ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
พิมพ์คำว่า (แสงธรรมนำทางธรรมะนำใจ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2016, 11:51:20 am »


ดอนผีบิน-วงเมทัลบนถนนสู่แดนดินทิพย์
Street of Life ตอนที่ 3 อุบาทว์ อุบัติ
โดย เอกวิทย์ เตระดิษฐ์




แทร็คที่ 3 อุบาทว์ อุบัติ


1.
ปลายฝน พ.ศ.2549 จ.น่าน เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ พื้นที่ อ.ท่าวังผา หลายหมู่บ้านจมอยู่ใต้น้ำ ไม่เว้นแม้แต่บ้านที่สมบัติ แก้วทิตย์ ใช้อาศัยและเขียนเพลงให้กับดอนผีบินก็โดนเข้าไปด้วย

วันเกิดเหตุสมบัติเล่าว่า น้ำพัดมาเร็วมาก เริ่มท่วมตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงเที่ยงคืน ระดับน้ำสูงร่วม 4 เมตร เขาพาลูกเมียหนีไปอยู่บนชั้นสองของบ้าน และต้องติดอยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 2 วัน

หลังน้ำลด สภาพหมู่บ้านในชุมชนแทบไม่ต่างอะไรกับทะเลโคลน บ้านที่อาศัย พู่กัน ป้ายรณรงค์จิตสำนึกสิ่งแวดล้อม ปกเทปดอนผีบิน จดหมายจากแฟนคลับ ตลอดจนวัตถุดิบต่างๆ สำหรับอัลบั้มใหม่ คงเหลือแต่เพียงซาก...

"ซากเหลือแต่ซาก ซากมันเหลือแต่ซาก ซากมันเหลือแต่ซาก ย้อนยุค ย้อนอดีต ย้อนชีวิต ไม่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ซ่อนปม ปริศนาให้ยุ่งยาก ยุ่งเหยิง รบกวนจิต รบกวนใจ วันเวลา เริ่มเปลี่ยนแปลง แปลเปลี่ยนไป ความงามงด ความสดใสเคยมีให้ มีอาทร อันตธาน" เพลง ทบทวนทาง
 
2.
หลายครั้งที่บทเพลงของดอนผีบินเป็นดังคำทำนายโลกอนาคต เช่นเดียวกับเพลง 'ทบทวนทาง' ที่บรรยายเนื้อหาว่าวันหนึ่งดินแดนของเราจะเหลือแต่เพียงซาก - ซากที่ไร้ลมหายใจ และมนุษย์ก็จะเดินทางไปสู่ดินแดนที่อนุญาตให้เพียงแต่ดวงวิญญาพำนักเท่านั้น

ย้อนกลับไป พ.ศ. 2538 ปีที่อัลบั้ม 'อุบาทว์ อุบัติ' ของดอนผีบินวางแผง เวลานั้นสมบัติ แก้วทิตย์ มือกีตาร์และผู้เขียนคำร้องหลักของวงบรรยายสภาพพื้นที่ป่าบริเวณที่เขาอาศัยว่าเริ่มจะไม่มีไม้ใหญ่หลงเหลือให้เห็นแล้ว การถางป่าเพื่อการเพาะปลูกเริ่มเกาะกินพื้นที่ป่าใน จ.น่าน ขณะเดียวกันตัวสมบัติก็เริ่มทำงานอนุรักษ์อย่างจริงจังในนามเจ้าของ 'ศูนย์ปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมโลก ภูสันตะวันลับฟ้า' กิจกรรมหลักในการทำงานอนุรักษ์เวลานั้น อาทิเช่น ผลิตป้ายภาพปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมติดตามพื้นที่ต่างๆ ใน อ.ท่าวังผา และอีกภารกิจที่ทำควบคู่กันคือการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านบทเพลงของ 'ดอนผีบิน'

"ดนตรีสู่สิ่งแวดล้อม : ดนตรีจะสื่อเนื้อหาเรื่องราวของสิ่งแวดล้อม บอกเล่าออกมาเป็นเสียงเพลงให้ผู้คนได้รับรู้" เป็นคำอธิบายเหตุผลของการทำเพลงไว้ในเอกสารเผยแพร่ข้อมูลกิจกรรมรณรงค์ปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมโลก 'ภูสันตะวันลับฟ้า'

