ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 10, 2016, 04:35:41 pm »

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑
มหาวิภังค์ ภาค ๑
เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน

[๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิด
ขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของ
พระองค์ไหนดำรงอยู่นาน ดังนี้ ครั้นเวลาสายัณห์ท่านออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
*ภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไปใน
ที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มี
พระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของพระองค์ไหนดำรงอยู่นาน.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน ของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระ
นามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะดำรงอยู่นาน.

ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?
ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู
ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อนึ่ง สุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทั้ง
สามพระองค์นั้นมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก เพราะ
อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า
เหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง
ยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน

 ดูกรสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บนพื้นกระดาน
ยังไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ลมย่อมกระจาย ขจัด กำจัด ซึ่งดอกไม้เหล่านั้นได้
ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเขาไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ฉันใด
เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น
เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน
จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน ฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรง
กำหนดจิตของสาวกด้วยพระหฤทัย แล้วทรงสั่งสอนสาวก.

ดูกรสารีบุตร เรื่องเคยมีมาแล้ว พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม
เวสสภู ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ด้วยพระหฤทัยแล้วทรงสั่งสอน พร่ำสอน ภิกษุสงฆ์ประมาณ
พันรูป ในไพรสนฑ์อันน่าพึงกลัวแห่งหนึ่งว่า พวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น จง
ทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้ จงเข้าถึงส่วนนี้อยู่เถิด ดังนี้ ลำดับนั้นแล
จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามเวสสภูทรง
สั่งสอนอยู่อย่างนั้น ทรงพร่ำสอนอยู่อย่างนั้น ได้หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
ในเพราะความที่ไพรสณฑ์อันน่าพึงกลัวนั้นซิ เป็นถิ่นที่น่าสยดสยอง จึงมีคำนี้ว่า ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่ง
ยังไม่ปราศจากราคะเข้าไปสู่ไพรสณฑ์นั้น โดยมากโลมชาติย่อมชูชัน.

ดูกรสารีบุตร อันนี้แลเป็นเหตุ อันนี้แลเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาค
พระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภูไม่ดำรงอยู่นาน.

ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ
พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?
ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนาม
กัสสปะ มิได้ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อนึ่ง สุตตะ
เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มี
พระภาคทั้งสามพระองค์นั้นมีมาก สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็ทรงแสดงแก่สาวก เพราะ
อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า
เหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง
ดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน

 ดูกรสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บน
พื้นกระดาน ร้อยดีแล้วด้วยด้าย ลมย่อมกระจายไม่ได้ ขจัดไม่ได้ กำจัดไม่ได้ซึ่งดอกไม้เหล่านั้น
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขาร้อยดีแล้วด้วยด้าย ฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาค
พุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่
ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้
ตลอดระยะกาลยืนนาน ฉันนั้น เหมือนกัน.
ดูกรสารีบุตร อันนี้แลเป็นเหตุ อันนี้แลเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาค
พระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน.


http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... =165&Z=315
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ธันวาคม 15, 2012, 02:09:20 pm »



                 

เหตุปัจจัย ที่พระศาสนา จะตั้งอยู่นาน
ภายหลัง พุทธปรินิพพาน

“ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ ! อะไรเป็นเหตุ อะไร เป็นปัจจัย
ที่เมื่อพระตถาคต ปรินิพพานแล้ว
พระสัทธรรม จะไม่ตั้งอยู่นาน ?
ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญ ! อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ที่เมื่อ
พระตถาคต ปรินิพพานแล้ว
พระสัทธรรม จะตั้งอยู่นาน พระเจ้าข้า !”

พราหมณ์ ! เพราะไม่มีการทำให้เจริญ เพราะไม่มี
การกระทำให้มากซึ่งสติปัฏฐานทั้งสี่ ในเมื่อตถาคต
ปรินิพพานแล้ว สัทธรรมย่อมไม่ตั้งอยู่นาน.

แต่พราหมณ์เอ๋ย ! เพราะมีการกระทำให้เจริญ
มีการกระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐานทั้งสี่ ในเมื่อตถาคต
ปรินิพพานแล้ว สัทธรรมย่อมตั้งอยู่นาน.

