ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2016, 03:01:37 pm »วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้า..รวมทั้งช่วงหัวค่ำก็ยังมีฝนตกลงมาอีกซู่ใหญ่ แม่บอกว่างานเจดีย์ทีไรฝนตกทุกที (งานฉลองพระสมุทรเจดีย์ของจังหวัดสมุทรปราการ)ทั้งพ่อและแม่ซึ่งศรศิลป์ไม่กินกันมาตั้งแต่เราเข้าเรียนชั้นประถมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า..ลมหนาวกำลังจะมา
เห็นทีจะต้องเชื่อคำของผู้เฒ่าเพราะท่านผ่านโลกมามากกว่าเรา..เอาเป็นว่าหน้าหนาวกำลังจะมาเยือนแล้ว ยังไงอย่าลืมทำตัวเองให้อบอุ่นซะแต่เนิ่นๆ (ย้ำเตือนกะตัวเองด้วยคน)
คัดมาฝาก--สำหรับหนังสือสุดทางทุกข์ ค่ะ
------------------
บทที่ 1 เมล็ดพันธุ์แห่งสงคราม
ลองนึกถึงห้วงเวลาที่คุณยืนอยู่กลางสายฝนดูสิ เมื่อฝนเทลงมาคุณจะนึกถึงอะไรและรู้สึกอย่างไร
สำหรับฉัน ทุกครั้งที่ฝนตก ฉันจะกำลังเดินอยู่ในสนามรบ เพราะฉันผ่านการสู้รบอย่างหนักหน่วงถึง 2 วสันตฤดู และระหว่างฤดูมรสุมในเวียดนาม ฝนที่ตกลงมาในปริมาณมหาศาลก็ทำให้ทุกสิ่งเปียกโชกและเป็นโคลนตม ทุกวันนี้เมื่อฝนโปรยลงมา ฉันยังคงเดินอยู่ในสนามรบ สนามรบซึ่งเหล่าชายฉกรรจ์ส่งเสียงร้องโหยหวนและกำลังสิ้นชีวิต ฉันยังคงเห็นภาพแนวไม้ที่กระจุยด้วยฤทธิ์ของระเบิดนาปาล์ม ยังคงได้ยินเสียงบรรดาเด็กหนุ่มอายุ 17 ปีร้องไห้หาพ่อ แม่ และคนรัก เมื่อความทรงจำเหล่านั้นจางหายไป ฉันจึงรู้สึกตัวว่า ณ ขณะนี้มีเพียงสายฝนที่โปรยปรายลงมาเท่านั้นเอง
ฉันยังหาถ้อยคำที่ดีกว่านี้ไม่ได้ จึงขอเรียกเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเป็นภาพอดีตที่หวนคืนไปพลางก็แล้วกัน มันคือประสบการณ์ที่ฟื้นคืนชีพซึ่งฉันเองยังหาวิธีจัดการไม่ได้ ฉันอาจอยู่ในร้านขายของชำกำลังเอื้อมมือหยิบกระป๋องผักจากชั้นวาง และวินาทีนั้นเองความกลัวก็จู่โจมขึ้นฉับพลันเพราะเกรงว่ากระป๋องนั่นอาจเป็นกับระเบิด เมื่อคิดตามหลักเหตุผลแล้วฉันรู้ว่า สิ่งที่รู้สึกนั้นไม่ใช่เรื่องจริง แต่ 1 ปีเต็มในเวียดนาม ฉันต้องใช้ชีวิตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ความกลัวเช่นนี้ไม่ได้เกินเลยจากความเป็นจริงแม้แต่น้อย และจนถึงวันนี้ฉันก็ยังไม่สามารถสะสางประสบการณ์จากช่วงสงครามได้หมด
ทว่าเรื่องราวทำนองนี้ไม่ได้เกิดกับฉันคนเดียว หากยังเกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวันทั่วทั้งโลก แต่ละวันจะมีผู้ที่รู้สึกว่าเรื่องเลวร้ายที่เคยประสบได้หวนกลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวแห่งความรุนแรง เคราะห์กรรม หรือบาดแผลทางใจในวัยเยาว์
สิ่งที่ฉันเรียนรู้ในช่วงหลังมานี้คือ ก่อนจะเข้าถึงความสงบสุข เราต้องสัมผัสรู้ถึงความเจ็บปวดของตัวเองเสียก่อน ต้องยอมรับและประคองมันไว้ แต่หากเป็นหลายปีก่อนหน้านั้น สิ่งเดียวที่ฉันได้เรียนรู้ก็คือการก่อสงคราม
จาก http://solitaryanimal.blogspot.com/2008/10/at-hells-gate.html
บทเรียนที่ได้จากหนังสือ “สุดทางทุกข์”.....
. .ไม่มีการฆ่าใดที่ชอบธรรม ไม่มีความต่างระหว่างความรุนแรงฝ่ายดีกับความรุนแรงฝ่ายเลว และไม่มีสงครามใดที่มีคุณธรรม . . .
