ข้อความโดย: lek
« เมื่อ: มิถุนายน 29, 2016, 05:03:12 am »อาหาเรปฏิกูลสัญญา
อาหาเรปฏิกูลสัญญา แปลว่า พิจารณาอาหารให้เป็นของน่าเกลียด อาหารถือเป็น
สิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตก็จริง แต่ทว่าอาหารนี้เป็นภัยแก่นักนิยมบำเพ็ญความเพียรเพื่อเผาผลาญกิเลส
ให้เร่าร้อนไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าจะพูดกันให้ตรงแล้ว อาหารนั้นไม่เป็นภัยเลย แต่ความรู้สึกของคนเอง
สร้างความเป็นภัยให้เกิดแก่ตัว ทราบกันอยู่เป็นปกติแล้วว่า สัตว์ทุกประเภทต้องการอาหาร แต่ความ
ต้องการอาหารของร่างกายนี้ ร่างกายต้องการเพียงยังอัตภาพให้เป็นอยู่ชั่วคราว ร่างกายมิได้มีความ
ต้องการสีสันของอาหาร มิได้ต้องการรสเลิศของอาหาร ร่างกายไม่เคยบัญชาว่าต้องการ อาหารที่มี
ราคาแพง ไม่เคยบอกว่า อาหารที่ทำด้วยสัตว์ตายเองมีรสไม่อร่อย และอะไรอีกนับไม่ไหวที่มวลหมู่นักกิน
ทั้งหลายต้องการ ล้วนแล้วแต่เสกสรรเพื่อความเร่าร้อนด้วยการกินทั้งสิ้น มีไม่น้อยรายที่ต้องยากจน
เพราะเรื่องกินที่เกินพอเหมาะพอดี หลายรายที่ต้องตายเพราะการกินที่เกินพอเหมาะพอดี เรื่องอาหาร
ความจริงแล้วไม่มีอะไรน่าหนักใจเลย ที่หนักหนักในการแสวงหาอาหารมาบำรุงบำเรอเพื่อความเหมาะ-
สมด้วยสีของอาหาร รสของอาหาร ประเภทของอาหาร และสถานที่ทำอาหารจนต้องล้มละลายตายจาก
กันและยากจนเข็ญใจเพราะอาหาร ความสลายตัวและความเร่าร้อนทั้งหลายเหล่านี้ เกิดจากอำนาจของ
กิเลสและตัณหาที่สิงใจอยู่นั่นเอง กิเลสคอยบัญชาการให้เกิดความต้องการล่อลวงให้ล้มละลายจาก
ความดี สร้างความทุกข์ให้เกิดด้วยการยั่วเย้ายุแหย่ ให้เกิดความพอใจในอาหารที่เกินควร อาหารนั้น
จะเป็นอาหารประเภทใดก็ตาม อาหารราคาถูกหรือราคาแพงก็เป็นอาหารที่กินแล้วหิวใหม่ทั้งสิ้น อาหาร
จานละหนึ่งบาทหรืออาหารจานละหนึ่งร้อย หรือหลายแสนบาท กินแล้วก็กลับหิวใหม่เหมือนกัน ไม่มี
อะไรวิเศษกว่ากัน ความที่ไม่รู้จักความพอดีในการอาหาร เป็นการถ่วงความดีทั้งในการทรงความเป็น
อยู่ในด้านฐานะ และทั้งความเป็นผู้รู้เท่าถึงการณ์ คนเลือกในอาหารเกินพอดี เป็นคนไร้ความดี คนที่
รู้จักบริโภคอาหารตามความพอเหมาะพอดี เป็นคนดีที่รู้เท่าถึงการณ์เรื่องการกินของชาวโลกที่
เสกสรรกิน เพราะกิเลสตัณหาสนับสนุนและเจ้าตัวเองก็ยังมัวเมาอยู่ จะขอยกไว้ไม่นำมากล่าว ในโลก
วิสัยคนที่ควรจะพูดกันได้ก็คือ คนประเภท พระโยคาวจร คำว่า โยคาวจร หมายถึง ท่านที่เริ่มเจริญ
สมถกรรมฐาน และเจริญวิปัสสนากรรมฐานท่านเรียกว่า พระ หมายถึง เริ่มเข้าถึงความเป็นผู้
ประเสริฐ โยคาวจร แปลว่า ผู้มีความประพฤติที่ประกอบด้วยความเพียร รวมความแล้วได้
ความว่า ท่านผู้มีความประพฤติประกอบความเพียรเพื่อให้ถึงความเป็นผู้ประเสริฐ ท่านที่เริ่มกรรมฐาน
ท่านเรียกว่า พระ ดูเหมือนจะได้เปรียบกว่าพวกพระที่บวช ท่านเรียกว่า สมมติสงฆ์ ท่านยังไม่ยอม
