ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2016, 01:12:19 am »บทที่สี่
ป ฏิ บั ติ โ พ ธิ จิ ต
1. ด้วยเหตุนี้
เมื่อรับโพธิจิตเอาไว้แล้ว
บุตรธิดาของพระสุคต
ควรพยายามเอาใจใส่ อย่าให้ละเลยการฝึกฝนนี้
2. แม้ว่าเราจะได้ปฏิญานตนแล้ว
ก็ยังเหมาะสมที่จะพิจารณาซ้ำอีก
ว่าจะปฏิบัติถึงสิ่งที่ได้รับมาอย่างลวก ๆ
หรือว่า ไม่ได้ไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วหรือไม่
3. แต่ข้าฯ จะละทิ้งสิ่งที่ได้ผ่านการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
จากพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
และบุตรธิดาทั้งหลายของพระองค์
รวมทั้งจากตัวข้าฯ เอง
ซึ่งได้พิจารณาด้วยความสามารถอย่างสูงสุดได้ละหรือ?
4. ในเมื่อข้าฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาแล้ว
หากไม่ปฏิบัติตาม
ข้าฯ จะมีชะตากรรมอย่างไร
เนื่องจากได้หลอกลวงสัตว์โลกทั้งมวล?
5. กล่าวไว้ว่าผู้ที่ตั้งใจจะให้แม้แต่สิ่งเล็กน้อย
แต่ไม่ได้ให้
จะกลายเป็นเปรต
6. แล้วยิ่งไปกว่านั้น
การที่ข้าฯ ได้หลอกลวงโลกทั้งโลก
หลังจากที่ได้เชื้อเชิญสัตว์โลกทั้งหมด
ด้วยเสียงอันดัง และด้วยความจริงใจ
เพื่อให้ได้รับความสุขอันมิมีสิ่งใดเทียบได้เล่า?
ข้าฯ จะได้รับความเป็นอยู่แบบใดกัน?
7. มีแต่พระผู้ทรงสัพพัญญุตญานเท่านั้น
ที่ทรงทราบถึงเส้นทางแห่งกรรม อันไม่สามารถหยั่งถึงได้
อันเป็นเส้นทางของผู้ที่พระองค์ทรงช่วยให้รอดพ้น
แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้น
จะละทิ้งโพธิจิต
8. ด้้วยเหตุนี้
สำหรับพระโพธิสัตว์แล้ว
การละทิ้งโพธิจิต
เป็นการตกต่ำที่หนักหน่วงที่สุด
เนื่องด้วยว่าหาก พระโพธิสัตว์ละทิ้งเช่นนี้แล้ว
เขาจะทำร้ายสวัสดิภาพของสัตว์โลกทั้งปง
9. หากบางคนหน่วงเหนี่ยว คุณธรรมของพระโพธิสัตว์
ไว้แม้เพียงชั่วขณะ
เขาเหล่านั้นจะไม่รู้จัก
จุดจบของความทุกข์ทรมานในภพชาติต่างๆ มากมาย
ด้วยเหตุที่ว่า
เขาได้ลดสวัสดิภาพของสัตว์โลก
10. ผู้ที่กำจัดความสุขของสัตว์โลกแม้เพียงหนึ่งเดียว
ก็จะถูกทำลายไป
แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ
ผู้ที่กำจัดความสุขของสัตว์โลกทั้งหลายที่อยู่ทั่วไปทั้งท้องฟ้าเล่า
จะเป็นฉันใด?
11. ดังนั้น
ด้วยอำนาจของการตกต่ำ
และ
อำนาจของโพธิจิต
ผู้ที่หมุนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ
จึงมีความล่าช้าในการบรรลุถึงภูมิของพระโพธิสัตว์
12. ด้วยเหตุนี้
ข้าฯ จึงปฏิบัติตามคำมั่นของข้าฯ
ด้วยความเคารพ
หากข้าฯ ไม่มีความพยายามในตอนนี้
ข้าฯ จะตกลงไปสู่อบายภูมิ
ต่ำลงๆ ไปเรื่อยๆ
13. พระพุทธเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนได้ผ่านไปแล้ว
ต่างก็แสวงหาสัตว์โลก
แต่ด้วยความผิดบาปของข้าฯ
ข้าฯ จึงมิได้มายังดินแดนของสัตว์เหล่านี้
เพื่อช่วยเหลือพวกเขา
14. หากข้าฯ เป็นเช่นที่เป็นอยู่นี้
ข้าฯ จะลงมาสู่ภพชาติอันเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มีโรคภัยไข้เจ็บ
ความตาย
การตัดแขนขา
การถูกทำลายล้าง
เป็นอาทิ
15. แล้วเมื่อใดเล่าที่ข้าฯ จะได้พบ
พระตถาคตเจ้า
ผู้ซึ่งปรากฏพระองค์ขึ้นมายากมากเหลือเกิน
เมื่อใดข้าฯ จะได้พบ
กับศรัทธา
การเกิดเป็นมนุษย์
ความสามารถในการปฏิบัติธรรม
16. รวมทั้งสุขภาพ
การกินอยู่ประจำวัน
และการปราศจากศัตรู?
