ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2016, 11:13:09 am »งามอย่างเซน เมล็ดพันธุ์แห่งธรรม จากมุมมองของผู้หญิง ( ภิกษุณีชุนโด อาโอยาม่า )
หนังสืองามล้ำค่าเล่มนี้ ได้ส่งมาให้ดิฉันตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2549 โดยประชา หุตานุวัตร กัลยาณมิตรผู้ให้แสงสว่างทางธรรมและปัญญาแก่ดิฉันตลอดเวลาสามสิบปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ครั้งที่ท่านยังบวชอยู่ที่สวนโมกข์) เป็นบรรณาธิการร่วมกับโทโมมิ อิโต แห่งมหาวิทยาลัยโกเบ เขียนโดยภิกษุณีชุนโด อาโอยาม่า แปลโดย ช่อฟ้า เจตนาวีระบุตร
ดิฉันมัวแต่ยุ่งกับภารกิจต่าง ๆ จึงวางหนังสือเล่มนี้ไว้บนโต๊ะเสียเกือบปี จนสัปดาห์นี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เคร่งเครียด สับสน อยากปล่อยวาง ชำระล้างจิตใจ ได้หันมามองเห็นหนังสืออันเป็นประดุจน้ำทิพย์ชโลมใจเล่มนี้ จึ้งตั้งใจอ่าน เพื่อให้ของขวัญแก่ตนเอง
"จากบรรณาธิการ" ได้เกริ่นนำไว้ในย่อหน้าแรกว่า "หนังสือเล่มนี้เป็นถ้อยคำไพเราะที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจที่งดงาม แจ่มใส ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ปฏิบัติธรรมมาตลอดชีวิต ตั้งแต่วัยเด็กจนเลยมัชฌิมวัย แม้เธอจะเป็นอาจารย์เซนที่เป็นผู้หญิงและเป็นชาวญี่ปุ่น แต่เนื้อหานั้นสัมผัสใจทุกคนที่เปิดกว้าง ไม่ว่าเพศพันธุ์ไหน นี่จะเป็นหนังสือธรรมะร่วมสมัยอีกเล่มหนึ่งที่อ่านแล้วอ่านอีกได้โดยรสไม่จืด ตราบใดที่เรายังว่ายวนอยู่ในวัฏสงสารแห่งสุขและทุกข์ เพราะหนังสือจะคอยให้กำลังใจและเตือนให้เราระลึกว่าในชีวิตของเรานั้น ยังมีแหล่งน้ำใสสะอาดอีกแหล่งหนึ่งที่อยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ เหนือผิดเหนือถูก เหนือดีเหนือทราม ไม่ว่าเราจะเรียกแหล่งน้ำนั้นว่า บรมธรรม สุขาวดี ปรมาตมัน พระผู้เป็นเจ้า หรือกฎธรรมชาติก็ตาม ข่าวดียิ่งกว่านั้นคือ ถ้าเราปรับคลื่นปัญญาเป็น เราย่อมสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำใสสะอาดนี้ได้ทุกคน ทุกขณะ ทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์ของชีวิต อย่างน้อยก็เป็นการชั่วคราว"
"จากผู้แปล" คุณช่อฟ้า เริ่มต้นอย่างจริงใจด้วยหัวใจที่เบิกบานของเธอว่า
"ขโมยยังเหลือ
ดวงจันทร์
ไว้ที่หน้าต่าง
(เรียวกัน)
หลาย ๆ คนในบ้านเราอาจเริ่มรู้จักเซน จากกลอนบทสั้น ๆ แต่ไพเราะและมีความหมาย และด้วยความประทับใจจากกลอนบทสั้นๆเหล่านี้เอง ก็นำพาให้เราเข้าไปเรียนรู้และรู้จักเรื่องราวต่างๆ อีกมากมายอันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องของเซนหรือปรัชญาเซน
