ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2016, 12:26:21 pm ».........ถ่ายทอดผ่านตัวตน.........
ได้รับทราบเรื่องราวความเห็นจากนักเปลี่ยนแปลงแต่ละท่านตามหัวข้อดังกล่าวกันแล้ว คราวนี้ฉันขอบันทึกความคิดเห็นและความรู้สึกจากการรับฟังเรื่องราวทั้งหมดในภาพรวมไว้บ้างนะคะ การที่ฉันได้รับฟังเรื่องราวจากกลุ่มคนที่มีแนวคิดหรือมีทัศนคติที่ดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือมีความเป็นกลางๆในการพูดสำหรับฉันรู้สึกว่าเป็นการฟังที่ไม่น่าเบื่อ ไม่เหมือนการฟังที่เป็นการโต้ไปในทางใดทางหนึ่ง ถึงจะได้แนวคิดเหมือนกันแต่มันก็ให้อรรถรสในการฟังที่ต่างกัน สำหรับเรื่องราวจากนักเปลี่ยนแปลงแต่ละท่านที่ฉันได้รับฟังในวันนี้อย่างที่บอกในตอนต้นว่าบางช่วงของการเสวนาตัวฉันเองเหมือนถูกลากจิตวิญญาณให้ออกมาจากเบื้องลึกในตัวตน แต่มันก็ออกมาให้ฉันได้พิจารณาตนเอง ได้คิดทบทวนสิ่งต่างๆไปพร้อมๆกัน ถ้าจะให้ออกความคิดเห็นฉันมีคำถามหนึ่งที่อยากจะถามกลับไปยังนักเปลี่ยนแปลงแต่ละท่านว่า ท่านไม่คิดจะรวมตัวเป็นกลุ่มเดียวกันบ้างหรือ? แต่ละคนมีกลุ่มเป็นของตัวเองที่ช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ หากแต่เอาแต่ละกลุ่มมารวมกันก็คงจะสนับสนุนซึ่งกันและกันและส่งต่อไปยังสังคมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้ด้วยระหว่างที่ฉันได้รับฟังที่บอกว่าฉันเหมือนถูกกระชากจิตวิญญาณนั้น สุดท้ายวิญญาณของฉันไม่ได้หลุดกรอบเตลิดเปิดเปิงออกไปไกลก็ด้วยธรรมนี่แหละค่ะ เพราะขณะที่ฉันรู้สึกฟุ้งกระจายไปกับความคิดมีประโยคสองประโยคมาเบรคฉันไว้คือ “เห็น....ไม่เป็น”, “ไม่เป็นอะไร กับอะไร” เพราะการที่เราได้รับฟังมันก็มีทั้งที่เห็นด้วยและก็ไม่เห็นด้วยเกิดขึ้นในใจมากมาย เถียงกันได้แม้กระทั่งในใจ ฉันรู้สึกว่าถ้าเอาความรู้สึกที่แสดงอยู่ภายในให้มันมาแสดงอยู่ภายนอกวันนั้นทั้งวันก็คงเถียงกันไม่จบ
คนเราเป็นธรรมดาที่จะมีความคิดเห็นที่ต่างกัน ต่างคนต่างความคิด ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด เมื่อได้แต่คิด คิด คิดและก็คิด ก็คงมีบ้างที่มันจะรู้สึกตื้อๆ ก็คงเป็นเพราะคิดมากไป จากอาการเหล่านี้ถ้าให้มองกลับเข้ามาในเรื่องของธรรมที่ฉันได้สัมผัสมันคือความหลง หลงเข้าไปในความคิด ความฟุ้งซ่านทางจิตใจ นั่นคือสภาวะที่เราไม่รู้สึกตัว ความจริงเราสามารถที่จะมองความแตกต่างทางความคิดหรือความแตกต่างของทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับผู้อื่นให้เป็นเรื่องธรรมดาได้ด้วยสติ แล้วผลที่ฉันได้สัมผัสรูปแบบฉันให้มันอยู่ในคำว่าความเข้าใจ เมื่อเราเข้าใจทุกอย่างได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือการปล่อยวางอย่างแท้จริง ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เพื่อนให้อ่านมีใจความหนึ่งบอกว่า “การปล่อยวางไม่ใช่การวางในสิ่งที่ยึดไว้ไม่อยู่ แต่มันคือการเข้าใจทุกอย่างอย่างชัดเจน” เอาจริงๆฉันก็ยังทำไม่ได้ในทุกเรื่องหรอกค่ะ แต่เท่าที่เคยทำได้มันก็ดูมีความสุขดีนะคะ แต่ก็มีคำสอนของหลวงพ่อคำเขียนบอกว่าไม่ให้ยึดอยู่ในสุขและทุกข์ ให้รู้ซื่อๆพอ แหม่!!มันก็ยากดีนะคะกับการที่จะรู้ซื่อๆ -,-! ถ้าจะให้ประมวลเป็นภาพก็คงจะมีลักษณะนี้ค่ะ