ชีวิตเป็นของชั่วครู่ชั่วยาม
และเป็นมายา
ร่างกายนี้ก็เป็นของยืมมา
17. ด้วยความประพฤติเช่นนี้ของข้าฯ
ข้าฯ จะไม่ได้ร่างเป็นมนุษย์อีก
เมื่อไม่ได้ร่างเป็นมนุษย์
ก็จะมีแต่ความเลวร้าย
แล้วจะได้รับพรได้อย่างไร?
18. หากข้าฯ ไม่ปฏิบัติธรรมในขณะที่ข้าฯ ยังทำได้
ข้าฯ จะทำอย่างไร
เมื่อข้าฯต้องงงงันไปด้วยความทุกข์ทรมานของสังสารวัฏ?
19. สำหรับผู้ที่มิได้ประพฤติธรรม
แต่หากทำบาปแม้กระทั่งคำพูดว่า
" สุคติภูมิ "
ก็จะสูญหายไปเป็นพันล้านกัป
20. ดังนั้น
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
การเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่ได้มายากอย่างยิ่งยวด
เช่นเดียวกับเต่าที่โผล่หัวขึ้นมาสอดอยู่กลางแอก
ที่ล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
21. คนผู้หนึ่งทนทรมานอยู่ในอวิจีมหานรก
ด้วยผลของความชั่ว ที่ทำไปเพียงแม้หนึ่งชั่ววูบ
แล้วจะพูดถึงภพภูมิอันเป็นสุคติได้อย่างไร
ในเมื่อบาปกรรมได้สะสมมาตั้งแต่กาลเวลาอันไม่มีจุดกำเนิด?
22. เมื่อได้ประสบแต่ความชั่วร้าย
ก็จะยังไม่หลุดพ้น
ดังนั้น
เมื่อประสบแต่สิ่งเหล่านี้
ก็จะทำแต่ความชั่วเพิ่มมากขึ้น
23. เมื่อข้าฯ ได้มีเวลาว่างเช่นนี้
หากข้าฯ ไม่ปฏิบัติธรรม
ก็จะไม่มีความปลิ้นปล้อนตลบแตลงอะไรที่มากไปกว่านี้อีกแล้ว
และจะไม่มีการหลอกลวงอะไรที่ยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
24. หากข้าฯ รับรู้สิ่งเหล่านี้
แต่หากยังจมอยู่ในความเกียจคร้าน
ด้วยอำนาจความหลง
เมื่อข้าฯ ถูกบัญชาโดยฑูตของพระยมราช
ข้าฯ ก็จะอยู่อย่างทนทุกข์ทรมานมหาศาล
25. ไฟนรกอันสุดที่จะทนทาน
จะเผาไหม้ร่างของข้าฯ เป็นกัปกัลป์
หลังจากนั้น
ไฟแห่งการรู้สึกสำนึกผิด
ก็จะทรมานจิตอันปราศจากการฝึกของข้าฯ
เป็นเวลายาวนาน
26. ด้วยเหตุบางประการ
ข้าฯ ได้มาแล้วซึ่งสถานะอันประเสริฐ
ซึ่งได้มายากยิ่ง
และแม้ว่าข้าฯ จะรู้เรื่องนี้
ข้าฯ ก็ยังถูกพากลับไปยังนรกขุมเดิมๆ
27.ข้าฯ ไม่มีเจตนาในเรื่องนี้
ราวกับว่าข้าฯ ถูกมนต์สะกดของแม่มด
ข้าฯ ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สะกดตัวข้าฯ
หรือว่าใครอาศัยอยู่ในตัวข้าฯ
28. ศัตรูเช่น ตัณหา กับ โทสะ
ไม่มีแขนขา หรืออาวุธอื่นใด
ศัตรูเหล่านี้มิได้กล้าหาญ หรือฉลาดเฉลียว
เมื่อเป็นเช่นนี้
ศัตรูนี้
จองจำข้าฯ เป็นทาสได้อย่างไร?