แม้วันนั้นภาพเบื้องหน้าของสมบัติจะเป็นเพียงแค่เรื่องราวของการเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับคนที่อยู่กับธรรมชาติมาตั้งแต่เด็กอย่างเขาซึ่งเคยเห็นความอุดมสมบูรณ์ก่อนความเปลี่ยนแปลงจะมาถึง มันคงเป็นเรื่องเดาได้ไม่ยากว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นหากสิ่งที่เป็นอยู่ยังคงเป็นต่อไป
 
(ฟังเพลงอัลบั้ม อุบาทว์ อุบัติ)
<a href="https://www.youtube.com/v/YukV8kWQCxw" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/YukV8kWQCxw</a>


3.
จากผลงานชุดแรก 'โลกมืด' ดอนผีบินนำเสนอเรื่องราวสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมผ่านดนตรีเฮฟวี่เมตัลพร้อมกับการเยียวยาความเหนื่อยล้าด้วยบัลลาดช้าๆ ต่อมาในอัลบั้ม 'เส้นทางสายมรณะ' เป็นเรื่องราวความเสื่อมโทรมที่กำลังเกิดขึ้นจากความเจริญ เริ่มมีการพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม กระทั่ง 'อุบาวท์ อุบัติ' ภาคต่อจากสองอัลบั้มแรก เนื้อหาในงานชิ้นนี้ได้ตีแผ่ปัญหาสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ขยายภาพความล่มสลายเพราะการพัฒนาแบบไม่ลืมหูลืมตาให้เห็นเด่นชัด แต่ยังไม่ลืมสอดแทรกปรัชญาการดำเนินชีวิตไว้อย่างเข้มข้นเช่นเคย

'อุบาทว์ อุบัติ' โลกใกล้ถึงจุดจบ แม้วันนี้ยังพอมีอากาศหายใจอยู่บ้าง แต่มันก็เหลือน้อยเต็มที คือความล่มสลายที่มาก่อนกาลอันควร พวกเขาตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องทำให้โลกเป็นเช่นนี้

'ดีใจหาย' เนื้อเพลงบรรยายเรื่องราวก่อนถึงวันสิ้นโลก แม้ว่าสิ่งที่เราเห็นจะดูสวยงาม แต่แท้ที่จริงคือระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลังสู่ความบรรลัย

'ทบทวนทาง' วันนี้เหลือแต่ซาก สิ่งที่เคยมีอันตรธานสิ้น ทุกอย่างเป็นอดีตที่ไม่อาจย้อนคืนได้อีกแล้ว

'หมายกำหนดการ' การเดินทางได้เริ่มต้นอีกครั้ง แต่เป็นการเดินทางสู่ดินแดนแห่งนิรันดร เพราะว่าโลกของเรานั้นได้สิ้นสุดแสงไปเสียแล้ว

'ความตายที่คุ้นเคย' เพลงนี้เหมือนเป็นส่วนขยายของคำว่า 'อุบาทว์ อุบัติ' เนื้อเพลงได้บรรยายเอาไว้ว่าเมื่อความอุบาทว์ได้อุบัติขึ้นอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ผู้คนจะตายสิ้น และตายอย่างที่พวกเขาได้ย้ำมาเสมอว่า เรากำลังตายอย่างไม่เป็นทางการ หรือต้องตายทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาตาย

'ทางท้าทาย' และ 'คนโซเซ' ถามหาความหมายของการมีชีวิต คุณมีทางที่ต้องเลือกเดิน เลือกทางดีก็ดีเลือกทางร้ายก็ร้าย และทางที่เราเลือกเดินไม่ว่าจะเป็นทางไหนต่างมีบททดสอบที่ไม่อาจผ่านไปได้ง่าย สุดท้ายจะมีชีวิตอยู่เพื่อรอวันตาย หรือจะ... 'สู้จนสิ้นใจ' จนกว่าจะถึงสุดท้ายเราได้ร่วมเดินทางไป 'พบกันที่ดาวดวงใหม่'

งานชุดนี้ดอนผีบินขยับลดความโหดของภาคดนตรีจากสปีดเดธเมทัลเป็นแธรชเมทัล ไม่หนักหน่วงและรวดเร็วด่วนจี๋เหมือนอัลบั้มก่อน แต่ยังคงความหนักแน่นและลวดลายในสไตล์ของดอนผีบินอย่างเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน
 
