ยงของอารมณ์ต่าง ๆ และประจักษ์ว่าทุกอย่างที่เคยประสบพบมา และจะประสบต่อไปในอนาคต ก็เป็นอนิจจังเช่นกัน จากพื้นฐานความเข้าใจเรื่องความไม่เที่ยงถาวรและการแปรเปลี่ยนของสิ่งต่าง ๆ ผู้ปฏิบัติก็จะระลึกได้เองว่าไม่มีที่สำหรับหลบภัย ไม่สามารถพึ่งพาอะไรได้เลย ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงพ้นจากความคิดผิด ๆ ที่ว่าสามารถแสวงหาสันติสุขและเสถียรภาพอันถาวรได้จากวัตถุสิ่งใดในโลกนี้ การถูกกดดันบีบคั้นด้วยสภาวธรรมอันไม่เที่ยงต่าง ๆ นับว่าเป็นความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกเช่นนี้จากก้นบึ้งของหัวใจเมื่อถึงญาณขั้นที่สาม

   ความรู้สึกที่เกี่ยวเนื่องและติดตามมาจากความรู้สึกกลัวและกดดันอย่างลึกซึ้งนี้ ก็คือ การระลึกรู้ว่าไม่มีใครที่สามารถป้องกันหรือควบคุมการเกิดขึ้นและดับไปของสิ่งต่าง ๆ ทำให้ผู้ปฏิบัติประจักษ์ชัดได้เองว่าไม่มีตัวตนในสิ่งใด ๆ ญาณทั้งสามลำดับหลังนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของวิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเชื่อมโยงกับอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาโดยตรง

   การปรากฏของวิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ

   เมื่อวิปัสสนาสัมมาทิฏฐิปรากฏขึ้น ราชรถก็พร้อมที่จะออกเดินทาง ราชรถจะเริ่มขยับและค่อย ๆ เคลื่อนไปบนหนทางที่จะนำไปสู่พระนิพพาน ถึงตอนนี้ผู้ปฏิบัติก็สามารถบังคับรถให้เคลื่อนไปได้ รถมีเกราะกำลังแล้ว พนักหลังมั่นคง และคนขับก็เข้าที่เรียบร้อย ผู้ปฏิบัติเพียงแต่ออกแรงบังคับล้อทั้งสองเบา ๆ แล้วราชรถก็จะทะยานออกไป

   ครั้นผู้ปฏิบัติมีญาณหยั่งรู้อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเห็นสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นและดับไปเร็วขึ้นและชัดเจนมากขึ้น เห็นการดับจากขณะหนึ่งสู่อีกขณะหนึ่งละเอียดยิบยิ่งกว่าเศษเสี้ยววินาที ยิ่งการปฏิบัติก้าวหน้าขึ้น ก็จะเห็นการเกิดดับเร็วขึ้นและในที่สุดผู้ปฏิบัติจะไม่สามารถมองเห็นการเกิดได้เลย ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะมองเห็นการดับไปอย่างรวดเร็ว ผู้ปฏิบัติจะมีความรู้สึกเหมือนกับมีคนกระชากพรมใต้ฝ่าเท้าให้หายไปในพริบตา การดับนี้มิใช่สิ่งเลื่อนลอย แต่จะครอบคลุมชีวิตจิตใจทั้งหมดในขณะนั้น

   ผู้ปฏิบัติจะมีความก้าวหน้าขึ้นโดยลำดับ มุ่งเข้าใกล้จุดมุ่งหมายไปทุกขณะ หลังจากวิปัสสนาญาณชั้นต่าง ๆ ผ่านไปแล้ว มรรคญาณก็จะเข้าแทนที่ และนำผู้ปฏิบัติเข้าสู่สถานที่ที่ปลอดจากภัย คือพระนิพพาน

