ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2016, 01:07:03 am »...... อาณาจักรแห่งแสง......
......อวตัมสกสูตร เป็นพระสูตรพุทธศาสนาที่ไพเราะงดงามที่สุดพระสูตร หนึ่ง อวตัมสกะ แปลว่า ...... ดอกไม้เครื่องประดับ มาลัยหรือพวงดอกไม้ ...... หรืออาจแปลว่า ...... ตกแต่งพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ ...... พระพุทธเจ้าไม่งาม พอละหรือ ทำไมเราจึงต้องตกแต่งพระองค์ด้วยดอกไม้ พระพุทธเจ้าใน พระสูตรนี้ใช่แค่พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล พระพุทธเจ้าในพระสูตรนี้มี อะไรมากกว่านั้น......
......พระพุทธเจ้าในประวัติศาสตร์ หรือพระศากยมุนีพุทธเจ้า ประสูตรเมื่อ ๒,๖oo ปีมาแล้วที่เมืองกบิลพัสดุ์ ทรงอภิเษกสมรสและมีพระโอรส แต่ทรงละชีวิตทางโลกมุ่งสู่การปฏิบัติ ทรงตรัสรู้และกลายเป็นครูผู้ ลือนาม ทรงช่วยผู้คนมากมาย และสุดท้ายเสด็จดับขันธปรินิพพานที่ เมืองกุสินาราเมื่อพระชนมายุได้แปดสิบพรรษา วันหนึ่งขณะพระอนิรุทธิ์ สาวกของพระองค์กำลังเดินไปตามท้องถนนในเมืองสาวัตถี สมณะนอก นิกายกลุ่มหนึ่งเรียกท่านและถามท่านว่า ...... เมื่อพระพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์ ไปแล้ว พระองค์จะยังดำรงอยู่หรือดับสูญไป ...... ในนช่วงที่พระพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่นั้นหลายคนพยายามถามคำถามทำนองนี้เพื่อความ เข้าใจพระพุทธเจ้าที่แท้จริงพระอนุรุทธิ์ตอบสมณะเหล่านั้นว่าท่านไม่รู้ และเมื่อกลับมาถึงเชตวันแล้ว ท่านได้ทูลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้พระ พุทธเจ้าทรงทราบ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสจึงตรัสแก่ท่าน ว่า ...... การจะเข้าใจพระพุทธเจ้านั้นยาก เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าด้วยรูป ลักษณะ โดยผัสสะและสัญญา เธอจะบอกได้หรือว่านั่นคือพระพุทธเจ้า ...... พระอนุรุทธิ์ตอบ ...... มิได้ พระเจ้าข้า ...... พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า ...... แล้ว เธอจะพบพระพุทธเจ้าโดยไม่มีรูปไม่มีผัสสะและไม่มีสัญญาได้ละหรือ ......
...... มิได้ พระเจ้าข้า ...... พระพุทธเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า ...... ตถาคตอยู่ตรงหน้า เธอแล้ว เธอยังไม่เข้าใจ เมื่อไม่มีตถาคตแล้วเธอจะเข้าใจได้อย่างไรกัน ...... พระพุทธเจ้าทรงเรียกพระองค์เองว่า ...... ตถาคต ...... มาจากความเป็นเช่นนั้น ...... ไปสู่ความเป็นเช่นนั้น ...... หรือ ...... ผู้ไม่มาไม่ไป ...... เพราะความเป็นเช่นนั้น ไม่อาจกำหนดด้วยการมาหรือการไป ......
......ตอนที่พระวักกะลิกำลังจะตายอยู่ในบ้านช่างปั้นหม้อ พระพุทธเจ้าเสด็จ ไปเยี่ยม เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปถึง พระวักกะลิพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...... ไม่ต้องหรอก วักกะลิอยู่ตรงนั้นเถอะ ...... แต่พระองค์ ทรงถามว่าพระวักกะลิรู้สึกอย่างไรบ้าง เจ็บมากหรือไม่ พระวักกะลิตอบ ...... ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเสียใจที่ไม่อาจเข้าเฝ้าพระองค์ ได้อีกแล้ว ...... พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ...... วักกะลิเอย ถ้าเธอปฏิบัติคำสอน ของเรา ก็เท่ากับเธออยู่กับเราตลอดเวลา กายนี้ไม่ใช่เรา ...... มีเรื่องราวทำ นองนี้มากมายในพระสูตร พระพุทธเจ้าเป็นอะไรมากกว่ารูปลักษณะ พระองค์คือคำสอนซึ่งมีชีวิตอยู่เหนือกาลเวลา เมื่อเธอปฏิบัติตามมรรค วิธีของพระพุทธเจ้า เธอก็จะแปรสภาพ เธอจะได้อยู่กับพระพุทธเจ้า ตลอดเวลา ......
......ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ได้ตรัสแก่เหล่าภิกษุว่า ...... ภิกษุทั้งหลาย กายนี้เป็นเพียงร่างกาย ส่วนธรรมกายของเราจะอยู่ กับเธอตลอดเวลาตราบที่เรายังปฏิบัติ จงถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง จงพึ่งตัวของเธอเอง แล้วพระพุทธเจ้าก็จะอยู่กับเธอ ...... พระโอวาทนี้ ชัดเจนมาก ถ้าเธอสัมผัสธรรมกาย เธอก็จะไม่บ่นว่าเธอเกิดช้าไป สองพันห้าร้อยปีหลังพระพุทธเจ้า จึงไม่มีโอกาสได้เห็นและได้ศึกษา กับพระองค์ ธรรมกายของพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ตลอดเวลา ที่ไดมี ความเมตตาความเข้าใจพระพุทธเจ้าก็จะอยู่ที่นั่นให้เราได้เห็นและ สัมผัสพระพุทธเจ้าหรือพระธรรมที่มีชีวิตตลอดกาลนั้น บางครั้ง เรียกว่า พระไวโรจนะ ซึ่งประกอบด้วยแสง ดอกไม้ สันติสุข และ ความเบิกบาน ซึ่งเราก็สามารถเดินไปกับพระองค์ นั่งกับพระองค์ สามารถจับพระหัตถ์พระองค์ได้ เมื่อเราเข้าสู่อาณาจักรแห่งอวตัมสกะ เราก็จะได้พบกับพระพุทธไวโรจนะพระองค์นี้......