4.
สไตล์ของดอนผีบิน คืออะไร สมบัติ แก้วทิตย์ พูดถึงแนวเพลงของดอนผีบินเอาไว้ว่า

ดอนผีบินออกมาไม่เหมือนใคร ไม่มีกลิ่นอายของใคร เพราะทุกอย่างคิดขึ้นมาเอง ไอ้ที่ฟังก็ฟัง แต่ไม่เอามา ต่อให้คนที่ช่ำชองเพลงฝรั่งมาฟัง รับรองไม่มีท่อนโซโลหรืออะไรที่เป็นของฝรั่งเลย มันมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งหมดมาจากความเป็นอยู่อย่างนี้

จริงอยู่ว่าเครื่องดนตรีเรายืมฝรั่งมา แต่เนื้อไม่ได้หยิบหรือลอกเลียนใคร คิดขึ้นมาของเราเอง ถ้าฟังดอนผีบินจะได้กลิ่นอายชนบทของตะวันออก ทั้งเสียงกีตาร์ เสียงดนตรี เป็นกลิ่นอายของพื้นบ้านทางเหนือ

เราไม่เคยเข้าเรียนที่ไหนเลย เรียนมาจากจิตวิญญาณ แล้วเรานี่ชอบอยู่อย่างหนึ่ง คือถ้าหลักการว่าอย่างนี้ เราจะว่าไม่ใช่ ถ้าเขาบอกว่าคอร์ดนี้ต้องไปคอร์ดนั้น เราบอกว่าไม่ใช่ คอร์ดนี้แล้วต้องไปคอร์ดโน้น เพราะฉะนั้นงานของเราที่ออกมาจะไม่เหมือนใครเลย[1] 



5.
จากผลงานชุดแรกจนถึงผลงานลำดับที่ 3 พ.ศ. 2536 - 2538 เวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่แวดวงดนตรีอันเดอร์กราวนด์เมทัลในไทยเริ่มก่อกำเนิด และดนตรีเฮฟวี่เมทัลเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น แม้ยังเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่มีความหวัง

สมศักดิ์ แก้วทิตย์ มืกลองของวงได้เคยอธิบายการทำงานของดอนผีบินตั้งแต่อดีตไว้ว่า "สมัยนั้นยังไม่ค่อยมีคนใช้คำว่าอินดี้สักเท่าไหร่ ยังเป็นคำว่าใต้ดินอยู่เลย ช่วงนั้นยังไม่มีใครทำเพลงใต้ดินที่เป็นเฮฟวี่มาก่อน พอทำแล้วเอาไปวางมันเลยกระเตื้องๆ ขึ้นมา พอซักพักก็เลยถึงยุคเฟื่อง อย่างตอนที่ EMI ทำค่าย Eminor จากนั้นเป็นกระแสอัลเทอร์เนทีฟที่ทำให้อินดี้บูมสุดขีด อย่างชุดแรกนี่จริงๆ เราทำกันเองมากกว่า แล้วฝากไปให้ Z Rock ช่วยขาย ส่วน Rock Record ตั้งขึ้นทีหลังจากที่เราทำงานออกมาขายแล้ว แล้วพอชุดสามเราก็ทำเองแล้วไปให้ BBM ขาย"[2] (BBM คือ บริษัทบิ๊กแอนด์เบสท์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด)

ถึงตรงนี้ขอขยายความคำว่า "เราทำเอง" ของสมศักดิ์เพิ่มเติมอีกสักหน่อย

บนปกเทปและซีดีอัลบั้มอุบาทว์ อุบัติ จะมีข้อความและสัญลักษณ์ DPB Music Production ปรากฎอยู่ DPB Music Production ก่อตั้งโดยสมาชิกดอนผีบิน มีการจดทะเบียนไว้อย่างเป็นทางการ (สำนักงานใช้ที่อยู่ จ.เชียงใหม่ บ้านของสมศักดิ์) แต่กระนั้นในท้ายที่สุด DPB Music Production ก็ไม่ได้ผลิตผลงานอื่นนอกจากงานของดอนผีบิน หรือกล่าวให้ถูกต้อง DPB Music Production ตั้งขึ้นมาเพื่อผลิตผลงานของดอนผีบินโดยเฉพาะ



6.
บทเพลงของดอนผีบินได้บอกเราไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2538 แล้วว่าอุบาทว์จะอุบัติขึ้นในไม่ช้าด้วยดนตรีสปีดแธรชอันเกรี้ยวกราดรุนแรงสะท้านความรู้สึก เขาได้เตือนคุณแล้วว่า...