เรียกว่า พระ เพราะเพียงแต่เอาตัวมาเข้าพวกยังไม่เอาใจมาเข้าเป็นพวก ต่อเมื่อเริ่มปฏิบัติกรรมฐาน
นั้นแหละ ท่านจึงเรียกว่าพระโยคาวจร ต่อเมื่อได้สำเร็จมรรคผล จึงยอมรับถือว่าเป็นพระแท้
พระโยคาวจร หมายถึง การฝึกเพื่อความเป็นพระแท้ แต่ก็เริ่มเป็นพระจากเล็กน้อยไปหามาก จนเป็น
พระเต็มตัว คำว่าพระโยคาวจรนี้ ท่านเรียกทั้งท่านที่บวชเป็นพระและอุบาสกอุบาสิกาที่เริ่มทำ
ความเพียรเพื่อเผาผลาญกิเลสด้วยการเจริญพระกรรมฐาน ท่านพวกนี้เท่านั้นควรที่จะพูดกันเรื่อง
อาหารในที่นี้
พิจารณาอาหาร
นักปฏิบัติต้องเว้นจากอาหารที่เป็นโทษทางร่างกายทุกชนิด อาหารทุกประเภทที่บริโภค
แล้วเป็นโทษเป็นพิษแก่ร่างกาย พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้จำและเว้นอย่างเด็ดขาด เพราะการเจริญ
สมาธิหรือวิปัสสนา ถ้าสุขภาพไม่ปกติ โดยเฉพาะถ้ามีอาการไม่ปกติทางท้องแล้ว การเจริญสมาธิ
หรือพิจารณาวิปัสสนาญาณจะไร้ผล เพราะอาการวิปริตทางอุทรเป็นสมุฏฐาน ฉะนั้น อาหารประเภทใด
ที่เคยบริโภคแล้วทำให้ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ท่านให้เว้นเด็ดขาด ไม่ควรเกรงใจผู้ให้ การเกรงใจ
จนตนเองเป็นโทษ เป็นการเกรงใจที่ไม่พอเหมาะพอดี
อาหารที่ยั่วราคะ คือเมื่อกินเข้าไปแล้วเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์ในกามารมณ์ ควรเว้นเด็ดขาด
อาหารที่เป็นภัยแก่ชีวิตของผู้อื่น โดยการทำด้วยการเจาะจงให้ เมื่อรู้แล้วไม่ควรบริโภค ไม่ควร
เกรงใจผู้ให้ เพราะจะเป็นไปเพื่อสนับสนุนให้เขาทำบาปมากขึ้น
ก่อนบริโภคอาหารทุกครั้ง ควรพิจารณาอาหารก่อนว่า
๑. จะบริโภคเพื่อความเป็นอยู่
ท่านสอนว่า ควรคิดว่า เราจะบริโภคอาหารเพื่อความเป็นอยู่ของร่างกาย เพราะร่างกาย
ต้องการอาหาร เรายังต้องอาศัยร่างกายประกอบความดี เราจะกินเพื่อให้ร่างกายมีกำลังเท่านั้น เรา
ไม่กินเพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ เพื่อเป็นการยั่วเย้ากิเลสให้เกิดเพราะความผ่องใสนั้น เราจะไม่
สรรหาอาหารที่ไม่จำเป็น เพราะรสในอาหาร เพราะสีสันในอาหาร หรือเพราะความโอ้อวดในการ
บริโภคอาหาร คือ กินอวดชาวบ้านว่า ฉันมีอาหารที่หาได้ยากมากินดังนี้เป็นต้น
๒. พิจารณาให้เห็นว่าปฏิกูล
ก่อนบริโภค ท่านให้พิจารณาว่า อาหารนี้จะทำด้วยฝีมือของใครก็ตามที่นิยมว่ารสเลิศ หรือ
เป็นอาหารมีราคาสูง อาหารนี้มีความสำคัญเสมอกันอย่างหนึ่ง คือมีพื้นเพเป็นของสกปรกมาในกาล
ก่อน เพราะอาหารที่เป็นพืช ย่อมสกปรกมาตั้งแต่ก่อกำเนิดของพืช โสโครกเพราะอาหารของพืชที่
เจือด้วยของโสโครก เช่น ปุ๋ยจากอุจจาระของสัตว์และมนุษย์ และปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำด้วยมูลขยะที่เต็ม
ไปด้วยของสกปรก และสกปรกด้วยการทอดทิ้งไว้ในที่สาธารณะ มีที่วางไม่เลือกที่ของผู้ขาย พืชมี
ความโสโครกดังนี้
อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ สัตว์ประเภทนั้นต้องมีเลือด คาว น้ำเหลือง น้ำหนอง อุจจาระ
