ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
เคยนวดฝ่าเท้าให้ คุณพ่อคุณแม่บ้างไหม ถ้ามีโอกาส เราควรทำหรือไม่ (ควรกระทำอย่างยิ่ง หรือ ไม่ควรทำ):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2016, 11:33:07 am »



หยก กับพระพุทธรูป

พันธุ์แท้พระเครื่อง ราม วัชรประดิษฐ์

"หยก" หรือที่ตามตำนานจีนเรียกกันว่า "หินแห่งสรวงสวรรค์" เข้ามามีบทบาทผูกพันกับวิถีชีวิตของมนุษย์มานานกว่า 4,000 ปีแล้ว มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน ก่อนที่จะกระจายไปทั่วทุกมุมโลกทั้งแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา และอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก ความศรัทธาและความเชื่อในอำนาจลี้ลับของ "หยก" เป็นสิ่งที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ ไม่เพียงแต่ชาวจีนเท่านั้นที่รู้ซึ้งถึงคุณค่าอันนอกเหนือจากความงามอันเป็นเอกลักษณ์ แม้กระทั่งชาวอเมริกา อเมริกากลาง และทวีปยุโรป ฯลฯ ก็ต่างมีความศรัทธาในอำนาจลี้ลับที่เกี่ยวข้องกับแพทยศาสตร์ว่า "หยก" สามารถช่วยบำบัดรักษาโรคไตและโรคทางเดินปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังพบว่าบางคนสามารถคาดคะเนสภาพลมฟ้าอากาศจากการสังเกตสี ของ "หยก" ถ้าหากหยกปรากฏสีมัวหมองน่าสะพรึงกลัว เป็นลางบอกเหตุว่าพายุร้ายกำลังจะมา หรือแม้กระทั่งเรื่องสุขภาพ หลายๆ คน เชื่อว่า ถ้าหยกที่สวมใส่อยู่มีสีสันสดใสแวววาว แสดงว่าผู้สวมใส่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ จิตใจแจ่มใส มีสง่าราศี และโชคลาภ แต่ถ้าหยกนั้นมีสีหม่นหมองไม่ส่องประกาย แสดงว่าสุขภาพจะอ่อนแอ จิตใจหมองมัว กำลังมีทุกข์หรืออับโชค เป็นต้น

จากความศรัทธาและความเชื่อต่างๆ ดังกล่าวมานี้ ทำให้มีผู้คิดค้นสัญลักษณ์แบบประติมากรรมหยก โดยนำมาผนวกกับศาสตร์ทางดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และศาสตร์ในการคำนวณตัวเลข ประมาณ 1,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงต้นราชวงศ์ชาง ได้มีการใช้สัญลักษณ์แบบประติมากรรมหยกนี้ในการพยากรณ์พระประสงค์ของพระเจ้าและเหตุการณ์ธรรมชาติต่างๆ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ อันนับว่ามีความ ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว และคุณสมบัติสำคัญของ "หยก" คือจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพ ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามานานเท่าใด เมื่อสองร้อยปีเป็นอย่างไรปัจจุบันก็เหมือนเดิมทุกประการ ต้องใช้ความสามารถของผู้ชำนาญการด้านนี้จริงๆ จึงจะสามารถแยกคุณลักษณะพิเศษของหยกแต่ละยุคสมัยได้

สำหรับประเทศไทยเรา นอกเหนือจากพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ "พระแก้วมรกต" ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพฯ พระคู่บ้านคู่เมืององค์สำคัญแห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ยังมีพระพุทธรูปหยกอีกมากมายประดิษฐานแทบทุกจังหวัด เพื่อให้สาธุชนได้กราบขอพรทั้งเรื่องโชคลาภและสุขภาพ โดยฉบับนี้จะขอกล่าวถึง "พระพุทธรูปหยก" องค์สำคัญอีกองค์ ที่นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งของโลก นั่นคือ "พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย" หรือ "หลวงพ่อหยก วัดธรรมมงคล" พระพุทธรูปหยกปางสมาธิที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดหน้าตักกว้าง 1.66 เมตร และสูง 2.2 เมตร