วงกลมๆทั้งหลายในกรอบสี่เหลี่ยมก็คือเรื่องราวต่างๆที่ทุกคนได้มีประสบการณ์และรับรู้มาจากผู้ที่มีแนวความคิดที่โดดเด่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เอามาถ่ายทอดให้พวกเราได้รับรู้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้อยู่ภายใต้ธรรมในแง่ของความดีงาม แต่อีกด้านหนึ่งของธรรมคือการบรรลุซึ่งนิพพานที่ต้องมีพื้นฐานหรือต้นทุนมาจากความดีงามเหล่านี้ ดังนั้นฉันจึงคิดว่าการรับฟังเรื่องราวต่างๆจากทั่วทุกมุมโลกตามกรอบวงกลมๆมันมีส่วนช่วยในการสร้างทัศนคติ สร้างความตระหนัก หรือคอยดึงเราให้อยู่ในพื้นฐานของความดีงามคือเป็นบุคคลที่รู้จักการให้ การแบ่งปัน มีเมตตากรุณา หรือเมื่อมีการให้มากขึ้นผลอีกอย่างหนึ่งก็คงเป็นสิ่งที่เกิดควบคู่กันไปก็คือการกลับมาเข้าใจตนเอง ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งหลักอะไรเป็นสิ่งรองสำหรับตัวฉัน ณ ตอนนี้คือไม่เข้าใจว่าตอนนี้ฉันกำลังเข้าใจตนเองอยู่หรือกำลังพัฒนาตนเองอยู่หรือกำลังเป็นผู้ให้ด้วยความสุขอยู่ คือมันเกิดขึ้นมาอย่างมั่วๆเป็นระยะๆ แต่สิ่งที่เป็นขอบเขตให้ฉันไม่หลุดจากกรอบคือธรรม การรู้สึกตัว การมีสติ ทุกครั้งที่ฉันคิดเพ้ออยากจะทำโน่นทำนี่จนเกินไป ฉันก็กลับมาอยู่กับปัจจุบันด้วยความรู้สึกตัวนี่แหละค่ะ และค่อยๆประคับประคองการก้าวเดินให้ไปถึงจุดหมายอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ อ่ออย่างหนึ่งที่ฉันมีความคิดอยากจะทำ(เสมือนเป็นอีกวงกลมหนึ่งในกรอบสี่เหลี่ยมของธรรม)คือการช่วยเหลือคนชรา ก็มีความคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าวันหนึ่งที่ฉันพร้อม ฉันอาจจะเข้าไปขอจับมือกับนักเปลี่ยนแปลงทั้งสี่ท่านตั้งเป็นกลุ่มกลุ่มหนึ่งที่ช่วยเหลือสังคมอย่างครบวงจร ฉันอยากจะเป็นส่วนในการเติมเต็มให้กับคนชราหรือผู้สูงอายุค่ะ เพราะฉันรู้สึกว่าคนชราทั้งหลายครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นผู้ให้ แต่พอมาถึง ณ ช่วงปลายของชีวิตเขากลับไม่ได้เป็นผู้รับเท่าที่ควร มันดูไม่ยุติธรรมเลยในชีวิตของคนเหล่านี้ แล้วคุณ หล่ะคะ คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับการรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ลองเขียนเป็นบันทึกเก็บไว้ของตัวคุณเองก็ได้นะคะ เผื่อการเขียนมันจะสะท้อนให้คุณได้เห็นหรือเข้าใจตนเองมากขึ้นเหมือนที่ฉันได้รับอยู่ขณะนี้
.........ชาญนรินทร์........