"สรรพสิ่งจะเริ่มเดียวดายอ้างว้าง ทุกก้าวย่าง ก้าวใกล้ ความบรรลัย จิตใจ นับวันจะเริ่มเลวร้าย หยาบกระด้างสีสันจะค่อยๆ เลือนลาง จางหายและแล้วมันเริ่มปรากฎกาย ความบอุ่นได้กลายเป็นไอ ลอยหายไปจากใจ ตั้งแต่เมื่อวาน" เพลงความตายที่คุ้นเคย

 
อ้างอิง
[1]บินไปสู่ภูไพรกับค้างคาวดนตรี ดอนผีบิน สารคดี ฉบับที่ 259 กันยายน 2549
[2]นิตยสาร Music Express ปีที่ 20 ฉบับที่ 249

จาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1455285355

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2016, 11:41:40 am »

ดอนผีบิน-วงเมทัลบนถนนสู่แดนดินทิพย์
Street of Life ตอนที่ 2 เส้นทางสายมรณะ
โดย เอกวิทย์ เตระดิษฐ์


เชิญฟังเพลงในอัลบั้ม เส้นทางสายมรณะ ไปพร้อมๆ กับการอ่านบทความ!)
<a href="https://www.youtube.com/v/rnqCM_OaD2k" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/rnqCM_OaD2k</a>

แทร็คที่ 2 เส้นทางสายมรณะ


3 พี่น้องตระกูลแก้วทิตย์ สมาชิกวงดอนผีบิน จากซ้ายไปขวา สมคิด น้องคนสุดท้อง ตำแหน่งร้องนำ กีตาร์และเบส สมศักดิ์ พี่ชายคนรอง รับหน้าที่ตำแหน่งกลอง และสมบัติ พี่ชายคนโต รับหน้าที่เล่นกีตาร์ เขียนเนื้อร้องและทำนอง

1.
ปลาย พ.ศ. 2558 ประเทศจีนผจญวิกฤตหมอกควันอย่างหนัก จนประชากรส่วนหนึ่งต้องนำเข้าอากาศบริสุทธิ์อัดกระป๋องจากเทือกเขาร็อกกี้ ประเทศแคนาดา มาใช้ต่างลมหายใจ

Vitality Air ผู้ผลิตอากาศกระป๋อง ยอมรับว่าเดิมทีตั้งบริษัทขึ้นมาแบบขำขำ แค่อยากเอาอากาศเก็บใส่ถุงไปประมูลขายในอีเบย์ แต่ปัญหามลพิษจากหมอกควันในประเทศจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ 'อากาศบริสุทธิ์อัดกระป๋อง' ของบริษัท Vitality Air จึงเป็นที่ต้องการของประชาชนในแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าราคามันจะแพงกว่านำแร่ถึง 50 เท่า

หากเป็นคอเพลงเฮฟวี่เมทัลพอเห็นข่าวนี้แล้วคงอดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงเพลง 'เมืองมรณา' ในอัลบั้ม 'เส้นทางสายมรณะ' ของ 'ดอนผีบิน'

"สร้างเมืองมายา อุตสาหัสกรรม เราจะมีเมืองใหม่แสงสีวิไล ซื้อน้ำซื้อไฟ โครงการต่อไปซื้อลมหายใจ" เพลงเมืองมรณา

ครั้งแรกที่ฟังเพลงเมืองมรณา (พ.ศ. 2537) คงไม่มีใครคิดว่าเหตุการณ์อย่างในเพลงจะเป็นจริง แต่เมื่อสังคมโลกต่างแย่งกันพัฒนาอุตสาหกรรมจนไม่อาจควบคุมของเสียที่ตามมา คำทายทักที่ไม่มีใครต้องการก็กลายเป็นเงาตามหลอกหลอนเราไม่เคยห่าง
 
2.
ผลของอัลบั้มโลกมืดนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าสมาชิกดอนผีบินจะคาดคิด บุรุษไปรณีย์ อ.ท่าวังผา คงแปลกใจว่าเจ้าของที่อยู่คือใคร ทำไมถึงมีจดหมายส่งถึงทุกวัน จากหลักสิบเป็นร้อยเป็นพัน จดหมายถูกส่งไปตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในปกอัลบั้มโลกมืดเพื่อขอรับสมัครเป็นแฟนคลับของวง

มันเหมือนมีความรู้สึกอัดอั้นตันใจมานาน แต่ไม่มีโอกาสได้ระเบิดออกมา เมื่อมีคนมานำทาง ก็อยากจะเดินไปตามเส้นทางนั้น...

