ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2016, 11:51:20 am »ดอนผีบิน-วงเมทัลบนถนนสู่แดนดินทิพย์
Street of Life ตอนที่ 3 อุบาทว์ อุบัติ
โดย เอกวิทย์ เตระดิษฐ์
แทร็คที่ 3 อุบาทว์ อุบัติ
1.
ปลายฝน พ.ศ.2549 จ.น่าน เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ พื้นที่ อ.ท่าวังผา หลายหมู่บ้านจมอยู่ใต้น้ำ ไม่เว้นแม้แต่บ้านที่สมบัติ แก้วทิตย์ ใช้อาศัยและเขียนเพลงให้กับดอนผีบินก็โดนเข้าไปด้วย
วันเกิดเหตุสมบัติเล่าว่า น้ำพัดมาเร็วมาก เริ่มท่วมตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงเที่ยงคืน ระดับน้ำสูงร่วม 4 เมตร เขาพาลูกเมียหนีไปอยู่บนชั้นสองของบ้าน และต้องติดอยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 2 วัน
หลังน้ำลด สภาพหมู่บ้านในชุมชนแทบไม่ต่างอะไรกับทะเลโคลน บ้านที่อาศัย พู่กัน ป้ายรณรงค์จิตสำนึกสิ่งแวดล้อม ปกเทปดอนผีบิน จดหมายจากแฟนคลับ ตลอดจนวัตถุดิบต่างๆ สำหรับอัลบั้มใหม่ คงเหลือแต่เพียงซาก...
"ซากเหลือแต่ซาก ซากมันเหลือแต่ซาก ซากมันเหลือแต่ซาก ย้อนยุค ย้อนอดีต ย้อนชีวิต ไม่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ซ่อนปม ปริศนาให้ยุ่งยาก ยุ่งเหยิง รบกวนจิต รบกวนใจ วันเวลา เริ่มเปลี่ยนแปลง แปลเปลี่ยนไป ความงามงด ความสดใสเคยมีให้ มีอาทร อันตธาน" เพลง ทบทวนทาง
2.
หลายครั้งที่บทเพลงของดอนผีบินเป็นดังคำทำนายโลกอนาคต เช่นเดียวกับเพลง 'ทบทวนทาง' ที่บรรยายเนื้อหาว่าวันหนึ่งดินแดนของเราจะเหลือแต่เพียงซาก - ซากที่ไร้ลมหายใจ และมนุษย์ก็จะเดินทางไปสู่ดินแดนที่อนุญาตให้เพียงแต่ดวงวิญญาพำนักเท่านั้น
ย้อนกลับไป พ.ศ. 2538 ปีที่อัลบั้ม 'อุบาทว์ อุบัติ' ของดอนผีบินวางแผง เวลานั้นสมบัติ แก้วทิตย์ มือกีตาร์และผู้เขียนคำร้องหลักของวงบรรยายสภาพพื้นที่ป่าบริเวณที่เขาอาศัยว่าเริ่มจะไม่มีไม้ใหญ่หลงเหลือให้เห็นแล้ว การถางป่าเพื่อการเพาะปลูกเริ่มเกาะกินพื้นที่ป่าใน จ.น่าน ขณะเดียวกันตัวสมบัติก็เริ่มทำงานอนุรักษ์อย่างจริงจังในนามเจ้าของ 'ศูนย์ปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมโลก ภูสันตะวันลับฟ้า' กิจกรรมหลักในการทำงานอนุรักษ์เวลานั้น อาทิเช่น ผลิตป้ายภาพปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมติดตามพื้นที่ต่างๆ ใน อ.ท่าวังผา และอีกภารกิจที่ทำควบคู่กันคือการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านบทเพลงของ 'ดอนผีบิน'
"ดนตรีสู่สิ่งแวดล้อม : ดนตรีจะสื่อเนื้อหาเรื่องราวของสิ่งแวดล้อม บอกเล่าออกมาเป็นเสียงเพลงให้ผู้คนได้รับรู้" เป็นคำอธิบายเหตุผลของการทำเพลงไว้ในเอกสารเผยแพร่ข้อมูลกิจกรรมรณรงค์ปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมโลก 'ภูสันตะวันลับฟ้า'
แม้วันนั้นภาพเบื้องหน้าของสมบัติจะเป็นเพียงแค่เรื่องราวของการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับคนที่อยู่กับธรรมชาติมาตั้งแต่เด็กอย่างเขาซึ่งเคยเห็นความอุดมสมบูรณ์ก่อนความเปลี่ยนแปลงจะมาถึง มันคงเป็นเรื่องเดาได้ไม่ยากว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นหากสิ่งที่เป็นอยู่ยังคงเป็นต่อไป
(ฟังเพลงอัลบั้ม อุบาทว์ อุบัติ)
3.