สติปัฏฐานสี่ อย่างไรเล่า ?
พราหมณ์ ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติตามเห็น
กายในกาย อยู่เป็นประจำ มีความเพียร เผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออก เสียได้ซึ่ง อภิชฌาและ
โทมนัสในโลก;

เป็นผู้ตามเห็น เวทนาใน เวทนาทั้งหลายอยู่เป็น
ประจำ มีความเพียรเผา กิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌา และ โทมนัสในโลก;

เป็นผู้ตามเห็นจิตใน จิตอยู่เป็นประจำ มีความ
เพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่ง
อภิชฌาและโทมนัสในโลก;

เป็นผู้ตามเห็นธรรมใน ธรรมทั้งหลายอยู่เป็น
ประจำ มีความเพียรเผา กิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌา และ โทมนัสในโลก
.

พราหมณ์ ! เพราะ ไม่มีการทำให้ เจริญ เพราะไม่
มีการกระทำให้มาก ซึ่งสติปัฏฐาน ทั้งสี่เหล่านี้แล
ในเมื่อ
ตถาคตปรินิพพาน แล้ว สัทธรรม ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน.
แต่เพราะมี การกระทำให้เจริญ มีการกระทำ ให้มาก ซึ่ง
สติปัฏฐานทั้งสี่เหล่านี้แล
ในเมื่อ ตถาคต ปรินิพพานแล้ว
สัทธรรมย่อมตั้ง อยู่นาน
, ดังนี้.

พราหมณสูตร มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๓๒/๗๗๘ - ๗๗๙.
-http://www.facebook.com/pages/พระพุทธเจ้า

ข้อความโดย: แก้วจ๋าหน้าร้อน
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 01:11:15 pm »

ขยันจังครับ
หลับตื่นเป็นสุขครับพี่แป๋ม

คุ้นๆนะคำนี้ ทีคุงเพื่อนเลิฟ คุ้นมากอ่ะ 55+
 :13: ขอบคุณครับพี่แป๋ม อนุโมทนาจิตครับ
ข้อความโดย: กระตุกหางแมว
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 09:55:41 am »

ขยันจังครับ
หลับตื่นเป็นสุขครับพี่แป๋ม
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 05:59:43 am »




และด้วยเหตุดังที่กล่าวมา การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสมถกรรมฐาน/วิปัสสนากรรมฐานอันเกี่ยวเนื่องกับมรรคผลนิพพานหรือโลกุตรธรรม จึงค่อยๆ เลือนหายไปจากวิถีชีวิตและจากระบบการศึกษาของคณะสงฆ์โดยลำดับอย่างเป็นรูปธรรม และกลายเป็นมรดกที่ตกทอดมาจนถึงยุคสมัยของ พระมหาเงื่อม อินทปัญโญ (พ.ศ.2475-ปัจจุบัน)

จนเป็นเหตุให้ท่านปฏิเสธระบบการศึกษาของคณะสงฆ์กระแสหลักโดยให้เหตุผลว่า ไม่ใช่แนวทางที่จะทำให้ค้นพบความบริสุทธิ์ และการศึกษาพระปริยัติธรรมทางเจือด้วยยศศักดิ์ ก็เป็นการ "ก้าวผิด" ไปก้าวหนึ่ง จนทำให้ท่านเลิกก้าวตามโลกอย่างสิ้นเชิงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2475 ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงหนึ่งเดือน

การค้นพบ "เงื่อน" ที่ทำให้เราได้รับคำตอบว่าโลกุตรธรรมกล่าวคือ มรรค ผล นิพพาน หายไปจากระบบการศึกษาของคณะสงฆ์กระแสหลักได้อย่างไร ทำให้เราเข้าใจคณะสงฆ์ในปัจจุบันได้ชัดขึ้น รวมทั้งสามารถอธิบายสาเหตุแห่งความเสื่อมทรามของคณะสงฆ์ได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

และประการสำคัญยังทำให้เราได้ค้นพบคำตอบด้วยว่า เหตุไรการศึกษาที่เป็นผลมาจากการปฏิรูปพุทธศาสนาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงไม่สามารถตอบสนองต่อความใฝ่รู้ความจริงของท่านพุทธทาสภิกขุได้

             

และสิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ ทำให้เราได้เห็นความแตกต่างระหว่างท่านพุทธทาสภิกขุ กับนักปฏิรูปพุทธศาสนาชั้นนำอย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญารวโรรส ซึ่งเติบโตมากับโลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์เหตุผลนิยม/มนุษยนิยมเหมือนกัน แต่ทว่า นักปฏิรูปพุทธศาสนาทั้งสองฝ่ายกลับมีปฏิสัมพันธ์ต่อพระพุทธศาสนาหรือโลกุตรธรรมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะท่านพุทธทาสภิกขุได้นำเอาโลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์เหตุผลนิยมและมนุษยนิยมนั้นเองมาช่วยในการขับเคลื่อนเพื่อ "รื้อฟื้น" โลกุตรธรรมให้คืนกลับมา

ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส กลับนำเอาโลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์นั้นแหละมาเป็นเครื่องมือเพื่อลดทอนโลกุตรธรรม จนหายไปจากวิถีชีวิตของพระสงฆ์ และระบบการศึกษาของคณะสงฆ์อย่างแทบจะสิ้นเชิง




Credit by :http://info.matichon.co.th/weekly/wk_txt.php?srctag=MTMyMzAwNjQ5
Pics by : Google
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
กราบ.. อนุโมทนาสาธุค่ะ...

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 05:57:08 am »




ต่อมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งเป็นพระโอรสองค์หนึ่งในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เป็นผู้นำในการปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ พระองค์ซึ่งทรงได้รับการศึกษาแผนใหม่ ภายใต้โลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์เหตุผลนิยม/มนุษยนิยมเช่นเดียวกับพระราชบิดา ก็ได้สานต่อแนวคิดแบบลดทอนความสำคัญของโลกุตรธรรมลงให้เด่นชัดยิ่งขึ้น เป็นต้นว่า ตำราที่ทรงรจนานั้นก็เน้นเฉพาะ "ประโยชน์ในปัจจุบัน" (ทิฏฐธรรมมิกัตถประโยชน์) เป็นหลัก

หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งสำคัญมากคือ "นวโกวาท" นั้นต้องนับว่าเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดที่แสดงให้เห็นแนวความคิดแบบเหตุผลนิยม และความจริงเชิงประจักษ์แบบวิทยาศาสตร์ เพราะในหนังสือเล่มนี้ไม่กล่าวถึง "โลกุตรธรรม" เอาเลย

เมื่อกล่าวถึงหลักธรรมสำคัญต่างๆ แล้ว ก็มาหยุดอยู่เพียง "คิหิปฏิบัติ" (หลักธรรมสำหรับคฤหัสถ์) หรือเมื่อทรงกล่าวถึงสมาธิภาวนาบ้าง ก็ทรงกล่าวถึงแต่ในฐานะที่เป็นวิชาการทางปริยัติ (ทฤษฎี) ล้วนๆ ทั้งนี้ จึงไม่จำต้องกล่าวถึงธรรมขั้นลึกอย่างปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจยตาว่าจะได้รับการยกขึ้นมาเน้นย้ำหรือไม่

แต่หลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้เราเห็นได้ว่า แนวคิดเรื่องมรรค ผล นิพพาน ถูกทำให้เลือนหายไปอย่างเด่นชัดในสมัยของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็คือ การที่ทรงปฏิเสธที่จะนับเอา "ปฏิบัติสัทธรรม" (สมถกรรมฐาน, วิปัสสนากรรมฐาน) เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาคณะสงฆ์ โดยทรงให้เหตุผลว่า "เพราะเป็นวิชาที่ไม่มีหลักที่จะสอบไล่ได้"

นอกจากไม่ทรงสนพระทัยที่จะจัดให้ปฏิบัติสัทธรรม (โลกุตรธรรม) เป็นวิชาสำคัญในหลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์แล้ว พระองค์ยังไม่ทรงมีนโยบายในทางส่งเสริมให้พระสงฆ์สนใจในวิปัสสนากรรมฐาน หากแต่ทรงหันมาส่งเสริมให้พระสงฆ์สนใจแต่เรื่องปริยัติธรรมและการปกครองอย่างเป็นด้านหลัก

เครื่องมือสำคัญของพระองค์ที่ทรงใช้เพื่อการนี้ก็คือ ระบบสมณศักดิ์ นั่นเอง



ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 05:55:33 am »




หลักฐานที่เด่นชัดที่สุดก็คือ การที่ทรงปรับเปลี่ยนวิธีบรรพชาของคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย โดยในคำขอผ้ากาสายะ ทรงโปรดให้ตัดข้อความบาลีที่แปลว่า "เพื่อทำให้แจ้งพระนิพพาน เป็นที่ออกไปจากทุกข์ทั้งปวง : นิพฺพานสจฺฉิกรณตฺถาย" ออกเสีย

