ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มิถุนายน 27, 2016, 04:46:17 am »ย้อนไปเมื่อผมไปร่วมทำกิจกรรมภาวนา (retreat) กับหลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ (พระเซนเวียดนามเจ้าสำนัก Plum Village ที่ฝรั่งเศส) ที่เชียงใหม่ได้ฟังการสนทนาธรรมที่สนุก...และได้ “ตระหนักรู้” ว่าศาสนาพุทธของเรานี่ก็สร้างความหรรษาได้, ไม่จำเป็นต้องเครียดเลยแม้แต่น้อย
และยังได้พบญาติทางธรรมอีกมากมายหลายท่านรวมทั้งคุณเมตตา อุทกะพันธุ์, ประธานบริหารของอมรินทร์พริ้นติ้ง, ที่เป็นเจ้าของนิตยสาร “ชีวจิต”
เพิ่งเห็นว่าระหว่างการแลกเปลี่ยนคำถาม, คำตอบเรื่องศาสนาพุทธนั้น, ก็มีจังหวะที่ส่งเสียงหัวเราะและ “เฮ” กันได้อีกด้วย
บทสนทนาธรรมเริ่มด้วยหลวงปู่ให้เด็กน้อย ๆ ตั้งคำถามก่อน...และก็เจอดีตั้งแต่คำถามแรกเลย
ถาม...ทำไมตอนเช้าต้องมีพระอาทิตย์ด้วย?
ตอบ...ทำไมมีไม่ได้ล่ะ? (Why not? Thank you) (เฮ)
ถาม...ทำไมพระต้องใส่แว่นด้วย?
ตอบ....มีแต่พระบางรูปที่ใส่แว่น แต่หลาย ๆ ท่านไม่ใส่แว่น...คนที่ไม่ได้เป็นพระก็เหมือนกัน
ถาม....แต่หนูไม่เห็นพระที่กรุงเทพฯใส่แว่น?
ตอบ...นั่นไง...มีพระหนึ่งรูปจากกรุงเทพฯที่ใส่แว่น (เฮ)
ต่อมาก็เป็นทีของวัยรุ่นที่จะถามบ้าง
ถาม...ความสุขคือการตรัสรู้ใช่หรือไม่? เด็ก ๆ ดูเหมือนมีความสุขกว่า...พวกเขาตรัสรู้ง่ายกว่าใช่หรือไม่?
ตอบ..คำว่าตรัสรู้ตรงข้ามกับความสับสนและความโง่เขลา...เมื่อเรามีความสับสน, เราไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลา, เราทำลายตัวเองและทำให้คนอื่นเป็นทุกข์...การตรัสรู้หมายถึงการรู้ทุกอย่างอย่างชัดเจน ทำให้บรรเทาความทุกข์ของเราได้...ความสุขที่แท้จริงคือการตระหนักรู้ว่าเรากำลังมีความสุขอยู่...สังเกตเด็ก ๆ จะเห็นว่าพวกเขาอยู่ในสรวงสวรรค์ ไม่คำนึงถึงอดีตหรืออนาคต แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขามีความสุข...เมื่อเราตระหนักรู้ว่าเรากำลังมีความสุขหรือกำลังไม่มีความสุข, นั่นก็คือการตรัสรู้อย่างหนึ่งแล้ว
ถาม...เมื่อเราพยายามเพ่งในการหายใจเข้าออก, และมีความคิดหรืออารมณ์เกิดขึ้น,เราจะจัดการกับมันอย่างไร?
ตอบ...เมื่อเราเพ่งลมหายใจของเรา, เราก็เอาจิตของเรากลับมาหาเรา ลมหายใจที่มีสติทำให้เรามีพลัง สติคือพลังที่ทำให้เราตระหนักรู้ และโอบอุ้มความรู้สึก....ตอนแรก ๆ...อาจจะใส่ใจตามลมหายใจเข้าออก, หายใจเข้า, เราตระหนักรู้, หายใจออก, เราปลดปล่อยความตึงเครียดในความรู้สึกของฉัน...หนุ่มสาวอาจจะไม่รู้จักวิธีการดูแลอารมณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น...พวกเขาฆ่าตัวตายเพราะคิดว่าการตายคือหนทางแห่งการออกจากอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น...เราจึงต้องสอนให้คนหนุ่มสาวโอบรัดความรู้สึกรุนแรงและเปลี่ยนแปลงความรู้สึกรุนแรงนั้น...
ความรุนแรงเหมือนพายุ, มันมาแล้วก็พา, ทำไมเราต้องตายเพราะอารมณ์รุนแรงงนั้นเล่า?