"ทุกวันนี้เราถูกบีบคั้นด้วยการควบคุม แต่ก็ทำได้แค่ชีวิต จิตวิญญาณไม่มีใครควบคุมได้ ตลอดเวลาแต่ละคนก็หาช่องทางที่จะปลดปล่อย พอมาเจอดนตรีที่เป็นสะพาน เขาก็โอ้... นี่แหละที่ฉันค้นหามา นี่แหละคือจิตวิญญาณของฉันที่ฉันจะเดิน เสียงนี่ไงที่ทำให้ฉันเห็นตัวฉัน"[1]

ในความเป็นศิลปิน แรงศรัทธาและการสนับสนุนของแฟนเพลงเป็นสิ่งสำคัญต่อการผลักดันให้นักดนตรีมีกำลังใจผลิตผลงาน ถ้าไม่มีแฟนเพลง หรือคนฟัง อายุขัยของวงดนตรีก็คงสั้นลงในไม่ช้า ดอนผีบินนั้นโชคดีที่มีแฟนคลับพร้อมอุทิศตนให้ตั้งแต่ออกอัลบั้มชุดแรก แต่หากเป็นในทางตรงกันข้ามก็ใช่ว่าดอนผีบินจะสิ้นสุดผลงานลงแค่นั้น

สมบัติ แก้วทิตย์ หัวหน้าวงประกาศไว้ชัด "ถ้าเทปชุดนี้ล้มเหลวในทางการขายอันนี้บอกได้เลยว่าไม่มีหมดกำลังใจ เพราะว่าตั้งแต่เริ่มต้นเราก็แน่วแน่แล้วว่าเราต้องทำต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ต้องทำเพราะว่านั้นคือตัวเรา แล้วก็ชีวิตเรา"[2]

นั่นไม่ใช่คำกล่าวเลื่อนลอย ในที่สุดผลงานลำดับที่ 2 ของดอนผีบินก็ตามออกมาในปีถัดไป


ภาพการ์ตูนเจ้าของรางวัล All Time Aggressive EP & Album และ Best Extreme Thailand Band of 1995 ในนิตยสาร The Quitet Storm ฉบับที่ 134 ซึ่งดอนผีบินได้ขึ้นปกร่วมกับวงหิน เหล็ก ไฟ

3.
หลังสิ้นเสียงกรีดกรายสัมผัสแห่งสายลมและการคำรามของอัสนี มโหรสพความรุนแรงก็ลั่นระทึกด้วยเสียงกลองระรัวสั่นสะเทือนปานแผ่นดินกำลังเคลื่อนตัวเพื่อปลุกสึนามิขนาดยักษ์ กังวานนั้นสนั่นพร้อมกับเสียงสับริฟฟ์กีตาร์อันว่องไว และเบสที่ควบตะบันอย่างไม่ยอมกัน จนในที่สุดสัตว์ร้ายในป่าลึกก็ส่งเสียงคำรามออกมาสาปแช่งความโสมมที่กำลังกัดกินสังคม มันรุนแรงและรวดเร็วราวพายุคลั่งกลางท้องทะเล ดอนผีบินได้เปิดฉากผลงานลำดับที่ 2 ของพวกเขาด้วยดนตรีที่หนักหน่วงและรุนแรงกว่างานชุดแรกเสียจนต้องเงี่ยหูฟังคำร้องอย่างตั้งใจ

"สรรพสิ่งเคลื่อนไหว เคลื่อนไปไม่เคยรอรี วัฏจักรโคจรขึ้นลงเปลี่ยนผันข้ามวันมีอันเปลี่ยนแปลง ก่อกำเนิดเกิดมา ต่างคนต่างเดินต่างคนต่างเหินลัดฟ้าลัดรุ้งมุ่งสู่ที่หมาย ใครจะทำความดี ใครจะมีความเลว ใครจะมีกลลวง ใครจะมีลีลา ดี-เลว-ทราม-ต่ำช้า การกระทำนำพาสู่สวรรค์ชั้นฟ้า หรือลงโลกา เลือกเอง" เพลงสุดแท้ทางเดิน

'สปีดเดธเมทัล' ถูกใช้เป็นคำจำกัดความอัลบั้มเส้นทางสายมรณะ ดนตรีที่ยกระดับความรุนแรงอย่างไร้ปราณี เนื้อหาถูกปรุงให้เข้มข้นขึ้นไปทางเดียวกับสไตล์เพลง คำร้องพูดถึงความเสื่อมโทรมของเมืองและสังคมอันมีสาเหตุจากความโลภและความทะนงตนของมนุษย์ผู้อ้างตนว่าฉลาดล้ำราวผู้วิเศษ แต่จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมืองอันเลิศหรูที่มนุษย์กำลังสร้างกำลังกัดกลืนตัวเองอย่างช้าๆ