......อาณาจักรแห่งอวตัมสกะประกอบด้วยแสงมามหาศาล พระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายล้วนประกอบด้วยแสง จงปล่อยให้ตัวเธอ ได้สัมผัสแสงซึ่งก็คือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเถิด สรรพชีวิตที่ ตรัสรู้อยู่ในอาณาจักรแห่งอวตัมสกะจะมีรัศมีเปล่งจากทุกรูขุมขน ในอาณาจักรนี้เธอจะกลายเป็นแสง และแสงจากตัวเธอก็จะเปล่งรัศมี ไปทั่วทิศ จงปล่อยให้แสงแปรสภาพของตัวเธอเถิด ความมีสติรู้ตัวทั่ว พร้อมนั่แหละคือแสง เมื่อเธอฝึกเดินเจริญสติคนเดียวลึกซึ้งเบิกบาน ไปทุกย่างก้าว แสงแห่งความมีสติ สันติสุขและความเบิกบานก็จะ โชนฉายจากตัวเธอ ทุกครั้งที่อาตมาเห็นเธอเดินอย่างนั้น รัศมีจาก กายเธอสะดุดตาอาตมา แล้วอาตมาก็จะกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะได้ ทันที แล้วอาตมาจะเดินช้าลง รู้สึกลึกซึ้งขึ้น มีความสุขกับทุกย่างก้าว มากขึ้น ทำนองเดียวกันเธอก็อาจปล่อยให้ตัวเธอได้สัมผัสแสงซึ่งมีอยู่ ทุกแห่งหนในอาณาจักรแห่งอวตัมสกะนี้ เมื่อทำได้เธอก็จะกลายเป็น พระโพธิสัตว์ฉายรัศมีได้เช่นกัน ขอให้เราได้เข้าสู่อาณาจักรอวตัมสกะ ไปพร้อม ๆ กัน และมีความสุขเบิกบานไปพร้อม ๆ กัน แล้วต่อ ๆ ไป เราก็อาจเปิดประตูรับผู้อื่นให้เข้ามาได้ด้วย......
......เมื่อเข้าไปถึงอาณาจักรอวตัมสกะ เราจะพบห้วงหาวกว้างไกลไร้เขต อาณาจักรนี้มีที่ว่าง - ทั้งนอกและใน - มากพอสำหรับทุกคนผู้ได้บำเพ็ญ กุศลกรรมด้วยการปฏิบัติมาแล้วอย่างอเนกอนันต์ การอยู่ในอาณาจักร อวตัมสกะย่อมไม่ขึ้นกับเวลาและสถานที่ สรรพชีวิตในอาณาจักรนี้ จึงมีเสรีภาพมหาศาล พระพุทธเจ้าทุกพระองค์และพระโพธิสัตว์ทุก พระองค์ทรงต้อนรับเราและมอบที่อยู่อันไม่จำกัดให้แก่เรา เราจึงอยู่ใน อาณาจักรนี้ได้อย่างสุขสบายและเป็นอิสระยิ่ง......
......สิ่งที่สามที่เราเห็นก็คือดอกไม้ อาณาจักรนี้มีดอกไม้อยู่ทั่วทุกแห่งไม่ว่า จะมองไปทางเบื้องบน เบื้องล่าง มองไปข้างหน้า ข้างหลัง ซ้ายหรือ ขวา เราจะเห็นดอกไม้ทั่วไป อันที่จริงแล้วในอาณาจักรอวตัมสกะนี้ ดวงตาที่เราใช้ดูก็กลายเป็นดอกไม้ หูที่เราได้ยิน ปากที่เราพูด และมือ ที่เรายื่นออกไปรับถ้วยชาก็ล้วนเป็นดอกไม้ไปด้วย ดอกบัวที่นี่ดอกใหญ่ ขนาดคนลงไปนั่งได้ถึงสามหรือสี่คน ! บัวแต่ละดอกมีมากกว่าพันกลีบ เมื่อเรามองแต่ละกลีบอย่างลึกซึ้ง เราก็จะเห็นดอกบัวพันกลีบอยู่ในแต่ ละกลีบนั้นด้วย และดอกบัวในกลีบนี้ก็ไม่ได้เล็กไปกว่าบัวดอกแรกเลย เป็นอย่างนี้ไปตลอดกาล ที่อาตมาพูดมานี้อาจฟังแปลก แต่ในอาณาจักร อวตัมสกะมันเป็นจริงอย่างนี้ ที่นี่เราไม่อาจพูดได้ว่าสิ่งนี้เล็กกว่าหรือ ใหญ่กว่าสิ่งโน้น ความคิดเกี่ยวกับเล็กหรือใหญ่ ความคิดเกี่ยวกับน้อย หรือมากไม่มีในอาณาจักรนี้ เมื่อเรามองดอกบัวที่สองและเห็นกลีบบัว พันกลีบ แต่ละกลีบนั้นคือดอกบัวพันกลีบโดยตัวมันเอง เราเห็นความ มากหลายในความเป็นหนึ่ง และเห็นหนึ่งในความมากหลาย นี่คือการ อยู่ร่วมกันอันอัศจรรย์......