ปัสสาวะ เป็นสิ่งที่มนุษย์เกลียดชังว่าเป็นของสกปรกโสโครก เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วไม่ว่าจะเป็นเนื้อที่
นิยมกันว่าประเสริฐเพียงใด ในที่สุดผู้บริโภคที่เลือกแต่อาหารชั้นเลิศต่างก็ต้องบริโภคใหม่ เพราะ
ไม่อิ่มตลอดกาล และก็ถ่ายเทกากอาหารออกมาเป็นสิ่งโสโครก แล้วกากเหล่านั้นก็ไปเป็นอาหาร ของ
สัตว์และพืช รวมความแล้วอาหารที่เรากินทั้งมวลเป็นอาหารสกปรก ไม่ใช่ของเลิศประเสริฐตามที่คิด
ท่านสอนให้พิจารณาว่าโสโครกตามความเป็นจริง จากการเกิดของพืชและสัตว์ ต่อมาให้
พิจารณาให้เห็นว่าโสโครก ในเมื่อเข้าไปรวมกันในปาก โดยท่านให้ข้อคิดว่า อาหารที่จัดสรรว่าเลิศ
ราคาแพง คนปรุงจะมาจากโลกไหนก็ตาม เมื่อเอาอาหารมารวมกัน แล้วทำเป็นคำเพื่อบริโภค พอเอา
อาหารที่สรรแล้วใส่ปาก แล้วก็คายออกมาเราไม่กล้าที่จะเอาอาหารนั้นใส่เข้าไปในปากใหม่ เพราะ
รังเกียจว่าเป็นของโสโครก
อีกนัยหนึ่งท่านให้พิจารณาว่า อาหารที่บริโภคนี้ห้ามความตายไม่ได้ คนที่มีอาหารเลิศ เช่น
พระราชา พระเจ้าจักรพรรดิ์ ที่ครองโลก หรือมหาเศรษฐีท่านใดก็ตาม ท่านทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีอาหาร
เลิศที่มวลมนุษย์ที่มีฐานะปานกลาง ไม่สามารถจะหามาบริโภคได้ ท่านเหล่านั้นมีอาหารดีเพียงใด
ท่านก็ตายนับไม่ถ้วนแล้ว ชื่อว่าอาหารที่เลิศห้ามความตายไม่ได้
อาหารเลิศห้ามความเสื่อมไม่ได้ อาหารชั้นเลิศที่ท่านดังกล่าวมาแล้วบริโภคห้ามมิให้
ท่านแก่ คือ เป็นคนหนุ่มสาวตลอดกาล หรือห้ามมิให้เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ได้ท่านเหล่านั้น ท่านมีอาหาร
เลิศ แต่ท่านก็ต้องเป็นคนแก่ เป็นคนมีโรค มีทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
รวมความว่า อาหารนั้น ห้ามอนิจจังความเที่ยงไม่ได้ จะกินอย่างไรก็ต้องเป็นผู้ไม่เที่ยง
ตลอดเวลา
อาหารห้ามความทุกข์ไม่ได้ กินดีเท่าไร ก็ยังมีทุกข์เป็นธรรมดา ต้องป่วย ต้องแก่ หูหนัก
ตามืด ร่างกายอ่อนแอ เหมือนกับคนที่บริโภคอาหารตามปกติ คือ อาหารที่ไม่ผิดศีลธรรมและเป็น
อาหารที่มีราคาไม่แพง
อาหารห้ามอนัตตาไม่ได้ ความทุกข์เป็นอนัตตาของผู้แสวงหาความสุข เมื่อคนทุกคนต้องการ
แต่ความสุข เมื่อความต้องการทุกข์ไม่มี ไม่ว่าใคร ทำทุกอย่างเพื่อความไม่มีทุกข์ แต่ทุกคนก็ต้องมี
ทุกข์ ทั้ง ๆ ที่ตนไม่ปรารถนา ฉะนั้น ทุกข์จึงเป็นอนัตตาของผู้แสวงสุข เพราะบังคับไม่ให้ทุกข์เกิดไม่ได้
ในที่สุดก็ต้องสลายกันจนสิ้นซาก แม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือไว้เป็นพยาน เขาเหล่านั้นมีอาหารเป็นที่พึ่ง
ทั้งนั้น แต่อาหารก็ห้ามอนัตตาไม่ได้ รวมความว่าอาหารไม่ใช่เครื่องจรรโลงชีวิตให้อยู่ตลอดกาล
อาหารเป็นเพียงเครื่องค้ำจุนชั่วคราว ท่านจึงสอนไม่ให้เลือกอาหาร เพราะติดในรส สี และฝีมือ สถานที่
อันเป็นการมัวเมาในอาหารที่เกินควร เพราะเป็นการส่งเสริมกิเลสเกินพอดี
อาหารพระอริยะ