29. ศัตรูเหล่านี้
ปักหลักอยู่ในจิตใจของข้าฯ
ทำลายข้าฯ
แต่ขณะเดียวกันก็
ทำให้ตนเองตั้งมั่นยิ่งขึ้น
แต่แม้กระนั้น
ข้าฯ ก็ยังไม่โกรธเกรี้ยว
กับความอดทนต่อสถานการณ์อันน่าละอายและไม่บังควรนี้
30. ถ้าหากว่า เทพกับมนุษย์ทั้งปวง
เป็นศัตรูของข้าฯ
แม้กระนั้นทั้งหมดนี้ก็ยังไม่อาจนำพาข้าฯ
ไปยังอวิจีมหานรกได้
31. เมื่อพานพบกับศัตรูนี้
มันก็เผาทำลาย
แม้กระทั่งเถ้าของเขาพระสุเมรุ
เครื่องเศร้าหมองในจิต อันเป็นศัตรูผู้ทรงพลัง
ได้โยนทั้งหมดนี้ให้แก่ข้าฯ
32. เนื่องจากความมีอายุยืนยาวของศัตรูใดก็ไม่ยืนยาว
ปราศจากกำเนิด
และ
ปราศจากจุดจบ
เช่นศัตรูทั้งหลายของข้าฯ
อันได้แก่
กิเลส
เครื่องเศร้าหมองต่างๆ
33. ทุกๆ คน
จะตั้งอยู่ในเส้นทางอันหมดจดงดงาม
เมื่อเปี่ยมไปด้วยความกรุณา
แต่เมื่อยกย่อง กิเลส เครื่องเศร้าหมองเหล่านี้
ก็จะนำพาความทุกข์มาให้อีกมากมาย
34. ข้าฯ จะยินดีเพลิดเพลินในสังสารวัฏได้อย่างไร
ในเมื่อศัตรูถาวร ผู้มีอายุยืนยาวเหล่านี้
ผู้ซึ่งเป็นสาเหตุเพียงประการเดียว
ของกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากของอกุศลกรรม
ได้ดำรงอยู่อย่างปราศจากความกลัวในหัวใจของข้าฯ
35. ข้าฯ จะมีความสุขอยู่ได้อย่างไร
หากผู้คุมคุกแห่งสังสารวัฏ
ผู้เป็นฆาตกร
และคนฆ่าสัตว์ในนรก กับสถานที่แบบเดียวกัน
ยังคงอยู่ในกรงขังแห่งตัณหา ภายในบ้านอันได้แก่ หัวใจของข้าฯ?
36. ด้วยเหตุนี้
ตราบเท่าที่ศัตรูเหล่านี้
ยังไม่ถูกทำลายลงไปต่อหน้าต่อตาของข้าฯ
ข้าฯ จะไม่เลิกล้มภารกิจนี้
ผู้ที่หยิ่งผยองด้วยความทะนงตน
ผู้ที่เกรี้ยวกราดกับใครก็ตามที่มาดูหมิ่นแม้เพียงน้อยนิด
จะไม่นอนหลับจนกว่า จะได้ฆ่าศัตรูนั้น
37. ท่ามกลางการสู้รบ
เหล่าผู้ที่ได้รับบาดแผลจากคมหอก และลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วน
ผู้ซึ่งพร้อมจะฆ่าผู้ที่อยู่ในความมืด
และผู้ที่ทนทุกข์อยู่กับความตาย
จะไม่หันหลังจนกว่าจะทำงานสำเร็จแล้ว
38. แล้วจะเป็นอะไรเล่า
ในเมื่อข้าฯ กระตือรือล้นจะทำลายศัตรูตามธรรมชาติ
อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ทั้งมวลมาตลอดกาลนาน?