......นอกจากนี้เราเห็นอะไรอีกบ้าง เราเห็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ บุญกุศล ที่เราทำ ความสุขที่เราเสวยและสันติสุขที่เราได้ล้วนลึกซึ้งไพศาลอย่าง สุดจะพรรณา คำ ...... มหาสมุทร ...... เป็นคำที่ใช้บ่อยในอาณาจักรอวตัมสกะ - มหสมุทรแห่งบุญกุศล มหาสมุทรแห่ความสุข มหาสมุทรแห่งการ ประจักษ์แจ้ง มหาสมุทรแห่งปณิธาน - เราตั้งปณิธานที่จะนำความสุข มาสู่ผู้คน และปณิธานของเรานั้นแผ่ไพศาลจนมหาสมุทรเท่านั้น ที่จะ รองรับปณิธานนี้ไว้ได้ สันติสุขที่เราได้ก็เข้มข้นมหาศาลจนต้องพรรณา ด้วยคำว่ามหาสมุทร......
......อาณาจักรอวตัมสกะยังเต็มไปด้วยแก้วมณีมีค่า - มณีแห่งการตรัสรู้ มณี แห่งความเข้าใจ และมณีแห่งความสุข ในอาณาจักรนี้ทุกสิ่งที่เราสัมผัส จะกลายเป็นรัตนะนำความเบิกบานมาสู่เรา เราไม่จำเป็นต้องครอบครอง ดวงแก้วเหล่านี้ เพราะมณีที่พร้อมให้ความยินดีแก่เราได้ตลอดเวลา ทุก คนและทุกสิ่งที่นี่ล้วนเป็นดวงมณี ทุกนาทีเป็นมณีมีค่า และมณีแต่ละดวง จะมีมณีมากหลายอยู่ในนั้นด้วย เราไม่จำเป็นต้องสะสม แค่มีมณีดวงเดียว ก็เพียงพอแล้ว เพราะในอาณาจักรนี้ย่อมรวมทุกอย่างไว้ด้วย อวตัมสกสูตร ใช้มณีกรองของพระอินทร์เป็นเครื่องพรรณาถึงการอิงอาศัยกันของสรรพ สิ่งตลอดจนการปฏิสัมพันธ์กันนานารูปแบบ มณีกรองนี้ร้อยเรียงด้วยดวง มณีเจิดจรัสมากคณนา มณีล้ำค่าแต่ละชิ้นมีเหลี่ยมมุมนับไม่ถ้วน ต่างสะ ท้อนประกายดวงมณีอื่น ๆ ที่ร้อยเรียงอยู่ในข่ายกรองนั้น และภาพสะท้อน ของมณีดวงนี้เองก็จะปรากฏอยู่ในมณีดวงอื่น ดังนั้น ภาพที่เราเห็นก็คือ มณีแต่ละดวงย่อมรวมมณีอื่นไว้ทั้งหมด ที่นี่เราไม่จำเป็นต้องโลภ แก้ว ดวงน้อย ๆ ก็นำความพอใจมาให้เราได้อย่างเต็มเปี่ยม ......
......อาณาจักรอวตัมสกะมีเมฆงามหลายสีสัน พระสูตรในพุทธศาสนาเปรียบ เมฆเป็นตัวแทนของฝนและฝนและฝนย่อมนำความสุขชุ่มเย็นมาให้ ถ้าไม่ มีคนสิ่งใด ๆ ก็ไม่อาจเติบโตได้ เพราะเหตุนี้เราจึงพูดถึงหยาดฝนแห่งธรรม หยาดฝนแห่งธรรมนานาสีสัน เมฆและฝนหลาย ๆ สีเหล่านี้ย่อมคุ่มครอง เรา นำเราสู่ความปีติและความสุขอันมากล้น หนึ่งในสิบขั้นตอนก่อนจะ เป็นโพธิสัตว์ได้เราต้องผ่านขั้นที่เรียกว่า ...... เมฆธรรม ...... ซึ่งพระโพธิสัตว์ จะต้องใช้หยาดฝนแห่งธรรมนำความสุขมาสู่ผู้คน......
......ในอาณาจักรอวตัมสกะเรายังจะได้พบสีหบัลลังก์งามวิเศษอีกด้วย ลอง จินตนาการถึงบัลลังก์ซึ่งสวยงามและนั่งสบาย เหมาะสำหรับเป็นที่นั่ง ของราชสีห์ สัตว์ขนาดมหึมาซึ่งเดินเชื่องช้าสง่างามเปี่ยมดวยพลังและ ความมั่นใจ เมื่อเาเข้าไปถึงอาณาจักรอวตัมสกะและได้เห็นโพธิสัตว์ เดินอย่างนั้น เราจะได้แรงบันดาลใจ เมื่อไหร่ที่อยากนั่งเราจะเห็นสีห- บัลลังก์ซึ่งจำหลักอย่างงามพร้อมรอเราอยู่แล้ว เราก็แค่นั่งลงตรงนั้น ไม่ต้องทำอะไรอื่น ความสงบสุข ความเบิกบาน มีมากพ้นประมาณใน อาณาจักรอวตัมสกะนี้......
......อาณาจักรอวตัมสกะยังมีฉัตรงามวิจิตร เป็นเครื่องหมายแทนความอบ อุ่นและความเบิกบาน เมื่อมี สติเป็นเครื่องคุ้มครอง เราจะเกิดการประจักษ์แจ้งอย่างลึกซึ้งและได้รับความสงบสุขอย่างแท้จริง เมื่อเข้าไปใน อาณาจักรอวตัมสกะเราจะได้พบสิ่งอัศจรรย์ทั้งหลายเหล่านี้ ......