พระอริยะตัวอย่าง ขอยกเอาพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ประกาศพระศาสนามาพูดให้
ทราบ สมัยหนึ่งในหลายสิบสมัย พระองค์ทรงเดินทางร่วมกับพระอานนท์ไปบิณฑบาต ทรงพบ
นางบุญทาสีในระหว่างทาง นางบุญเป็นคนจน เป็นทาสของเศรษฐี นางเห็นพระพุทธเจ้านางก็ดีใจ
คิดว่า วันก่อน ๆเราเห็นพระอยากจะทำบุญแต่เราก็ไม่มีของ บางวันเรามีของ เราก็ไม่พบพระ วันนี้
โชคดี เรามีแป้งจี่ผสมรำห่อพกมาเพื่อบริโภค เราพบพระพอดี เป็นอันว่าเรามีของและพบพระ
พร้อมกัน เราจะทำบุญให้สมใจนึก นางจึงเอาแป้งจี่เข้าไปถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับแป้งจี่
จากนางแล้วนั่งฉันข้างทางนั่นเอง เป็นเหตุให้นางเลื่อมใส พอพระองค์อนุโมทนา นางก็ได้สำเร็จ
พระโสดาบัน
พระรัฐบาลฉันอาหารทิ้ง
พระรัฐบาลเป็นพุทธสาวก เป็นพระอรหันต์ ท่านไปเยี่ยมบ้าน ไม่มีใครจำท่านได้ ไม่มีใคร
เขาใส่บาตร ท่านยืนอยู่ใกล้บ้าน บังเอิญหญิงสาวใช้เอาอาหารเหลือบริโภคออกมาเทนอกบ้าน ท่าน
เห็นเข้า ท่านจึงพูดว่า ดูก่อนน้องหญิง ถ้าของนั้นเป็นของที่ทิ้งแล้ว ขอน้องหญิงจงเทลงในบาตร
ของเรา เมื่อนางเทของลงในบาตร ท่านก็นั่งฉันตรงนั้น
เรื่องอาหารนี้ ดูแล้วจะเห็นว่า พระอริยะแม้แต่พระพุทธเจ้า ท่านไม่พิถีพิถันอะไรนัก นอก
จากอาหารที่เป็นโทษ เช่น อาหารที่เขาบอกว่าจะแกงปลา แกงไก่ แกงสัตว์อะไรก็ตามที่เจ้าภาพ
บอกชื่อก่อนถวาย อาหารประเภทนี้ท่านไม่รับ เพราะเป็นโทษทางก่อให้เกิดกิเลสและตัณหา และ
อาหารที่เกินพอดี เช่น เนื้อมนุษย์ เนื้อเสือ เป็นต้น ท่านเว้นเด็ดขาด เพราะมีรสดีเกินไป ทำให้ก่อ
กิเลสและตัณหา นอกนั้นไม่เป็นโทษต่อร่างกาย ไม่ผิดธรรมวินัย ท่านฉันเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป
ไม่ฉันเพื่อยั่วกิเลสและตัณหา ไม่ฉันเพื่อรส และเพื่อสีสันวรรณะของอาหาร ไม่ติดร้าน หรือผู้ปรุง
รวมความแล้ว ท่านสอนให้บริโภคอาหารเพื่ออยู่ ไม่ให้เมาในรส ในสี และให้พิจารณาให้เห็นว่าเป็น
ของโสโครก ไม่ใช่ของวิเศษที่สร้างผู้บริโภคเป็นผู้วิเศษ ถ้ากินดี โดยการพิจารณาก็มีผลเป็นญาณ
และได้มรรคผลเพราะอาหาร ถ้ากินด้วยความมัวเมาในรส ในสี ในคนปรุง ก็มีทุกข์เพราะอาหาร
ขอนักปฏิบัติจงสังวรณ์ในเรื่องบริโภคให้มาก ถ้าท่านปลงอาหารตก ไม่เมาในรสอาหาร ท่านมีหวังเห็น
ฝั่งพระนิพพานในอนาคตอันไม่ไกลนัก เพราะผู้ที่ไม่เมาในรสอาหาร ก็เป็นผู้ไม่เมาในชีวิต ผู้ไม่เมา
ชีวิตก็เป็นคนเห็นไตรลักษณะ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คนเห็นพระไตรลักษณะ ก็เป็นผู้เห็นอริยสัจ
คนเห็นอริยสัจ ก็เป็นผู้ถึงความเป็นพระอริยะ ท่านที่เป็นพระอริยะ ก็เป็นผู้เข้าถึงพระนิพพาน ขอท่าน
ที่เจริญกรรมฐานข้อว่าอาหาเรปฏิกูลสัญญานี้ จงตั้งใจปฏิบัติด้วยดีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน คือยอมตาย
ดีกว่าที่จะมีจิตใจติดในรสอาหาร เท่านี้ความหวังของท่านก็ได้รับผลตามที่ตั้งใจทุกประการ