'เรากำลัง - สุดแท้ทางเดิน' บนเส้นทางสายมรณะไม่มีใครใส่ใจใคร คุณจะเลือกเดินไปทางไหน เลือกทางดีไปสวรรค์ เลือกทางร้ายลงนรกโลกันต์ การกระทำในวันนี้ได้กำหนดจุดหมายปลายทางให้กับอนาคต

'เมืองมรณา' มนุษย์กำลังกัดกินตัวเองด้วยความทะนงในปัญญาที่เชื่อว่าเมืองจะรุ่งเรืองด้วยอุตสาหกรรม แต่แท้จริงแล้วมันคืออุตสาหัสกรรมที่กำลังทำลายลมหายใจเผ่าพันธุ์ตัวเองและเผ่าพันธุ์ที่อาศัยร่วมโลก

'สังคมบัญชาการ' ผู้คนต่างหลงเชื่อคำลวงของซาตานในคราบผู้ดีที่ใช้มายาลวงหลอกจนสังคมสิ้นแล้วซึ่งศีลธรรม

'วันนี้ พรุ่งนี้' ปรัชญาของการมีชีวิตอยู่ ทบทวนตัวของคุณเองด้วยคำถามง่ายๆ เพียง 3 ข้อ คุณเป็นใคร ? คุณมาจากไหน ? และคุณจะไปที่ใด ?

'วิมานนรก' กิเลสที่ครอบงำบ่งการจิตใจให้ผู้คนยอมทำสิ่งชั่วร้ายเพื่อสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองโดยหารู้ไม่ว่ามันคือใบเบิกทางไปสู่เส้นทางสายมรณะ

'สายเสียแล้ว' ดนตรีบรรเลง เริ่มต้นอย่างเชื่องช้าหลอกหลอนเราด้วยมายาแห่งความงามก่อนพาเข้าสู่หนทางที่ไม่อาจหลุดพ้น เงามรณะครอบคลุมทั่วท้องฟ้าแล้ว

'หลังสนธยา' เสียงซาตานกระซิบล่องมากับสายลม ไม่เร็วก็ช้า อุบาทว์จะอุบัติ...



4.
"ช้าอยู่ไม่ได้แล้ว ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมมันเห็นนรกอยู่ตรงหน้าแล้ว! เมื่อแนวคิดและเนื้อเพลงของเราเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องหาทำนองดนตรีมาใส่ให้สอดคล้องกัน เราเห็นสภาพที่เป็นอยู่ จะเอาดนตรีเบาๆ มาเชื่อม มันไม่ได้แล้วไง แค่นั้นมันไม่พอที่จะมาบ่นอยู่ มันต้องรุนแรงไปกับเหตุการณ์"[3] สมบัติ ให้เหตุผลว่าทำไมผลงาน 'เส้นทางสายมรณะ' ถึงรุนแรงและรวดเร็วกว่า 'โลกมืด' มากนัก
 
5.
ภาพของสมบัติ แก้วทิตย์ ที่คอเพลงคุ้นเคยอาจเป็นผู้ชายมาดขรึมในชุดหนังสีดำอย่างที่ปราฎบนภาพถ่ายปกอัลบั้ม แต่ในอีกบทบาทชายผู้นี้เคยเข้ารับราชการเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนบ้านน้ำลักใต้ อ.ท่าวังผา จ.น่าน สอนวิชาศิลปะให้กับนักเรียนโดยแทรกแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมการเรียนการสอน นอกจากนั้นยังทำกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นตัวเองมาตั้งแต่ พ.ศ. 2535 โดยจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกสิ่งแวดล้อมโลกภูสันตะวันลับฟ้า เพื่อสอนงานศิลปะและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กับการทำวงดอนผีบิน

สำหรับสมบัติซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางวง เรื่องราวต่างๆ ที่เขานำมาประกอบเป็นบทเพลงให้กับดอนผีบินคือสิ่งที่ถูกหล่อหลอมมาจากประสบการณ์ทำงานส่วนตัวโดยตรง ทำให้บทเพลงของดอนผีบินเป็นตัวแทนสะท้อนภาพของความเป็นจริงออกมาได้อย่างชัดเจน