มูลเหตุสืบเนื่องจาก พระราชธรรมเจติยาจารย์ หรือ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล ได้นิมิตเห็นหยกสีเขียวบริสุทธิ์ก้อนใหญ่ที่สุดในโลกได้กำเนิดขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ไปพบเห็นหยกเขียวก้อน มหึมา น้ำหนักถึง 32 ตัน ที่เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2534 ซึ่งขุดค้นพบโดย นายจอห์น สกุสเลอร์ ที่เหมืองทอง แต่สันนิษฐานว่าถิ่นกำเนิดหยกก้อนนี้คือ ยอดเขาคิงส์เมาน์เท่น ซึ่งเคลื่อนตัวมาที่บ่อทองคำ คำนวณการเดินทางโดยประมาณ 8,000 ถึง 10,000 ปี จึงดำเนินการติดต่อจนได้มาเป็นกรรมสิทธิ์ โดยขนส่งถึงวัดธรรมมงคลในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535

หยกก้อนนี้ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 นำมาแกะสลักเป็นองค์พระพุทธรูป "หลวงพ่อหยก" ส่วนที่ 2 นำมาแกะสลักเป็นเจ้าแม่กวนอิม และส่วนที่เหลือจากการแกะสลักองค์ใหญ่ ได้นำมาแกะสลักเป็นองค์เล็กๆ เพื่อให้สาธุชนที่เดินทางมาวัดธรรมมงคลได้เช่าบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยใช้ช่างแกะสลักผู้มีชื่อเสียงและชำนาญการจากประเทศอิตาลี ถึง 3 คน และใช้เวลานานถึง 12 เดือน จึงแล้วเสร็จเป็นองค์พระพุทธรูป เนื่องจากหยกเป็นหยกเนื้อดีและมีความแข็งมาก

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามว่า "พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย"

ปัจจุบัน "พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย" หรือ "หลวงพ่อหยก" ประดิษฐาน ณ ศาลา ภ.ป.ร. หรือศาลาหลวงพ่อหยก วัดธรรม มงคล ถนนสุขุมวิท 101 ซอยปุณณวิถี 20 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ

จาก http://daily.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOekl4TURjMU9BPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE5TMHdOeTB5TVE9PQ==
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 02, 2016, 11:18:49 am »



<a href="https://www.youtube.com/v/PcYRx2zHtAM" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/PcYRx2zHtAM</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/Za8wZOp2iX0" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/Za8wZOp2iX0</a>

นิมิตมหัศจรรย์:หลวงพ่อหยก "วัดธรรมมงคล"

โดย สายทิพย์


เมื่อประมาณปี พ.ศ.2535 เราคนไทยคงจะจำข่าวอันเป็นมงคลเกี่ยวเนื่องทางพระพุทธศาสนากันได้ เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมทางหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ไม่เว้นแม้แต่โทรทัศน์ที่สนใจติดตามข่าวโดยนำไปเผยแพร่ถึงความมหัศจรรย์ที่เราได้พบหยกสีเขียวขนาดมหึมา ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากที่รอคอยมานานแสนนาน

ความต้องการรัตนชาติล้ำค่าชนิดนี้ เกิดขึ้นจากปณิธานของ พระราชธรรมเจติยาจารย์ หรือหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล กรุงเทพฯ พระสงฆ์รูปนี้ท่านเป็นศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาสักองค์หนึ่ง เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองสืบไปภายหน้า ซึ่งวัตถุที่หลวงพ่อต้องการจะนำมาแกะสลักพระตามที่ท่านกำหนดไว้ในใจก็คือ หยกสีเขียว ขนาดใหญ่และบริสุทธิ์ จึงหาได้ยากยิ่งในเมืองไทยและต่างประเทศ แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อที่จะรอคอย

มาในภายหลังหลวงพ่อวิริยังค์ท่านทราบข่าวว่าในประเทศแคนาดามีบริษัททำเหมืองหยก ท่านจึงได้เดินทางไปยังประเทศแคนาดาในปี พ.ศ.2530 การเดินทางครั้งนั้นท่านเดินทางไปพร้อมกับลูกศิษย์ของท่าน เพื่อไปสืบหาหยกสีเขียวมาแกะสลักให้ได้ แต่เมื่อเดินทางไปถึงแล้วก็ยังไม่พบหยกตามต้องการ ท่านจึงเข้าพบเจ้าของบริษัททำเหมืองหยก ขอสั่งจองก้อนหยกขนาดใหญ่ไว้ หากขุดได้ท่านจะซื้อกลับมาเมืองไทย