ทั้งนี้ โดยทรงให้เหตุผลว่า การกล่าวข้อความเช่นว่านั้น "ไม่ตรงต่อความจริงใจของผู้กล่าวมากกว่ามาก" ซึ่งเราอาจตีความได้อีกอย่างหนึ่งว่า การบวชไม่ใช่เป็นเรื่องของการทำพระนิพพานให้แจ้ง หรือไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการก้าวไปให้ถึงพระนิพพานอีกต่อไป

โลกทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้รับอิทธิพลมาจากระบบการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมเต็มรูปแบบนี้ ไม่เพียงปรากฏในขณะเมื่อยังทรงเป็นภิกษุเท่านั้น ทว่า เมื่อเสวยราชย์แล้ว พระองค์ก็ทรงเลิกเชื่อมั่นในโลกทัศน์แบบไตรภูมิอย่างชัดเจน แล้วหันมาทรงเน้นศักยภาพของมนุษย์ (มนุษยนิยม) มากกว่า เช่น

เมื่อทรงเอ่ยถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์ ก็ทรงปฏิเสธว่าไม่ใช่ได้มาเพราะ "บุญญาธิการ" แต่ปางก่อนเหมือนอย่างที่เคยเชื่อกันมา ทว่า พระองค์กลับทรงเชื่อว่า การทั้งปวงที่ทำให้ได้เป็นพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเพราะ "มนุษย์" มากกว่า

เช่น ที่พระองค์ตรัสยืนยันแนวคิดเช่นนี้ไว้ว่า
"ที่ได้เปนเจ้าแผ่นดินทั้งนี้ ครั้นจะว่าไปว่าได้เปนด้วยอำนาจเทวดา ก็จะเปนอันลบหลู่บุญคุณของท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่ท่านพร้อมใจกันอุปถัมภ์ค้ำชูให้เปนเจ้าแผ่นดินนั้นไป ด้วยว่า ความที่ได้เปนเจ้าแผ่นดิน เพราะท่านผู้หลักผู้ใหญ่ค้ำชูอุดหนุนนั้น รู้อยู่แก่ตา เห็นอยู่แก่ตา ของคนเปนอันมากตรงๆ ไม่อ้างว่าอำนาจเทวดาแล้ว"

ข้อความที่ว่า "รู้อยู่แก่ตา เห็นอยู่แก่ตา ของคนเปนอันมาก ไม่อ้างว่าอำนาจเทวดาแล้ว" นั้น สะท้อนท่าทีแบบเหตุผลนิยม (ไม่อ้างอำนาจพิเศษเหนือสามัญวิสัย) มนุษยนิยม (ยอมรับศักยภาพของมนุษย์) และสะท้อนท่าทีวิทยาศาสตร์แบบประจักษ์นิยม/วัตถุนิยม (เน้นความจริงเชิงประจักษ์ที่เห็นผ่านประสาทสัมผัส) อย่างไม่ต้องสงสัย

และด้วยเหตุดังนั้นเอง เราจึงอาจกล่าวได้ว่า โลกทัศน์ที่ถือเอาโลกุตรธรรมอย่างคติการถึงพุทธภูมิเป็นที่หมายสุดท้ายของชีวิตก็ดี การเชื่อมั่นว่ามรรค ผล นิพพาน และนรกสวรรค์เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงก็ดี

ได้ "ขาดตอน" ลงและหายไปจากโลกทัศน์ไทยเอาในสมัยรัชกาลที่ 4 นี่เอง



ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 05:49:47 am »




คําถามสำคัญก็คือ ทำไมโลกุตรธรรม หรือปฏิเวธสัทธรรม และ/หรือมรรค ผล นิพพาน ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญถึงขนาดเป็นโลกทัศน์หลักของชนชั้นนำไทยและประชาชน จึงมาขาดช่วงหรือไม่มีความสำคัญอีกต่อไปในสมัยรัชกาลที่ 4

คำตอบก็คือ เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาแผนใหม่ที่รับอิทธิพลมาจากประเทศตะวันตกนั่นเอง การศึกษาแผนใหม่ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความสำคัญนั้น ถูกถ่ายทอดผ่านมายังภาษาอังกฤษ

หรือกล่าวให้ตรงกว่านั้นก็คือ
ผ่านมายังตำรับตำราภาษาอังกฤษมากมายที่พระองค์ทรงศึกษาเพื่อเตรียมรับมือกับจักรวรรดินิยมตะวันตก รวมทั้งผ่านตำราแขนงอื่นๆ ที่ต่างออกไปจากภูมิปัญญาไทยแบบเดิม และผ่านวิธีวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ซึ่งทรงสนพระทัยศึกษาค้นคว้าเป็นพิเศษจนต่อมาทรงได้รับการยกย่องให้เป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ของเมืองไทย นับแต่สมัยที่พระองค์ยังทรงครองเพศสมณะและเป็นที่รู้จักกันในฐานะ "วชิรญาณภิกขุ" เสียด้วยซ้ำ

