ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
คุณพ่อคุณแม่เปรียบดั่งพระอรหันต์ในบ้าน พิมพ์คำว่า "คุณพ่อคุณแม่ฉันรักและเคารพท่านดุจพระอรหันต์":
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2016, 09:22:35 pm »

ศุภกิจ นิมมานนรเทพ จาก “อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ” มาถึงการฟื้นฟูสุขภาพ ด้วย “พลังลมปราณ”

“ผมเป็นอดีตคนขี้โรค...”

คำประกาศตนชัดเจนของสุภาพบุรุษวัย ๖๐ ปีผู้นี้มีมูลเหตุมาจากอะไร? จึงมีความมั่นใจต่อสุขภาพพลานามัยของร่างกายแม้ย่างเข้าสู่วัยเกษียณอายุราชการแล้ว...

เมื่อเอ่ยนาม ศุภกิจ นิมมานนรเทพ ในแวดวงข้าราชการโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ย่อมรู้จักดี เพราะเคยดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมทะเบียนการค้าและรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์มาก่อน จากนั้นก็ได้อำลาชีวิตข้าราชการก่อนเกษียณอายุเพื่อเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งที่มีสุขภาพแข็งแรงโดยการฟื้นฟูสุขภาพด้วยธรรมชาติบำบัดที่เรียกกันว่า “พลังลมปราณ”

“พลังลมปราณ” เป็นอย่างไร เปลี่ยนแปลงชีวิต “อดีตคนขี้โรค” คนหนึ่งไปได้อย่างไร ต้องติดตามจากบรรทัดต่อๆ ไป


ศุภกิจ นิมมานนรเทพ อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศที่ฟื้นฟูสุขภาพได้ด้วยธรรมชาติบำบัดจากการฝึก

“นอกจากจะเป็นอดีตรองอธิบดีสองกรมแล้ว ผมยังเป็นอดีตคนขี้โรคด้วย” ศุภกิจ นิมมานนรเทพเริ่มต้นการสนทนาอย่างอารมณ์ดี“ปัจจุบันทั้งหมดนี้ทิ้งไปแล้วทั้งตำแหน่งทางราชการและการเป็นคนขี้โรค ปัจจุบันก็ได้อาศัยพลังลมปราณมารักษาสุขภาพให้เข้มแข็ง ได้ประสบความสำเร็จจนเอามาเขียนหนังสือแนะนำใครๆ ได้บ้าง”

อดีตรองอธิบดีสองกรมผู้นี้เคยเป็นอดีตประธานชุมนุมวรรณศิลป์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยนามของท่านยังเป็นนามปากกาของกวีและนักเขียนสารคดีที่มีผลงานเผยแพร่มาแล้วด้วย แม้ขณะที่ยังดำรงตำแหน่งทางราชการ “คุณศุภกิจ” ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้สนใจในแวดวงการอ่านการเขียนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวเกี่ยวกับจีนศึกษา จนกระทั่งลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ ออกมาใช้ชีวิตเสรีอย่างเต็มตัว เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๒ หลังจากนั้นก็ได้อุทิศเวลาเพื่อการเผยแพร่การฟื้นฟูสุขภาพด้วยพลังลมปราณจากประสบการณ์ของ “อดีตคนขี้โรค” ที่ต้องผจญกับโรคภัยมานานปี

“แต่ไหนแต่ไรมาผมเป็นคนที่ขี้เกียจออกกำลังกาย        เป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องนี้เลย ก็กลายเป็นคนขี้โรคก็เพราะการไม่ออกกำลังนี่แหละ คนที่ขี้โรคมักไม่ชอบออกกำลัง คนที่ไม่ออกกำลังก็มักขี้โรค มันก็วนไปวนมา สุขภาพนี่ก็อาศัยยากิน ยาเป็นสิ่งที่ง่าย พอเจ็บป่วยก็ใช้ยา แต่มารู้ภายหลังเมื่อสุขภาพทรุดโทรมว่า ยาก็เป็นสาเหตุทำให้สุขภาพทรุดโทรมเพราะยาตามตำรับฝรั่งเป็นเคมี สารเคมีที่ผสมเข้าไป กินเข้าไปเพื่อรักษาโรคที่หนึ่งแต่ไปก่อโรคที่สองขึ้นมาหรือมีผลข้างเคียง

โรคแท้ๆ ที่ผมเป็นมาตั้งแต่เกิดคือโรคภูมิแพ้ จากภูมิแพ้ก็มาเป็นโรคหอบหืด แต่ก่อนเวลาฝนจะตก ผมก็จะหายใจไม่ค่อยออก ผมก็จะต้องมียากินหรือยาพ่นพกมาเตรียมไว้ ทีนี้โรคที่เกิดขึ้น พออักเสบ เป็นไข้ ผมก็จะกินยาอีก และเนื่องจากผมเป็นข้าราชการ ผมเบิกเงินหลวงได้ ผมจึงไม่มีความรู้สึกว่าเดือดร้อนอะไร ป่วย ผมก็ไปโรงพยาบาล ไปหาหมอ ซื้อยา นอนโรงพยาบาลผมก็กลับมาเอาใบเสร็จเบิกเงินหลวง ก็ไม่มีอะไรเดือดร้อนในเรื่องเศรษฐกิจ แต่ผลข้างเคียงที่เกิดจากการกินยาก็คือลิ้นหัวใจผมรั่ว เส้นเลือดใหญ่ตีบไปสองเส้น เส้นหนึ่งตีบไป ๘๗ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอันตรายอย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Sudden Death อีกเส้นหนึ่งตีบไป ๔๕ เปอร์เซ็นต์ หมอก็ส่งผมไปโรงพยาบาลโรคทรวงอกให้ทำบอลลูนเส้นที่ ๘๗ เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก ๔๕ เปอร์เซ็นต์นั้น หมอบอกว่าถ้ามันตีบมากขึ้นเกิน ๗๐ ก็ค่อยมาทำอีกครั้งหนึ่ง

...แต่ก่อนนี่เดินข้ามสะพานลอย ผมยังเดินไม่ไหว ต้องค่อยๆ เกาะราวสะพาน แล้วเหนี่ยวตัวขึ้นไป สะพานหน้าโรงเรียนสามเสนนี่แหละ นักเรียนจะเดินข้ามไปข้ามมา ตอนเช้าผมจะเดินข้ามสะพานไปขึ้นรถเมล์ เด็กนักเรียนมันมาไล่ผม บอก ลุง ลุง เกะกะ เดินเร็วหน่อย ผมมีความรู้สึกเจ็บปวดมาก ทำไมเราต้องเป็นคนที่น่ารังเกียจ เดินก็ช้า เด็กก็มาไล่”

ปัญหาเรื่องสุขภาพสำหรับผู้ที่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนอยู่เป็นนิจนั้นนับว่าเป็นปัญหาหนักหน่วงใหญ่หลวง แต่ทางออกจากปัญหาก็ยังมีอยู่ ดังในกรณีของคุณศุภกิจซึ่งบังเอิญได้รู้จักกับการฟื้นฟูสุขภาพด้วยวิชาพลังลมปราณในวันหนึ่ง

“มันเป็นความบังเอิญที่ว่า วันหนึ่งในปี ๒๕๔๐ เขามีการบรรยายเรื่องลัทธิเต๋า พลังลมปราณและธรรมชาติบำบัดของสำนักบู๊ตึ๊ง และมีอาจารย์จากสำนักบู๊ตึ๊งคือโปรเฟสเซอร์จางฉี เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยพลศึกษาแห่งมณฑลเหลียวหนิง ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งในประเทศจีนที่อยู่เหนือปักกิ่งขึ้นไป ถ้ามองแผนที่ก็คืออยู่ติดกับเกาหลีเหนือนั่นเอง สมัยโบราณเขาเรียกว่าแคว้นเหลียว ทีนี้อาจารย์จางฉีก็มาบรรยายที่ธรรมศาสตร์ แต่เนื่องจากบรรยายเป็นภาษาจีนกลาง การประชาสัมพันธ์ก็คงไม่ค่อยทั่วถึง อาจารย์นิพัทธ์ จิตประสงค์ ประธานโครงการจีนศึกษาก็เลยโทรศัพท์ให้ผมหาคนมาช่วยฟังหน่อย ทีนี้ผมเป็นที่ปรึกษาโครงการอยู่ก็เลยช่วยเอาคนจากรมการค้าต่างประเทศและ กรมทะเบียนการค้ามาช่วยฟัง ๑๐คน เป็นผู้ที่รู้ภาษาจีนกลาง

...วันนั้นผมก็ดูไปอย่างนั้นเอง แต่เผอิญผมสนใจอ่านหนังสือและสนใจเรื่องจีน ได้ยินว่าอาจารย์มาจากมณฑลเหลียวหนิงก็สนใจมาก แต่ไม่ได้คุยกันเพราะมีคนไปรุมถามอาจารย์เยอะ ตอนแรกท่านเริ่มบรรยายท่านก็สาธิตการฟื้นฟูสุขภาพโดยการฝึกพลังลมปราณเบื้องต้นเป็นพื้นฐานสำหรับคนที่จะเข้าไปสู่สำนัก ก่อนที่จะไปเรียนวิชาเพลงดาบ เพลงมวย ต้องมาฝึกตรงนี้ก่อน เป็นท่าง่าย ๘ ท่า ใช้เวลาฝึกจริงๆ วันละ ๑๐ นาที ก็พอแล้ว แค่สองวันก็เห็นว่าได้ผลดี ถ้าฝึกให้ถูกวิธี ผมก็จำได้ทั้ง ๘ ท่า พอสักครู่หนึ่งกำลังจะสอนไทเก๊กซึ่งมันยากขึ้นไปอีก พอดีมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านเข้ามาก็เลยต้องลุกไปต้อนรับท่าน บนเวทีผมก็เลยไม่ได้ดู เดชะบุญที่ไม่ได้ดู (เน้นเสียง) ถ้าดูแล้วผมคงท้อเพราะมันมีอีก ๑๘ ท่า ชั่วโมงกว่า (หัวเราะ) แล้วคนที่ขี้เกียจออกกำลัง เจอเข้า๑๘ ท่ามังกร โอ้โฮ เลิกเลย เห็นอะไรยากเข็ญนี่ ไม่เอาแล้ว จนกระทั่งผู้ใหญ่ท่านกลับไป บนเวที อาจารย์จางฉีก็กำลังสอนท่ากบจำศีล ใช้ประโยชน์อะไรได้ ลดความอ้วน โอ้...ลดความอ้วนนี่น่าสนใจ พอมาฟังดูก็มีประโยชน์มาก”



แม้จะเห็นว่าการฝึกพลังลมปราณเป็นเรื่องน่าสนใจ แต่คุณศุภกิจก็ไม่ได้ทดลองทำทันที จนกระทั่งมาถึงวันวิกฤติของชีวิตหรือที่คุณศุภกิจเรียกว่าเป็น “วันที่พลิกผันชีวิตผม”

