ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2016, 04:43:42 pm »Still Alice สวยงาม ตื้นตัน หนังเรื่องนี้ทำให้เราเห็นคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์
ไม่รู้จะสรรหาคำพรรณาอะไรมาเทิดทูนหนังเรื่องนี้นอกความรู้สึกจากใจที่ขอมอบให้หนังเรื่องนี้อย่างเต็มหัวใจ แม้ก่อนจะไปดู ขอยอมรับสารภาพว่ามอง Still Alice ว่าอาจจะเป็นหนังที่มีความโดดเด่นทางด้านการแสดงของJulianne Moore เพียงอย่างเดียว แต่การเดินเรื่อง บท หรือการเล่าเรื่องอาจจะไม่โดดเด่นนัก สิ่งที่คาดหวังคืออยากจะเข้าไปดูการแสดงของ Julianne Moore อย่างเดียวจริงๆว่ามันยอดเยี่ยมสมราคาว่าที่เจ้าของรางวัลออสการ์ปีนี้จริงไหม แต่สิ่งที่เราได้รับกลับออกมาจากโรงหนังเรากลับพบว่า เรารู้แล้วว่าคุณค่าของมนุษย์คืออะไร
Still Alice พาเราดำดิ่งลงไปเจอตัวตนของ อลิซ ศาสตราจารย์ด้านอักษรศาสตร์และระบบประสาทวิทยาการสื่อสาร เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาด สมาร์ท เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีสามีเป็นหมอที่รูปหล่อมาก(เอล็ค บอลด์วิน น่ะหล่อไหมล่ะ แก่ขนาดนี้ยังโคตรหล่อ) มีลูกสาวสองคน และลูกชายอีกหนึ่งคนก็เป็นนักศึกษาแพทย์ เธอเป็นคนรักสุขภาพ ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์แบบ ปมเดียวที่อาจจะกวนใจเธออยู่บ้างก็คงจะเป็น ลิเดีย ลูกสาวคนเล็ก ที่ดันจะไปเอาดีทางด้านการเป็นนักแสดง เลยแยกไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย เพราะใฝ่ฝันอยากจะเป็นดารา ลิเดียกับอลิซเหมือนจะมีปัญหากันทุกทีที่อลิซเอ่ยปากขอให้ลูกกลับไปเรียนมหาวิทยาลัย ลิเดียมีความฝันที่ยิ่งใหญ่คืออยากเป็นนักแสดง ส่วนอลิซเองก็ยังเป็นห่วงลิเดียคนเดียวที่ยังไม่เป็นเรื่องเป็นราว ส่วนแอน ลูกสาวคนโต สวยเริ่ดเชิดหยิ่ง มีสามีมีครอบครัวที่อบอุ่นมาก เธอกำลังพยายามจะมีลูก แต่ยังไม่สำเร็จ
อลิซเริ่มพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเองช้าๆ เริ่มจากเธอนึกสิ่งที่กำลังจะพูดไม่ได้ในระหว่างการบรรยายที่เธอไปเป็นวิทยากรพิเศษ และสิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจว่าสมองของเธอต้องไม่ปกติแน่ๆแล้วก็คือเธอพบว่าเธอหลงทาง จำทางกลับบ้านไม่ได้ในระหว่างที่เธอออกไปวิ่งออกกำลังกาย อลิซตัดสินใจไปปรึกษาแพทย์ และแพทย์ก็บอกว่า อลิซกำลังจะเป็นอัลไซเมรอร์ชนิดเกิดเร็วในคนที่อายุน้อย อลิซจะต้องบอกกับครอบครัวว่าเธอกำลังป่วย และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น โรคนี้เป็นโรคติดต่อทางพันธุกรรม นั่นแสดงว่าลูกๆของเธออาจจะมีโอกาสเป็นพาหะ
