ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มิถุนายน 28, 2016, 12:12:13 pm »ธรรมบรรยาย โดย พระอาจารย์อมโร ภิกขุ เจ้าอาวาสวัดอมราวดี ประเทศอังกฤษ Amaravati Buddhist Monastery
พระพุทธเจ้าว่า อภินิหารมี 2 รูปแบบ คือ
1) อภินิหารทั่วไป เช่น เหาะเหินเดินอากาศ ดูนรกสวรรค์ อ่านใจผู้คน
2) อภินิหารจากการสอน การเข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์
ครั้งหนึ่งพระอานนท์ได้เล่าให้เหล่าคณะสงฆ์ฟัง ถึงอภินิหารของพระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะยามประสูติ เมื่อพระพุทธองค์ทรงมา จึงตรัสถามว่า “อยากได้ยินคุณลักษณะอันประเสริฐของพระพุทธองค์อีกไหม” เหล่าพระสงฆ์ตอบว่า อยาก
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
“คถาคตสามารถรู้ว่า อารมณ์ใดเกิด อารมณ์ใดเกาะเกี่ยวจิตใจ
และเมื่ออารมณ์ใดจืดจางไป คถาคตก็รับรู้ว่า อารมณ์นั้นจืดจางไป
ความคิดความรู้สึกก็เช่นกัน เกิดขึ้น เกาะเกี่ยวในจิตใจ และก็จางหายไป
อานนท์ นี่เป็นคุณลักษณะอันประเสริฐของคถาคต”
“ความอัศจรรย์นั้นไม่ได้มาจากการที่เทวดาโอบอุ้มยามคถาคตมาเกิด หรือพูดได้ เดินได้ยามประสูติ อัศจรรย์ที่แท้คือ การที่เราสามารถดูจิตของเราเองได้”
เมื่อเราโดนแซงคิวในร้านสะดวกซื้อ เราเห็นอารมณ์โกรธ นั่นคือ “การได้ดูอารมณ์แต่ไม่ถลำตามอารมณ์ นั่นแหล่ะ คืออภินิหารที่แท้จริง”
เมื่อเห็นอารมณ์เกิดขึ้นตามจริง แบบเป็นกลาง โดยไม่กดอารมณ์หรือดึงกลับมา เราก็จะเกิดสติปัญญาตามมาว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นดับไป และสติปัญญาจะทำให้รู้ว่า เราต้องทำอะไร
แม้แต่พระโสดาบันก็ยังมีอารมณ์โกรธ ยังมีความต้องการ แสดงสิ่งที่ไม่ดี และอาจจะเกิดความรู้สึกโกรธ เวลามีใครแซงคิว
แต่พระโสดาบันจะต่างจากปุถุชนธรรมดาที่ว่า จะสามารถแยกแยะได้ว่า นั่นคืออารมณ์โกรธ และจะไม่ถลำลึกตามอารมณ์โกรธนั้น และปัญญาที่พัฒนาต่อมาจากการมีสติ ณ ขณะนั้น ก็จะทำให้เกิดความเมตตาต่อหญิงที่แซงคิวนั้น
หากฝึกจิตให้มีสติ มองตามอารมณ์แต่ไม่ถลำตามอารมณ์แบบนี้ไปเรื่อย ๆ เราจะพบว่า มีพื้นที่มากมายในโลกนี้ และจะเห็นว่า มีอารมณ์โน่นนี่ เกิดขึ้นมากมาย แต่กระนั้น เราก็แค่ดู แค่เห็น ปล่อยให้ผ่านไป และจะพบว่า ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ใด ๆ ใจเราก็มีความสุข
© ทรูปลูกปัญญา