“เดือนเมษายน ปี ๔๒ เป็นวันที่ผมพบวิชาพลังลมปราณ มันเป็นช่วงที่ผมกำลังเจ็บป่วยอย่างมาก ฝนมันตก ผมก็ไม่ชอบอากาศชื้น ก็เป็นหวัด พอดีกับที่ผมต้องย้ายที่ทำงานใหม่ ต้องเก็บย้ายเอกสาร เจอฝนกับเจอฝุ่นเข้า ตายเลย ผมต้องไปโรงพยาบาลอยู่สองหน หมอสั่งยาให้ กินไป ๗ วัน ก็ไม่หาย คออักเสบ หายใจไม่ออก กินยาขับเสมหะก็ไม่หาย ไปหาหมออีก หมอก็สั่งยาที่แรง ออกใบสั่งให้ ก็ไม่หาย ป่วยอยู่ ๑๒ วัน ภรรยาก็ไม่อยู่ ไปสอนหนังสือวัดไทยที่วอชิงตัน ผมอยู่คนเดียวที่บ้าน ทุกๆ ๔ ชั่วโมง ก็ต้องกินยาพาราเซตามอลสองเม็ดลดไข้ ต้องหยุดงาน

พอวันที่ ๒๔ เมษายน วันนั้นเป็นวันที่พลิกผันชีวิตผม เพราะวันนั้นผมรับไปบรรยายพิเศษเรื่องไซอิ๋วภาคพิสดาร ผมรับเชิญไว้ตั้ง ๒ เดือนมาแล้ว คนสนใจมาก ครูอาจารย์ นักหนังสือพิมพ์ต่างๆ จองเข้าฟังเกือบ ๒๐๐ คน ผมเองก็ไม่สบาย วันที่ ๒๓ เที่ยงคืนผมยังป่วยอยู่เลย ตื่นมา ๖ โมงเช้า ก็ยังมีไข้อยู่ ก็เลยเอายาพาราเซตามอลขึ้นมาจะกิน ก็มาคิดว่ากินไปจะมีประโยชน์อะไร เพราะกินไปตั้ง ๑๐ กว่าเม็ดแล้ว ก็เอาวางไว้ พอดีผมจะไปพูดเรื่องไซอิ๋ว ในสมองมันก็คิดแต่เรื่องจีน ก็คิดวนไปถึงอาจารย์จางฉี อ้อ อาจารย์สอนวิชาลมปราณว่าฟื้นฟูสุขภาพได้ ผมไม่มีทางเลือกแล้ว ผมก็วางยาไว้ เดี๋ยวค่อยกิน แล้วก็ขึ้นมาทบทวนท่าฝึก ฝึกไปประมาณ ๕-๑๐ นาที เหงื่อโทรมเลย เอาปรอทมาวัดไข้ เหลือ ๙๘ ผมเกือบจะปกติแล้วนี่ แล้วผมก็วางปรอท ฝึกต่อไป ๑๐ นาทีต่อมา มีเหงื่อตั้งแต่กลางศีรษะลงไปถึงเท้าเลย ในชีวิตนี้ไม่มีวันไหนที่เหงื่อออกมากที่สุดอย่างนี้ ไม่มีอาการหรือความรู้สึกว่าเจ็บป่วยมาเลยครับ เกิดความปีติ หายใจเต็มปอด เหงื่อแห้งก็อาบน้ำแล้วกินอาหาร ยาก็ไม่กินแล้ว เลิกเลย บ่ายสองโมงผมขึ้นเวทีพูดถึง ๔ โมงเย็นรวดเดียว ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย นับตั้งแต่วันนั้นมาผมก็ฝึกทุกวัน วันหนึ่งอย่างน้อยก็ ๑๐ นาที ในชีวิตนี้ต้องถือว่าวันที่ ๒๔ เมษายน เป็นวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ จากคนขี้โรคกลายเป็นอดีตไปแล้ว”

จากวันที่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นต้นมา มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลในทางบวกทั้งสิ้น ชีวิตของอดีตคนขี้โรคมาสู่ความเป็นผู้มีสุขภาพนั้นเหมือนอย่างที่เรียกว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

“ก่อนนั้นผมมีความเชื่อว่าจะตายก่อนอายุ ๖๐ ตอนนี้ผม ๖๐ แล้ว แต่ผมรู้สึกว่าผมจะต้องอยู่ไปอีกหลายปี แม่บ้านก็เริ่มเป็นห่วงว่าถ้าอายุยืนเกินไปเดี๋ยวบำนาญจะไม่พอใช้ จะบังคับให้ผมเก็บเงินเพื่อเอาไปเลี้ยงชีวิตในอนาคตข้างหน้า ต้องเก็บสะสมเดือนละหมื่นบาท ผมก็มีความทุกข์อย่างใหม่เกิดขึ้นนะ (หัวเราะ)



...หลังจากฝึกพลังลมปราณ ลิ้นหัวใจที่รั่วก็รั่วน้อยลงทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย แล้วเส้นเลือดตีบ ๔๕ เปอร์เซ็นต์ ก็หายไปแล้ว ส่วนการเดินข้ามสะพานลอยนั้น เดี๋ยวนี้เด็กนักเรียนเดินยังไง เราก็เดินอย่างนั้น ไม่ต้องเดินไปเกาะราวไปอีกแล้ว ผลดีอย่างอื่นก็มี พอฝึกเสร็จเราเอาสันมือมาถูกัน มันก็จะเกิดกระแสไฟฟ้า เอาไปลูบลบรอยตีนกา แล้วผิวที่เหี่ยวก็จะเกลี้ยงขึ้น ที่ดีมากอีกอย่างหนึ่งคือขาที่โดนหมากัดพุพอง พอฝึกพลังลมปราณปรากฏว่ามันเลือนไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร เพราะการที่เราฝึกจนกระทั่งเหงื่อออก มันทำให้ผิวที่เหี่ยวมันหลุดไปเหมือนลอกคราบ เหงื่อที่ออกมามันจะทำให้รูขุมขนขยายและขับเอาสิ่งที่อุดตันอยู่ตามขุมขนออกไปด้วย หน้าตามีสีเลือด หลังก็หายโกง ไม่ปวดหลังหรือปวดคอ แต่ก่อนผมเคยนอนตกหมอน ต้องซื้อยามากิน ๒ ปี มานี้ไม่เป็นไรแล้ว เข้าใจว่าคงจะเกิดจากเลือดลมเดินดี แล้วก็กินอาหารน้อยลง ในปรัชญาจีนเขาเรียกว่าเสพลมปราณเลี้ยงชีพ หลังจากที่ฝึกแล้วความอยากอาหารจะหายไป หรือถ้ามีปัญหานอนไม่หลับหรือปวดหัว ลองฝึกดู ก็จะเกิดสมาธิ ความเครียดจะหายไป”

ขณะที่ฝึกพลังลมปราณ คุณศุภกิจก็ได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับการฟื้นฟูสุขภาพด้วยพลังลมปราณว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ทั้งนี้วิชาพลังลมปราณเป็นวิชาที่กระทรวงสาธารณสุขได้ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นวิชาหนึ่งในการบำบัดรักษาโดยการใช้ธรรมชาติบำบัดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพโดยสำนักแพทย์แผนจีนเมื่อปีที่ผ่านมา

“วิชาโยคะเป็นต้นกำเนิดของการฝึกพลังลมปราณแต่ฝึกยากกว่ามาก ตั๊กม้อเป็นผู้นำไปเผยแพร่ในจีน การฝึกพลังลมปราณไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายอะไรเพราะเราไม่เน้นการเกร็งกำลังหรือฝืนกำลัง ทำตามอายุและสภาวะของเรา จะไม่ทำร้ายตัวเราเอง ถ้าการฝึกโดยใช้เครื่องมือ เช่นยกตุ้มน้ำหนัก ถ้ายกขึ้นมาระดับหนึ่ง เกิดเราล้าก็จะทำให้บาดเจ็บได้ แต่ไม่เคยปรากฏว่าผู้ฝึกพลังลมปราณด้วยวิธีที่ถูกต้องตามหลักจะเป็นอันตราย

หลักการที่ถูกต้องของการฝึกคือ หนึ่งหายใจให้ถูกต้องตามหลักที่กำหนดไว้ สอง เคลื่อนไหวช้าๆ ไม่เน้นการเกร็งกำลัง และสาม คือ ฝึกจนกว่าเหงื่อจะออก ทีนี้ถ้าคนฝึกแล้วรู้สึกผิดปกติ นั่นเป็นเพราะว่าฝึกไม่ถูกต้อง เช่นหายใจไม่ถูกจังหวะ หรือเกร็งมากจนกระทั่งฝืนสังขาร ฝึกวันสองวันแรกก็จะเอาให้เหมือนที่สาธิต ก็เกิดเมื่อยล้าหรือเจ็บ แล้วก็เลิก เหงื่อยังไม่ทันออก ข้างในก็จะระอุร้อน พอร้อนเกิดไปอาบน้ำ เอาน้ำเย็นราด ก็อาจทำให้เป็นหวัด อาจจะปอดบวมตายไปเลยอย่างที่ทางจีนเขาเรียกว่าธาตุไฟเข้าแทรก”



นับตั้งแต่ค้นพบคุณประโยชน์ของการฝึกพลังลมปราณที่สามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างเห็นผล ทำให้คุณศุภกิจเห็นว่าควรเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวแก่ผู้สนใจให้มากที่สุดเพื่อเป็นวิทยาทาน ปัจจุบันได้มีการจัดพิมพ์หนังสือการฝึกพลังลมปราณ ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงของคุณศุภกิจและแจกจ่ายแก่ผู้สนใจจำนวนมากแล้ว

“ตอนนี้ผมมีความปีติที่ได้นำสิ่งที่เราค้นพบมาช่วยเพื่อนมนุษย์ ผมไม่สนใจจะแสวงหาโภคทรัพย์รายได้อะไรอีกแล้ว แม้ว่าจะมีคนชวนไปทำธุรกิจ ไปเป็นที่ปรึกษาต่างๆ ผมเคยเป็นรองอธิบดีมาสองกรม ก็พอมีประสบการณ์และบารมีอยู่บ้าง จะแสวงหาผลประโยชน์ก็พอได้ แต่ว่าผมไม่สนใจแล้ว เราอยากใช้ชีวิตบั้นปลายที่ไม่รู้จะเหลืออีกเท่าไรให้มีประโยชน์ ผมพยายามชักชวนคนให้หันมาฝึกพลังลมปราณ เพราะผมมุ่งหวังในทางเศรษฐกิจมากกว่าอย่างอื่นนะครับ ศ.นพ.ประเวศ วะสี พูดที่พัทยาเมื่อ ๒-๓ ปีที่แล้วว่าคนไทยเป็นทาสของการใช้ยา เวชภัณฑ์ อาหารเสริม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง และเป็นทาสของการโฆษณาด้วย พอเห็นโฆษณายาบำรุงกำลังก็แห่กันซื้อ ก็เป็นที่น่าสนใจว่าคนไทยใช้เงินทั้งภาครัฐและเอกชนรวมกันปีหนึ่งถึงสองแสนห้าหมื่นล้านบาท เพื่อของพวกนี้ เมื่อเทียบกับงบประมาณแผ่นดินปี ๔๔ แปดแสนแปดหมื่นล้านบาท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เกือบหนึ่งในสามของงบประมาณแผ่นดิน