ฉากที่ Julianne Moore ตื่นขึ้นมาสติแตก ร้องไห้ บอกสามีว่าเธอกำลังจะเป็นอัลไซเมอร์ คือฉากแรกที่ทำให้เราน้ำตาซึม และแอบสะอื้นข้างในใจแบบเบาที่สุด ยังไม่กล้าปล่อยโฮ แต่ฉากที่อลิซบอกกับลูกๆว่า แม่เป็นอัลไซเมอร์ และมันมีโอกาสติดต่อทางพันธุกรรม ลูกๆอาจจะเป็นแบบแม่ก็ได้ ขอให้ไปตรวจกันด้วย แล้วเธอก็ร้องไห้ ปิดหน้า บอกว่า แม่ขอโทษ ฉากนี้คือจี๊ดมาก น้ำตาค่อยๆไหลเลย คือ Julianne Moore เธอแสดงออกมาได้อย่างละเอียดอ่อนมาก คือคนดูอินและสงสารเธอ และไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดของเธอเลย
อาการของอลิซเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ จนต้องลาออกจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มาอยู่บ้าน และเธอเริ่มจดทุกอย่างลงในโทรศัพท์มือถือ รวมถึงอัดคลิปสั่งเสียถึงตัวเองลงในคอมพิวเตอร์ แล้วใส่ไว้ใน Folder ชื่อว่า Butterfly (หมายถึงสัตว์ที่มีวงจรชีวิตสั้น) อลิซมีความปรารถนาอย่างยิ่งยวดว่าเธอจะจบชีวิตตัวเองในวันที่เธอไม่หลงเหลือความทรงจำอะไรอีกแล้ว
Still Alice ไม่ใช่หนังที่พูดถึงเพียงแค่คนป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ได้อย่างละเอียดจนเราสะเทือนใจเท่านั้น แต่หนังเรื่องนี้กลับพาเราไปค้นพบกับความประเสริฐและความวิเศษของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ สิ่งที่เราได้รับจากการเห็นคนเป็นอัลไซเมอร์ก็คือ เราอาจจะคิดว่า ความทรงจำ คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ก่อร่างจนกลายมาเป็นตัวตน แต่มนุษย์ไม่สามารถดำรงค์อยู่ได้หากขาด ครอบครัว และคนรอบตัว ที่มาร่วมกันสร้างประสบการณ์ชีวิต ทั้งประสบการณ์ที่ดีและไม่ดี หนังเรื่องนี้ทำให้เราค้นพบสิ่งที่วิเศษที่สุดสำหรับมนุษย์นอกจากความทรงจำก็คือ ครอบครัว ในเรื่องนี้ ครอบครัวของอลิซคือสิ่งที่ดีที่สุด แม้คนในครอบครัวอาจจะไม่ได้เพอแฟคแสนดีไปเสียทุกคน อย่าง แอนลูกสาวคนโต ที่มีครอบครัวแล้ว เธออาจจะดูเหมือนคนเห็นแก่ตัว แต่เธอก็รักแม่ หรือลิเดีย ที่ดูจะไม่เอาไหนเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดเธอก็รักแม่ และเธอเลือกที่จะมาดูแลแม่ อลิซคือผู้หญิงที่โชคดีมากที่มีสามีที่นอกจากจะเป็นคนฉลาดแล้วยังรักและเข้าใจเธอเป็นอย่างดี