   แม้เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นแล้ว และกิเลสไม่อาจกำเริบขึ้นมาได้ กิเลสยังมิได้ถูกประหารไปโดยสิ้นเชิง กิเลสอาจถูกกดข่มเอาไว้ แต่ก็ยังรอคอยโอกาสที่จะกลับเข้ามากุมอำนาจอีกครั้ง

   
   เครื่องหมายสุดท้าย : การทำกิเลสให้อ่อนแอและสิ้นไป
   กิเลสนั้นจะถูกประหารโดยสิ้นเชิงในขณะที่อริยมรรคสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นเท่านั้น

   ผู้ปฏิบัติอาจสงสัยว่าการประหารกิเลสหมายถึงอะไร กิเลสที่ได้เกิดขึ้นแล้วนั้นไม่สามารถถอดถอนได้ เพราะเป็นอดีตไปแล้ว เช่นเดียวกับกิเลสที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่สามารถทำลายได้ เนื่องจากยังไม่เกิดขึ้นในขณะนี้ แม้ในปัจจุบันขณะ กิเลสเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วจะประหารกิเลสได้อย่างไร อนุสัยกิเลสหรือกิเลสที่ซ่อนเร้นอยู่ต่างหากคือ สิ่งที่จะถูกกำจัดออกไป กิเลสมีสองประเภท ประเภทแรกสัมพันธ์กับอารมณ์ ส่วนอีกประเภทหนึ่งเกี่ยวกับความสืบเนื่องของขันธ์หรือของรูปนาม กิเลสประเภทแรก จะเกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัยเอื้ออำนวย กล่าวคือ มีความเกี่ยวโยงกับสภาวธรรมทางกายหรือทางจิตในขณะที่ไม่มีสติ หากมีอารมณ์ปรากฏขึ้นชัดและขาดสติในการกำหนดรู้การกระทบของอารมณ์และจิต ให้มีความสะอาดบริสุทธิ์แล้ว กิเลสซึ่งนอนเนื่องอยู่ก็จะปรากฏตัวออกมาให้เห็น แต่หากมีสติ สภาพธรรมขณะนั้นก็จะไม่เอื้ออำนวยให้กิเลสเกิดขึ้นต่อไป และกิเลสก็จะถูกกีดกันให้อยู่ห่างไกล

   กิเลสประเภทที่สอง เป็นกิเลสที่นอนเนื่อง และก็จะถูกฝังอยู่ในกระแสความรู้สึกของเราตลอดการท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ กิเลสประเภทนี้จะสามารถประหารได้ก็ด้วยมรรคญาณเท่านั้น

   ในสมัยก่อนเวลามีคนป่วยเป็นไข้มาเลเรีย มีการรักษาด้วยยาสองขนาน คนไข้ที่เป็นมาเลเรียจะมีไข้ขึ้นสูงเป็นระยะ ๆ ประมาณทุก ๆ สองวันจะมีไข้สูงมากครั้งหนึ่ง และตามด้วยอาการหนาวสั่นอย่างฉับพลัน การรักษาขั้นแรกต้องทำให้อุณหภูมิที่สูงลดลงก่อน ทำให้คนไข้มีกำลังขึ้น และเชื้อโรคอ่อนแอลง ในที่สุดเมื่อวงจรของไข้สูงและอาการหนาวสั่นลดลงบ้างแล้ว หมอจะให้ยาอีกขนานหนึ่งที่ทำให้คนไข้หายขาด เมื่อคนไข้แข็งแรงขึ้นแล้ว และเชื้อโรคอ่อนแอลง เชื้อมาเลเรียก็ถูกกำจัดไปได้

   วิธีรักษาขั้นแรก เปรียบได้กับวิปัสสนาญาณ ซึ่งทำให้กิเลสอ่อนกำลังลง ส่วนยาเผด็จศึกก็คือมรรคญาณที่ทำหน้าที่ประหารกิเลสอย่างเด็ดขาด

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มีนาคม 08, 2012, 05:56:27 pm »


                     

