ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2016, 12:59:02 am »ไปพ้นความเป็นพระ (2)
เมื่อฉันป่วยหนักขนาดนั้น ฉันรู้สึกเหมือนเคลื่อนผ่านกำแพงของการยึดมั่นต่อร่างกาย ความสะดวกสบาย จีวรของฉัน หรือกระทั่งความคิดต่อชื่อ มิงเงอร์ รินโปเช ฉันค่อยๆ ปล่อยอย่างช้าๆ ทีละสิ่ง ทีละสิ่ง …ปล่อย ปล่อย ปล่อย และปล่อย สุดท้ายฉันก็ปล่อยกระทั่งตัวฉันเอง คิดในใจว่า “ถ้าฉันกำลังจะตาย โอเค…ถ้าหากฉันตายตรงนี้ ไม่มีปัญหา” ณ วินาทีนั้น ฉันไม่มีความกลัวหลงเหลือ…
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก
เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2015 ที่ผ่านมา เป็นเวลาเกือบสี่ปีครึ่ง หลังจากวันที่ มิงเงอร์ รินโปเช หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีข่าวว่าธรรมาจารย์ชาวทิเบตท่านนี้กลับมาจาก wandering retreat แล้ว และนี่คือบทสนทนาแรกที่มีกับศิษย์ใกล้ชิดของเขา
รินโปเช อะไรดลใจให้ท่านเกิดความคิดที่จะเดินท่องไปอย่างไร้จุดหมาย ใช้ชีวิตเร่ร่อนตามท้องถนนเหมือนเหล่าสาธุอินเดียและเข้าฝึกภาวนาตามถ้ำในเทือกเขาหิมาลัย
ในชีวิตของฉันที่เป็นพระ ฉันเคยเข้าฝึกรีทรีทสามปีมาแล้ว ทว่าตั้งแต่เด็ก ฉันมีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะทำรีทรีทแบบเดินท่องไปอย่างไร้จุดหมาย ฉันชอบภูเขา ฉันชอบถ้ำ และฉันก็ได้รับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่จากผู้ฝึกปฏิบัติในอดีต และครูของฉัน อย่าง โนชุน เค็น รินโปเช ก็เคยทำรีทรีทในลักษณะนี้มาแล้ว
ทำไมท่านไม่บอกใครเลยว่ามีแผนที่จะทำอะไรแบบนี้
พ่อของฉัน ตุลกุ อูเจ็น รินโปเช เคยบอกว่า ท่านเองก็เคยอยากทำรีทรีทแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่เมื่อใดที่พยายามทำก็จะมีศิษย์ขอร้องให้ท่านกลับมา อีกทั้งครูของท่านก็จะขอให้ท่านอยู่ทำหน้าที่ที่วัด พ่อบอกฉันว่า ถ้าอยากทำอะไรแบบนั้นจริงๆ ก็ให้ทำเลยโดยไม่ต้องบอกใคร “อย่าบอกใครว่าจะไปทำอะไร จนกว่าเจ้าจะกลับมา”
แล้วเป็นอย่างไรบ้าง กับการเปลี่ยนวิถีชีวิตจากธรรมาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ผู้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายในอารามใหญ่ ไปสู่ความเป็นสมณะเร่ร่อน สาธุจรจัดที่ไม่มีใครรู้จักบนท้องถนนในอินเดีย
ฉันมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะใช้ชีวิตบนท้องถนน แต่หารู้ไม่ว่า นั่นออกจะเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาอยู่ไม่น้อยที่คิดว่าตัวเองจะทำแบบนั้นได้ในทันที ฉันต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานเลยทีเดียว การสละตัวตนความเป็นพระนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าคือการละทิ้งความปรารถนาต่อความสะดวกสบาย อาหาร หรือปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ กระทั่งความปรารถนาที่จะได้รับความปลอดภัย มันถือเป็นหนทางที่ดีในการฝึกกับการปล่อยวาง
อยากให้ท่านเล่าประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเดินทางครั้งนี้
จริงๆ แล้วมันคือประสบการณ์ใกล้ตาย ซึ่งเกิดขึ้นตอนที่ฉันเริ่มต้นรีทรีทได้ไม่นานนัก ตอนนั้นฉันอยู่ที่เมืองกุสินารา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ฉันป่วยมาก มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียอย่างรุนแรง วันหนึ่งฉันตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่ย่ำแย่มากๆ และฉันค่อนข้างแน่ใจว่าตัวเองกำลังจะตาย
เมื่อฉันป่วยหนักขนาดนั้น ฉันรู้สึกเหมือนเคลื่อนผ่านกำแพงของการยึดมั่นต่อร่างกาย ความสะดวกสบาย จีวรของฉัน หรือกระทั่งความคิดต่อชื่อ มิงเงอร์ รินโปเช ฉันค่อยๆ ปล่อยอย่างช้าๆ ทีละสิ่ง ทีละสิ่ง …ปล่อย ปล่อย ปล่อย และปล่อย สุดท้ายฉันก็ปล่อยกระทั่งตัวฉันเอง คิดในใจว่า “ถ้าฉันกำลังจะตาย โอเค…ถ้าหากฉันตายตรงนี้ ไม่มีปัญหา” ณ วินาทีนั้น ฉันไม่มีความกลัวหลงเหลือ…