การแสดงของ Julianne Moore ในหลายฉากหลายตอนในหนังเรื่องนี้ คือความมหัศจรรย์ ที่นักแสดงหญิงคนนึงจะสร้างขึ้นเพื่อประดับวงการภาพยนตร์จริงๆ ฉากที่อลิซ ไปบรรยายที่สถาบันอัลไซเมอร์ ในช่วงที่เธอยังอาการไม่หนักมาก คือฉากที่ทรงพลัง และทำให้คนดูปล่อยโฮออกมาได้แบบไม่อายใครเลย อลิซบอกว่า เธอไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ การงกๆเงิ่นๆ บางทีมันก็ทำให้เธออาย แต่ที่แย่ที่สุดคือการที่เธอจะไม่ได้เป็นคนที่เธอเคยเป็น เธอรักการสื่อสารระหว่างมนุษย์ที่สุด(จำไม่แม่นนะ) แต่สังเกตเสียงจากที่นั่งรอบข้างคือสั่งน้ำมูกกันฟืดฟาด
นอกจากนี้ ตัวหนังไม่ได้ให้เราเห็นแต่อลิซเพียงฝ่ายเดียว หนังยังพาเราไปให้เห็นถึงผลกระทบของสมาชิกในครอบครัวทุกคนของอลิซอีกด้วย อัลไซเมรอ์นอกจากจะกัดกร่อนความทรงจำของอลิซแล้ว ยังกัดก่อนความสุขของคนในครอบครัวอีกด้วย แต่สิ่งที่สวยงามที่เราได้เห็นในครอบครัวนี้คือ ทุกคนมีความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะค่อยๆเรียนรู้ เข้าใจคนป่วยอย่างอลิซ ฉากที่อลิซเข้าไปในห้องของลิเดียลูกสาวคนเล็ก แล้วอ่านบันทึกของลิเดีย แล้วเดินมาคุยมาถามเรื่องในบันทึก จนลิเดียโมโหแม่มาก ที่ไปแอบอ่านบันทึกของเธอ แต่อลิซบอกว่า แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามันคืออะไร แม่อ่านไปทำไม ลิเดียงอนแม่ไป 1 วัน แล้ววันรุ่งขึ้นเธอเอาสมุดบันทึกมาวางไว้ตรงที่นอนแม่ แล้วเอาโน้ตมาแปะที่ปกสมุดบันทึกว่า ไม่มีความลับสำหรับแม่ ฉากนี้เราปล่อยโฮเลย คือเราได้รู้เลยว่า มนุษย์มีความประเสริฐที่มีจิตสำนึกและมีรักในตัวบุพการีนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
Julianne Moore แสดงเป็นอลิซได้อย่างละเอียดอ่อนมาก จากที่จะไปดูเพื่อที่จะไปค้นหาว่า Julianne Moore แสดงดีขนาดไหนเชียว ถึงจะได้ออสการ์ พอดูจบก็หมดข้อกังขา ปีนี้ออสการ์คงจะใจร้ายมาก ถ้าไม่ให้รางวัลกับ Julianne Moore นี่คือหนึ่งในการแสดงที่น่าประทับใจที่สุดในชีวิตของคนที่บ้าดูหนังอย่างเราได้เห็น บทอลิซ ที่เป็นอัลไซเมอร์ไม่ใช่แสดงกันง่ายๆ มันมีการพัฒนาการของตัวละคร ที่ตั้งแต่ปกติ จนถึงเริ่มป่วย จนอาการค่อยๆหนัก และโรคนี้มันมีการสวิงกลับไปกลับมาของความทรงจำด้วย Julianne Mooreเก็บทุกเม็ด รังสรรค์การแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ให้ออสการ์นางไปเถอะ อย่าไปพรากออสการ์จากนางเลย ส่วนคริสเตน สจ็วต ในบทของลิเดีย ลูกสาวคนเล็กก็ดูเข้าขากับ Julianne Moore มาก นางส่งบทให้แม่ได้อย่างมีมิติและเป็นธรรมชาติสุดๆ