ถ้าเราลดการใช้ยา หันมาใช้ธรรมชาติบำบัดรักษาโรคบางอย่างด้วยตนเอง เราก็จะได้ลดค่าใช้จ่ายบางส่วนของครอบครัว ในเวลาที่ผมเจ็บป่วยผมใช้เงินหลวงรักษาตัวแต่ผมไม่เดือดร้อนเพราะผมเบิกได้ แม้เดี๋ยวนี้ผมก็เบิกได้ แต่ถ้าเราไม่เบิก งบตรงนี้มันก็จะได้เป็นงบพัฒนาประเทศชาติ ถ้าคนจำนวนมากๆ ในวงราชการไม่ต้องเบิกเงินค่ารักษาพยาบาล คนจำนวนมากในประเทศไทยไม่ต้องกินยาแม้แค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เถอะ มันก็เป็นเงินสองหมื่นห้าพันล้านแล้วนะครับ

ทุกวันนี้ผมเดินสายไปบรรยายฟรีๆ เพราะผมอยากให้เราดึงเอาสุขภาพของประชาชนไทยกลับคืนมาโดยไม่ต้องใช้เงิน สองคือดึงเอาเศรษฐกิจบางส่วนที่เราเป็นหนี้ต่างชาติให้ชะลอลง ในอนาคตผมก็จะสอนการฝึกพลังลมปราณไปเรื่อยๆ ที่ผ่านมาผมเอาเงินขวัญถุงของผมที่ได้มาจากราชการ ๓๐๐,๐๐๐ บาทมาพิมพ์หนังสือแจกหมด แต่ว่าได้ประโยชน์ ได้ผลมากตรงที่ว่าหลายคนที่เขาฝึก ได้รับผลดี รักษาโรคหาย เขาก็มาช่วย แต่ถ้าช่วยส่วนตัวผมไม่รับ แต่ถ้าเป็นลักษณะบริษัทเอกชนมาร่วมใช้ประโยชน์ตรงนี้เช่นโฆษณาหลังปก อันนี้ก็เท่ากับทำกุศลไปด้วย ถ้าพิมพ์ ๑ หมื่นเล่ม จะตกเล่มละ ๓ บาท ถือว่าเป็นการทำกุศลและเป็นวิทยาทาน”

อาจเป็นเพราะความตั้งใจดีของคุณศุภกิจในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยรุมเร้า ก็ได้จึงเป็นอานิสงส์ที่ทำให้ปีที่ ๖๐ ของ “อดีตคนขี้โรค” กลายเป็นปีที่ ๖๐ ของสุภาพบุรุษที่มีสุขภาพแข็งแรง เป็นผู้ชนะโรคภัยที่เคยเบียดเบียนมาเกือบตลอดชีวิต โดยมีอาวุธประจำกายที่สำคัญยิ่งคือ “วิชาพลังลมปราณ” นั่นเอง

จาก https://sites.google.com/a/cas.mfu.ac.th/lmpran-pheux-sukhphaph/withyakr
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2016, 09:07:21 pm »



อันนี้การฝึก


การฝึกพลังลมปราณ
โดย ศุภกิจ นิมมานนรเทพ
อดีตรองอธิบดี กรมทะเบียนการค้าต่างประเทศ
(เรียบเรียงเนื้อหาจากบทวิทยุกระจายเสียง ปี 2546)

ผมเพิ่งจะมีสุขภาพแข็งแรงเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมานี้เอง จริง ๆ แล้วผมเป็นคนขี้โรคมา 58 ปี เวลานี้อายุเกือบ 62 ผมเป็นคนที่
พึ่งพายารักษาโรค เพราะเป็นคนขี้โรค คนขี้โรคจะมีลักษณะอย่างหนึ่งซึ่งเป็นสัจธรรมเลยก็ว่าได้ คือไม่ชอบออกกำลังกายจะอ้าง
อยู่ 2 เรื่อง คือ เสียเวลา เสียเงิน แต่เมื่อผมมาพบวิธีฝึกพลังลมปราณอย่างง่าย ๆ ให้ผมรักษาตัวเองจนหายจากโรคทั้งหลายที่เคย
เป็นมาถึง 58 ปี ได้หมด และวิธีฝึกพลังลมปราณที่ได้ลอกเลียนแบบมาและประยุกต์แบบที่สำนักบู๊ตึ้งฝึก อยู่เป็นการฝึกเบื้องต้นของ
เขาเรียกว่าชั้นประถม ฝึกง่าย ๆ แต่ก็หายได้ ผมฝึกแล้วนำไปเผยแพร่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ผมพิมพ์หนังสือแจกไปแล้ว 3 แสนเล่ม
คงอยากรู้ว่าผมนำไปใช้อย่างไรจึงหายจากโรค


ตั้งแต่เด็ก ๆ ผมมีโรคประจำตัวคือโรคภูมิแพ้ ผมเกิดช่วงระหว่างสงคราม ยารักษาโรคเป็นสิ่งที่หายากมาก แพงมาก เสื้อผ้า
อาหาร เครื่องนุ่งห่มจะหายากมากระหว่างสงคราม ช่วงนั้นถ้าไม่ได้คุณแม่ดูแล ผมคงตายไปแล้ว ผมกินยาต่าง ๆ สารพัดลุงของผม
เป็นหมอพื้นบ้าน หมอที่จบจากมหาวิทยาลัยทั้งหมดมีอยู่คนเดียว อาศัยหมอพื้นบ้านก็บรรเทาลง ไม่ตาย รอดมาได้แต่ก็รอดมาได้
ชนิดมีโรคติดตัวมาด้วยจากภูมิแพ้ก็เป็นหนักขึ้น ๆ มาเป็นหอบหืด กินยาครั้งละครึ่งเม็ด เพิ่มขึ้นเรื่อยเป็น 1 เม็ด เป็น 1 เม็ดครึ่ง
ต้องกินครั้งละ 2 เม็ด ซึ่งแรงสุด สภาพก็คือจะไปขยายหลอดลม ขยายเส้นเลือด หัวใจสั่น หลังจากนั้นก็มาใช้ยาพ่นเข้าหลอดลม
โดยตรง อาการไม่ดีขึ้นเลยจนกระทั่งผมกับภรรยาปรึกษากันว่าถ้าผมมีอายุรอดถึง 60 ปี แสดงว่าบุญหนักหนา ต้องสละชีวิตไปเป็น
พระ ภรรยาก็เลยบอกว่าควรจะไปบวช ผมก็เลยว่าจะลาออกก่อน 60 ปี คิดว่าจะเอาเงินขวัญถุงไปปลูกกุฏิที่วัดบ้านนอกเพราะอากาศ
ดีอาหารถูกสุขลักษณะมีที่สำหรับออกกำลังกายไม่ต้องไปลำบากในการทำมาหากิน แต่ก็ยังไม่ได้ไปทำ เพราะเมื่ออายุ 50 ปี ผมเป็น
โรคหัวใจเพิ่มขึ้นอีก มีอาการเหนื่อยมาก ไปตรวจที่โรงพยาบาลราชวิถีปรากฏว่าลิ้นหัวใจรั่ว เข้าโรงพยาบาล 7 วัน แล้วก็ต้องไป
โรงพยาบาลทุกเดือน ๆ กินยารักษาแทนที่จะหายกลับหนักขึ้นจนหมอให้ไปตรวจอย่างละเอียด ปรากฏว่าเส้นเลือดใหญ่ที่หัวใจตีบ
อีก 2 เส้น แต่ไม่รู้ว่าตีบประมาณเท่าไร แต่อาการเหนื่อยหมอวินิจฉัยแล้วเป็นเพราะว่าลิ้นหัวใจรั่ว ก็นัดว่าสะดวกเมื่อไหร่ให้ไปผ่า
เพราะว่าเหนื่อยมาก เดินขึ้นบันได 2 ขั้นจะเหนื่อยมาก อาการแบบนี้อันตราย พอนัดวันเตรียมที่จะผ่าเปลี่ยนลิ้นหัวใจก็บอกหมอว่า
อยากจะให้หมอฉีดสีเพื่อที่จะดูว่าสเป็คของลิ้นกับสเกลที่จะนำลิ้นเทียมไปใส่นั้นได้ขนาดพอดีหมอก็ตามใจฉีดสีให้ วิธีฉีดสีก็คือต้อง
ตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ขาหนีบ แล้วฉีดสีเข้าไป พอวันรุ่งขึ้นหมออ่านผลบอกว่าลิ้นหัวใจยังรั่วผ่าไม่ได้ เส้นเลือดตีบอันตรายมากอาจตาย
เฉียบพลันได้เพราะว่าตีบไปแล้ว 87 % อีกเส้นหนึ่งก็เกือบ 50 % แต่ว่าเอาเส้นเดียวก่อน ลิ้นหัวใจเอาไว้ทีหลัง
ส่งผมไปโรงพยาบาลโรคทรวงอก ทำบอลลูนที่โรงพยาบาลโรคทรวงอก ไปทำบอลลูนก็หายดีเส้นเลือดก็ใส่ใยเหล็กไว้แต่อีก
เส้นยังไม่ได้ทำ ลิ้นหัวใจรั่วปล่อยไว้ก่อน แต่การทำบอลลูนก็ดี การตัดเส้นเลือดฉีดสีก็ดีทำให้เกล็ดเลือดที่วิ่งอยู่ในกระแสเลือดมีเม็ด
เลือดเป็นเกล็ด เลยต้องกินยาละลายเลือดถึงวันละ 51 เม็ด มื้อละ 17 เม็ด