หนังสือ “สุดทางทุกข์” หรือ “At Hell’s Gate” ที่ผมเพิ่งอ่านจบไป เป็นหนังสือที่ได้รับมาจากคุณอัฐพงศ์ เพลินพฤกษา สำนักพิมพ์ Oh My God เนื้อหาเป็นเรื่องราวของทหารอเมริกันที่ผ่าฟันเอาชีวิตรอดมาจากสงครามเวียตนามได้ หากแต่ว่าภายในกลับบอบช้ำๆ เหลือคณา ต้องผ่านการบำบัดรักษาต่างๆ นานา จนกระทั่งได้มาพบธรรมะในพระพุทธศาสนาที่สอนว่า “ให้เริ่มต้นด้วยการพิจารณาทุกข์ ไม่ใช่ให้วิ่งหนีมันไป”
ในหน้า 64 มีข้อความตอนหนึ่งว่า . .
.
“. . . ถ้าเราไม่ตระหนักถึงธรรมชาติอันละเอียดอ่อนซับซ้อนของความทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์กับอะไรก็ตาม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการเยียวยาและการเปลี่ยนแปลงภายในขึ้น และเราจะยังคงสร้างเสริมเติมต่อความทุกข์นั้นไม่สิ้นสุด แล้วก็ส่งผ่านความทุกข์ต่อไปยังคนอื่นๆ
การเยียวยาที่ว่านี้ มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการฟัง ดังที่กล่าวไว้ในหน้า 171 ว่า . . .
“. . . ขอให้เรามารับฟังกันและกันเถิด รับฟังอย่างแท้จริงโดยไม่พยายามจะเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขสิ่งใด ขณะฟังขอให้เปิดใจและแสดงไมตรีจิตออกไป นี่คือการเริ่มต้นสู่ทางแห่งการเยียวยา แม้เราอาจคิดว่าตัวเองรู้แล้วว่าจะรับฟังอย่างไร แต่บ่อยครั้งยามคนอื่นพูด เราไม่ได้กำลังรับฟังอย่างแท้จริง หากแต่จะคอยตัดสินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด หรือไม่ก็ปกป้องตัวเอง มีปฏิกิริยาตอบโต้ ให้คำชี้แนะ หรือหาทางควบคุมสถานการณ์ในทางใดทางหนึ่ง ดังนั้นการรับฟังอย่างมีวินัยจึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง”
อีกข้อความหนึ่งที่ “โดนใจ” ผมค่อนข้างมาก ท่านผู้เขียน (คล้อด อันชิน ธอมัส) เขียนไว้ในตอนเกริ่นนำว่า . . .
“ . . .ฉันพบว่าไม่มีการฆ่าใดที่ชอบธรรม ไม่มีความต่างระหว่างความรุนแรงฝ่ายดีกับความรุนแรงฝ่ายเลว และไม่มีสงครามใดที่มีคุณธรรม สงครามเป็นเพียงการระเบิดออกของความทุกข์ระทมเท่านั้น”
หากมองสถานการณ์เมืองไทยที่กำลังเป็นไปในขณะนี้ ผมหวังว่าความทุกข์ระทมที่เรามีกันอยู่คงจะไม่ระเบิดออกมาเป็นอะไรที่รุนแรง เพราะอย่างที่ คล้อด อันชิน ธอมัส เตือนสติแล้วไว้แล้วว่า . . .
“ . . .ไม่มีการฆ่าใดที่ชอบธรรม ไม่มีความต่างระหว่างความรุนแรงฝ่ายดีกับความรุนแรงฝ่ายเลว และไม่มีสงครามใดที่มีคุณธรรม . . .”
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/218870
ท่านโทมัสและคณะได้เริ่มโครงการเดินธรรมจาริกเพื่อสันติภาพ จากค่ายกักกันเอาซวิทซ์ ในโปแลนด์ ผ่านไปยังออสเตรีย โครเอเชีย ฮังการี เซอร์เบีย โรมาเนีย บัลแกเรีย กรีซ เขตเวสต์แบงค์และฉนวนกาซา อิสราเอล จอร์แดน อิรัก อินเดีย มาเลเซีย ไทย กัมพูชา จบลงที่ ฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น
ขณะที่ตัวท่านเองได้แยกเดินไปเวียดนาม เพราะต้องการจะผ่านไปตามพื้นที่ที่เคยมีสงครามและความรุนแรง เพื่อเผชิญหน้ากับมันอย่างเปิดเผยและมีสติ ท่านได้พูดคุยกับผู้คนที่พบในระหว่างทาง เพื่อเล่าถึงสิ่งที่ท่านประสบมาในระหว่างสงคราม
ภาพ หลวงพ่อ โทมัส ธรรมจาริก ทั่วโลก
จาก http://www.zaltho.de/anshin_usa_99.html
http://www.zaltho.de/anshin_de_99.html
https://www.yumpu.com/de/document/view/30113615/claude-anshin-thomas-zaltho-sangha
http://www.buddhanetz.org/projekte/reise.htm