ข้าพเจ้าจัดได้ว่าเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนประเภทนี้เช่นกัน ที่หาความเพลิดเพลิน หาความสุข หาความอิ่มใจ และหาความรู้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ได้เคร่งครัดอะไรนัก จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง อยู่ดีๆ พี่ประชาก็ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ข้าพเจ้า แล้วบอกว่าเพิ่งได้มาจากเพื่อนชาวญี่ปุ่น อ่านแล้วเพลิน สนุกดี วางไม่ลง ทั้งยังได้ข้อคิดมากมายหลายอย่าง ลองเอาไปอ่านดูหน่อยไหม ว่าชอบหรือเปล่า และสนใจแปลหรือเปล่า ถ้าสนใจ ให้แปลไปเลย ข้าพเจ้ายิ้มและรับมาเปิดดู แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคหรือเป็นเพราะอะไร เพียงบทแรกที่ข้าพเจ้าพลิกเข้าไปอ่าน ข้าพเจ้าก็ชอบและประทับใจเป็นอย่างมาก เพราะรู้สึกว่า อืม.... การอธิบายและการสอนแบบนี้ดีจังเลย ทำให้เราเข้าใจ ตอบ และมองอะไรได้อีกมุมมองหนึ่ง ดีขึ้นจริง ๆ จำได้ว่านอกจากความประทับใจแล้ว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อมาก็คืออยากให้คนอื่นได้รับรู้เรื่องราวอย่างนี้บ้าง ว่าแล้วก็ลองเปิดดูเรื่องอื่น ๆ ต่อไปอีก เพื่อดูทั้งในส่วนของเนื้อหาและภาษาว่าจะยากเกินไปหรือไม่ เมื่อพิจารณาดูแล้วว่าไม่ยากจนเกินไปและพอไหว ข้าพเจ้าจึงรับปากและเริ่มแปลมาตั้งแต่นั้น
ข้าพเจ้าแปลหนังสือเล่มนี้อย่างมีความสุข วันละบทสองบทหรือสามบทบ้าง แล้วแต่เวลาและสติปัญญาจะเอื้ออำนวย วันไหนที่แปลสนุกหรืออยากรู้เรื่องตอนต่อๆไปมาก หรือมีเวลาเยอะหน่อย ก็จะแปลยาวหน่อย แต่วันไหนที่มีเวลาไม่มากนัก ก็อาจจะแปลได้นิดเดียว แล้วก็ต้องเก็บเอาความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวตอนต่อๆไปเอาไว้ในใจ"
สำนักพิมพ์เสมสิกขาลัย ใช้กระดาษถนอมสายตา และออกแบบหนังสือได้อย่างสวยงาม อ่อนโยน มีภาพวาดช่อดอกไม้ (ดูคล้ายดอกซากุระ) ประดับอยู่เกือบทุกหน้า จึงช่วยทำให้การอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นความรื่นรมย์แห่งชีวิตโดยแท้
เมื่อได้อ่านชื่อบทต่าง ๆ ทั้ง 58 บท จากสารบัญ ดิฉันรู้สึกว่าทุกบทน่าสนใจที่จะอ่านอย่างใคร่ครวญ ดิฉันเลือกอ่านบทที่สอง "ฉันอยากเป็นบุคคลที่สวยงาม" ซึ่งมีข้อความดังนี้
ผู้คนส่วนมากมักไม่ตระหนักว่าทั้งใบหน้าและกิริยาอาการต่างๆทางกายของตนเองที่แสดงออกมาในทุกๆปัจจุบันขณะอยู่นั้น สามารถเปิดเผยถึงเรื่องราวทั้งที่ผ่านเข้ามาและออกไปในชีวิตของตนเองทั้งหมดได้อย่างล่อนจ้อนมากมายเพียงใด การปรากฏโฉมออกมาได้อย่างเปลือยเปล่าเช่นนี้นอกจากเป็นเรื่องที่น่าอายแล้วยังเป็นเรื่องที่น่าตกใจ
ทั้งหมดที่เราคิด พูด และทำมาตั้งแต่เกิด ล้วนเป็นตัวสรรสร้างและปั้นแต่งใบหน้า ร่างกาย และบุคลิกของเราขึ้นมา เพียงแค่แวบเดียว บุคคลที่มีดวงตาเห็นได้ชัดแจ้งจะสามารถรับรู้ประวัติความเป็นมาของเราได้ตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว
น่าจะเป็นลินคอล์นที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า มนุษย์นั้นต้องรับผิดชอบต่อหน้าตาของตนเองเมื่ออายุสี่สิบปีไปแล้ว ใบหน้าและร่างกายที่ดูเสมือนว่าได้รับการแกะสลัก ขัดเกลา และปรับแต่งอย่างต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เกิดโดยสิ่วที่มองไม่เห็นนั้น เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงวัยสี่สิบ ใบหน้าและร่างกายจะเผยความสวยงามและความน่าเกลียดทั้งมวลออกมา โดยที่ไม่สามารถอำพรางซ่อนเร้นได้ด้วยเครื่องสำอางหรือเครื่องนุ่งห่มใด ๆ
ยาอิจิ อะอิสุ กวีญี่ปุ่นรุ่นใหม่และศิลปินนักเขียนอักษรศิลป์ (Calligrapher) เคยเขียนถึงคนสนิทไว้ว่า "เพื่อนของฉัน การที่เราดำรงสติในทุก ๆสิ่งที่คิดและทำ และมีหัวใจที่สงบและสันตินั้น ฉันหวังว่าฉันจะกลายเป็นบุคคลที่สวยงาม" ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองต้องการจะแก่เฒ่าด้วยหนทางเช่นนี้ด้วยเช่นกัน
ผู้คนส่วนมากมักไม่ตระหนักว่าทั้งใบหน้าและกิริยาอาการต่างๆทางกายของตนเองที่แสดงออกมาในทุกๆปัจจุบันขณะอยู่นั้น สามารถเปิดเผยถึงเรื่องราวทั้งที่ผ่านเข้ามาและออกไปในชีวิตของตนเองทั้งหมดได้อย่างล่อนจ้อนมากมายเพียงใด การปรากฏโฉมออกมาได้อย่างเปลือยเปล่าเช่นนี้นอกจากเป็นเรื่องที่น่าอายแล้วยังเป็นเรื่องที่น่าตกใจ
ทั้งหมดที่เราคิด พูด และทำมาตั้งแต่เกิด ล้วนเป็นตัวสรรสร้างและปั้นแต่งใบหน้า ร่างกาย และบุคลิกของเราขึ้นมา เพียงแค่แวบเดียว บุคคลที่มีดวงตาเห็นได้ชัดแจ้งจะสามารถรับรู้ประวัติความเป็นมาของเราได้ตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว
น่าจะเป็นลินคอล์นที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า มนุษย์นั้นต้องรับผิดชอบต่อหน้าตาของตนเองเมื่ออายุสี่สิบปีไปแล้ว ใบหน้าและร่างกายที่ดูเสมือนว่าได้รับการแกะสลัก ขัดเกลา และปรับแต่งอย่างต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เกิดโดยสิ่วที่มองไม่เห็นนั้น เมื่ออายุเข้าสู่ช่วงวัยสี่สิบ ใบหน้าและร่างกายจะเผยความสวยงามและความน่าเกลียดทั้งมวลออกมา โดยที่ไม่สามารถอำพรางซ่อนเร้นได้ด้วยเครื่องสำอางหรือเครื่องนุ่งห่มใด ๆ
ยาอิจิ อะอิสุ กวีญี่ปุ่นรุ่นใหม่และศิลปินนักเขียนอักษรศิลป์ (Calligrapher) เคยเขียนถึงคนสนิทไว้ว่า "เพื่อนของฉัน การที่เราดำรงสติในทุก ๆสิ่งที่คิดและทำ และมีหัวใจที่สงบและสันตินั้น ฉันหวังว่าฉันจะกลายเป็นบุคคลที่สวยงาม" ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองต้องการจะแก่เฒ่าด้วยหนทางเช่นนี้ด้วยเช่นกัน
จาก http://group.wunjun.com/agaligohome/topic/216533-5756