   สัมมาทิฏฐิว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง

   สัมมาทิฏฐิประการแรกคือ กมฺมสกตา ได้แก่ ความเห็นที่ว่าทุกคนมีกรรมเป็นของของตน กรรมในที่นี้รวมทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว เรามีทัศนคติในความเป็นเจ้าของและการควบคุมวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง ต้องเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา กรรมจึงเป็นสิ่งเดียวในโลกนี้ที่เราเป็นเจ้าของได้จริง ๆ ผู้ปฏิบัติพึงทำความเข้าใจว่า ไม่ว่าการกระทำดี หรือไม่ดีจะติดตามเราไปตลอดในสังสารวัฏ ก่อให้เกิดวิบากที่ดีและชั่วสอดคล้องกัน นอกจากนี้กรรมยังให้ผลทันทีต่อจิตใจ คือก่อให้เกิดความสุข หรือความทุกข์ ขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล ขณะเดียวกัน กรรมก็ให้ผลในระยะยาวด้วย อกุศลกรรมจะนำไปเกิดในอบายภูมิ กุศลกรรมนำไปสู่การเกิดในสุคติภูมิ และกุศลกรรมที่สูงสุดทำให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏโดยสิ้นเชิง

   การมองโลกในลักษณะนี้ ทำให้ผู้ปฏิบัติมีพลังในการเลือกแนวทางในการดำรงชีวิต ดังนั้น กมฺมสกตา สมฺมาทิฏฐิ จึงมีชื่อว่า “แสงสว่างของโลก” เพราะทำให้เรามองเห็นและประเมินผลทางเลือกของเราเองได้ การเข้าใจกรรมอย่างถูกต้องเปรียบเหมือนชุมทางรถไฟที่ซึ่งมีหลายทิศทางที่รถไฟสามารถวิ่งไป หรือเหมือนกับสนามบินนานาชาติที่เชื่อมโยงกับจุดหมายปลายทางมากมาย เนื่องจากเราก็เหมือนกับสัตว์ทั้งหลายที่ปรารถนาความสุข ความเข้าใจเรื่องกรรมจะทำให้เรามีแรงจูงใจอย่างแรงกล้าที่จะประกอบกรรมดีมากขึ้น ๆ รวมทั้งปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่จะนำมาซึ่งทุกข์ภัยในอนาคต

   การช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการให้ทาน และการรักษาศีลจะช่วยให้เราได้ไปเกิดในสภาพแวดล้อมที่ดี กุศลกรรมนี้ยังช่วยให้สัตว์โลกสามารถเดินทางไปสู่พระนิพพานด้วย

   สัมมาทิฏฐิเกี่ยวกับฌาน

   เพื่อก้าวข้าม กมฺมสกตาสมฺมาทิฏฐิ ไปอีกขั้นหนึ่ง ผู้ปฏิบัติพึงเจริญสมาธิ สมาธินี้ให้ผลทันที กล่าวคือ ทำให้ผู้ปฏิบัติอยู่อย่างเป็นสุข ดื่มด่ำอยู่กับอารมณ์กรรมฐาน ความเห็นชอบประเภทที่สองนี้ได้แก่ ฌานฺสมฺมาทิฏฐิ เป็นความเห็นชอบเกี่ยวกับฌานและสมาธิขั้นต่าง ๆ เป็นความรู้ที่เกิดในขณะที่ฌานทั้งแปดประเภทปรากฏ ประโยชน์ของความเห็นชอบเกี่ยวกับฌานมีสามประการ คือ หนึ่ง ขณะที่กำลังจะสิ้นชีวิต หากผู้ปฏิบัติสามารถรักษาสมาธิได้อย่างเข้มแข็ง ก็จะได้ไปเกิดในพรหมโลกและสามารถดำรงอยู่ในพรหมโลกได้เป็นเวลานาน ๆ หลายกัปหลายกัลป์ สอง ฌานยังเป็นพื้นฐานของการเจริญวิปัสสนาที่เข้มแข็ง สาม ฌานยังเป็นพื้นฐานของการเจริญอภิญญาอีกด้วย