ลักษณะจำเพาะอย่างหนึ่งของของการศึกษาแผนใหม่ที่พระจอมเกล้าทรงศึกษา ก็คือ วิทยาการต่างๆ ล้วนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิธีวิทยาแบบวิทยาศาสตร์ที่เน้นความมีเหตุผล และเน้น "ความรู้เชิงประจักษ์" เป็นสำคัญ ทั้งนี้ โดยมีระบบเหตุผลหรือลัทธิเหตุผลนิยมเป็นเครื่องมือสนับสนุนที่หนักแน่นยิ่งนัก

ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เมื่อศึกษาวิทยาการแผนใหม่อย่างลึกซึ้งแล้ว โลกทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเปลี่ยนแปลงไปจากคนในสมัยก่อนหน้านั้นอย่างแทบจะสิ้นเชิง

ผลของการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาแผนใหม่ก็คือ ทำให้พระองค์ทรงกลายเป็นนักเหตุผลนิยม และนักมนุษยนิยม ที่โดดเด่นของยุคสมัย คำสอนของพระองค์อันเนื่องด้วยพุทธศาสนาแต่เมื่อเป็นวชิรญาณภิกขุก็ดี แม้เมื่อทรงลาสิกขาออกมาเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์เต็มตัวแล้วก็ดี มีน้ำเสียงของความเป็นนักเหตุผลนิยมและเน้นความจริงเชิงประจักษ์อย่างชัดเจน เช่น

เรื่องนรกสวรรค์ พระองค์ก็ทรงอธิบายเสียใหม่โดยเน้นไปที่ "สวรรค์ในอก นรกในใจ" เป็นสำคัญ

คติเรื่องพระนิพพานคืออุดมคติสูงสุดของชีวิตก็ทรงไม่ให้ความสำคัญ เพราะเป็นเรื่องเหนือวิสัยไกลตัวนัก



ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 05:43:23 am »




หรือแม้แต่พระเจ้ากรุงธนบุรี ก็ยังทรงเชื่อในโลกทัศน์แบบพุทธภูมิคือที่หมายสุดท้ายของชีวิตเช่นนี้ พระองค์ได้ทรงตั้งพระสัตยาธิษฐานไว้ในคราวบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดบางยี่เรือใต้ว่า "เดชะผลทานนี้... จงเป็นปัจจัยแก่พระโพธิญาณในอนาคตกาลโน้นเทอญ"

หลังสมัยรัชกาลที่ 1 มาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 อุดมคติแห่งชีวิตที่ผูกโยงอยู่กับมรรค ผล นิพพาน ของชนชั้นนำไทย (ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของประชาชนในสมัยนั้นด้วย) ก็ยังคงเด่นชัดอยู่ ดังปรากฏอยู่ในพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จารึกไว้ในฐานพระสมุทรเจดีย์ ที่จังหวัดสมุทรปราการ ว่า

"ทรงปรารถนาพระโพธิญาณศรัทธิกบารมี...ทรงพระวิริยะภาพเพียรพะยายามตามประเพณีพระมะหาโพธิสัตว์เจ้าแต่ปางก่อนสืบมา...ปลงพระไทยแต่จะให้สำเร็จแก่พระสรรเพชญโพธิญาณจะรื้อขนสัตว์จากสงสารทุกข์"

ในศิลาจารึกสมัยพุทธศตวรรษที่ 13-14 ที่จังหวัดนครราชสีมา มีข้อความตอนหนึ่งว่า "ขอให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย...จงเป็นพุทธองค์...และลุถึงพุทธภูมิ"

ข้อความในศิลาจารึกฉบับนี้สะท้อนให้เห็นโลกทัศน์ของประชาชนทั่วไปที่มีความเชื่อ หรือมีอุดมคติในชีวิตเช่นเดียวกันกับชนชั้นนำของตน

แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 อุดมคติแห่งชีวิตที่ผูกพันความฝันอันสูงสุดของตนเองเอาไว้กับพุทธภูมิหรือนัยหนึ่งกับโลกุตรธรรม เริ่มสั่นคลอนและเลือนหายไปในที่สุด ดังที่พระองค์ทรงระบุเอาไว้ในเอกสารฉบับหนึ่งว่า "มิได้ทรงเอื้อมอาจปรารถนาพุทธภูมิ ดังท่านผู้อื่นๆ เป็นอันมาก"