กินยาอย่างเดียวก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนในวันหนึ่ง ๆ ต้องทำงานหนัก งานที่กรมการค้าต่างประเทศเป็นงานที่หนักมีงาน
มากที่สุดในสมัยนั้น และในช่วงเวลานั้นเกิดวิกฤตการณ์ในกรม ทำให้ผมทำงานแทนอธิบดีและรองอธิบดีอยู่คนเดียวทำอยู่ได้
ประมาณ 2-3 วัน ในที่สุดก็กลายเป็นอัมพฤกการเป็นอัมพฤกมีอาการคือนั่งเซ็นต์แฟ้มอยู่จะมีอาการเวียนหัว ลงไปนั่งกับพื้นก็ยัง
เวียนหัว ในที่สุดก็อาเจียน คลานไปเรียกเลขาให้บอกภรรยา ภรรยาก็พาไปส่งโรงพยาบาลกับหมอที่เคยรักษาอยู่โรงพยาบาลราชวิถี
ตรวจบอกว่ามีเกล็ดเลือดไปอุดในเส้นเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ อาการคือเดินไม่ได้แต่สติปัญญา ความคิดต่าง ๆ ยัง
ปกติอยู่ทุกอย่าง เดินไม่ได้ ลงจากเตียงแล้วก้าวขาไม่ถูก จะไปข้างหน้าก็ถอยหลัง เซซ้าย เซขวา หมอให้นอน ผมบอกว่านอนไม่ได้
หรอก ยังไงต้องพาผมกลับไปทำงานเพราะที่กรมไม่มีคนทำงาน คราวนี้ผมได้ธรรมชาติบำบัดมาช่วยรักษานอกจากยา คือการบริหาร
คอซึ่งรายละเอียดจะอยู่ในหนังสือที่ผมเขียนไว้ในหน้า 6 คือการใช้มือสานกันดึงหน้าผาก 10 ครั้ง ดึงท้ายทอยไปข้างหน้า 10 ครั้ง
และที่เหนือทัดดอกไม้ผลักไปอีก 10 ครั้ง ซ้าย-ขวา แต่ว่าทุกครั้งที่ผลักหรือดึงจะต้องตั้งคอให้ตรงตลอด ทำแล้วจะรู้สึกหูสว่าง
ตาสว่าง แสดงว่าเลือดขึ้นสมองได้ดี อาการที่เป็นอัมพฤก นี้ก็คลี่คลายลงเร็วขึ้น ดีขึ้น ตอนแรกหมอให้ผมไปพบทุกวันต่อมาหมอให้
ไปพบวันเว้นวัน ต่อไปก็เป็นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ในที่สุดก็หายไป 42 วัน ผมกลับมาเป็นเหมือนคนปกติ ทุกวันนี้ไม่มี
ใครคิดว่าอดีตเคยเป็นอัมพฤก อัมพฤกนั้นมีแต่คนคิดว่าต่อไปจะเป็นอัมพาต ในที่สุดก็ตาย




พลังลมปราณนั้นแตกต่างกับการหายใจแบบปกติ คนเราพออายุมากขึ้นก็จะหายใจน้อยลงเพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
คนขี้โรค คนที่ไม่ได้ออกกำลังกายปอดส่วนล่างจะแฟบไปเลย ปอดส่วนล่างที่อยู่แถวชายโครงอ่อนลงไปหาลิ้นปี่จะแฟบไปการหายใจ
จะมาแค่หน้าออก แล้วหายใจออกไป ออกซิเจนจะฟอกเลือดได้น้อย เม็ดเลือดแดงที่จะไปเลี้ยงร่างกายก็น้อยลงแต่การหายใจแบบ
ลมปราณนั้น แท้ที่จริงมาจากอินาดีพ พราหมณ์หรือพวกที่นับถือศาสนาฮินดูเขาสอนเพื่อสมาธิจิต โดยที่เขาค้นพบมาตั้ง 3 พัน
กว่าปีแล้ว การหายใจสู่ปอดส่วนล่างนั้นให้หายใจลงไประหว่างที่ลิ้นปี่กับสะดือ เขาค้นพบว่าตรงส่วนนี้ของร่างกายเป็นศูนย์รวมของ
พลังอาทิตย์ ถ้าคนหายใจเอาอากาศกับออกซิเจนลงไปอัดไว้ที่ตรงนี้ให้มากและนานจะทำให้เพิ่มพลังในร่างกาย เลือดจะฉีดไหลเวียน
ในร่างกายดีมากขึ้น แต่คำอธิบายนั้นตอนแรก ๆไม่ได้อธิบายมาอธิบายโดยหนังสือของโยธีรวมจักร เขียนเป็นภาษาอังกฤษเมื่อ 1904
คือ 99 ปีที่แล้วพิมพ์ในอเมริกา และพระยานธรรัตน์ราชมานิตย์ แปลเป็นภาษาไทยเรียกว่า วิทยาศาสตร์แห่งการหายใจ
จะสอนวิธีหายใจ ผมนำหนังสือนี้มาประยุกต์กับการฝึกพลังลมปราณที่อาจารย์จากประเทศจีนชื่อโปรเฟสเซอร์จางฉีเป็น
ปรมาจารย์จากสำนักบู๊ตึ้ง มาบรรยาย 3 ชั่วโมงที่ธรรมศาสตร์ ฟังฟรี ผมก็ไปฟัง เมื่อปี 2540 ก่อนที่ผมจะไปฝึก 2 ปี คือผมเป็นคน
ขี้โรคที่ไม่ชอบออกกำลัง ฟังแล้วกลับมาบ้านก็เฉย ๆไม่ฝึก

การฝึกพลังลมปราณไม่ต้องมีการเตรียมร่างกาย เพียงเตรียมใจว่าจะมาฝึกเท่านั้นเอง ชุดอะไรก็ได้เพราะวันแรกที่ฝึกนั้น
ผมเป็นไข้คออักเสบ หายใจไม่ออก เป็นหอบหืด มีแต่เหงื่อ เสื้อผ้าก็เหม็นสาบผมคิดว่าผมจะตายแล้วด้วยซ้ำ ตอนที่ฝึกนั้นผมก็ไม่มี
เครื่องมือไม่มีเสื้อผ้า หลักการของการฝึกพลังลมปราณก็คือหายใจให้ถูกต้อง นี่คือหลักสำคัญที่สุด
ที่จริงการหายใจนั้นไม่มีการยกเว้น ไม่มีมนุษย์คนไหนยกเว้นการหายใจได้ ทุกคนสามารถฝึกพลังลมปราณได้เพียงแต่ต้อง
ฝึกตามหลักการ 3 ประการคือ

1. ตามอายุ ให้เหมาะสมกับอายุ คนแก่ก็ฝึกแบบคนแก่ คนสาวก็ฝึกแบบคนสาว
2. สังขาร คนที่เป็นนักกีฬาก็ฝึกแบบนักกีฬา ส่วนคนที่อ่อนแอ พิการ หรือเจ็บป่วยจะมาฝึกก็ได้เพราะเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว
อดีตอธิบดีนายเก่าของผมก็เกือบจะเป็นอัมพาตเพราะเส้นเลือดฝอยในสมองแตก ผมไปเยี่ยมและสอนให้ท่านฝึกการหายใจท่าน
ว่างเมื่อไหร่ก็ให้ฝึกการหายใจ เพียงไม่ถึงสัปดาห์มือซ้ายกับขาซ้ายที่ชามาตลอดก่อนที่ผมจะไปเยี่ยม แต่พออีก 2-3 วัน ผมไปเยี่ยม
ท่านบอกว่านิ้วกระดิกได้และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากที่ฝึกไปแล้ว 10 วัน ผมโทรไปเรียนถามว่าดีขึ้นไหม ท่านบอกว่าแขนซ้ายกับ
ขาซ้ายรู้สึกตัวแล้ว
3. ตามความจำเป็นที่จะนำไปใช้งาน ผมเป็นคนแก่อายุ 60 ปีแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีร่างกายที่เป็นปกติแล้ว แต่จะบอกว่าแข็งแรง
เหมือนคนอื่นนั้นไม่ได้ เพราะผมเพิ่งแข็งแรงมาแค่ 4 ปี และผมก็ไม่ได้ไปแข่งกีฬากับใครผมก็ฝึกอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าคนซึ่งเป็น
นักกีฬาก็ต้องฝึกหนัก เพื่อที่จะให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อแข็งแรงและไปแข่งกีฬาเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ รายการที่ /18- 46


จาก http://www.thaibiohazard.com/forum/viewtopic.php?f=1&t=8981
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2016, 09:02:33 pm »



เทคนิคและการฝึกลมปราณ(เพื่อสุขภาพ)
เทคนิคการฝึกพลังลมปราณ
โดย นายศุภกิจ นิมมานนรเทพ
อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
(เนื้อหาจากบทวิทยุกระจายเสียง ปี 2546)


วิธีการฝึกพลังลมปราณ

เทคนิคการฝึกพลังลมปราณนั้น มีหลักง่าย ๆ คือ หายใจให้ถูกต้อง หายใจให้เต็มปอด เคลื่อนไหวช้า ๆ อาจจะเกร็งหรือ
ไม่เกร็งกล้ามเนื้อก็ได้ตามความต้องการ และที่สำคัญ คือ ต้องฝึกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

เป้าหมายในการฝึกพลังลมปราณ

เราฝึกเพื่อที่จะให้ร่างกายฟื้นฟูจากสุขภาพที่ไม่แข็งแรงให้แข็งแรง เพื่อโรคบางอย่าง เช่น โรคทางเดินหายใจ ภูมิแพ้ หอบ
หืด นอนกรน กินยามากจนหัวใจรั่ว เส้นโลหิตตีบ โลหิตไปอุดตันคอทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้เป็นอัมพฤก เมื่อได้ฝึก
พลังลมปราณจะทำให้โรคทั้งหลายที่เป็นอยู่หายเกือบหมด เหลืออยู่เพียงลิ้นหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจรั่วนั้นทางการแพทย์ไม่ถือว่าเป็นโรค
เพราะไม่ติดต่อใคร เป็นเพียงอาการที่อวัยวะส่วนหนึ่งของหัวใจมันแหว่งไป เหมือนฟันบิ่น ซึ่งจะไม่งอกมาง่าย ๆ ยกเว้นแต่จะไป
ผ่าเปลี่ยน เมื่อได้กระทำการฝึกลมปราณ จนกระทั่งร่างกายแข็งแรง เส้นโลหิตที่ตีบอยู่ 1 เส้นก็โป่งเป็นปกติ กลับมาแข็งแรง
เหมือนเดิม