จากนั้นท่านและคณะศิษย์ก็ได้เดินทางกลับมารอฟังข่าวที่เมืองไทย เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆก็ยังไม่มีข่าวดีสักที เพราะแม้ทางเหมืองจะขุดพบหยกสีเขียว และนำขึ้นมาได้ก็ยังไม่ได้ขนาดตามที่หลวงพ่อต้องการ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 5 ปี ในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2534 ช่วงเวลาตีสาม ซึ่งเป็นเวลาที่หลวงพ่อวิริยังค์ได้นำพระภิกษุ สามเณรในวัดธรรมมงคลลุกขึ้นนั่งสมาธิเป็นปกติ ขณะที่ท่านนั่งสมาธิก็ได้เกิดนิมิตเห็นหยกสีเขียวบริสุทธิ์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมาปรากฏ เมื่อออกจากสมาธิท่านจึงมั่นใจว่าคราวนี้จะต้องได้พบหยกสีเขียวตามที่ตั้งใจไว้แน่ๆ ท่านจึงกำหนดเดินทางไปยังประเทศแคนาดาอีกครั้ง

ทันทีที่ได้ไปถึงเมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ซึ่งเป็นรัฐใหญ่ของประเทศแคนาดา ท่านก็ทราบข่าวว่ามีการขุดพบหยกสีเขียว ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการขุดพบมา ซึ่งสถานที่พบหยกก้อนนี้ไม่ใช่ที่เหมืองหยก แต่เป็นเหมืองทองคำของ นายจอห์น สกัสเลอร์ ชาวเยอรมัน นายจอห์นผู้นี้เข้ามาแสวงโชคในแคนาดาด้วยการทำเหมืองหาสินแร่ทองคำนานหลายสิบปีแล้ว กิจการนับว่ารุ่งเรืองและการขุดพบหินหยกครั้งนี้เป็นการพบโดยไม่คาดฝันมาก่อน ซึ่งวันที่ขุดพบก็ตรงกับวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2535 ตรงกับวันที่หลวงพ่อวิริยังค์ท่านนั่งสมาธิมีนิมิตเห็นหยกสีเขียวพอดี ดูจะเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ไม่น้อย นายจอห์นเล่าว่าวันนั้นขณะกำลังคุมงานขุดหาแร่ทองคำตามปกติ จู่ๆเขาก็เกิดความต้องการจะให้คนงานขุดเจาะลงไปยังที่แห่งหนึ่ง โดยไม่มีเหตุผลและไม่สามารถอธิบายได้ว่าเพราะอะไรจึงอยากให้ขุดบริเวณนั้นขึ้นมา ซึ่งเมื่อคนงานเริ่มขุดเจาะผิวดินและหินก็พบว่าตรงบริเวณนั้นมีสายแร่ทองคำมากพอสมควร จึงให้ขุดต่อไปอีก เมื่อขุดต่อไปสายแร่ทองคำก็หายไป นายจอห์นก็จะบอกให้หยุดขุดเพียงเท่านั้น แต่ไม่ทราบว่าเพราะอะไรจึงพูดไม่ออกและน่าแปลกที่คนงานซึ่งกำลังขุดก็ไม่ทักท้วง ทั้งๆที่ไม่ได้แร่ทองคำขึ้นมาเลย คล้ายกับมีพลังอำนาจจากอะไรบางอย่างบังคับให้ขุดต่อไป จนในที่สุดความอัศจรรย์ก็บังเกิดเมื่อมีการขุดพบก้อนหยกสีเขียวขนาดมหึมาอยู่ภายในหลุมลึก เป็นหยกสีเขียวที่สมบูรณ์สวยงาม ไร้รอยตำหนิ เพียงก้อนเดียวที่มาผุดในเหมืองทองคำ และน่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือจากการสันนิษฐานจากนักธรณีวิทยาผู้ร่วมทีมขุดและจากความเชี่ยวชาญของนายจอห์นเอง ทำให้แน่ใจว่าหยกก้อนนี้ไม่ใช่หยกที่เกิดขึ้นในสถานที่นี้ แต่หยกก้อนนี้ได้เคลื่อนตัวจากยอดเขาสูงสุดคือยอดเขาคิงส์เม้าน์เทนลงมา และใช้เวลาเคลื่อนไหลไม่ต่ำกว่า 8,000-10,000 ปีอย่างแน่นอน กว่าจะมาปรากฏ ณ ที่ขุดพบ