......เมื่อไปถึงแล้ว เราอาจอยากไปกราบพระพุทธเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็จงเปิด อวตัมสกสูตรบทที่ยี่สิบแล้วค้นหาเกี่ยวกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า เมื่อเรา ถามว่าพระองค์ประทับอยู่ที่ใด บางคนตอบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่ ปราสาทในสวรรค์ชั้นสุยมะ เราก็ถามต่อไปว่าจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร แต่พอเราเดินไปทางทิศนั้นได้แค่ก้าวสองก้าว อีกคนกลับบอกว่าพระ พุทธเจ้าประทับอยู่ตรงนี้แล้ว เราไม่ต้องไปถึงสวรรค์ชั้นสุยมะ และ จริง ๆ แล้วเราก็เห็นพระศากยมุนีพุทธเจ้าประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ตรง หน้าเรานี้เอง เราอาจคิดว่าหมู่บ้านอุรุเวฬาอยู่ในอินเดีย อยู่บนดาว พระเคราะห์คือโลก แต่ที่นี่ในอาณาจักรอวตัมสกะ เราก็ได้เห็นพระ พุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์กับเด็ก ๆ แห่งหมู่บ้านอุรุเวฬาด้วย......
......แล้วใครคนหนึ่งจากสวรรค์ชั้นสุยมะก็มาบอกเราว่าพระพุทธเจ้าประทับ อยู่ที่ปราสาทสุยมะ เมื่อเป็นอย่างนี้เราก็คงจะงง คนคนเดียวอยู่ในสถาน ที่สองแห่งพร้อมกันได้อย่างไร พระพุทธเจ้าจะประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์แล้ว ก็อยู่ที่ปราสาทสุยมะพร้อม ๆ กันได้อย่างไร แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ใน อาณาจักรอวตัมสกะ แล้วเพื่อนอีกคนก็บอกเราว่า พระพุทธเจ้าทรง แสดงสัทธรรมปุณฑริกสูตรอยู่ที่เขาคิชฌกูฏตอนนี้เดี๋ยวนี้ ไม่ได้ทรง แสดงเมื่อ ๒ , ๕oo ปีก่อน พระพุทธเจ้าจะประทับนที่สามแห่งพ้ร้อม ๆ กันได้อย่างไร แต่ไม่ช้าเราก็ค้นพบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ทุกที่ได้ พร้อม ๆ กัน ! เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นได้ในอาณาจักรอวตัมสกะ เพราะที่นี่มีแสงสว่างมากเหลือเกิน มีความสุขมาก มีรัตนมณีมาก เป็น ไปได้ที่พระศากยมุนีจะอยู่ทุก ๆ แห่งได้ในเวลาเดียวพร้อม ๆ กัน......
......แท้จริงแล้วไม่แค่พระศากยมุนีเท่านั้นที่สามารถแสดงความอัศจรรย์ อย่างนี้ ทุกคนในอวตัมสกะสามารถทำได้อย่างพระองค์ เราก็เหมือน กัน เราอาจอยู่ทุก ๆ ที่ได้ในเวลาเดียวกัน จากตรงใหนก็ได้ในจักร- วาลนี้ ผู้คนสามารถสัมผัสเราได้ไม่ว่าเราหรือเขาคนนั้นอยู่ใหน เรา ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ เราแทรกซ่านไปทุกแห่งหน เรา อยู่ทั่วไปทุกถิ่นที่ เมื่อผู้ใดสัมผัสบางสิ่งบางอย่างด้วยความมีสติอย่าง ลึกซึ้ง มองอย่างลึกซึ้งแล้วไซร้ เขาหรือเธอผู้นั้นก็จะสัมผัสเราได้ นี่อาจฟังแปลก แต่มันเป็นอย่างนี้ในอาณาจักรอวตัมสกะ......
......ทุกครั้งที่อาตมาสัมผัสดอกไม้ อาตมาก็ได้สัมผัสดวงอาทิตย์โดยมือ อาตมาไม่ไหม้เกรียม เมื่อสัมผัสดอกไม้ อาตมาก็ได้สัมผัสเมฆโดย ไม่ต้องบินไปบนท้องฟ้า เมื่อสัมผัสดอกไม้อาตมาได้สัมผัสกับจิต สำนึกของอาตมาเอง สัมผัสกับจิตสำกของเธอ และได้สัมผัสโลก ซึ่งก็คือดาวนพเคราะห์ดวงนี้ไปพร้อม ๆ กัน นี่คืออาณาจักรแห่ง อวตัมสกะ สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้เพราะการประจักษ์แจ้งถึงธรรม ชาติของการอิงอาศัยกัน ถ้าเธอสัมผัสดอกไม้ดอกหนึ่งอย่างแท้จริง ก็ เท่ากับเธอได้สัมผัสจักรวาลทั้งมวล จักรวาลใช่มีแค่หนึ่งหรือมากหลาย เมื่อเธอสัมผัสกับหนึ่งก็เท่ากับเธอสัมผัสความมากหลาย และเมื่อเธอ สัมผัสความมาหลาย ก็เท่ากับเธอสัมผัสหนึ่ง เช่นเดียวกับพระศากยมุนี เธอสามารถอยู่ทุกแห่งหนพร้อม ๆ กันได้ ลองจินตนาการว่าลูกหรือ คนที่เธอรักกำลังสัมผัสเธอตอนนี้ แล้วลองมองให้ลึกซึ้ง เธอก็จะเห็น ว่าตัวเธอนั้นมีมากหลายแทรกซ่านไปทุกแห่งหน อิงอาศัยอยู่กับทุกคน และทุก ๆ สิ่ง ......