   การปูทางสำหรับญาณสูงสุด : การเจริญวิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ

   การที่ผู้ปฏิบัติทุ่มเทเวลาและความเพียรมากที่สุดให้กับการเจริญสัมมาทิฏฐิประเภทที่สามให้เกิดในตน คือ วิปสฺสนาสมฺมาทิฏฐิ เป็นความเห็นชอบที่เกิดจากวิปัสสนาญาณ เมื่อวิริยะ สติ หิริ และโอตตัปปะ มีอยู่พร้อม วิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ พึงจำไว้ว่า สัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่เหนือกว่าความคิดเห็นธรรมดา สัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่เหนือกว่าความคิดเห็นธรรมดา สัมมาทิฏฐิเป็นปัญญาญาณอันลึกซึ้งซึ่งเกิดขึ้นเองจากการที่ผู้ปฏิบัติมองสภาวะที่แท้จริงของสิ่งต่าง ๆ เข้าไปตรง ๆ

   ปัจจุบันนี้เมื่อผู้นำประเทศจะออกจากที่พำนักต้องมีการเตรียมการณ์มากมายก่อนที่ขบวนรถจะเคลื่อนที่ออกไป กลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะตรวจสอบว่า หนทางโล่งและปลอดภัยหรือไม่ เจ้าหน้าที่บางคนตรวจดูระเบิด วางด่านกั้นฝูงชนตามข้างถนน มอบหมายให้เจ้าหน้าที่จราจรประจำที่และลากรถที่อาจจอดขวางทางออกไป เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ประมุขจึงจะออกจากที่พำนักมาขึ้นรถที่มีคนขับคอยท่าอยู่

   ในทำนองเดียวกัน บนหนทางแห่งอริยมรรค วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ เปรียบเหมือนกับตำรวจลับ การประจักษ์ใน อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา จะแผ้วถางหนทางให้ปลอดโปร่งจากความยึดมั่นถือมั่นนานาประเภท รวมถึงความเห็นที่ผิด ๆ ทฤษฎีความเชื่อส่วนตัว ความเข้าใจผิดและอื่น ๆ การทำลายความยึดมั่นนี้เกิดขึ้นเป็นลำดับขั้น เมื่อการเตรียมการเบื้องต้นพร้อมแล้ว การเห็นแจ้งอริยมรรคก็จะปรากฏและขุดรากถอนกิเลสให้สิ้นไป

   กระบวนการดับทุกข์

   ในหนทางสู่มรรคจิต วิปัสสนาญาณแต่ละขั้นจะทำลายความเห็นผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสภาพธรรมที่แท้จริงของธรรมชาติ วิปัสสนาญาณขั้นที่หนึ่งแสดงให้เห็นว่า รูปและนามมีสภาพธรรมที่แตกต่างกันและชีวิตก็มิใช่อะไรอื่น นอกจากกระแสของรูปและนามที่ไม่หยุดนิ่ง ณ จุดนี้ ผู้ปฏิบัติละสิ่งที่เป็นส่วนเกินของชีวิต ชำระความเห็นให้บริสุทธิ์ขึ้นโดยถอดถอนการปรุงแต่งบางอย่างที่เคยมี เช่น ทัศนะเกี่ยวกับชีวิตว่าเที่ยงและมีตัวตน

   ในญาณขั้นที่สอง ความเข้าใจเหตุและผล ลบล้างความสงสัยที่ว่าสิ่งต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ผู้ปฏิบัติรู้ว่าความจริงมิใช่เช่นนั้น นอกจากนี้ยังสามารถประจักษ์แจ้งโดยตรงว่า สภาวธรรมต่าง ๆ มิได้เกิดขึ้นจากเหตุภายนอก