และหลังจากขุดพบหยกก้อนนี้ก็ต้องใช้เวลาถึง 7 วัน กว่าจะนำขึ้นจากดินได้โดยไม่มีส่วนใดบุบสลาย ฝ่ายเจ้าของเหมืองคือนายจอห์นนั้น ยิ่งพอรู้ว่าหลวงพ่อวิริยังค์ต้องการติดตามสืบหาหยกเขียวบริสุทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อนำไปแกะสลักองค์พระพุทธรูปเป็นตัวแทนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะประดิษฐ์ไว้ในประเทศไทยก็ยิ่งขนลุกด้วยความปีติ เขาเชื่อว่าการค้นพบครั้งนี้เป็นปาฏิหาริย์แน่นอน หยกก้อนนี้ต้องมีเทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยเฝ้าปกปักรักษาไว้เพื่อเป็นรัตนชาติในพระพุทธศาสนาเท่านั้น จึงบันดาลให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น

เมื่อรัตนชาติสีเขียวก้อนนี้เดินทางมาเมืองไทยก็ได้มีพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ และหลังจากเสร็จสิ้นพิธีก็ต้องเฟ้นหาช่างฝีมือเพื่อมาแกะสลักหยกให้เป็นองค์พระพุทธรูป ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าช่างแกะสลักฝีมือเยี่ยมที่สุดในโลกมีอยู่ที่ประเทศอิตาลีเท่านั้น ดังนั้น หลวงพ่อวิริยังค์จึงต้องเดินทางไปประเทศอิตาลีอีกครั้ง เพื่อไปติดต่อช่างแกะสลักนายหนึ่งชื่อว่า เปาโล เวี้ยกกี้ โดยที่ไม่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า ทราบแต่เพียงว่าช่างคนนี้เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยด้วย แต่เมื่อคณะของหลวงพ่อเดินทางไปถึงก็ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยปิดและไม่สามารถติดต่อช่างเปาโลได้เลย เพราะไม่รู้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ ทำให้หลวงพ่อผิดหวังอย่างยิ่งจึงต้องเดินทางกลับเมืองไทย

แต่แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะก่อนที่จะเดินทางในวันรุ่งขึ้น คณะของหลวงพ่อได้พากันไปซื้อรองเท้าที่ร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่ช่างเปาโลก็เข้าไปซื้อรองเท้าในร้านเดียวกัน จึงได้เจรจารายละเอียดและนัดหมายในเรื่องการแกะสลักพระพุทธรูปหยกเขียว หลังจากนั้นช่างเปาโลและช่างอีกคนหนึ่งชื่อ ซีซี่ก็เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อทำการแกะสลักหยกสีเขียวเป็นองค์พระพุทธรูป ซึ่งมีการเปิดเผยในภายหลังจากปากของช่างเปาโลว่า เขารู้สึกประหลาดใจมากในการมาแกะสลักพระพุทธรูปหยกครั้งนี้ เพราะขณะที่เขากำลังแกะสลักนั้น มันเหมือนกับมีแม่เหล็กมาดูดที่มือเขาตลอดเวลา และตามความรู้สึกของเขานั้นเหมือนกับพระพุทธเจ้า เสด็จมาคอยให้เห็นอยู่ตรงหน้าและเวลาฝันก็จะฝันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่บ่อยครั้ง

จากเรื่องราวทั้งหมดทำให้เราได้สัมผัสกับความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้ ซึ่งปัจจุบันถูกประดิษฐานอยู่บนชั้น 3 ของศาลาพระปรมาภิไธยย่อภปร. ภายในวัดธรรมมงคล สุขุมวิท 101 องค์พระพุทธรูปหยกเขียวนี้ มีพระนามเต็มว่า พระพุทธมงคลธรรมศรีไทย หรือ หลวงพ่อหยก ซึ่งโดยพุทธลักษณะแล้วเป็นพระพุทธรูปที่ถูกบรรจงแกะสลักอย่างงดงามและหาดูได้ยากยิ่ง

---------------------------

ที่มา: นิตยสารหญิงไทย
ฉบับที่ 747 ปีที่ 32 ปักษ์หลัง เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549