(ขอยุติอาหาเรปฏิกูลสัญญาไว้เพียงเท่านี้)
อาหาเรปฏิกูลสัญญา แปลว่า พิจารณาอาหารให้เป็นของน่าเกลียด อาหารถือเป็น
สิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตก็จริง แต่ทว่าอาหารนี้เป็นภัยแก่นักนิยมบำเพ็ญความเพียรเพื่อเผาผลาญกิเลส
ให้เร่าร้อนไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าจะพูดกันให้ตรงแล้ว อาหารนั้นไม่เป็นภัยเลย แต่ความรู้สึกของคนเอง
สร้างความเป็นภัยให้เกิดแก่ตัว ทราบกันอยู่เป็นปกติแล้วว่า สัตว์ทุกประเภทต้องการอาหาร แต่ความ
ต้องการอาหารของร่างกายนี้ ร่างกายต้องการเพียงยังอัตภาพให้เป็นอยู่ชั่วคราว ร่างกายมิได้มีความ
ต้องการสีสันของอาหาร มิได้ต้องการรสเลิศของอาหาร ร่างกายไม่เคยบัญชาว่าต้องการ อาหารที่มี
ราคาแพง ไม่เคยบอกว่า อาหารที่ทำด้วยสัตว์ตายเองมีรสไม่อร่อย และอะไรอีกนับไม่ไหวที่มวลหมู่นักกิน
ทั้งหลายต้องการ ล้วนแล้วแต่เสกสรรเพื่อความเร่าร้อนด้วยการกินทั้งสิ้น มีไม่น้อยรายที่ต้องยากจน
เพราะเรื่องกินที่เกินพอเหมาะพอดี หลายรายที่ต้องตายเพราะการกินที่เกินพอเหมาะพอดี เรื่องอาหาร
ความจริงแล้วไม่มีอะไรน่าหนักใจเลย ที่หนักหนักในการแสวงหาอาหารมาบำรุงบำเรอเพื่อความเหมาะ-
สมด้วยสีของอาหาร รสของอาหาร ประเภทของอาหาร และสถานที่ทำอาหารจนต้องล้มละลายตายจาก
กันและยากจนเข็ญใจเพราะอาหาร ความสลายตัวและความเร่าร้อนทั้งหลายเหล่านี้ เกิดจากอำนาจของ
กิเลสและตัณหาที่สิงใจอยู่นั่นเอง กิเลสคอยบัญชาการให้เกิดความต้องการล่อลวงให้ล้มละลายจาก
ความดี สร้างความทุกข์ให้เกิดด้วยการยั่วเย้ายุแหย่ ให้เกิดความพอใจในอาหารที่เกินควร อาหารนั้น
จะเป็นอาหารประเภทใดก็ตาม อาหารราคาถูกหรือราคาแพงก็เป็นอาหารที่กินแล้วหิวใหม่ทั้งสิ้น อาหาร
จานละหนึ่งบาทหรืออาหารจานละหนึ่งร้อย หรือหลายแสนบาท กินแล้วก็กลับหิวใหม่เหมือนกัน ไม่มี
อะไรวิเศษกว่ากัน ความที่ไม่รู้จักความพอดีในการอาหาร เป็นการถ่วงความดีทั้งในการทรงความเป็น
อยู่ในด้านฐานะ และทั้งความเป็นผู้รู้เท่าถึงการณ์ คนเลือกในอาหารเกินพอดี เป็นคนไร้ความดี คนที่
รู้จักบริโภคอาหารตามความพอเหมาะพอดี เป็นคนดีที่รู้เท่าถึงการณ์เรื่องการกินของชาวโลกที่
เสกสรรกิน เพราะกิเลสตัณหาสนับสนุนและเจ้าตัวเองก็ยังมัวเมาอยู่ จะขอยกไว้ไม่นำมากล่าว ในโลก
วิสัยคนที่ควรจะพูดกันได้ก็คือ คนประเภท พระโยคาวจร คำว่า โยคาวจร หมายถึง ท่านที่เริ่มเจริญ
สมถกรรมฐาน และเจริญวิปัสสนากรรมฐานท่านเรียกว่า พระ หมายถึง เริ่มเข้าถึงความเป็นผู้
ประเสริฐ โยคาวจร แปลว่า ผู้มีความประพฤติที่ประกอบด้วยความเพียร รวมความแล้วได้
ความว่า ท่านผู้มีความประพฤติประกอบความเพียรเพื่อให้ถึงความเป็นผู้ประเสริฐ ท่านที่เริ่มกรรมฐาน
ท่านเรียกว่า พระ ดูเหมือนจะได้เปรียบกว่าพวกพระที่บวช ท่านเรียกว่า สมมติสงฆ์ ท่านยังไม่ยอม
เรียกว่า พระ เพราะเพียงแต่เอาตัวมาเข้าพวกยังไม่เอาใจมาเข้าเป็นพวก ต่อเมื่อเริ่มปฏิบัติกรรมฐาน