สมบัติ แก้วทิตย์ สมาชิกในตำแหน่งกีตาร์ เขาคือชายผู้รังสรรค์เนื้อหาและท่วงทำนองให้กับวงดอนผีบินผ่านลายมือของตัวเอง


6.
ความลงตัวของบทเพลงในอัลบั้ม 'เส้นทางสายมรณะ' ที่สื่อออกมาได้อย่างรุนแรงเข้ากับเนื้อหาทำให้แฟนเพลงที่ติดตามผลงานร่วมโหวตให้อัลบั้มนี้ได้รับคะแนนความนิยมสูงสุดในฐานะ All Time Aggressive EP & Album และ Best Extreme Thailand Band of 1995 ที่จัดโดย Quited Storm นิตยสารดนตรีร็อคเมทัลที่มีผู้อ่านมากที่สุดในเวลานั้น และในปีเดียวกัน ดอนผีบินยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสีสันอวอร์ดถึง 4 รางวัล ได้แก่ ศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยม, อัลบั้มยอดเยี่ยม, โปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยม และเพลงบันทึกเสียงยอดเยี่ยม แม้จะชวดทั้ง 4 รางวัล แต่ก็เป็นเครื่องการันตีได้ว่าผลงานของดอนผีบินเริ่มได้รับความนิยมจากสื่อและคนฟังเพิ่มมากขึ้น

ความนิยมชมชอบอัลบั้มเส้นทางสายมรณะนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ในประเทศไทย Valentine Sound Productions จากประเทศมาเลเซียได้นำอัลบั้มนี้ไปผลิตและจำหน่ายในประเทศของตน และเพลงสุดแท้ทางเดินก็ถูกนำไปผลิตในรูปแบบแผ่นเสียง 7 นิ้ว ร่วมกับงานของวง Sepia และวง Toilet แต่เนื่องจากผลงานแผ่นเสียงนี้ผลิตออกมาในรูปแบบ bootleg และผลิตที่ประเทศอเมริกา ทำให้ไม่ค่อยมีใครรู้จักงานชิ้นนี้มากนักกระทั่งปัจจุบันกลายเป็นของหายากสำหรับแฟนเพลงในระดับที่ว่าต่อให้มีเงินมากมายก็คงหาซื้อมาไม่ได้ง่ายๆ

เส้นทางสายมรณะ แม้มันจะเป็นทางที่ดูอันตรายโดยเฉพาะกับแนวเพลงสปีดเดธเมทัลที่ฟังยากต่อการเข้าใจยิ่งกว่าเฮฟวี่เมทัลในชุดโลกมืด แต่ดูเหมือนว่าดอนผีบินจะเดินมาถูกทาง
 

แผ่นเสียง traffic jam บรรจุเพลงสุดแท้ทางเดินของดอนผีบินไว้ พร้อมกับงานของ Sepia และวง Toilet (ขอบคุณภาพจากคุณฉัตรชัย สุสรดิษฐ์)

อ้างอิง
[1]บินสู่ภูไพรกับค้างคาวดนตรี ดอนผีบิน นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 259 กันยายน 2549 หน้า 61 วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง เขียน
[2]อุกาบาตดนตรี เฮฟวี่จากเมืองน่าน ดอนผีบิน นิตยสารสีสัน
[3]บินสู่ภูไพรกับค้างคาวดนตรี ดอนผีบิน นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 259 กันยายน 2549 หน้า 62 วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง เขียน
 
จาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1455280641
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2016, 11:32:57 am »



(3 พี่น้องตระกูลแก้วทิตย์ สมาชิกวงดอนผีบิน จากซ้ายไปขวา สมบัติ พี่ชายคนโต รับหน้าที่เล่นกีตาร์ เขียนเนื้อร้องและทำนอง สมคิด น้องคนสุดท้อง ตำแหน่งร้องนำ กีตาร์และเบส สมศักดิ์ พี่ชายคนรอง รับหน้าที่ตำแหน่งกลอง)


แทร็คที่ 1 โลกมืด

1.
เช้าวันนี้เหมือนกับเช้าของเมื่อวาน - ท่วงทำนองบนท้องถนนฟังไม่ได้ศัพท์ ต่างคนต่างแย่งกันส่งเสียงความปรารถนาส่วนตน ดี-เลว-ชั่ว-ช้า-สับสน-ปนเป อยู่ในความคิดและการกระทำ กังวานนั้นไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ และผมมักหลบเร้นเสียงเหล่านั้นด้วยบทเพลง - บทเพลงที่ช่วยตอกย้ำว่าสังคมของเรากำลังสับสนวุ่นวายกันมากแค่ไหน