...เรายิ่งใหญ่กว่าอารมณ์เดียวอย่างนั้น...ถ้าเรารู้วิธีควบคุมอารมณ์นั้น, เราสามารถเปลี่ยนและทำให้มันสงบลงได้...การฝึกหายใจเข้าออกอย่างมีสติเป็นวิธีการจัดการกับอารมณ์รุนแรงอย่างดียิ่ง...เพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การขึ้นลงของท้อง (ใต้สะดือ) ติดตามและเฝ้าสังเกตการหายใจเข้าออก...เพียง ๕ นาที, อารมณ์รุนแรงก็สงบลงได้...แต่ต้องไม่รอให้เกิดอารมณ์รุนแรงแล้วจึงเริ่มปฏิบัติ เพราะเมื่อถึงเวลาอารมณ์รุนแรง, เราจะลืมปฏิบัติ...ควรเริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้...ฝึกทุกวันละ ๕ นาที, และภายใต้ ๓ อาทิตย์ก็จะกลายเป็นนิสัยของเรา...เมื่ออารมณ์รุนแรงเกิดขึ้น, เราก็จะจำได้ที่จะฝึกปฏิบัติ...ถ้าเราสามารถควบคุมอารมณ์เช่นนี้ได้, เราก็จะไม่มีความกลัวกับความอารมณ์รุนแรงที่จะเกิดขึ้นอีก...เมื่อเด็กกำลังร้องไห้, ก็เชิญชวนให้เด็กทำลมหายใจเข้าออก...เราควรจะสอนเด็กอายุ ๑๒, ๑๓ ,๑๔ ทำวิธีลมหายใจเข้าออกอย่างนี้...เราจะช่วยชีวิตเขาได้...ในประเทศฝรั่งเศส, มีเด็กหนุ่มสาวฆ่าตัวตายมาก ที่ฮ่องกง, ก็มีคนรุ่นใหม่ปลิดชีวิตตัวเองวันละเป็นสิบคน, เพราะพวกเขาไม่รู้วิธีจัดการกับอารมณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น...ที่อังกฤษและอัฟริกาก็เหมือนกัน...เราจึงต้องฝึกปฏิบัติการหายใจเข้าออกให้ได้...
ถาม...การนั่งฝึกหายใจเข้าหายใจออกที่บอกตัวเองว่าหายใจเข้า, เราเป็นดอกไม้, หายใจออกเราสดชื่น...อย่างนี้เป็นการสะกดจิตหรือเปล่า?
ตอบ...การนั่งสมาธิแบบมีบทนำเป็นการสอนสำหรับผู้เริ่มต้น... ถ้ามีการร่วมงานภาวนาที่มีหลายวันมากกว่านี้ก็จะมีวิธีนั่งสมาธิแบบอื่น ๆ ด้วย...เราจะมีโอกาสนั่งสมาธิเงียบตลอดช่วงเวลานั้น...ผมได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่สอนวิธีนั่งสมาธิประมาณ ๕๐ บทให้ผู้เริ่มต้นฝึก...ที่หมู่บ้านพลัม, บางครั้งเราก็นั่งสมาธิแบบมีบทนำสัก ๑๕ นาที, หลังจากนั้นก็ให้นั่งสมาธิแบบเงียบ...เพื่อช่วยในการจินตนาการภาพ, ทำให้ทำสมาธิได้ง่ายขึ้น...นึกภาพถึงดอกไม้ก็ทำให้รู้สึกความสดชื่นได้ง่ายขึ้น...ถ้านึกภาพภูเขา, ก็รู้สึกถึงความมั่นคงได้ง่ายขึ้น...ภาพเหล่านี้เพียงช่วยให้เรามีสมาธิได้ง่ายขึ้นเท่านั้น..ไม่ใช่การสะกดจิต...ความจริงมนุษย์ก็เป็นดอกไม้ประเภทหนึ่ง, นี่ไม่ได้พูดเกินความจริงเลย...เพราะมันเป็นความจริง, ไม่ใช่แค่จิตนาการ...เรามีความสดชื่นในความเป็นมนุษย์แต่บางครั้ง, เราอาจจะสูญเสียความสดชื่น, เราจึงต้องเรียกความสดชื่นกลับคืนมา...ท่านั่งขัดตะหมาดดอกบัวเป็นท่านั่งที่สวยที่สุดท่าหนึ่งของมนุษย์...ในการนั่งสมาธิ, เราต้องการประสานกายและใจให้เข้ามาหากัน...หลังจากนั้น, เราก็สามารถเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นหัวเรื่องของการทำสมาธิเช่นความโกรธ, ความตายของเพื่อน, ดอกไม้...เป็นต้น...คนทำสมาธิกับนักวิทยาศาสตร์มีความเหมือนกัน...ต่างกันแต่เพียงว่านักวิทยาศาสตร์ใช้เครื่องไม้เครื่องมือในการค้นหา แต่คนทำสมาธิใช้การเจริญสติเป็นเครื่องมือในการค้นพบความจริงมากมาย...