จากผลงานชุดแรก 'โลกมืด' ดอนผีบินนำเสนอเรื่องราวสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมผ่านดนตรีเฮฟวี่เมตัลพร้อมกับการเยียวยาความเหนื่อยล้าด้วยบัลลาดช้าๆ ต่อมาในอัลบั้ม 'เส้นทางสายมรณะ' เป็นเรื่องราวความเสื่อมโทรมที่กำลังเกิดขึ้นจากความเจริญ เริ่มมีการพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม กระทั่ง 'อุบาวท์ อุบัติ' ภาคต่อจากสองอัลบั้มแรก เนื้อหาในงานชิ้นนี้ได้ตีแผ่ปัญหาสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ขยายภาพความล่มสลายเพราะการพัฒนาแบบไม่ลืมหูลืมตาให้เห็นเด่นชัด แต่ยังไม่ลืมสอดแทรกปรัชญาการดำเนินชีวิตไว้อย่างเข้มข้นเช่นเคย
'อุบาทว์ อุบัติ' โลกใกล้ถึงจุดจบ แม้วันนี้ยังพอมีอากาศหายใจอยู่บ้าง แต่มันก็เหลือน้อยเต็มที คือความล่มสลายที่มาก่อนกาลอันควร พวกเขาตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องทำให้โลกเป็นเช่นนี้
'ดีใจหาย' เนื้อเพลงบรรยายเรื่องราวก่อนถึงวันสิ้นโลก แม้ว่าสิ่งที่เราเห็นจะดูสวยงาม แต่แท้ที่จริงคือระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลังสู่ความบรรลัย
'ทบทวนทาง' วันนี้เหลือแต่ซาก สิ่งที่เคยมีอันตรธานสิ้น ทุกอย่างเป็นอดีตที่ไม่อาจย้อนคืนได้อีกแล้ว
'หมายกำหนดการ' การเดินทางได้เริ่มต้นอีกครั้ง แต่เป็นการเดินทางสู่ดินแดนแห่งนิรันดร เพราะว่าโลกของเรานั้นได้สิ้นสุดแสงไปเสียแล้ว
'ความตายที่คุ้นเคย' เพลงนี้เหมือนเป็นส่วนขยายของคำว่า 'อุบาทว์ อุบัติ' เนื้อเพลงได้บรรยายเอาไว้ว่าเมื่อความอุบาทว์ได้อุบัติขึ้นอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ผู้คนจะตายสิ้น และตายอย่างที่พวกเขาได้ย้ำมาเสมอว่า เรากำลังตายอย่างไม่เป็นทางการ หรือต้องตายทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาตาย
'ทางท้าทาย' และ 'คนโซเซ' ถามหาความหมายของการมีชีวิต คุณมีทางที่ต้องเลือกเดิน เลือกทางดีก็ดีเลือกทางร้ายก็ร้าย และทางที่เราเลือกเดินไม่ว่าจะเป็นทางไหนต่างมีบททดสอบที่ไม่อาจผ่านไปได้ง่าย สุดท้ายจะมีชีวิตอยู่เพื่อรอวันตาย หรือจะ... 'สู้จนสิ้นใจ' จนกว่าจะถึงสุดท้ายเราได้ร่วมเดินทางไป 'พบกันที่ดาวดวงใหม่'
งานชุดนี้ดอนผีบินขยับลดความโหดของภาคดนตรีจากสปีดเดธเมทัลเป็นแธรชเมทัล ไม่หนักหน่วงและรวดเร็วด่วนจี๋เหมือนอัลบั้มก่อน แต่ยังคงความหนักแน่นและลวดลายในสไตล์ของดอนผีบินอย่างเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน
4.