......อาตมาไม่ได้กลับไปเวียตนามกว่ายี่สิบห้าปีแล้ว แต่ภิกษุและภิกษุณี หนุ่มสาวทั้งหลาย ๆ รุ่นตลอดจนฆราวาสที่นั่นก็ได้สัมผัสกับอาตมา ด้วยแถบบันทึกเสียง และหนังสือของอาตมาซึ่งพวกเขาไปคัดลอก ด้วยลายมือแล้วแอบส่งเวียนกันอ่าน และด้วยการฝึกมองอย่างลึกซึ้ง และฝึกเดินอย่างมีสติ สิ่งเหล่านี้ทำให้อาตมาสามารถสัมผัสสัมพันธ์ กับผู้คน ดอกไม้ ต้นไม้ และน่านน้ำของเวียตนาม ขณะอาตมากำลัง สัมผัสสัมพันธ์อยู่กับผู้คน ดอกไม้ ต้นไม้ และน่าน้ำของยุโรป และ อเมริกาเหนือ แท้จริงแล้วเธอแค่ปรบมือ เธอก็สามารถสัมผัสกับ กาแลคซี่อันมากมหาศาลได้ แค่เสียงหนึ่งก็อาจส่งผลอย่างไม่อาจประ มาณได้ สายตา รอยยิ้มและคำพูดของเธอย่อมไปถึงจักรวาลอันห่าง ไกล และมีผลต่อทุกสรรพชีวิตและสรรพสิ่งในจักรวาล ทุกสิ่งย่อม สัมผัสกับสิ่งอื่น ๆ ทุกสิ่ง ทุกสิ่งย่อมแทรกซ่านไปในสิ่งอื่น ๆ ทุกสิ่ง นี่คือโลกแห่งอวตัมสกะ ก็คือโลกของเราด้วย ด้วยการมองอย่างลึกซึ้ง และสัมผัสอย่างลึกซึ้งเราอาจแปรโลกนี้ให้เป็นโลกแห่งอวตัมสกะ ยิ่งเราฝึกมองอย่างลึกซึ้งมากเท่าใด แสงสว่างก็จะมีมากเท่านั้น ยิ่งมี ดอกไม้มากเท่าใด มหาสมุทร พื้นที่ ฉัตร รัตนมณีและมวลเมฆก็จะมี มากเท่านั้น ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับเราเท่านั้น ......
......เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเปล่งฉัพพัณณรังสี แสงสว่างโชนฉายทั่วสิบทิศ ทุกชีวิตบนสวรรค์และชาวโลก ย่อมเห็นพระองค์ง่ายดาย ไร้อุปสรรคขวาง......
......เมื่อแสงเปล่งจากตัวเธอ เธอย่อมช่วยให้คนอื่นเห็นด้วย เพราะแสง จากตัวเธอช่วยปลุกเราให้ตื่น พระพุทธเจ้าทรงเปล่งฉัพพัณณรังสีจุด ความสว่างไปทั่วทั้งสิบทิศ ใคร ๆ ก็อาจเห็นพระพุทธเจ้าอย่างง่ายดาย ไม่มีอุปสรรคใดขัดขวาง......
......พระพุทธองค์ทรงประทับ ณ ปราสาทสุยมะ แต่พระองค์ทรงแทรกซ่านอยู่ทั่วจักรวาล เป็นเหตุการณ์อัศจรรย์ ทั้งโลกงงงันประหลาดใจ......
......พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ที่ปราสาทสุยมะ พร้อม ๆ กับทรงประทับอยู่ ทั่วไปในจักรวาลได้อย่างไรกัน นี่คือความอัศจรรย์ ไม่แต่พระพุทธเจ้า เท่านั้นที่ทรงทำอัศจรรย์ได้ เราทุกคนก็สามารถทำได้เหมือนกัน เรานั่ง อยู่ตรงนี้ แต่การดำรงอยู่ของเรา ตัวเราย่อมแทรกซ่านไปทั่วจักวาล ผู้คนผู้มีสติและมีณาณทัศนะสามารถสัมผัสเราได้ทุกแห่งหนที่เขาอยู่ แค่สัมผัสแล้วเธอจะเห็น จงให้ความรู้สึกแก่สิ่งที่เธออยากสัมผัสจาก ตรงนั้นแหละ จากตรงที่ที่เธออยู่ จงฟังและรู้จักมันภายในตัวเธอเอง ไม่จำเป็นต้องอ่านอะไรทั้งสิ้น ......
......ทุกสิ่งไม่มีรากกำเนิด ใครไม่อาจสร้าง เมื่อไร้ที่เกิด ก็ไร้การแบ่งแยก......
......ทุกสิ่งไม่มีรากกำเนิด ไม่มาจากที่ใหน เพราะทุกสิ่งเหล่านั้นเป็นอิสระ จากความคิดเรื่องความมีความเป็น หรือความไม่มีไม่เป็น มันจึงไม่จำเป็น ต้องเกิด และไม่อาจยึดไว้ด้วยคำพูดหรือมโนทัศน์ของเรา ไม่อาจแบ่ง แยกด้วยเจตสิกของเรา มันไม่มาจากที่ไหน ไม่ไปที่ไหน ไม่มีผู้สร้าง นี่คือธรรมชาติแท้จริงของความเป็นจริง เราทำได้ก็เพียงสัมผัสและมี ประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้น เมื่อเราเป็นอิสระจากมโนทัศน์เกี่ยวกับ การเกิดและการตาย มโนทัศน์เกี่ยวกับผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง ทุกสิ่งไม่มี รากกำเนิด มัจึงไม่มีการเกิด เมื่อไม่มีการเกิดการดับย่อมไม่มี สรรพสิ่ง เป็นอย่างนี้ในอาณาจักรแห่งอวตัมสกะ......
......ทุกสิ่งไม่เกิดและไม่ดับ ใครเข้าใจอย่างนี้ ย่อมเห็นและได้สัมผัสพระพุทธเจ้า......