วันนี้
แม้ว่าข้าฯ จะมีศัตรูมากมายเป็นร้อย
เหตุใดข้าฯ จึงเหน็ดเหนื่อย และเศร้าหมอง
39. หากพวกเขามีรอยแผลเป็นจากศัตรูโดยไม่มีเหตุผล
ราวกับแผลนั้นเป็นเครื่องประดับ
แล้วเหตุใดความทุกข์เหล่านี้
จึงมายุ่งเกี่ยวกับข้าฯ
ในขณะที่ข้าฯ ได้ตั้งใจมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย?
40. หากชาวประมง
คนถูกเนรเทศ
ชาวนา
และคนอื่นๆ
ซึ่งจิตของพวกเขา จดจ่ออยู่กับการทำมาหากิน
หากคนเหล่านี้อาจต้านทานศัตรู
อันได้แก่ ความร้อนหนาวได้
แล้วเหตุใดเล่า
ข้าฯ จึงไม่ทนทาน เพื่อประโยชน์ของโลกนี้?
41.เมื่อข้าฯ ได้ตั้งปณิธาน
จะปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลายในอากาศธาตุทั่วทั้งสิบทิศ
จากทุกข์ทางใจ
ข้าฯ ไม่ได้แม้กระทั่งปลดปล่อยตนเองจากทุกข์ทางใจนี้
42. ข้าฯ ไม่รู้ขีดจำกัดของข้าฯ เอง
ข้าฯ พูดในขณะนั้น ราวกับว่าข้าได้เสียสติไป
ด้วยเหตุนี้
ข้าฯ จะไม่มีวันหันหลังให้แก่
การทำลายล้างกิเลส เครื่องเศร้าหมอง
43. ข้าฯ จะเหนียวแน่นในเรื่องนี้
และจะตั้งมั่นอยู่กับการแก้แค้น
ข้าฯ จะก่อสงคราม
เว้นแต่กับกิเลส ที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดกิเลส
44. ขอให้ไส้พุงของข้าฯ ไหลออกมา
ขอให้หัวของข้าฯ หลุดออกมา
แต่ข้าฯ จะไม่มีวันก้มหัวให้แก่ ศัตรูทั้งหลายของข้าฯ
อันได้แก่ กิเลส
45. แม้ว่าได้ถูกขับไล่ไปแล้ว
แต่ศัตรูผู้หนึ่งก็ยังได้ที่อยู่ กับผู้ติดตามในต่างประเทศ
ซึ่งเขาสามารถเดินทางกลับมาจากที่นั่นด้วยพลังแข็งแรง
แต่สำหรับศัตรู
อันได้แก่กิเลสแล้ว
จะไม่มีที่พักพิงนี้
46. เมื่อกิเลสทั้งหมดที่อยู่ในใจของข้าฯ
ถูกขับไล่ไปหมดแล้ว
กิเลสนั้น จะไปไหนได้อีก?
แล้วจะพำนักอยู่ที่ใด กับพยายามทำลายข้าฯ อยู่ที่ใด?
ข้าฯ มีจิตใจอ่อนล้า
ข้าฯ เป็นผู้ขาดความเพียร
กิเลสในใจเป็นของแบบบาง และอาจเอาชนะได้ด้วย
ตาแห่งปัญญา
47. กิเลสไม่ได้อยู่ในรูป
ไม่ได้อยู่ในอายตนะ
ไม่ได้อยู่ในช่องว่างระหว่างกลาง
หรือในที่แห่งใดเลย
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้
กิเลสอยู่ ณ ที่ใด
และทำให้โลกทั้งโลกปั่นป่วนไปหมดได้อย่างไร?
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงมายาเท่านั้น
ขอให้เธอปลดปล่อยหัวใจที่หวาดกลัว
และปลูกฝังความเพียร
เพื่อให้ได้ปัญญา
เธอจะทรมานตนเองในนรกไปทำไมโดยปราศจากเหตุผล?
48. หลังจากได้ครุ่นคิดคำนึงเช่นนี้แล้ว
ข้าฯ จะพยายามนำเอาคำสอนเหล่านี้ไปใช้ตามที่ได้อธิบายไว้แล้วนี้
ผู้ที่อาจได้รับการเยียวยาให้หายจากโรค
จะหวนกลับคืนมามีสุขภาพดีได้อย่างไร?
หากเขาละเลยคำแนะนำของแพทย์?
ตัวอย่างบางส่วน ที่เหลือ ก็ ไปหาอ่าน เอง นะจ๊ะ เล่มนี้แหละ ทำบุญ ที่มูลนิธิ พันดารา ครับ สาธุ