สไตล์ของดอนผีบิน คืออะไร สมบัติ แก้วทิตย์ พูดถึงแนวเพลงของดอนผีบินเอาไว้ว่า
ดอนผีบินออกมาไม่เหมือนใคร ไม่มีกลิ่นอายของใคร เพราะทุกอย่างคิดขึ้นมาเอง ไอ้ที่ฟังก็ฟัง แต่ไม่เอามา ต่อให้คนที่ช่ำชองเพลงฝรั่งมาฟัง รับรองไม่มีท่อนโซโลหรืออะไรที่เป็นของฝรั่งเลย มันมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งหมดมาจากความเป็นอยู่อย่างนี้
จริงอยู่ว่าเครื่องดนตรีเรายืมฝรั่งมา แต่เนื้อไม่ได้หยิบหรือลอกเลียนใคร คิดขึ้นมาของเราเอง ถ้าฟังดอนผีบินจะได้กลิ่นอายชนบทของตะวันออก ทั้งเสียงกีตาร์ เสียงดนตรี เป็นกลิ่นอายของพื้นบ้านทางเหนือ
เราไม่เคยเข้าเรียนที่ไหนเลย เรียนมาจากจิตวิญญาณ แล้วเรานี่ชอบอยู่อย่างหนึ่ง คือถ้าหลักการว่าอย่างนี้ เราจะว่าไม่ใช่ ถ้าเขาบอกว่าคอร์ดนี้ต้องไปคอร์ดนั้น เราบอกว่าไม่ใช่ คอร์ดนี้แล้วต้องไปคอร์ดโน้น เพราะฉะนั้นงานของเราที่ออกมาจะไม่เหมือนใครเลย[1]
5.
จากผลงานชุดแรกจนถึงผลงานลำดับที่ 3 พ.ศ. 2536 - 2538 เวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่แวดวงดนตรีอันเดอร์กราวนด์เมทัลในไทยเริ่มก่อกำเนิด และดนตรีเฮฟวี่เมทัลเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น แม้ยังเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่มีความหวัง
สมศักดิ์ แก้วทิตย์ มืกลองของวงได้เคยอธิบายการทำงานของดอนผีบินตั้งแต่อดีตไว้ว่า "สมัยนั้นยังไม่ค่อยมีคนใช้คำว่าอินดี้สักเท่าไหร่ ยังเป็นคำว่าใต้ดินอยู่เลย ช่วงนั้นยังไม่มีใครทำเพลงใต้ดินที่เป็นเฮฟวี่มาก่อน พอทำแล้วเอาไปวางมันเลยกระเตื้องๆ ขึ้นมา พอซักพักก็เลยถึงยุคเฟื่อง อย่างตอนที่ EMI ทำค่าย Eminor จากนั้นเป็นกระแสอัลเทอร์เนทีฟที่ทำให้อินดี้บูมสุดขีด อย่างชุดแรกนี่จริงๆ เราทำกันเองมากกว่า แล้วฝากไปให้ Z Rock ช่วยขาย ส่วน Rock Record ตั้งขึ้นทีหลังจากที่เราทำงานออกมาขายแล้ว แล้วพอชุดสามเราก็ทำเองแล้วไปให้ BBM ขาย"[2] (BBM คือ บริษัทบิ๊กแอนด์เบสท์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด)
ถึงตรงนี้ขอขยายความคำว่า "เราทำเอง" ของสมศักดิ์เพิ่มเติมอีกสักหน่อย
บนปกเทปและซีดีอัลบั้มอุบาทว์ อุบัติ จะมีข้อความและสัญลักษณ์ DPB Music Production ปรากฎอยู่ DPB Music Production ก่อตั้งโดยสมาชิกดอนผีบิน มีการจดทะเบียนไว้อย่างเป็นทางการ (สำนักงานใช้ที่อยู่ จ.เชียงใหม่ บ้านของสมศักดิ์) แต่กระนั้นในท้ายที่สุด DPB Music Production ก็ไม่ได้ผลิตผลงานอื่นนอกจากงานของดอนผีบิน หรือกล่าวให้ถูกต้อง DPB Music Production ตั้งขึ้นมาเพื่อผลิตผลงานของดอนผีบินโดยเฉพาะ
6.
บทเพลงของดอนผีบินได้บอกเราไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2538 แล้วว่าอุบาทว์จะอุบัติขึ้นในไม่ช้าด้วยดนตรีสปีดแธรชอันเกรี้ยวกราดรุนแรงสะท้านความรู้สึก เขาได้เตือนคุณแล้วว่า...
"สรรพสิ่งจะเริ่มเดียวดายอ้างว้าง ทุกก้าวย่าง ก้าวใกล้ ความบรรลัย จิตใจ นับวันจะเริ่มเลวร้าย หยาบกระด้างสีสันจะค่อยๆ เลือนลาง จางหายและแล้วมันเริ่มปรากฎกาย ความบอุ่นได้กลายเป็นไอ ลอยหายไปจากใจ ตั้งแต่เมื่อวาน" เพลงความตายที่คุ้นเคย
อ้างอิง
[1]บินไปสู่ภูไพรกับค้างคาวดนตรี ดอนผีบิน สารคดี ฉบับที่ 259 กันยายน 2549
[2]นิตยสาร Music Express ปีที่ 20 ฉบับที่ 249
จาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1455285355