......ถ้าเธอไม่มองอย่างพินิจพิจารณาเข้าไปในความจริงของความไม่เกิด - ไม่ตาย ของธรรมะ ของสรรพสิ่ง ตลอดจนความเป็นจริงทั้งหลาย เธอก็จะสัมผัสพระพุทธเจ้าได้ไม่ยากเลย......
......คาถาเหล่านี้คัดมาจากอวตัมสกสูตรบทที่ยี่สิบ ยังมีคาถาไพเราะอย่างนี้ อีกมากในพระสูตรนี้ แต่ในเมื่อเรารู้แล้วว่าการสัมผัสสิ่งหนึ่งอย่างลึกซึ้ง เท่ากับเราสัมผัสทั้งจักรวาล จึงไม่จำเป็นต้องคัดคาถาเหล่านั้นมาลงไว้อีก......
.......เมื่อเราเดินอยู่ในอา๊ณาจักรอวตัมสกะ หายใจเข้าพุทธะ หายใจออกพุทธะ เดินบนพุทธะ นั่งบนพุทธะ รู้ว่าพุทธะในที่นี้คือ พระไวโรจนะ หรือธรรม ในชีวิต ความเป็นจริงตามที่มันเป็น ความเป็นเช่นนั้นเอง และเราก็เป็น หนึ่งเดียวกับพระองค์ อาณาจักรอวตัมสกะนั้นช่างน่ารื่นรมย์ และเราก็ อาจไปถึงได้ เป็นที่ที่เราสามารถย่างก้าวเข้าไปได้เมื่อเราต้องการ เป็น อาณาจักรแห่งแสง อาณาจักรแห่งธรรม อาณาจักรแห่งมหามุทร มวลเมฆ รัตนมณี สีหบัลลังก์และดอกไม้ อาณาจักรนี้รอเราอยู่แล้วตรงนี้ เดี๋ยวนี้ เราไม่ต้องเสียเวลาแม้นาทีเดียว แค่ก้าวเข้าไปในอาณาจักรอวตัมสกะ ชีวิตก็จะพบความเบิกบานอย่างทั่วพร้อม......
......อาณาจักรอวตัมสกะเป็นผลจากจิตใจเรา เราจะอยู่ในสหโลกซึ่งเต็มไป ด้วยความทุกข์ สงคราม การแบ่งแยก หรืออยู่ในโลกอวตัมสกะซึ่งเต็ม ด้วยดอกไม้ นก ความรัก สันติภาพและความเข้าใจ ทั้งนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับ ตัวเรา จักรวาลเป็นแค่การปรุงแต่งของจิต ทุกอย่างมาจากจิตของเรา ถ้าจิตเรามีแต่ความทุกข์ ความหลง เราก็อยู่ในโลกของความทุกข์ความ หลง ถ้าจิตเราบริสุทธิ์เต็มด้วยสติ ความเมตตา ความรัก เราก็อยู่ในโลก แห่งอวตัมสกะ ......
......อวตัมสกสูตรพรรณาจักรวาลคือดอกบัวซึ่งมีกลีบมากมาย แต่ละกลีบ ก็คือดอกบัวหนึ่งดอก และแต่ละกลีบของดอกบัวในกลีบนี้ ก็เป็นดอก บัวอย่างนี้เรื่อยไป เมื่อเราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งในอาณาจักรอวตัมสกะ เราจะพบทุกสิ่งในจักรวาลอยู่ในสิ่งนั้น ที่นี่ไม่มีมโนทัศน์เกี่ยวกับเล็ก หรือใหญ่ เมื่อเรายืนอยู่ตรงหน้ามหาสมุทร เราอาจรู้สึกว่าเราเล็กน้อย ไร้ความสัมพันธ์เมื่อเปรียบเทียบกับห้วงน้ำนั้น เมื่อเราพินิจพิจารณา ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว เราอาจรู้สึกว่าตัวเราไม่มีอะไรเลย แต่ความ คิดที่ว่าจักรวาลใหญ่และตัวเราเล็กนั้นก็เป็นแค่ความคิดเป็นความรู้สึก ไม่ใช่ความเป็นจริง เมื่อเรามองดอกไม้อย่างพินิจพิเคราะห์ เราจะเห็น จักรวาลทั้งหมดบรรจุอยู่ในนั้น หนึ่งกลีบก็คือดอกไม้ทั้งดอกและ จักรวาลทั้งมวล ละอองฝุ่นอณูหนึ่งย่อมมีอาณาจักรแห่งพุทธะมากมาย เมื่อเราฝึกเจริญสติอย่างนี้ ความคิดของเราเกี่ยวกับเล็ก ใหญ่ หนึ่งและ มากมายก็จะหายไป ......