ข้อจำกัดและคำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นฝึกพลังลมปราณ

ขั้นตอนการฝึก คนที่จะฝึกต้องเตรียมตัวโดยไม่ต้องมีชุดก็ได้ ใช้ชุดทำงานก็ฝึกได้ ชุดอยู่กับบ้านก็ได้ ถ้าไม่คับหรือสั้นเกินไป
เวลานั่งแล้วไม่ขาดก็ฝึกได้ เริ่มต้นต้องอยู่ในที่ที่สะดวก ข้างโต๊ะทำงาน หรือข้างรถเข็นขายของ ข้างถนนก็ทำได้ ยืนขึ้นตัวตรง
เท้าห่างกันเล็กน้อย พอที่จะนั่งยอง ๆ ลงไปได้สะดวก เริ่มต้นให้ยืดอก แขนทั้งสองข้างที่วางข้างลำตัว ก็สมมุติให้มีกำปั้น กำขึ้นมา
ให้เกร็งเหมือนมีน้ำหนักในกำมือ น้ำหนักเท่าไร แล้วแต่จะต้องการ ถ้าคุณต้องการไปต่อยตีกับคน ก็เกร็งให้มีน้ำหนัก 10 กิโลก็ได้
แต่ว่าถ้าคุณแก่แล้ว และไม่ต้องไปต่อยตีกับใคร ต้องการเล่นกีฬา ก็ทำประมาณ 1-2 กิโลก็พอ เสร็จแล้วยืดอกหายใจ 3 ครั้ง หายใจ
ลึก ๆ คือสิ่งที่สำคัญ คำว่าหายใจลึก ๆ หมายความว่าหายใจเข้ามาให้เต็มปอด แล้วก็กลั้นหายใจทำพุงป่องออก อัดลมลงไปที่พุง
จุดนี้จะเรียกว่าศูนย์รมพลังอาทิตย์ หรือจุดต้นเถียรก็ไม่ต้องสนใจให้รู้ว่าอัดลงไปที่พุงหรือปอดส่วนล่าง แล้วกักลมนี้ไว้ให้นานเท่าที่
คุณจะทนได้ ใหม่ ๆ ก็อาจจะ 5 วินาที-10 วินาที ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นที่ละน้อย ๆ จนปัจจุบันก็สามารถกักไว้ได้ 1 นาที แค่นี้ก็
ถือว่านานแล้ว เสร็จแล้วก็หายใจเข้าทางจมูก ห้ามหายใจเข้าทางปากกักไว้ให้นานแล้วปล่อยลมออกทางปาก เสียงที่ออกมาทาง
ปากอาจจะดูน่าเกลียด แต่ก็เฉพาะเวลาฝึกเท่านั้นเอง ลมที่เป่าออกไปแรง ๆ นั้นก็เพื่อที่จะฟอกความสกปรกในช่องลมหายใจ
ความชื้นต่าง ๆ ออกไปแล้วจะได้มีพื้นที่ให้อากาศบริสุทธิ์เข้ามาได้มาก พ่นลมออกไปได้มากเท่าไร อากาศก็จะกลับเข้ามามากขึ้น
เท่านั้น ทำอย่างนี้ 3 ครั้ง พอครบ 3 ครั้งก็ให้กางกำปั้นขึ้นไปช้า ๆ ฝ่ามือคว่ำลง นับไป 30 พอครบ 30 ให้กำปั้นไปขนานกับพื้นแขน
เราก็จะขนานกับพื้น ยืดอก หายใจลึก ๆ 3 ครั้ง แบมือออก ฝ่ามือคว่ำลง หายใจลึกครบ 3 ครั้งแล้วค่อย ๆ บิดฝ่ามือหงายขึ้นสู่ท้องฟ้า
แขนตรงขนานพื้น นับไป 30 พอครบ 30 ให้ยืดอกหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง จากนั้นให้หลุบฝ่ามือขึ้นสู่ท้องฟ้า แขนตรงหลุบขึ้นไป ใหม่ ๆ
ที่ฝึกในสัปดาห์แรกจะหลุบไม่ได้สูงก็ไม่เป็นไร เพราะที่คอท่านอาจมีพังผืดยึดอยู่อาจจะเจ็บ ยกขึ้น จนกระทั่งสูงสุด อาจจะฝึกไปทั้ง
เดือนมือจะชันไปขนานกันอยู่เหนือศรีษะ แล้วยืดตัวหายใจขึ้นลึก ๆ 3 ครั้ง ถ้าคุณเป็นโรคปวดหลัง ปวดคอ คอตกหมอน คุณต้องฝึก
ท่านี้ โดยสมมุติว่าคุณถูกตรึงบนท้องฟ้า หลังคุณต้องเหยียดตรง มือต้องขนานกันขึ้นไป ถ้าทำประมาณ 7 วัน โรคพวกนี้จะหายยืด
ตัวขึ้นหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง




ต่อไปให้เกร็งฝ่ามือ ขนานกันลงมาในช่วงที่ไม่ได้บอกให้หายใจลึก ๆ นั้นให้หายใจปกติ ผ่อนคลายช้า ๆ การฝึกต้องไม่มีการ
เหนื่อยหลักการฝึกข้อที่ 1 คือ หายใจให้ถูกต้อง เคลื่อนไหวช้า ๆ ไม่ฝืนแรง ไม่เน้นการเกร็งกำลัง ขั้นตอนใดทำไม่ได้ก็ข้ามไป
ไม่ต้องทำ ย่อฝ่ามือ ชะลอลงมา จนกระทั่งฝ่ามือมาอยู่ตรงหน้า ฝ่ามือขนานกันอยู่ตรงใบหน้า แล้วย่อตัวนั่งลงไปช้า ๆ ใหม่ ๆ
จะเมื่อยก็นั่งลงไปเร็วหน่อย ถ้าใครนั่งไม่ได้ก็ย่อตัวนิดหน่อยพอแล้ว คราวนี้ถ้านั่งได้ให้นั่งต่อไปจนกระทั่งข้อศอกวางบนท่อนขา
เท้าราบ เบ่งลมหายใจไปที่พุง 3 ครั้ง แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น ช้า ๆ ตอนที่ลุกขึ้นมาช้า ๆ จะเหนื่อยมาก เมื่อยืนขึ้นมาแล้วเหนื่อย
หยุดหายใจยาว ๆ ให้หายเหนื่อยขั้นตอนต่อไปจะต้องใช้แรงมาก คือ ใช้หัวไหล่ทั้ง 2 ข้างเป็นต้นกำลัง ปิดปากให้แน่น หายใจเข้า-
ออก ทางจมูกอย่างแรง-เร็ว ฝ่ามือทั้งสองขยายออกช้า ๆ สมมุติว่ามีสปริงขยายให้ดันเอามือออก แต่มีสปริงอีกชุดหนึ่งกดไว้หลัง
ฝ่ามือ ไม่ให้ออกมาง่าย ๆ ให้ต้านกัน พอหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง แล้วก็หลุบฝ่ามือลงช้า ๆ มาแนบข้าง ๆ ลำตัว ก็จบ 1 รอบ 8 ขั้นตอน
ใช้เวลา 5 นาที ถ้าเร็วกว่า 5 นาที ถือว่าเร็วไป ถ้าช้ากว่า 5 นาทีไม่เป็นไร เพราะหลัก คือ หายใจให้ถูกต้องเคลื่อนไหวช้า ๆ เกร็ง
กำลังหรือเปล่าไม่เน้น จะเกร็งหรือไม่ก็ได้ไม่เน้น แล้วแต่สภาพของร่างกาย อายุ และความจำเป็นในการใช้งาน และที่สำคัญ คือ
ฝึกสม่ำเสมอให้เหงื่อออก วันละอย่างน้อย 1 ครั้ง คือในแต่ละวันนั้นฝึกให้ได้ครบทั้ง 8 ขั้นตอน แต่จะฝึกกี่รอบก็ได้แล้วแต่ว่าเรา
จะสามารถทำได้แค่ไหน ควรจะฝึกอย่างน้อย 4 ครั้ง หรือ 5 ครั้ง ไม่ใช่ว่าหยุดไป 5 วัน เสาร์-อาทิตย์ 2 ชั่วโมง ทำอย่างนั้นไม่ดี

ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฝึกพลังลมปราณ

คนที่เริ่มต้นยังไม่เคยฝึกเลย เหมือนคนที่ไม่เคยวิ่ง ก็อย่าไปวิ่ง พอวันสูงก็จะปวดเมื่อยไปทั้งตัว วันแรกก็ให้ฝึก 1 รอบพอ
เพื่อจะให้รู้ว่าเคลื่อนไหวอย่างไร พอวันที่ 2 ก็อาจจะ 1-2 รอบ แล้วแต่กำลังของเรา ไม่มีแบบสำเร็จรูป รอบที่ 3 ไหวไหม ถามตัวเอง
แต่ถ้าเหงื่อออกก็พอได้ ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ แล้วถ้าเหงื่อออกจะทำให้ร่างกายสดชื่น มีภูมิต้านทานโรค ขั้นตอนที่ 7 สำคัญมาก
เพราะจะใช้รักษาโรคทางเดินหายใจทั้งหมดเลย ภูมิแพ้ หรือหวัด จะหายทันทีเลย ใครเป็นหวัดอยู่ให้ฝึกประมาณ 3 รอบ จะรู้สึกว่า
หายใจโล่ง เหมือนกับไม่เจ็บป่วยมาก่อนเลย โรคภูมิแพ้ หอบ หืด ไซนัส น้ำในหูไม่สมดุลย์ ทำให้วิงเวียน ให้ฝึกด้วยกระบวนการใน
ขั้นตอนที่ 7 จะหายหมดเลย ตัวอย่างเช่น คนไทยที่อยู่ต่างประเทศ หรือจากเชียงรายที่เป็นครู เป็นไซนัสและภูมิแพ้มาตลอด พอฝึก
แล้วเดี่ยวนี้หายใจโล่ง จมูกไม่ตีบ น้ำมูก เสมหะ หายหมด อีกรายเป็นคุณยายอายุ 70 กว่าแล้วจากจังหวัดเพชรบุรี เป็นหอบ หืด กิน
ยามากไปไหนก็ต้องพกตะกร้าใส่ยาไปด้วย คุณยายฝึก 7 วันเท่านั้นก็หายไม่ต้องใช้ตะกร้ายาอีกต่อไป ถึงแม้หายแล้วก็ยังต้องฝึกต่อ
หรือคนที่มีน้ำหนักเกินใช้วิธีการฝึกลดน้ำหนักได้ด้วย ตัวอย่าง มีคนที่อยู่จังหวัดระยองตัวอ้วนมาก เอว 40 นิ้ว น้ำหนัก 84 กิโลกรัม
ฝึกได้ 2 เดือน น้ำหนักลดไป 12 กิโลกรัม เหลือ 70 กว่ากิโล ฝึกวันละครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง และยังมีคนไทยในต่างประเทศอีก เป็น
ดร.อยู่ที่ชิคาโก ดร.สุทธินี จรรโลงวิทยา ท่านฝึกก็ได้ผล นำไปเผยแพร่ให้คนในครอบครัวได้ฝึกกัน อีกท่านหนึ่งอายุ 65 ปี อยู่ที่ลอง
บริชแอลเอ ฝึก 7 วันเท่านั้น โรคที่เป็นภูมิแพ้มาตลอด พออายุมากขึ้นก็เป็นน้ำในหูไม่สมดุลย์ ต้องกินยาแก้วิงเวียนอยู่เป็นประจำ
พอฝึก 7 วันก็หาย และขออนุญาตนำวิธีการไปเผยแพร่ให้ญาติมิตรต่อ