อีกสิ่งที่เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้สวยงามเหลือเกินก็คงอาจจะเพราะเราเป็นคนเอเชีย เป็นชาวตะวันออก ที่รู้สึกดีเวลาที่เห็นคนมีความรักมีความกตัญญูกับบุพการี เราก็เลยต้องกลับมามองตัวเอง เพราะในอดีต มีคนในบ้านคือคุณย่าก็ป่วยเป็นโรคนี้ จำได้ว่า ย่าจะด่าพ่อยังไง จะเอาอะไรขว้างป่ายังไง พ่อไม่เคยโกรธเลย กลับอุ้มพาไปดูแลทุกอย่าง ย่าเรียกพ่อเราว่า หนูหนู ช่วยป้อนข้าวหนูที คือท่านหลงมากแล้วตอนนั้น ตอนนั้นเราเด็กมากไม่ค่อยเข้าใจ พอดูเรื่องนี้เราร้องไห้หนักมาก และประทับใจทุกสิ่งอย่างที่หนังถ่ายทอดออกมา เราว่าสิ่งประเสริฐที่สุดของมนุษย์คือการดูแลบุพการีในยามแก่เฒ่าหรือในยามที่ท่านช่วยตัวเองไม่ได้ มันสำคัญและประเสริฐยิ่งกว่าการเดินทางไปทำบุญไกลๆลำบากลำบนเสียอีก
ตัวตนของเราดำรงอยู่ได้ด้วยความทรงจำของเราและการสื่อสาร หากขาดสองสิ่งนี้ เราก็เหมือนกำลังจะกลายเป็นใครอีกคนก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ยังช่วยให้เราดำรงเป็นตัวตนได้อย่างมั่นคงคือ ความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรักจากคนรอบข้าง ความรักจากครอบครัว
หนังเรื่องนี้หากมีข้อบกพร่องตรงไหน เราจะพยายามลืมมันไป มันไม่ใช่สาระสำคัญเลย แต่หนังเรื่องนี้ชนะใจเรา ส่วนไหนที่ขาดเราก็จะเติมเต็มให้ด้วยความรู้สึกของเราเอง เราให้ 10/10เป็นคะแนนที่ให้ด้วยหัวใจ
สัปดาห์นี้ออกมาดู Still Alice กันเถอะ โรงฉายคงไม่มาก อยากให้คนไทยได้ดูหนังดีๆแบบนี้ ดูแล้วยกระดับจิตใจได้มากเลย อย่าพลาดเชียว 10/10 การันตี ส่วนตัวจะไปดูรอบสองต่อแน่นอน
ฝากเพจหนังจากใจคนดูหนังธรรมดาๆด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/overhyp
https://www.youtube.com/v/SkFO1qIMeSE
ไม่รู้จะสรรหาคำพรรณาอะไรมาเทิดทูนหนังเรื่องนี้นอกความรู้สึกจากใจที่ขอมอบให้หนังเรื่องนี้อย่างเต็มหัวใจ แม้ก่อนจะไปดู ขอยอมรับสารภาพว่ามอง Still Alice ว่าอาจจะเป็นหนังที่มีความโดดเด่นทางด้านการแสดงของJulianne Moore เพียงอย่างเดียว แต่การเดินเรื่อง บท หรือการเล่าเรื่องอาจจะไม่โดดเด่นนัก สิ่งที่คาดหวังคืออยากจะเข้าไปดูการแสดงของ Julianne Moore อย่างเดียวจริงๆว่ามันยอดเยี่ยมสมราคาว่าที่เจ้าของรางวัลออสการ์ปีนี้จริงไหม แต่สิ่งที่เราได้รับกลับออกมาจากโรงหนังเรากลับพบว่า เรารู้แล้วว่าคุณค่าของมนุษย์คืออะไร
Still Alice พาเราดำดิ่งลงไปเจอตัวตนของ อลิซ ศาสตราจารย์ด้านอักษรศาสตร์และระบบประสาทวิทยาการสื่อสาร เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาด สมาร์ท เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีสามีเป็นหมอที่รูปหล่อมาก(เอล็ค บอลด์วิน น่ะหล่อไหมล่ะ แก่ขนาดนี้ยังโคตรหล่อ) มีลูกสาวสองคน และลูกชายอีกหนึ่งคนก็เป็นนักศึกษาแพทย์ เธอเป็นคนรักสุขภาพ ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์แบบ ปมเดียวที่อาจจะกวนใจเธออยู่บ้างก็คงจะเป็น