......ภาพลักษณ์ของดอกไม้อันเป็นตัวแทนของจักรวาลนั้นสอนอะไรเรา มากมาย วัชรสูตรสอนเราให้เข้าใจถึงความไม่แตกต่างระหว่างตัวตน - ความไม่ใช่ตัวตน , บุคคล-อบุคคล, สัตวะ-อสัตวะ , และชีวะ-อชีวะ ตอนนี้ในอาณาจักรอวตัมสกะเราค้นพบว่าสิ่งมีชีวิตก็ไม่แตกต่างจาก สิ่งไร้ชีวิต ได้รู้ว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจากสิ่งไร้ชีวิต นักวิทยาศาสตร์หลาย ท่านเริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เราเรียกว่าไร้ชีวิตนั้นแท้จริงแล้วได้รวมชีวิต อยู่ด้วย เราไม่อาจขีดเส้นแบ่งระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต เมื่อ เรามองโลกอย่างนี้ เราจะเห็นโลกทั้งโลกว่าเป็นอินทรีย์อันมีชีวิต เราจึงไม่อาจแบ่งแยกระหว่างมนนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ได้อีกแล้ว ไม่อาจแยกสัตว์จากพืช ไม่อาจแยกพืชจากแร่ธาตุได้อีกต่อไป เราพึง เห็นโลกว่าเป็นเรือนกายอันสวยงามของธรรมชาติ และเรารู้ว่าการทำ อันตรายส่วนใดส่วนหนึ่งของอินทรีย์นี้เท่ากับเราทำอันตรายต่ออินทรีย์ นี้ทั้งหมด โลกก็เหมือนดอกไม้ เหมือนมนุษย์ เกิดอะไรขึ้นกับเซล หนึ่งของร่างกายมันก็ส่งผลไปถึวเรือนกายทั้งหมด ถ้าเธอรู้ว่าโลก เป็นอินทรีย์อันมีชีวิต เธอย่อมรู้ว่าจะปกป้องโลกได้อย่างไร เพราะการ ปกป้องโลกปกป้องอากาศที่ห่อหุ้มโลกก็เท่ากับเราปกป้องตัวงเราเอง ทุกสิ่งย่อมสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ๆ ทุกสิ่ง การดูแลโลกก็เท่ากับเราดูแล ตัวเอง ดูแลลูกหลานของเรา คำสอนของพระพุทธเจ้าได้ประกาศ ความคิดนี้อย่างลึกซึ้ง พระพุทธศาสนาทรงห้ามภิกษุ ภิกษุณีไม่ให้ เผาพืชพันธุ์ ตัดต้นไม้ หรือตัดหญ้าซึ่งแม้ทำด้วยความตั้งใจดีก็ไม่ได้......
......ในการสวดมนต์ประจำวันนวกะบวชใหม่ในพุทธศาสนาจะท่อง ...... เราจะ ปฏิบัติเพื่อความเห็นแจ้งทั้งที่เกี่ยวกับชีวะและอชีวะ ...... ซึ่งเป็นคำสอนจาก วัชรสูตร เราปกป้องโลกเพราะเมตตาและความเคารพต่อสรรพสิ่งทั้งที่ มีชีวิตและไม่มีชีวิตกระตุ้นให้เราทำ ใครก็ตามที่ปรารถนาจะปกป้องโลก ควรศึกษาวัชรสูตร และอวตัมสกสูตร การเห็นจักรวาลเป็นดอกไม้นี้เป็น ภาพลักษณ์อัศจรรย์ยิ่ง ดอกไม้แต่ละดอกมีกลีบหลายกลีบ และในแต่ละ กลีบเราเห็นเพื่อนชีวิตทั้งมวล ผู้ใดปรารถนาจะปกป้องโลกพึงศึกษา วัชรสูตรและอวตัมสกสูตร การเห็นจักรวาลเป็นดอกไม้ เป็นภาพลักษณ์ อัศจรรย์ยิ่ง ดอกไม้แต่ละดอกมีกลีบมากมาย และในแต่ละกลีบเธอจะเห็น ดอกไม้ทั้งดอก หนึ่งคือมากหลาย และมากหลายคือหนึ่ง......
......ตอนอาตมาเป็นสามเณรเมื่ออายุสิบหกปี อาตมาท่องคาถาบทสุดท้ายใน อวตัมสกสูตร ...... บทสรรเสริญมหาปราสาทแห่งสรวงสวรรค์ชั้นสุยมะ ...... จนจำขึ้นใจ ...... ......ถ้าอยากรู้จักพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในทุกพุทธสมัย จงใส่ใจพิจารณาธรรมชาติของจักรวาล ทุกสิ่งเป็นความปรุงแต่งของจิต ......
......เฉกเช่นจิตรกรสะบัดสีนานา มายาทำให้เกิดรูปต่าง ๆ ไป แต่ธาตุทั้งหลายไร้ความต่าง......
...... สรรพธาตุไร้รูป สรรพรูปไร้ธาตุ ทว่าถ้าปราศจากธาตุ รูปทรงจะมีได้ไฉน......
...... จิตไม่มีการวาด การวาดไม่มีจิต ทว่าถ้าไม่แยกจากจิตแล้วไซร้ การวาดจะเกิดขึ้นได้ฤา ......
......ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการเห็นของเรา จิตสร้างรูปสร้างความคิดได้มหาศาล เกินนับ และโลกของเราก็เป็นผลจากความยึดถือเรื่องอย่างนี้ ธาตุนานา ไม่ว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ตลอดจนรูปทรงในจิตใจเธอคล้าย ๆ มีความแตก ต่างสองอย่างอยู่ในนั้น แต่ถ้าเธอมองให้ลึกซึ้ง เธอจะเห็นว่าถ้าไม่มีธาตุ อยู่ใจิตแล้ว รูปทรงในจิตก็จะมีไม่ได้ และธาตุก็มีไม่ได้ ถ้าไม่มีรูป รูป กับธาตุเป็นสิ่งคู่กัน ......
......จิตแสดงรูปลักษณ์ มากมายนับอเนกอนันต์ รูปซึ่งต่างไม่รู้จักกัน จิตแสดงรูปได้สารพันไม่เคยหยุด......
...... เฉกเช่นจิตรกร ไม่รู้จิตตน แต่ก็วาดไปตามจิต ธรรมชาติของสรรพสิ่งเป็นเช่นนี้......
......จิตรกรใหญ่อาจไม่รู้จิตของตน แต่เขาก็วาดไปตามจิต ปรากฏการณ์ทั้ง หลายในโลกมีธรรมชาติเป็นเช่นนี้ ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ( ธรรมะ ) ล้วนเกิดจากจิตของเรา โลกที่เราเห็นเป็นแค่การปรุงแต่งของจิต......