ถาม...ถ้าเราไม่ได้โกรธเขาแล้ว, แต่เขายังโกรธเราอยู่...เราอยู่บ้านเดียวกัน, แต่ไม่พูดจากัน, จะแก้ไขอย่างไร?
ตอบ...ถ้าคุณไม่โกรธแล้วจริง ๆ ก็ต้องแสดงออกด้วยสายตาด้วยท่าทีในการทักทายคนคนนั้น...เราก็ต้องยิ้มให้เขา, ถ้าเราทำอย่างต่อเนื่อง, เราก็จะเริ่มสื่อสารกับคนคนนั้นได้...และอย่างที่สองที่ทำได้คือเขียนจดหมายให้เขา, บอกเขาว่าเราทุกข์ขนาดไหน, และเราได้หายโกรธแล้ว และหวังว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะหายโกรธและทุกข์น้อยลง..อย่างที่สามที่จะทำได้คือหาใครสักคนหนึ่งที่เข้าใจได้ให้ไปพูดกับคนนั้นเพื่อให้เขาระบายความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเรา...เพื่อให้บุคคลที่สามนำมาบอกเราให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น
ถาม...เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มา ๓๒ ปี แต่ยังเป็นนักเรียนที่ไม่ดี เพราะงานที่ทำหนักและเครียด จะทำอย่างไรดี?
ตอบ...ต้องฝึกปฏิบัติเป็นประจำกับสังฆะ ต้องหาเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ มาดื่มน้ำชาด้วยกันเพื่อจัดให้พบกันทุกสัปดาห์เพื่อปฏิบัติร่วมกันได้อย่างไร หลวงปู่มีความสุขเสมอเพราะมีสังฆะอยู่ด้วยตลอดเวลา
ถาม...ผมอยู่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้, เราดูแลตัวเองได้ แต่เราจะช่วยปกป้องคนอื่นได้อย่างไร...ฆราวาสควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์ที่มีความรุนแรงเช่นนี้?
ตอบ...มีวิธีทำให้ความรู้สึกของคนทางใต้ให้สงบลง เราควรใช้การฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening) ที่จะใช้วิธีการทำให้แต่ละฝ่ายเข้าใจกันมากขึ้น...ประวัติศาสตร์ของไทยเราบอกว่าคนไทยสามารถดูแลพี่น้องมุสลิมอย่างไร จึงไม่มีเหตุผลที่จะทำไม่ได้ในอนาคต...ความเป็นจริงในอดีตก็คือพี่น้องชาวพุทธกับพี่น้องชาวมุสลิมก็อยู่ด้วยกันได้อย่างดี...ด้วยความช่วยเหลือของทุก ๆ ฝ่ายรวมทั้งของสื่อมวลชนที่จะเป็นสื่อกลางเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อกัน...เราอาจจะจัดให้เกิดการประชุมเพื่อเชิญผู้นำอิสลามที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจดีเพื่อฟังท่านพูดอย่างลึกซึ้ง...พี่น้องชาวอิสลามของเราอาจจะได้ประสบกับเมล็ดพันธุ์แห่งความรุนแรงหรือกลัวหรือความระแวงสงสัย...เราต้องประกาศชัดเจนว่าเราต้องการฟังพวกเขาอย่างลึกซึ้ง...เราต้องปฏิบัติต่อชาวอิสลามในฐานะพี่น้องของเราเองอย่างแท้จริง...ต้องกล่าวเชื้อเชิญให้พวกเขาเสนอทางออกที่จะทำให้ชีวิตพวกเขามีความสุขมากขึ้น..การประชุมอย่างนี้อาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์เพราะจะได้มีการพูดจากันอย่างละเอียดครบถ้วน...ระหว่างที่พวกเขาพูด, ก็ไม่ควรจะมีการโต้ตอบ...และบุคคลที่จะเข้ามาร่วมประชุมควรจะเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพทั้งจากฝ่ายพุทธและฝ่ายอิสลาม ... เราต้องให้ความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีการแก้แค้น...และในอาทิตย์สุดท้ายชาวพุทธอาจจะต้องให้ข้อมูลเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหลายที่มีอยู่เพื่อให้พ้นจากความทุกข์...และอาจจะต้องจัดการประชุมอย่างนี้โดยกลุ่มเอ็นจีโอหรือองค์กรที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาล...ถ้าเราประยุกต์ใช้คำสอนของพระพุทธเจ้า, เราก็จะสามารถนำสันติภาพกลับมาสู่ประเทศชาติอีกครั้งหนึ่ง
เป็นการสนทนาธรรมที่ยิ้มได้ทั้งบนใบหน้าและในหัวใจจริง ๆ
จาก http://www.oknation.net/blog/suthichai/2013/10/09/entry-1