ในการฝึก 8 ขั้นตอนคนที่ฝึกใหม่ ๆ จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ต้องไปห่วงรูปแบบ เพราะการฝึกพลังลมปราณนั้น
เป็นการฝึกการหายใจให้ถูกต้อง ฉะนั้น รูปแบบการเคลื่อนไหวแต่ละสำนักจะไม่เหมือนกัน เพราะว่าเป็นลิขสิทธิ์ต่างกัน ท่าต่าง ๆ
ไม่มีความสำคัญมากนัก อยู่ที่การฝึกลมหายใจมากกว่า แต่ว่าถ้าเป็นโรคทางเดินลมหายใจให้ฝึกกระบวนการขั้นที่ 7 ให้มากหน่อย
และคนที่ขี้เกียวออกกำลังและคนที่ขี้โรคจะไม่มีข้ออ้างอีกต่อไป ไม่เสียเวลา ไม่เสียเงินทอง วิธีการนี้จะไม่เสียอะไรเลย ไม่ต้องเดิน
ทางด้วย ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง คุณก็ฝึกได้ ในบ้านคุณก็ฝึกได้ มีคนหนึ่งภรรยาอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ลำปาง เขาเป็นภูมิแพ้ ช่วยงาน
บ้านก็ไม่ได้ ควันไฟ กลิ่นน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอกจะได้กลิ่นไม่ได้เลย เขาก็เลยลองฝึก ปรากฎว่าแม่บ้านมีคามสุขมากเลย เพราะ
ว่าเขาสามารถช่วยงานบ้านได้หมดทุกอย่าง ล้างจานชาม ซักผ้าได้ หมดทุกอย่าง จะทำกับข้าวก็ได้สบายเลย
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2016, 08:36:56 pm »




ฝึกพลังลมปราณพิชิตโรคร้าย ธรรมชาติบำบัดสู่การฟื้นฟูสุขภาพ

แม้จะได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า แพทย์แผนปัจจุบันดูแลแก้ปัญหาสุขภาพของมนุษย์ แต่การแพทย์แผนปัจจุบันก็ยังมีข้ออ่อนอยู่หลายจุด โดยเฉพาะไม่สามารถเอาชนะโรคเรื้อรังหลายชนิดที่สร้างความทุกข์ให้กับผู้ป่วยไปจนตลอดชีวิต อาทิ ภูมิแพ้ หอบหืด เบาหวาน ความดัน นอนกรน ฯลฯ ที่ต้องพกพายาไปทุกแห่งทุกที่ที่ไป ยิ่งอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอย่างบ้านเราด้วยแล้ว ยิ่งทำให้อาการของโรคยิ่งกำเริบและหนักขึ้น และแม้ว่าจะสามารถบำบัดได้ด้วยยาที่เห็นผลในระยะสั้น แต่สนนราคาค่ารักษาก็สูงเสียจนผู้ป่วยบางคนไม่สามารถเข้าถึง




    การฟื้นฟูสุขภาพด้วยการใช้ธรรมชาติบำบัดจึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากในระยะนี้ เพราะได้พิสูจน์จากหลายชั่วอายุคนแล้วว่าได้ผลจริง แม้แต่แพทย์แผนปัจจุบันเองก็ยังยอมรับขนาดว่าเปิดพื้นที่ในโรงพยาบาลให้ผู้ป่วยได้เลือกวิธีรักษาตัวว่าจะเลือกศาสตร์ปัจจุบันหรือศาสตร์ทางเลือกกันเลยทีเดียว
       
       อาจารย์ศุภกิจ นิมมานนรเทพ อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ก็เป็นอีกคนที่จัดอยู่ในประเภทขี้โรคและขี้เกียจออกกำลังกาย สารพันโรคร้ายเลยเข้ามารุมเร้าสร้างความทุกข์ทรมานและรำคาญไปในเวลาเดียวกันทั้ง ภูมิแพ้ หอบหืด นอนกรน ลิ้นหัวใจรั่วจนเกือบจะเป็นอัมพฤกษ์ ได้หันเข้าหาธรรมชาติฝึกพลังลมปราณรักษาโรค ซึ่ง อ.ศุภกิจ บอกว่าเหมาะมากสำหรับคนยุคปัจจุบัน
       
       “ผมว่าคนลักษณะอย่างผมคือขี้โรคขี้เกียจออกกำลังกายอย่างมาก จะเป็นคนกลุ่มใหญ่ในบ้านเราอาจจะถึง 90% ด้วยซ้ำ และยิ่งในกรุงเทพทุกคนต้องเร่งรีบกว่าจะออกจากบ้านถึงที่ทำงาน และกว่าจะตะเกียกตะกายออกจากที่ทำงานไปถึงบ้านโอกาสที่จะแวะออกกำลังกายยิ่งน้อย ขณะเดียวกันก็ต้องดูดควันพิษมากกว่าคนจังหวัดอื่น ๆ หลายเท่ายิ่งทำให้โอกาสที่จะกลายเป็นคนอมโรคจึงมากกกว่า การฝึกพลังลมปราณสามารถล้างสารพิษในตัว และใช้เวลาเพียง 30 นาทีต่อครั้งพอได้เหงื่อ และไม่ต้องทำทุกวันแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ก็เพียงพอ” อ.ศุภกิจ เล่า
       
       อ.ศุภกิจ บอกอีกว่า ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทางราชการมีความคร่ำเครียดอย่างหนักกับการทำงานอาการลิ้นหัวใจรั่วก็รุมเร้าขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่โรคภูมิแพ้ก็ยังไม่หายขาด กระทั่งอาการกำเริบหนักแพทย์ที่โรงพยาบาลราชวิถีคือคุณหมอพูลชัย จิตอนันต์ วิทยา ผู้ดูแลได้ไปปรึกษากับ พญ.วิไล พัววิไล เห็นว่าอาการขณะนั้นสมควรต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจ แต่เมื่อไปฉีดสีเข้าไปปรากฏว่าอาการหนักกว่าลิ้นหัวใจรั่ว หมอเกรงว่าอาจจะเกิดหัวใจวายกระทันหัน จึงได้ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลทรวงอกเพื่อทำบอลลูน และเสริมใยเหล็กในเส้นเลือดหลังจากนั้นก็ต้องกินยาละลายเลือดต่ออีกหลายเดือน ตอนนั้นสภาพร่างกายเหมือนคนพิการ เดินเซซุนเหมือนคนเมาเหล้าอย่างหนัก บังคับการทรงตัวไม่ได้เลยถ้าใครไม่รู้จักต้องคิดว่าเมาเหล้าแน่นอนตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องเป็นอัมพฤกษ์แน่นอน



     อ.ศุภกิจ บอกว่า ครั้งแรกที่ลองทำกายภาพบำบัดรู้สึกดีมาก เพราะเสมหะที่อัดแน่นอยู่ในหลอดลมหลุดออกมาเรื่อย ๆ ต้องหยุดบ้วนลงกระโถนเป็นระยะ รู้สึกโล่งอกหายใจได้เต็มปอดเป็นครั้งแรก จนถึงวันนี้ไม่มีเสมหะอีกเลยและอาการนอนกรน อาการหอบหืด ก็หายไปโดยไม่ต้องพึ่งยา
       
       แม้ท่าบู๊ตึ๊งจะดูเหมือนง่ายแต่ซินแสเฉินท่านหนึ่งทักว่า เป็นท่าบริหารที่เน้นการเกร็งกำลังมากจึงเหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวที่ต้องการแข็งแรงเร็ว แต่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงหรือคนแก่หรือคนที่สุขภาพยังไม่แข็งแรงต้องฟื้นฟูก่อน ท่านจึงแนะท่าบริหารกายอย่างง่ายแบบสำนักเส้าหลิน หรือท่าเสี้ยวลิ้มยี่ ซึ่งมีท่าบริหารดังนี้ คือ 1.ยืนตรงแยกเท้าเล็กน้อย สะบัดมือ 2-3 ที ยืดอกหายใจเข้าลึก ๆ ระบายลมออกทางปาก 3 ครั้ง 2.กางแขนขึ้นช้า ๆ ฝ่ามือคว่ำจนแขนกางตรงระดับไหล่ ยืดอกหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง
       
       3.ค่อย ๆ พลิกฝ่ามือช้า ๆ จนหงายขึ้นเต็มที่ (แขนตรง) แล้วยกแขนทั้งสองหุบขึ้นไปช้า ๆ จนฝ่ามือทั้งสองขนานกันอยู่เหนือศีรษะ แขนเหยียดตรงยืดอกหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง 4.ค่อย ๆ งอข้อศอกให้ปลายมือจรดกันอยู่เกือบแตะศรีษะแบะอกเต็มที่ข้อศอกกางในแนวตรงกับลำตัวหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง 5.ค่อย ๆ พลิกเฉพาะฝ่ามือให้หงายขึ้นช้า ๆ จนหงายขึ้นเต็มที่แล้วจึงค่อย ๆ ยกฝ่ามือดันขึ้นฟ้าอย่างช้า ๆ (ถ้าโคนแขน เทอะทะก็เกร็งกล้ามในช่วงนี้ด้วย) จนฝ่ามือชูสูงสุด (คล้ายคนยอมแพ้)
       
       6.ค่อย ๆ กวักฝ่ามือลงมาช้า ๆ แขนตรงตลอดเวลา ครั้นฝ่ามือลงมาถึงระดับไหล่ให้เราค่อย ๆ ก้มตัวลงช้า ๆ ตามจังหวะฝ่ามือที่กวักลงมาถึงระดับไหล่ขาตรงไม่งอเข่า (ปลายมือแตะปลายเท้ายิ่งดี) ฝ่ามือผ่านลำตัวม้วนขึ้นโผล่กลางลำตัว 7.เมื่อก้มสุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว ให้ค่อย ๆ ยืนขึ้นจนตัวตรงหายใจลึก ๆ 3 ครั้งแล้วค่อย ๆ ย่อตัวลง นั่งยอง ๆ เท้าราบ เอื้อมมือโอบเข่า หงายฝ่ามือจรดปลายนิ้วเข้าหากันหายใจเต็มพุง 3 ครั้ง 8. คลายมือออกแล้วค่อย ๆ ทรงตัวขึ้นยืนโดยหงายฝ่ามือปลายนิ้วเข้าหากันหายใจเต็มพุง 3 ครั้ง
       
       9.คลายมือออกแล้วค่อย ๆ ทรงตัวขึ้นยืนโดยหงายฝ่ามือปลายนิ้วจรดกันค่อยยกฝ่ามือขึ้นตามจังหวะการทรงตัวขึ้นจนตัวตรงและฝ่ามือขึ้นมาถึงระดับอก ค่อยพลิกฝ่ามือคว่ำลงปลายนิ้วจรดกันอยู่ค่อย ๆ ลดลงไปจนฝ่ามือสุดแล้ววกมาแนบข้างลำตัว จบ 1 รอบให้กลับไปเริ่มรอบใหม่ที่จังหวะ 9.2 วนกลับมาถึง 9.8 กลับไปกลับมาอย่างต่ำ 5 รอบ หรือจนกว่าเหงื่อจะออกวันเวลใดก็ได้ที่สะดวก
       