......จิตคือศิลปิน อาจวาดโลกได้นานา ขันธ์ทั้งห้าเกิดจากจิตปรุงแต่ง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เกิดจากจิตเรา......
......ถ้าคนเรารู้ว่าจิตเป็นตัวการส้รางโลกทั้งปวง เขาก็จะเห็นพระพุทธเจ้า และเข้าใจธรรมชาติแท้จริงของพุทธะ......
......นี่เป็นข้อแนะนำให้เราค้นหาวิธีดีที่สุดที่จะสัมผัสพระพุทธเจ้า ใช่การ แสวงหาบุคคล หรืออบุคคล ใช่การแสวงหาชื่อ แสวงหาลักษณะ นิสัยใจคอ ชื่อเสียงเกียรติยศหรือขนบประเพณี แต่อยู่ที่ต้องสังเกตจิต เราเอง มองให้เห็นว่าจิตทำหน้าที่ของมันอย่างไร ......
......จิตสร้าง ทุกสิ่งทุกอย่าง - กลัว เศร้าโศก เกิด ตาย ชนะ แพ้ นรก รัก เกลียด หมดหวัง และการแบ่งแยกเราเขา ถ้าเราปฏิบัติ เราจะเข้าใจ กลไกการปรุงแต่งของจิต แล้วเราก็จะสัมผัสพระพุทธเจ้าได้......
......ตอนอาตมายังเป็นพระอยู่ในวัยหนุ่ม อาตมาท่องคาถาบทนี้จนขึ้นใจ และสวดมนต์บทนี้ทุกคืน แม้ว่าอาตมาฝึกด้วยการท่องซ้ำ ๆ ซาก ๆ แต่มันก็ช่วยรดน้ำ เมล็ดพันธุ์แห่งความเข้าใจในตัวอาตมา แล้วอาตมา ก็ค่อย ๆ เข้าใจไปทีละน้อย ถ้าเธอต้องการสัมผัสพระพุทธเจ้าไปทั้ง สิบทิศ พระพุทธเจ้าสามเวลา เธอต้องมองเข้าไปในธรรมชาติของ จักรวาลและค้นให้พบว่าทุกอย่างเป็นเพียงการปรุงแต่งของของจิต คำสอนแรกในอวตัมสกสูตรมีว่า จิตคือทุกสิ่ง จิตในที่นี้ไม่ได้หมายถึง จิตสำนึกหรือสติปัญญา แต่หมายถึงบางสิ่งบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น ......
...... บางสิ่งบางอย่างที่เป็นทั้งเรื่องของเอกชนและของมนุษย์โดยส่วนรวม ถ้าเธอยังไม่เข้าใจตรงนี้ ก็อย่ากังวล เธอไม่ต้องเข้าใจอะไรเลย แค่ เพลิดเพลินไปกับถ้อยคำอันไพเราะของพระสูตรนี้ ถ้าเธอรู้สึกสบาย ขึ้น แค่นี้ก็พอแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องแบกภาระหนักไว้บนบ่า สักวัน หนึ่งเธออาจเข้าใจเรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย ขอ แค่เธอได้อยู่กับปัจจุบันขณะ พบเห็นอะไรก็จงสัมผัสมันอย่างลึกซึ้ง เดินอย่างมีสติและช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ตัวตนทั้งหมดของเธอ นี่คือการ ปฏิบัติโดยไม่ปฏิบัติ การใช้สติปัญญามากเกินไปอาจยิ่งเป็นอุปสรรค ขอจงฟังโดยไม่ต้องใช้สมองครุ่นคิด แล้วเธอก็จะพบตัวเองอยู่ในโลก แห่งอวตัมสกะ ได้สัมผัสแสง แก้วมณีและดอกบัว เมื่ออยู่ในอาณาจักร นั้นแล้วเธอแค่สัมผัสและถูกสัมผัส วันหนึ่งเธอก็จะซึมซ่านเข้าไปใน ความเป็นอยู่ร่วมกันอันแท้จริง และสภาวะนั้นก็จะซึมซ่านอยู่นตัวเธอ......
-ปลูกรัก -
...... ปลูกรัก คือสิ่งที่หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ ได้แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเรื่องความรัก ในเพศบรรพชิตยามวัยหนุ่มของท่าน โดยนำคำสอนต่างๆ ของพระสูตรมหายานมาพิจารณาความรักของท่านได้อย่างลึกซึ้ง จนเข้าถึงความเป็นอิสระจากความรักอันลุ่มหลง ติดยึด และสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ในจิตแห่งรักที่แท้จริงที่มีต่อสรรพชีวิต อันเป็นความรักที่หนักแน่นมั่นคง......
......ไม่จำกัดอยู่แค่บุคคลเดียว แต่เป็นความรักเมตตาที่พร้อมจะมอบให้กับทุกคน นอกจากคุณจะได้สัมผัสกับความหมายของ รักแรก ที่แท้จริงแล้ว ยังจะได้เรียนรู้ สัมผัสความรักแห่งพระพุทธองค์ โดยผ่านการศึกษาพระสูตรต่างๆ ของมหายาน อันช่วยเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างเกินกว่าความคิด และการกระทำที่เป็นแค่ตัวฉัน ของฉัน ถือเป็นความงดงามอย่างยิ่งที่หลวงปู่สามารถที่จะแลกเปลี่ยนพระสูตรมหายานต่างๆ ในเล่มนี้ ทำให้ได้เรียนรู้เข้าใจในคำสอนของพุทธมหายานมากขึ้น พร้อมทั้งยังได้รดน้ำเมล็ดพันธุ์จิตแห่งรักที่แท้จริงของเรา ผ่านพระสูตรเหล่านั้นด้วย......
จาก http://www.sookjai.com/index.php?topic=176039.0