แต่ข้อความสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า คติการถือเอาพุทธภูมิหรือมรรค ผล นิพพาน เป็นเป้าหมายสูงสุดได้ "ขาดตอน" ลงอย่างจริงจังในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ตอนที่พระองค์ทรงระบุถึงคนที่ "ได้มรรคผลรู้พระนิพพาน" ว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่ "...ทุกวันนี้ ไม่มีคนเช่นนั้นแล้ว"

นอกจากนี้แล้ว ทัศนะของชนชั้นนำไทยอย่างเจ้าพระยาทิพากรวงษ์ ผู้เขียนหนังสือ "แสดงกิจจานุกิจ" ที่กล่าวว่า "ทุกวันนี้ พระอริยบุคคลที่จะเป็นเนื้อนาบุญไม่มีแล้ว" ก็เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่ยืนยันได้ว่า ปฏิเวธสัทธรรม ได้ถูกทำให้เป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายอีกต่อไปในสมัยพระจอมเกล้านี่เอง

และเมื่อปฏิเวธสัทธรรมกล่าวคือ มรรค ผล นิพพาน หรือพุทธภูมิ ไม่ได้รับความสำคัญอีกต่อไปในสมัยรัชกาลที่ 4 สิ่งที่ถูกนำมาเน้นย้ำก็คือประโยชน์ในปัจจุบันหรือโลกิยธรรม (เข้ามาแทนที่โลกุตรธรรม)



ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 02, 2010, 05:37:57 am »




กล่าวคือ ความเจริญก้าวหน้าในทางสมณศักดิ์ ความมีเกียรติ มีตัวตน มีตำแหน่งหน้าที่การงาน ความมีอำนาจวาสนาในทางการปกครอง รวมทั้งความมั่งคั่ง (และควรเพิ่มค่านิยมความอยากมีปริญญาอย่างที่ชาวบ้านทั่วไปเป็นอยู่ในเวลานี้เข้าด้วยนั้น) อันเป็นค่านิยมแบบโลกีย์ระดับเดียวกันกับที่สังคมคฤหัสถ์เป็นกันอยู่นั้น

เราสามารถสืบสาวหาสาเหตุของปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ตั้งแต่สมัยของรัชกาลที่ 3 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

แต่เดิมนั้น โลกทัศน์หรือระบบความคิดความเชื่อของสังคมไทยอิงอยู่กับพระพุทธศาสนาอย่างชนิดที่แยกกันไม่ออก และรากฐานสำคัญของการที่พระพุทธศาสนาเข้าไปมีบทบาทสำคัญต่อประชาชนอย่างแน่นแฟ้น ก็คือ ระบบความคิดความเชื่อที่ส่งผ่านมาทางไตรภูมิพระร่วง ความเชื่อเรื่อง "นรก-สวรรค์" กลายเป็นกรอบอ้างอิงทางศีลธรรมที่ทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันมาได้อย่างสันติสุข

โลกทัศน์เช่นนี้ยืนยาวสืบต่อมาแม้จนในสมัยของรัชกาลที่ 1, 2, 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น เราจะพบว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น เมื่อทรงตั้งพระราชปณิธานก็ยังทรงอ้างเอา "พุทธภูมิ" เป็นเป้าหมายสูงสุดแห่งพระชนม์ชีพ เช่น

ข้อความที่ปรากฏในพระราชกำหนดใหม่ (ในกฎหมายตราสามดวง) ตอนหนึ่งว่า "...มีพระราชประณิธานปรารถนาพระพุทธภูมิโพธิญาณ"

อุดมคติสูงสุดของชนชั้นนำไทยในลักษณะนี้ เป็นอุดมคติพื้นฐานสำหรับคนไทยในยุคสมัยที่พุทธศาสนายังเฟื่องฟูอย่างยิ่ง ซึ่งเราสามารถอ้างอิงย้อนกลับไปได้ถึงสมัยพระยาลิไท ที่พระองค์โปรดให้จารึกข้อความทำนองนี้ไว้ในจารึกหลักหนึ่งความว่า

"พระองค์มีพระราชประสงค์พระโพธิญาณในอนาคตกาล แลปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อจะนำสัตว์ให้พ้นจากสงสารวัฏ ไปสู่พระนฤพานในอนาคตกาล"