      อ.ศุภกิจ ยังได้โชว์จดหมายขอบคุณจากผู้ที่ได้ลองฝึกพลังลมปราณหลังจากได้รับคำแนะนำจากอ.ศุภกิจไป อาทิ คุณกฤติกา รุจิรวิริญภิญโญ จากแคลิฟอร์เนีย บอกว่าสามีเคยนอนกรนและบางครั้งหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเวลานอน หลังจากฝึกลมปราณ ไปได้ 2 อาทิตย์อาการดีขึ้น อาการกรนน้อยลงไปเรื่อย ๆ รายที่ 2 คือ คุณสมพร ทัดดอกไม้ บอกว่าพบคำแนะนำจากหนังสือคู่มือฝึกพลังลมปราณพิชิตโรค ได้ลองทำดู อาการไซนัส ภูมิแพ้ หายเป็นปลิดทิ้ง
       
       คุณบรรจง ศรีเจริญ เขียนมาจากสหรัฐอเมริกา บอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้แต่หลังจากปฏิบัติอาการดีขึ้นจากนั้นได้แนะนำเพื่อนอีกหลาย ๆ คนให้ทำตาม คุณทัศนีย์ จากลาดพร้าวเป็นโรคหอบหืดเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมาก ได้ฝึกพลังลมปราณตามคำแนะนำของอ.ศุภกิจ ตอนนี้สบายดีแล้วไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีก และบอกว่าดีจนต้องบอกต่อ คุณ อภิชัย ป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรัง หลังฝึกพลังลมปราณแล้วอาการดีเกือบเป็นปกติ ฟอกไตมีของเสียเพียง 400-500 กรัมเท่านั้น คุณระวิวรรณ ชลสิทธิ์ จากพังงา ป่วยเป็นอัมพฤกษ์แขนและขาข้างขวา ฝึกพลังลมปราณ อยู่ 15 วัน ตอนนี้อาการเกือบเป็นปกติแล้วสามารถเดินเหินได้
       
      นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ที่อ.ศุภกิจบอกว่า ต้องหลุดพ้นจากโรคร้ายด้วยปรัชญาตะวันออก ที่ใครก็สามารถฝึกได้ และฝากบอกถึงคุณผู้หญิงที่ชอบไปตบนม เสริมเต้า นวดเคล้าคลึงทั้งหลาย แค่เพียงฝึกหายใจให้ถูกต้อง หน้าอกก็จะพองขึ้นมาได้เอง
       
       สำหรับศาสตร์ตะวันออกนี้ ผศ.นพ.วิศาล คันทธารัตนกุล ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยแล้วว่าได้ผลจริง หลังจากฝึกพลังลมปราณทั้งจากสำนักบู๊ตึ๊งและเส้าหลินพบว่า เส้นรอบวงต้นแขนสองด้านกระชับขึ้น ความหนาของชั้นไขมันใต้ผิวหนังที่ท้องแขนลดลง กำลังขาเพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อขาเพิ่มขึ้น การเต้นของหัวใจดีขึ้น สมรรถภาพระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ฯลฯ ซึ่งเป็นเก็บข้อมูลในช่วง 3 เดือน และหลังจากนี้อีก 3 เดือนจะเก็บข้อมูลในผู้ป่วยเบาหวานที่ฝึกพลังลมปราณ

จาก http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9480000033873
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 09, 2011, 05:38:05 am »



แม้จะได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า แพทย์แผนปัจจุบันดูแลแก้ปัญหาสุขภาพของมนุษย์ แต่การแพทย์แผนปัจจุบันก็ยังมีข้ออ่อนอยู่หลายจุด โดยเฉพาะไม่สามารถเอาชนะโรคเรื้อรังหลายชนิดที่สร้างความทุกข์ให้กับผู้ป่วยไปจนตลอดชีวิต อาทิ ภูมิแพ้ หอบหืด เบาหวาน ความดัน นอนกรน ฯลฯ ที่ต้องพกพายาไปทุกแห่งทุกที่ที่ไป ยิ่งอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอย่างบ้านเราด้วยแล้ว ยิ่งทำให้อาการของโรคยิ่งกำเริบและหนักขึ้น และแม้ว่าจะสามารถบำบัดได้ด้วยยาที่เห็นผลในระยะสั้น แต่สนนราคาค่ารักษาก็สูงเสียจนผู้ป่วยบางคนไม่สามารถเข้าถึง       
       

การฟื้นฟูสุขภาพด้วยการใช้ธรรมชาติบำบัดจึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากในระยะนี้ เพราะได้พิสูจน์จากหลายชั่วอายุคนแล้วว่าได้ผลจริง แม้แต่แพทย์แผนปัจจุบันเองก็ยังยอมรับขนาดว่าเปิดพื้นที่ในโรงพยาบาลให้ผู้ป่วยได้เลือกวิธีรักษาตัวว่าจะเลือกศาสตร์ปัจจุบันหรือศาสตร์ทางเลือกกันเลยทีเดียว
       

       อาจารย์ศุภกิจ นิมมานนรเทพ อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ก็เป็นอีกคนที่จัดอยู่ในประเภทขี้โรคและขี้เกียจออกกำลังกาย สารพันโรคร้ายเลยเข้ามารุมเร้าสร้างความทุกข์ทรมานและรำคาญไปในเวลาเดียวกันทั้ง ภูมิแพ้ หอบหืด นอนกรน ลิ้นหัวใจรั่วจนเกือบจะเป็นอัมพฤกษ์ ได้หันเข้าหาธรรมชาติฝึกพลังลมปราณรักษาโรค ซึ่ง อ.ศุภกิจ บอกว่าเหมาะมากสำหรับคนยุคปัจจุบัน
       
       “ผมว่าคนลักษณะอย่างผมคือขี้โรคขี้เกียจออกกำลังกายอย่างมาก จะเป็นคนกลุ่มใหญ่ในบ้านเราอาจจะถึง 90% ด้วยซ้ำ และยิ่งในกรุงเทพทุกคนต้องเร่งรีบกว่าจะออกจากบ้านถึงที่ทำงาน และกว่าจะตะเกียกตะกายออกจากที่ทำงานไปถึงบ้านโอกาสที่จะแวะออกกำลังกายยิ่งน้อย ขณะเดียวกันก็ต้องดูดควันพิษมากกว่าคนจังหวัดอื่น ๆ หลายเท่ายิ่งทำให้โอกาสที่จะกลายเป็นคนอมโรคจึงมากกกว่า การฝึกพลังลมปราณสามารถล้างสารพิษในตัว และใช้เวลาเพียง 30 นาทีต่อครั้งพอได้เหงื่อ และไม่ต้องทำทุกวันแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ก็เพียงพอ” อ.ศุภกิจ เล่า
       
       อ.ศุภกิจ บอกอีกว่า ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทางราชการมีความคร่ำเครียดอย่างหนักกับการทำงานอาการลิ้นหัวใจรั่วก็รุมเร้าขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่โรคภูมิแพ้ก็ยังไม่หายขาด กระทั่งอาการกำเริบหนักแพทย์ที่โรงพยาบาลราชวิถีคือคุณหมอพูลชัย จิตอนันต์ วิทยา ผู้ดูแลได้ไปปรึกษากับ พญ.วิไล พัววิไล เห็นว่าอาการขณะนั้นสมควรต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจ แต่เมื่อไปฉีดสีเข้าไปปรากฏว่าอาการหนักกว่าลิ้นหัวใจรั่ว หมอเกรงว่าอาจจะเกิดหัวใจวายกระทันหัน จึงได้ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลทรวงอกเพื่อทำบอลลูน และเสริมใยเหล็กในเส้นเลือดหลังจากนั้นก็ต้องกินยาละลายเลือดต่ออีกหลายเดือน ตอนนั้นสภาพร่างกายเหมือนคนพิการ เดินเซซุนเหมือนคนเมาเหล้าอย่างหนัก บังคับการทรงตัวไม่ได้เลยถ้าใครไม่รู้จักต้องคิดว่าเมาเหล้าแน่นอนตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องเป็นอัมพฤกษ์แน่นอน         
 

 “หมอก็เลยแนะนำให้ผมบริหารแบบง่าย ๆ คือ ก่อนอาบน้ำเช้าและก่อนอาบน้ำตอนเย็นให้ใช้มือ 2 ข้างสอดประสานนิ้วและยกขึ้น ดึงหน้าผากไปข้างหลัง แต่เราต้องเกร็งคอขืนเอาไว้ดึง 10 ครั้งขืนคอไว้ทั้ง 10 ครั้ง แล้วเปลี่ยนไปดึงท้ายทอยให้ไปข้างหน้า พร้อมกันนั้นเราก็ขืนท้ายทอย ให้ตั้งตรงไว้ทั้ง 10 ครั้ง มืออีกข้างหนึ่งเท้าสะเอวไว้ด้านซ้ายกับขวารวม 20 ครั้ง ด้านหน้าผากกับท้ายทอยอีกรวม 4 ด้าน 40 ครั้งวันละ 2 เซ็ท 80 ครั้ง ไม่น่าเชื่อครับว่าจากท่ากายภาพบำบัดง่ายแค่วันละ 2 หน ๆ ละไม่เกิน 10 นาทีจะสามารถบำบัดรักษาคนไข้ที่ใกล้จะเป็นอัมพฤกษ์อยู่รอมร่อให้กลับฟื้นเป็นปกติได้ ”
       
       อ.ศุภกิจ ยังได้เล่าถึงความสนใจและเข้าสู่การฝึกพลังลมปราณว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก ศ.จางฉี แห่งภาควิชาพลศึกษาของมหาวิทยาลัยมณฑลเหลียวหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มาบรรยายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และได้สอนท่ากายภาพบำบัดหรือการบริหารง่าย ๆ ให้บางท่าจนแม้ท่านอนหลับ “แบบกบจำศีล” และการถ่ายอุจจาระที่ถูกลักษณะ อีกทั้งผู้บรรยายมีอายุ 63 ปีแล้วยังสปริงตัวแผล็วขึ้นไปสาธิตท่าบริหารกายอยู่บนโต๊ะให้เห็นชัด วินาทีนั้นตัดสินใจกลับไปจะต้องฝึกบ้างจึงได้เริ่มบริหารตามตำรับบู๊ตึ๊งตั้งแต่นั้น