นั้นแหละ ท่านจึงเรียกว่าพระโยคาวจร ต่อเมื่อได้สำเร็จมรรคผล จึงยอมรับถือว่าเป็นพระแท้
พระโยคาวจร หมายถึง การฝึกเพื่อความเป็นพระแท้ แต่ก็เริ่มเป็นพระจากเล็กน้อยไปหามาก จนเป็น
พระเต็มตัว คำว่าพระโยคาวจรนี้ ท่านเรียกทั้งท่านที่บวชเป็นพระและอุบาสกอุบาสิกาที่เริ่มทำ
ความเพียรเพื่อเผาผลาญกิเลสด้วยการเจริญพระกรรมฐาน ท่านพวกนี้เท่านั้นควรที่จะพูดกันเรื่อง
อาหารในที่นี้
พิจารณาอาหาร
นักปฏิบัติต้องเว้นจากอาหารที่เป็นโทษทางร่างกายทุกชนิด อาหารทุกประเภทที่บริโภค
แล้วเป็นโทษเป็นพิษแก่ร่างกาย พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้จำและเว้นอย่างเด็ดขาด เพราะการเจริญ
สมาธิหรือวิปัสสนา ถ้าสุขภาพไม่ปกติ โดยเฉพาะถ้ามีอาการไม่ปกติทางท้องแล้ว การเจริญสมาธิ
หรือพิจารณาวิปัสสนาญาณจะไร้ผล เพราะอาการวิปริตทางอุทรเป็นสมุฏฐาน ฉะนั้น อาหารประเภทใด
ที่เคยบริโภคแล้วทำให้ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ท่านให้เว้นเด็ดขาด ไม่ควรเกรงใจผู้ให้ การเกรงใจ
จนตนเองเป็นโทษ เป็นการเกรงใจที่ไม่พอเหมาะพอดี
อาหารที่ยั่วราคะ คือเมื่อกินเข้าไปแล้วเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์ในกามารมณ์ ควรเว้นเด็ดขาด
อาหารที่เป็นภัยแก่ชีวิตของผู้อื่น โดยการทำด้วยการเจาะจงให้ เมื่อรู้แล้วไม่ควรบริโภค ไม่ควร
เกรงใจผู้ให้ เพราะจะเป็นไปเพื่อสนับสนุนให้เขาทำบาปมากขึ้น
ก่อนบริโภคอาหารทุกครั้ง ควรพิจารณาอาหารก่อนว่า
๑. จะบริโภคเพื่อความเป็นอยู่
ท่านสอนว่า ควรคิดว่า เราจะบริโภคอาหารเพื่อความเป็นอยู่ของร่างกาย เพราะร่างกาย
ต้องการอาหาร เรายังต้องอาศัยร่างกายประกอบความดี เราจะกินเพื่อให้ร่างกายมีกำลังเท่านั้น เรา
ไม่กินเพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ เพื่อเป็นการยั่วเย้ากิเลสให้เกิดเพราะความผ่องใสนั้น เราจะไม่
สรรหาอาหารที่ไม่จำเป็น เพราะรสในอาหาร เพราะสีสันในอาหาร หรือเพราะความโอ้อวดในการ
บริโภคอาหาร คือ กินอวดชาวบ้านว่า ฉันมีอาหารที่หาได้ยากมากินดังนี้เป็นต้น
๒. พิจารณาให้เห็นว่าปฏิกูล
ก่อนบริโภค ท่านให้พิจารณาว่า อาหารนี้จะทำด้วยฝีมือของใครก็ตามที่นิยมว่ารสเลิศ หรือ
เป็นอาหารมีราคาสูง อาหารนี้มีความสำคัญเสมอกันอย่างหนึ่ง คือมีพื้นเพเป็นของสกปรกมาในกาล
ก่อน เพราะอาหารที่เป็นพืช ย่อมสกปรกมาตั้งแต่ก่อกำเนิดของพืช โสโครกเพราะอาหารของพืชที่
เจือด้วยของโสโครก เช่น ปุ๋ยจากอุจจาระของสัตว์และมนุษย์ และปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำด้วยมูลขยะที่เต็ม
ไปด้วยของสกปรก และสกปรกด้วยการทอดทิ้งไว้ในที่สาธารณะ มีที่วางไม่เลือกที่ของผู้ขาย พืชมี
ความโสโครกดังนี้
อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ สัตว์ประเภทนั้นต้องมีเลือด คาว น้ำเหลือง น้ำหนอง อุจจาระ