ลิเดีย ลูกสาวคนเล็ก ที่ดันจะไปเอาดีทางด้านการเป็นนักแสดง เลยแยกไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย เพราะใฝ่ฝันอยากจะเป็นดารา ลิเดียกับอลิซเหมือนจะมีปัญหากันทุกทีที่อลิซเอ่ยปากขอให้ลูกกลับไปเรียนมหาวิทยาลัย ลิเดียมีความฝันที่ยิ่งใหญ่คืออยากเป็นนักแสดง ส่วนอลิซเองก็ยังเป็นห่วงลิเดียคนเดียวที่ยังไม่เป็นเรื่องเป็นราว ส่วนแอน ลูกสาวคนโต สวยเริ่ดเชิดหยิ่ง มีสามีมีครอบครัวที่อบอุ่นมาก เธอกำลังพยายามจะมีลูก แต่ยังไม่สำเร็จ
อลิซเริ่มพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเองช้าๆ เริ่มจากเธอนึกสิ่งที่กำลังจะพูดไม่ได้ในระหว่างการบรรยายที่เธอไปเป็นวิทยากรพิเศษ และสิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจว่าสมองของเธอต้องไม่ปกติแน่ๆแล้วก็คือเธอพบว่าเธอหลงทาง จำทางกลับบ้านไม่ได้ในระหว่างที่เธอออกไปวิ่งออกกำลังกาย อลิซตัดสินใจไปปรึกษาแพทย์ และแพทย์ก็บอกว่า อลิซกำลังจะเป็นอัลไซเมรอร์ชนิดเกิดเร็วในคนที่อายุน้อย อลิซจะต้องบอกกับครอบครัวว่าเธอกำลังป่วย และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น โรคนี้เป็นโรคติดต่อทางพันธุกรรม นั่นแสดงว่าลูกๆของเธออาจจะมีโอกาสเป็นพาหะ
ฉากที่ Julianne Moore ตื่นขึ้นมาสติแตก ร้องไห้ บอกสามีว่าเธอกำลังจะเป็นอัลไซเมอร์ คือฉากแรกที่ทำให้เราน้ำตาซึม และแอบสะอื้นข้างในใจแบบเบาที่สุด ยังไม่กล้าปล่อยโฮ แต่ฉากที่อลิซบอกกับลูกๆว่า แม่เป็นอัลไซเมอร์ และมันมีโอกาสติดต่อทางพันธุกรรม ลูกๆอาจจะเป็นแบบแม่ก็ได้ ขอให้ไปตรวจกันด้วย แล้วเธอก็ร้องไห้ ปิดหน้า บอกว่า แม่ขอโทษ ฉากนี้คือจี๊ดมาก น้ำตาค่อยๆไหลเลย คือ Julianne Moore เธอแสดงออกมาได้อย่างละเอียดอ่อนมาก คือคนดูอินและสงสารเธอ และไม่ได้คิดว่าเป็นความผิดของเธอเลย
อาการของอลิซเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ จนต้องลาออกจากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มาอยู่บ้าน และเธอเริ่มจดทุกอย่างลงในโทรศัพท์มือถือ รวมถึงอัดคลิปสั่งเสียถึงตัวเองลงในคอมพิวเตอร์ แล้วใส่ไว้ใน Folder ชื่อว่า Butterfly (หมายถึงสัตว์ที่มีวงจรชีวิตสั้น) อลิซมีความปรารถนาอย่างยิ่งยวดว่าเธอจะจบชีวิตตัวเองในวันที่เธอไม่หลงเหลือความทรงจำอะไรอีกแล้ว