ตอนนั้นฉันรู้สึกได้ถึงภาวะการสลายของขันธ์ 5 ดังที่เขียนไว้ในคัมภีร์ และเริ่มหมดความรู้สึกต่อร่างกายในเชิงกายภาพ จากนั้นก็มีประสบการณ์ที่มหัศจรรย์เกิดขึ้น ไม่มีความคิด ไม่มีอารมณ์ ไม่มีหลักการ ไม่มีรูปนาม จิตกระจ่างใสและตื่น เหมือนท้องฟ้าสีคราม ที่มีพระอาทิตย์ส่องสว่าง กระจ่างใสและแผ่ซ่าน มันเป็นประสบการณ์ที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด
จากนั้นถึงจุดหนึ่ง ฉันก็เกิดความคิดขึ้นว่า “โอเค นี่ยังไม่ใช่เวลาที่ฉันจะตาย” ซึ่งสำหรับฉันมันดูจะเกี่ยวข้องกับกรุณาจิต แล้วฉันก็รู้สึกถึงร่างกายได้อีกครั้ง ฉันจึงลืมตา จากนั้นก็ทรงตัวขึ้นเพื่อไปดื่มน้ำ ทันใดนั้นฉันก็หมดสติและล้มลง ฉันตื่นขึ้นอีกครั้งในคลินิกหมอแห่งหนึ่งในเมืองนั้น พร้อมสายน้ำเกลือ วันต่อมาฉันก็รู้สึกดีขึ้น จึงออกจากคลินิกแห่งนั้น
จากนั้นเกิดอะไรขึ้น
หลังจากประสบการณ์ครั้งนั้น จิตของฉันรู้สึกสดชื่นมาก และฉันรู้สึกว่าการภาวนาของฉันพัฒนาขึ้น ฉันสามารถชื่นชมพอใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ แรงต่อต้านขัดขืนทั้งหลายหายไป และฉันรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งรอบๆ ตัว ฉันสามารถไปเดินบนท้องถนนและรื่นรมย์กับทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นฉันก็ไม่ประสบกับปัญหาใหญ่อะไรอีกเลย
แล้วหลายปีต่อมาท่านทำอะไรบ้าง
ในช่วงฤดูร้อน ฉันจะเดินเท้าไปยังแถบเทือกเขาหิมาลัย ไปยังสถานที่จาริกของชาวพุทธ อย่าง โซ เพม่า และลาดัก ส่วนในช่วงฤดูหนาว ฉันก็เดินลงมายังแถบที่ราบ และใช้เวลาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธและชาวฮินดู ทั้งในอินเดีย และบริเวณใกล้ชายแดนเนปาล
สิ่งที่ดีที่สุดคือฉันสามารถเดินทางอย่างอิสระ โดยไม่ต้องมีคำมั่นสัญญาหรือตารางใดๆ มันเป็นความรู้สึกของอิสรภาพโดยสมบูรณ์ เหมือนนกที่โผบินบนท้องฟ้า แน่นอนว่าไม่ใช่อย่างปราศจากความกลัวเสียเลยทีเดียว ฉันไร้บ้าน และหลายครั้งที่เงินติดตัวเริ่มร่อยหรอ ฉันต้องออกเดินขอทาน บ้างก็มีคนให้เศษเงินหรืออาหารแก่ฉัน บ้างก็ไล่ตะเพิดฉันให้ไปพ้นๆ
ฉันรักษาการฝึกภาวนาให้เรียบง่ายที่สุด ไม่มีพิธีกรรมอะไรที่ซับซ้อน ฉันถือคัมภีร์ติดตัวไปแค่เล่มสองเล่มเท่านั้น ในถ้ำที่ฉันเข้าฝึก ไม่มีแท่นบูชาหรือพระพุทธรูป มันเรียบง่ายมากๆ
ตอนนี้ท่านกลับมาแล้ว ประสบการณ์ช่วงสี่ปีนี้จะเปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารธรรมะของท่านอย่างไรบ้าง
ฉันอยากสอนแบบสื่อถึงประสบการณ์ตรงให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่การฝึกจิตหรือเทคนิคการภาวนา แต่รวมถึงการใช้ชีวิตและศีลด้วย ฉันมองว่าสำคัญมากที่ ศีล สมาธิ และปัญญา จำเป็นต้องไปด้วยกัน แต่ก่อนฉันอาจมุ่งเน้นแต่เรื่องของปัญญาและสมาธิ ทว่าตอนนี้ฉันอยากจะเน้นย้ำถึงหนทางที่สมาธิภาวนาแปรเปลี่ยนไปสู่กิจกรรมในชีวิตประจำวัน ปัญญา หัวใจ และการประพฤติตน สามอย่างต้องไปด้วยกัน
การฝึกรีทรีทแบบเดินท่องไปอย่างไร้จุดหมายครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันฝึกภาวนามาหลายปี และแน่นอน ฉันยังเป็นครูสอนภาวนาอีกด้วย ทว่าฉันยังคงมีความทะนงตนอยู่ลึกๆ เป็นตัวตนที่ลึกลงไป และจากประสบการณ์ครั้งนี้ ฉันรู้สึกเป็นอิสระเหมือนกับนกที่สยายปีกโผบินขึ้นไปในท้องฟ้า
ฉันรู้สึกเป็นอิสระและสามารถบินไปได้ทุกที่
ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่า ฉันบินได้จริงๆ หรอกนะ (หัวเราะ) อย่ามโนว่าอาจารย์ของเธอภาวนากระทั่งเหาะได้ โอเคไหม
แปลและเรียบเรียงจาก:
‘Mingyur Rinpoche reveals what happened during his four years as a wandering yogi‘ ในวารสาร Lion’s Roar มกราคม 2016
จาก http://waymagazine.org/vichak02/