ปัสสาวะ เป็นสิ่งที่มนุษย์เกลียดชังว่าเป็นของสกปรกโสโครก เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วไม่ว่าจะเป็นเนื้อที่
นิยมกันว่าประเสริฐเพียงใด ในที่สุดผู้บริโภคที่เลือกแต่อาหารชั้นเลิศต่างก็ต้องบริโภคใหม่ เพราะ
ไม่อิ่มตลอดกาล และก็ถ่ายเทกากอาหารออกมาเป็นสิ่งโสโครก แล้วกากเหล่านั้นก็ไปเป็นอาหาร ของ
สัตว์และพืช รวมความแล้วอาหารที่เรากินทั้งมวลเป็นอาหารสกปรก ไม่ใช่ของเลิศประเสริฐตามที่คิด
ท่านสอนให้พิจารณาว่าโสโครกตามความเป็นจริง จากการเกิดของพืชและสัตว์ ต่อมาให้
พิจารณาให้เห็นว่าโสโครก ในเมื่อเข้าไปรวมกันในปาก โดยท่านให้ข้อคิดว่า อาหารที่จัดสรรว่าเลิศ
ราคาแพง คนปรุงจะมาจากโลกไหนก็ตาม เมื่อเอาอาหารมารวมกัน แล้วทำเป็นคำเพื่อบริโภค พอเอา
อาหารที่สรรแล้วใส่ปาก แล้วก็คายออกมาเราไม่กล้าที่จะเอาอาหารนั้นใส่เข้าไปในปากใหม่ เพราะ
รังเกียจว่าเป็นของโสโครก
อีกนัยหนึ่งท่านให้พิจารณาว่า อาหารที่บริโภคนี้ห้ามความตายไม่ได้ คนที่มีอาหารเลิศ เช่น
พระราชา พระเจ้าจักรพรรดิ์ ที่ครองโลก หรือมหาเศรษฐีท่านใดก็ตาม ท่านทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีอาหาร
เลิศที่มวลมนุษย์ที่มีฐานะปานกลาง ไม่สามารถจะหามาบริโภคได้ ท่านเหล่านั้นมีอาหารดีเพียงใด
ท่านก็ตายนับไม่ถ้วนแล้ว ชื่อว่าอาหารที่เลิศห้ามความตายไม่ได้
อาหารเลิศห้ามความเสื่อมไม่ได้ อาหารชั้นเลิศที่ท่านดังกล่าวมาแล้วบริโภคห้ามมิให้
ท่านแก่ คือ เป็นคนหนุ่มสาวตลอดกาล หรือห้ามมิให้เจ็บไข้ได้ป่วยไม่ได้ท่านเหล่านั้น ท่านมีอาหาร
เลิศ แต่ท่านก็ต้องเป็นคนแก่ เป็นคนมีโรค มีทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
รวมความว่า อาหารนั้น ห้ามอนิจจังความเที่ยงไม่ได้ จะกินอย่างไรก็ต้องเป็นผู้ไม่เที่ยง
ตลอดเวลา
อาหารห้ามความทุกข์ไม่ได้ กินดีเท่าไร ก็ยังมีทุกข์เป็นธรรมดา ต้องป่วย ต้องแก่ หูหนัก
ตามืด ร่างกายอ่อนแอ เหมือนกับคนที่บริโภคอาหารตามปกติ คือ อาหารที่ไม่ผิดศีลธรรมและเป็น
อาหารที่มีราคาไม่แพง
อาหารห้ามอนัตตาไม่ได้ ความทุกข์เป็นอนัตตาของผู้แสวงหาความสุข เมื่อคนทุกคนต้องการ
แต่ความสุข เมื่อความต้องการทุกข์ไม่มี ไม่ว่าใคร ทำทุกอย่างเพื่อความไม่มีทุกข์ แต่ทุกคนก็ต้องมี
ทุกข์ ทั้ง ๆ ที่ตนไม่ปรารถนา ฉะนั้น ทุกข์จึงเป็นอนัตตาของผู้แสวงสุข เพราะบังคับไม่ให้ทุกข์เกิดไม่ได้
ในที่สุดก็ต้องสลายกันจนสิ้นซาก แม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือไว้เป็นพยาน เขาเหล่านั้นมีอาหารเป็นที่พึ่ง
ทั้งนั้น แต่อาหารก็ห้ามอนัตตาไม่ได้ รวมความว่าอาหารไม่ใช่เครื่องจรรโลงชีวิตให้อยู่ตลอดกาล
อาหารเป็นเพียงเครื่องค้ำจุนชั่วคราว ท่านจึงสอนไม่ให้เลือกอาหาร เพราะติดในรส สี และฝีมือ สถานที่
อันเป็นการมัวเมาในอาหารที่เกินควร เพราะเป็นการส่งเสริมกิเลสเกินพอดี
อาหารพระอริยะ
พระอริยะตัวอย่าง ขอยกเอาพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ประกาศพระศาสนามาพูดให้