Still Alice ไม่ใช่หนังที่พูดถึงเพียงแค่คนป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ได้อย่างละเอียดจนเราสะเทือนใจเท่านั้น แต่หนังเรื่องนี้กลับพาเราไปค้นพบกับความประเสริฐและความวิเศษของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ สิ่งที่เราได้รับจากการเห็นคนเป็นอัลไซเมอร์ก็คือ เราอาจจะคิดว่า ความทรงจำ คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ก่อร่างจนกลายมาเป็นตัวตน แต่มนุษย์ไม่สามารถดำรงค์อยู่ได้หากขาด ครอบครัว และคนรอบตัว ที่มาร่วมกันสร้างประสบการณ์ชีวิต ทั้งประสบการณ์ที่ดีและไม่ดี หนังเรื่องนี้ทำให้เราค้นพบสิ่งที่วิเศษที่สุดสำหรับมนุษย์นอกจากความทรงจำก็คือ ครอบครัว ในเรื่องนี้ ครอบครัวของอลิซคือสิ่งที่ดีที่สุด แม้คนในครอบครัวอาจจะไม่ได้เพอแฟคแสนดีไปเสียทุกคน อย่าง แอนลูกสาวคนโต ที่มีครอบครัวแล้ว เธออาจจะดูเหมือนคนเห็นแก่ตัว แต่เธอก็รักแม่ หรือลิเดีย ที่ดูจะไม่เอาไหนเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดเธอก็รักแม่ และเธอเลือกที่จะมาดูแลแม่ อลิซคือผู้หญิงที่โชคดีมากที่มีสามีที่นอกจากจะเป็นคนฉลาดแล้วยังรักและเข้าใจเธอเป็นอย่างดี
การแสดงของ Julianne Moore ในหลายฉากหลายตอนในหนังเรื่องนี้ คือความมหัศจรรย์ ที่นักแสดงหญิงคนนึงจะสร้างขึ้นเพื่อประดับวงการภาพยนตร์จริงๆ ฉากที่อลิซ ไปบรรยายที่สถาบันอัลไซเมอร์ ในช่วงที่เธอยังอาการไม่หนักมาก คือฉากที่ทรงพลัง และทำให้คนดูปล่อยโฮออกมาได้แบบไม่อายใครเลย อลิซบอกว่า เธอไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ การงกๆเงิ่นๆ บางทีมันก็ทำให้เธออาย แต่ที่แย่ที่สุดคือการที่เธอจะไม่ได้เป็นคนที่เธอเคยเป็น เธอรักการสื่อสารระหว่างมนุษย์ที่สุด(จำไม่แม่นนะ) แต่สังเกตเสียงจากที่นั่งรอบข้างคือสั่งน้ำมูกกันฟืดฟาด
นอกจากนี้ ตัวหนังไม่ได้ให้เราเห็นแต่อลิซเพียงฝ่ายเดียว หนังยังพาเราไปให้เห็นถึงผลกระทบของสมาชิกในครอบครัวทุกคนของอลิซอีกด้วย อัลไซเมรอ์นอกจากจะกัดกร่อนความทรงจำของอลิซแล้ว ยังกัดก่อนความสุขของคนในครอบครัวอีกด้วย แต่สิ่งที่สวยงามที่เราได้เห็นในครอบครัวนี้คือ ทุกคนมีความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะค่อยๆเรียนรู้ เข้าใจคนป่วยอย่างอลิซ ฉากที่อลิซเข้าไปในห้องของลิเดียลูกสาวคนเล็ก แล้วอ่านบันทึกของลิเดีย แล้วเดินมาคุยมาถามเรื่องในบันทึก จนลิเดียโมโหแม่มาก ที่ไปแอบอ่านบันทึกของเธอ แต่อลิซบอกว่า แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามันคืออะไร แม่อ่านไปทำไม ลิเดียงอนแม่ไป 1 วัน แล้ววันรุ่งขึ้นเธอเอาสมุดบันทึกมาวางไว้ตรงที่นอนแม่ แล้วเอาโน้ตมาแปะที่ปกสมุดบันทึกว่า ไม่มีความลับสำหรับแม่ ฉากนี้เราปล่อยโฮเลย คือเราได้รู้เลยว่า มนุษย์มีความประเสริฐที่มีจิตสำนึกและมีรักในตัวบุพการีนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