ท่าฝึกบู๊ตึ๊ง-เสี้ยวลิ้มยี่ ดูเหมือนง่ายแต่ไม่หมู


       อ.ศุภกิจ ได้สาธิตถึงการบริหารร่างกายด้วยกายฝึกพลังลมปราน ตามตำรับบู๊ตึ๊งคือ 1.ยืนตัวตรงแยกเท้าเล็กน้อย มือกำแนบลำตัว หายใจลึก ๆ 3 ครั้ง แล้วค่อย ๆ กางแขนช้า ๆ และกำหนดใจให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังยกตุ้มเหล็กหนัก ๆ ขึ้นมา จนยกกำปั้นขึ้นมาเสมอไหล่แล้วแบมือออกหายใจลึก ๆ 3 ครั้งขณะนั้นฝ่ามือคว่ำลง 2. เกร็งกล้ามเนื้อแขนและค่อย ๆ หงายฝ่ามือขึ้นมาช้า ๆ ให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังออกแรงผลักบานประตูหนัก ๆ อยู่ หมุนข้อมือจนกระทั่งฝ่ามือหงายขึ้นเต็มที่เหยียดตรงขนานพื้นตลอดเวลา หายใจลึก ๆ และกางแขนยืดอกเต็มที่ 3 ครั้ง 3.แขนดึงตลอดเวลา และค่อย ๆ ยกฝ่ามือหรุบขึ้นช้า ๆ จนกระทั่งแขนเหยียดตรงสูงขึ้นไปหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง
       
       4.เกร็งกล้ามเนื้อย่อแขนทั้งคู่ลงมาช้า ๆ กำหนดใจให้รู้สึกเหมือนเรากำลังยกสิ่งของหนัก ๆ ค่อย ๆ ชะลอลงมาจนกระทั่งฝ่ามือขนานกันอยู่ตรงระดับใบหน้าของเราค่อย ๆ ย่อตัวลงไปจนนั่งยอง ๆ เท้าราบ หายใจเต็มพุง 3 ครั้ง แต่มือทั้งสองข้างยังคงอยู่ในท่าเดิม ข้อศอกตั้งบนเข่า แล้วค่อย ๆ ยืนขึ้นช้า ๆ จนตัวตรง
       
       5.เกร็งกล้ามเนื้อค่อย ๆ ขยายฝ่ามือออกเหมือนว่ามีสปริงดันฝ่ามือออก แต่มีสปริงอีกชุดกดอยู่หลังมือไม่ให้ขยายออกง่าย ๆ หายใจเฉพาะทางจมูกเร็ว ๆ แรง ๆ เหมือนปล้ำอยู่กับผู้ร้าย 6.แผ่ฝ่ามือขยายออกจนที่สุดฝ่ามือของเรากางออกไปจนสุดแขนเหยียดตรง ฝ่ามือคว่ำลงยืดอกเต็มที่และหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง ค่อยลดแขนทั้งสองลงช้า ๆ จนแนบลำตัว ครบท่าบริหารเพียงแค่นี้ไม่มีอะไรยาก แต่ต้องกลับไปเริ่มที่ขั้นตอนที่ 1 อีกครั้ง ทำกลับไป-มา 10 เที่ยวพอให้ได้เหงื่อ
       
       

อ.ศุภกิจ บอกว่า ครั้งแรกที่ลองทำกายภาพบำบัดรู้สึกดีมาก เพราะเสมหะที่อัดแน่นอยู่ในหลอดลมหลุดออกมาเรื่อย ๆ ต้องหยุดบ้วนลงกระโถนเป็นระยะ รู้สึกโล่งอกหายใจได้เต็มปอดเป็นครั้งแรก จนถึงวันนี้ไม่มีเสมหะอีกเลยและอาการนอนกรน อาการหอบหืด ก็หายไปโดยไม่ต้องพึ่งยา
       
       
แม้ท่าบู๊ตึ๊งจะดูเหมือนง่ายแต่ซินแสเฉินท่านหนึ่งทักว่า เป็นท่าบริหารที่เน้นการเกร็งกำลังมากจึงเหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวที่ต้องการแข็งแรงเร็ว แต่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงหรือคนแก่หรือคนที่สุขภาพยังไม่แข็งแรงต้องฟื้นฟูก่อน ท่านจึงแนะท่าบริหารกายอย่างง่ายแบบสำนักเส้าหลิน หรือท่าเสี้ยวลิ้มยี่ ซึ่งมีท่าบริหารดังนี้ คือ 1.ยืนตรงแยกเท้าเล็กน้อย สะบัดมือ 2-3 ที ยืดอกหายใจเข้าลึก ๆ ระบายลมออกทางปาก 3 ครั้ง 2.กางแขนขึ้นช้า ๆ ฝ่ามือคว่ำจนแขนกางตรงระดับไหล่ ยืดอกหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง
       
       3.ค่อย ๆ พลิกฝ่ามือช้า ๆ จนหงายขึ้นเต็มที่ (แขนตรง) แล้วยกแขนทั้งสองหุบขึ้นไปช้า ๆ จนฝ่ามือทั้งสองขนานกันอยู่เหนือศีรษะ แขนเหยียดตรงยืดอกหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง 4.ค่อย ๆ งอข้อศอกให้ปลายมือจรดกันอยู่เกือบแตะศรีษะแบะอกเต็มที่ข้อศอกกางในแนวตรงกับลำตัวหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง 5.ค่อย ๆ พลิกเฉพาะฝ่ามือให้หงายขึ้นช้า ๆ จนหงายขึ้นเต็มที่แล้วจึงค่อย ๆ ยกฝ่ามือดันขึ้นฟ้าอย่างช้า ๆ (ถ้าโคนแขน เทอะทะก็เกร็งกล้ามในช่วงนี้ด้วย) จนฝ่ามือชูสูงสุด (คล้ายคนยอมแพ้)
       
       6.ค่อย ๆ กวักฝ่ามือลงมาช้า ๆ แขนตรงตลอดเวลา ครั้นฝ่ามือลงมาถึงระดับไหล่ให้เราค่อย ๆ ก้มตัวลงช้า ๆ ตามจังหวะฝ่ามือที่กวักลงมาถึงระดับไหล่ขาตรงไม่งอเข่า (ปลายมือแตะปลายเท้ายิ่งดี) ฝ่ามือผ่านลำตัวม้วนขึ้นโผล่กลางลำตัว 7.เมื่อก้มสุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว ให้ค่อย ๆ ยืนขึ้นจนตัวตรงหายใจลึก ๆ 3 ครั้งแล้วค่อย ๆ ย่อตัวลง นั่งยอง ๆ เท้าราบ เอื้อมมือโอบเข่า หงายฝ่ามือจรดปลายนิ้วเข้าหากันหายใจเต็มพุง 3 ครั้ง 8. คลายมือออกแล้วค่อย ๆ ทรงตัวขึ้นยืนโดยหงายฝ่ามือปลายนิ้วเข้าหากันหายใจเต็มพุง 3 ครั้ง
       
       9.คลายมือออกแล้วค่อย ๆ ทรงตัวขึ้นยืนโดยหงายฝ่ามือปลายนิ้วจรดกันค่อยยกฝ่ามือขึ้นตามจังหวะการทรงตัวขึ้นจนตัวตรงและฝ่ามือขึ้นมาถึงระดับอก ค่อยพลิกฝ่ามือคว่ำลงปลายนิ้วจรดกันอยู่ค่อย ๆ ลดลงไปจนฝ่ามือสุดแล้ววกมาแนบข้างลำตัว จบ 1 รอบให้กลับไปเริ่มรอบใหม่ที่จังหวะ 9.2 วนกลับมาถึง 9.8 กลับไปกลับมาอย่างต่ำ 5 รอบ หรือจนกว่าเหงื่อจะออกวันเวลใดก็ได้ที่สะดวก
       
       อ.ศุภกิจ ยังได้โชว์จดหมายขอบคุณจากผู้ที่ได้ลองฝึกพลังลมปราณหลังจากได้รับคำแนะนำจากอ.ศุภกิจไป อาทิ คุณกฤติกา รุจิรวิริญภิญโญ จากแคลิฟอร์เนีย บอกว่าสามีเคยนอนกรนและบางครั้งหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเวลานอน หลังจากฝึกลมปราณ ไปได้ 2 อาทิตย์อาการดีขึ้น อาการกรนน้อยลงไปเรื่อย ๆ รายที่ 2 คือ คุณสมพร ทัดดอกไม้ บอกว่าพบคำแนะนำจากหนังสือคู่มือฝึกพลังลมปราณพิชิตโรค ได้ลองทำดู อาการไซนัส ภูมิแพ้ หายเป็นปลิดทิ้ง
       
       คุณบรรจง ศรีเจริญ เขียนมาจากสหรัฐอเมริกา บอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้แต่หลังจากปฏิบัติอาการดีขึ้นจากนั้นได้แนะนำเพื่อนอีกหลาย ๆ คนให้ทำตาม คุณทัศนีย์ จากลาดพร้าวเป็นโรคหอบหืดเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมาก ได้ฝึกพลังลมปราณตามคำแนะนำของอ.ศุภกิจ ตอนนี้สบายดีแล้วไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีก และบอกว่าดีจนต้องบอกต่อ คุณ อภิชัย ป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรัง หลังฝึกพลังลมปราณแล้วอาการดีเกือบเป็นปกติ ฟอกไตมีของเสียเพียง 400-500 กรัมเท่านั้น คุณระวิวรรณ ชลสิทธิ์ จากพังงา ป่วยเป็นอัมพฤกษ์แขนและขาข้างขวา ฝึกพลังลมปราณ อยู่ 15 วัน ตอนนี้อาการเกือบเป็นปกติแล้วสามารถเดินเหินได้
       
       นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ที่อ.ศุภกิจบอกว่า ต้องหลุดพ้นจากโรคร้ายด้วยปรัชญาตะวันออก ที่ใครก็สามารถฝึกได้ และฝากบอกถึงคุณผู้หญิงที่ชอบไปตบนม เสริมเต้า นวดเคล้าคลึงทั้งหลาย แค่เพียงฝึกหายใจให้ถูกต้อง หน้าอกก็จะพองขึ้นมาได้เอง
       
       สำหรับศาสตร์ตะวันออกนี้ ผศ.นพ.วิศาล คันทธารัตนกุล ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยแล้วว่าได้ผลจริง หลังจากฝึกพลังลมปราณทั้งจากสำนักบู๊ตึ๊งและเส้าหลินพบว่า เส้นรอบวงต้นแขนสองด้านกระชับขึ้น ความหนาของชั้นไขมันใต้ผิวหนังที่ท้องแขนลดลง กำลังขาเพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อขาเพิ่มขึ้น การเต้นของหัวใจดีขึ้น สมรรถภาพระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ฯลฯ ซึ่งเป็นเก็บข้อมูลในช่วง 3 เดือน และหลังจากนี้อีก 3 เดือนจะเก็บข้อมูลในผู้ป่วยเบาหวานที่ฝึกพลังลมปราณ

http://www.youtube.com/watch?v=FGcQHbC9fVs#ws


http://www.youtube.com/watch?v=u3D6gQlEjCU#



http://www.youtube.com/watch?v=nsn-xTPbSOI#



http://www.youtube.com/watch?v=vQX7l4pUWrs#


http://www.youtube.com/watch?v=RAPWP3OQPFQ#