ทราบ สมัยหนึ่งในหลายสิบสมัย พระองค์ทรงเดินทางร่วมกับพระอานนท์ไปบิณฑบาต ทรงพบ
นางบุญทาสีในระหว่างทาง นางบุญเป็นคนจน เป็นทาสของเศรษฐี นางเห็นพระพุทธเจ้านางก็ดีใจ
คิดว่า วันก่อน ๆเราเห็นพระอยากจะทำบุญแต่เราก็ไม่มีของ บางวันเรามีของ เราก็ไม่พบพระ วันนี้
โชคดี เรามีแป้งจี่ผสมรำห่อพกมาเพื่อบริโภค เราพบพระพอดี เป็นอันว่าเรามีของและพบพระ
พร้อมกัน เราจะทำบุญให้สมใจนึก นางจึงเอาแป้งจี่เข้าไปถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับแป้งจี่
จากนางแล้วนั่งฉันข้างทางนั่นเอง เป็นเหตุให้นางเลื่อมใส พอพระองค์อนุโมทนา นางก็ได้สำเร็จ
พระโสดาบัน
พระรัฐบาลฉันอาหารทิ้ง
พระรัฐบาลเป็นพุทธสาวก เป็นพระอรหันต์ ท่านไปเยี่ยมบ้าน ไม่มีใครจำท่านได้ ไม่มีใคร
เขาใส่บาตร ท่านยืนอยู่ใกล้บ้าน บังเอิญหญิงสาวใช้เอาอาหารเหลือบริโภคออกมาเทนอกบ้าน ท่าน
เห็นเข้า ท่านจึงพูดว่า ดูก่อนน้องหญิง ถ้าของนั้นเป็นของที่ทิ้งแล้ว ขอน้องหญิงจงเทลงในบาตร
ของเรา เมื่อนางเทของลงในบาตร ท่านก็นั่งฉันตรงนั้น
เรื่องอาหารนี้ ดูแล้วจะเห็นว่า พระอริยะแม้แต่พระพุทธเจ้า ท่านไม่พิถีพิถันอะไรนัก นอก
จากอาหารที่เป็นโทษ เช่น อาหารที่เขาบอกว่าจะแกงปลา แกงไก่ แกงสัตว์อะไรก็ตามที่เจ้าภาพ
บอกชื่อก่อนถวาย อาหารประเภทนี้ท่านไม่รับ เพราะเป็นโทษทางก่อให้เกิดกิเลสและตัณหา และ
อาหารที่เกินพอดี เช่น เนื้อมนุษย์ เนื้อเสือ เป็นต้น ท่านเว้นเด็ดขาด เพราะมีรสดีเกินไป ทำให้ก่อ
กิเลสและตัณหา นอกนั้นไม่เป็นโทษต่อร่างกาย ไม่ผิดธรรมวินัย ท่านฉันเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป
ไม่ฉันเพื่อยั่วกิเลสและตัณหา ไม่ฉันเพื่อรส และเพื่อสีสันวรรณะของอาหาร ไม่ติดร้าน หรือผู้ปรุง
รวมความแล้ว ท่านสอนให้บริโภคอาหารเพื่ออยู่ ไม่ให้เมาในรส ในสี และให้พิจารณาให้เห็นว่าเป็น
ของโสโครก ไม่ใช่ของวิเศษที่สร้างผู้บริโภคเป็นผู้วิเศษ ถ้ากินดี โดยการพิจารณาก็มีผลเป็นญาณ
และได้มรรคผลเพราะอาหาร ถ้ากินด้วยความมัวเมาในรส ในสี ในคนปรุง ก็มีทุกข์เพราะอาหาร
ขอนักปฏิบัติจงสังวรณ์ในเรื่องบริโภคให้มาก ถ้าท่านปลงอาหารตก ไม่เมาในรสอาหาร ท่านมีหวังเห็น
ฝั่งพระนิพพานในอนาคตอันไม่ไกลนัก เพราะผู้ที่ไม่เมาในรสอาหาร ก็เป็นผู้ไม่เมาในชีวิต ผู้ไม่เมา
ชีวิตก็เป็นคนเห็นไตรลักษณะ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คนเห็นพระไตรลักษณะ ก็เป็นผู้เห็นอริยสัจ
คนเห็นอริยสัจ ก็เป็นผู้ถึงความเป็นพระอริยะ ท่านที่เป็นพระอริยะ ก็เป็นผู้เข้าถึงพระนิพพาน ขอท่าน
ที่เจริญกรรมฐานข้อว่าอาหาเรปฏิกูลสัญญานี้ จงตั้งใจปฏิบัติด้วยดีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน คือยอมตาย
ดีกว่าที่จะมีจิตใจติดในรสอาหาร เท่านี้ความหวังของท่านก็ได้รับผลตามที่ตั้งใจทุกประการ
(ขอยุติอาหาเรปฏิกูลสัญญาไว้เพียงเท่านี้)