Julianne Moore แสดงเป็นอลิซได้อย่างละเอียดอ่อนมาก จากที่จะไปดูเพื่อที่จะไปค้นหาว่า Julianne Moore แสดงดีขนาดไหนเชียว ถึงจะได้ออสการ์ พอดูจบก็หมดข้อกังขา ปีนี้ออสการ์คงจะใจร้ายมาก ถ้าไม่ให้รางวัลกับ Julianne Moore นี่คือหนึ่งในการแสดงที่น่าประทับใจที่สุดในชีวิตของคนที่บ้าดูหนังอย่างเราได้เห็น บทอลิซ ที่เป็นอัลไซเมอร์ไม่ใช่แสดงกันง่ายๆ มันมีการพัฒนาการของตัวละคร ที่ตั้งแต่ปกติ จนถึงเริ่มป่วย จนอาการค่อยๆหนัก และโรคนี้มันมีการสวิงกลับไปกลับมาของความทรงจำด้วย Julianne Mooreเก็บทุกเม็ด รังสรรค์การแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ ให้ออสการ์นางไปเถอะ อย่าไปพรากออสการ์จากนางเลย ส่วนคริสเตน สจ็วต ในบทของลิเดีย ลูกสาวคนเล็กก็ดูเข้าขากับ Julianne Moore มาก นางส่งบทให้แม่ได้อย่างมีมิติและเป็นธรรมชาติสุดๆ
อีกสิ่งที่เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้สวยงามเหลือเกินก็คงอาจจะเพราะเราเป็นคนเอเชีย เป็นชาวตะวันออก ที่รู้สึกดีเวลาที่เห็นคนมีความรักมีความกตัญญูกับบุพการี เราก็เลยต้องกลับมามองตัวเอง เพราะในอดีต มีคนในบ้านคือคุณย่าก็ป่วยเป็นโรคนี้ จำได้ว่า ย่าจะด่าพ่อยังไง จะเอาอะไรขว้างป่ายังไง พ่อไม่เคยโกรธเลย กลับอุ้มพาไปดูแลทุกอย่าง ย่าเรียกพ่อเราว่า หนูหนู ช่วยป้อนข้าวหนูที คือท่านหลงมากแล้วตอนนั้น ตอนนั้นเราเด็กมากไม่ค่อยเข้าใจ พอดูเรื่องนี้เราร้องไห้หนักมาก และประทับใจทุกสิ่งอย่างที่หนังถ่ายทอดออกมา เราว่าสิ่งประเสริฐที่สุดของมนุษย์คือการดูแลบุพการีในยามแก่เฒ่าหรือในยามที่ท่านช่วยตัวเองไม่ได้ มันสำคัญและประเสริฐยิ่งกว่าการเดินทางไปทำบุญไกลๆลำบากลำบนเสียอีก
ตัวตนของเราดำรงอยู่ได้ด้วยความทรงจำของเราและการสื่อสาร หากขาดสองสิ่งนี้ เราก็เหมือนกำลังจะกลายเป็นใครอีกคนก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ยังช่วยให้เราดำรงเป็นตัวตนได้อย่างมั่นคงคือ ความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรักจากคนรอบข้าง ความรักจากครอบครัว
หนังเรื่องนี้หากมีข้อบกพร่องตรงไหน เราจะพยายามลืมมันไป มันไม่ใช่สาระสำคัญเลย แต่หนังเรื่องนี้ชนะใจเรา ส่วนไหนที่ขาดเราก็จะเติมเต็มให้ด้วยความรู้สึกของเราเอง เราให้ 10/10เป็นคะแนนที่ให้ด้วยหัวใจ
สัปดาห์นี้ออกมาดู Still Alice กันเถอะ โรงฉายคงไม่มาก อยากให้คนไทยได้ดูหนังดีๆแบบนี้ ดูแล้วยกระดับจิตใจได้มากเลย อย่าพลาดเชียว 10/10 การันตี ส่วนตัวจะไปดูรอบสองต่อแน่นอน
ฝากเพจหนังจากใจคนดูหนังธรรมดาๆด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/overhyp