"เสียงมันดังกังวาน มันสั่นสะท้านไปทั่วเมือง ท่ามกลางความรุ่งเรืองเรื่องราวเลวร้ายมันมากมาย ร้อนแรงเหลือทน ผู้คนร้อนรน สับสน คนหลอกคนจบแสบทรวง" เพลงต่างคน

ธรรมดาสามัญ เรามักได้ยินเรื่องราวสะท้อนปัญหาสังคมผ่านบทเพลง 'เพื่อชีวิต' แต่ในมุมหนึ่งของวงการเพลง นักดนตรีผู้นิยมเสพท่วงทำนองอันหนักหน่วงอย่างเฮฟวี่เมทัลก็เข้าใจปัญหาเหล่านั้นไม่ต่างกัน ความอัดอั้นที่มีต่อสภาพเน่าเหม็นตรงหน้าบอกให้พวกเขาต้องตะโกนออกไปเสียบ้าง และเขาคนนั้นที่เป็นนักดนตรีเฮฟวี่เมทัลได้กล่าวเอาไว้ว่า "เรื่องแบบนี้จะมาพูดกันดีๆ คงไม่มีใครฟัง ต้องตะโกนเสียงดังๆ ให้คนหันมามอง"

นักดนตรีเฮฟวี่เมทัลที่ว่านั้นคือใคร คำตอบของคำถามคลี่คลายหลังจากบทเพลงของ 'ดอนผีบิน' ถูกยัดใส่เครื่องเล่นแบบพกพา
 


ฟังเพลงอัลบั้มโลกมืด
<a href="https://www.youtube.com/v/dumCpu_m47U" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/dumCpu_m47U</a>

2.
'ดอนผีบิน' เป็นใคร (?) วงดนตรีชื่อประหลาดจนน่าแปลกใจ และยิ่งรู้สึกประหลาดเข้าไปใหญ่เมื่อรู้ว่าสมาชิกในวงก่อตั้งโดยสามพี่น้องที่คลานตามกันมาในสกุลเดียวกัน

ตระกูล 'แก้วทิตย์' และในนามวง 'ดอนผีบิน' ประกอบด้วย สมบัติ พี่ชายคนโตเล่นกีตาร์และเป็นแกนหลักในการเขียนเพลง สมศักดิ์ พี่ชายคนรองรับหน้าที่ตีกลอง และ สมคิด น้องคนสุดท้องสวมบทนักร้องนำและเล่นเบส ส่วนคำว่าดอนผีบินสามพี่น้องหยิบยืมมาจากตำนานถิ่นฐานบ้านเกิดที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าขานให้ฟังมาตั้งแต่เด็ก

ณ ที่ราบสูงตรงหมู่บ้านดอนตัน อ.ท่าวังผา จ.น่าน ในอดีตกาลเคยเป็นสมรภูมิการสู้รบระหว่างชนชาติมอญ พม่า เงี้ยว และไทยใหญ่ บริเวณนั้นมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก จนมีเรื่องเล่าขานกันว่า วิญญาณของนักรบเหล่านั้นยังคงล่องลอยอยู่ บางค่ำคืนก็ปรากฎออกมาให้ผู้คนได้หวาดหวั่นจนเรียกขานกันติดปากว่า 'ดินแดนผีล่องลอย' และสามพี่น้องนำคำมาขยับให้กระชับเป็น 'ดอนผีบิน'

วงดนตรีชื่อชวนขนลุกในความหมายสยายปีกบินสู่หูคนฟังเพลงหนักกระโหลก พ.ศ. 2536 ทว่าเรื่องราวของพวกเขานั้นเริ่มดำเนินมาตั้งแต่ พ.ศ. 2529 ซึ่งเป็นปีที่สามพี่น้องช่วยกันทำเดโมชื่อ 'โลกมืด' สำเร็จ

แต่ตลาดดนตรีในเวลานั้นยังไม่มีพื้นที่ให้กับบทเพลงสไตล์เฮฟวี่เมทัล แม้จะมีวงเนื้อกับหนัง (Flesh & Skin) บุกเบิกทาง
ไว้แล้ว แต่เรื่องการ 'ยอมรับ' ในระดับของค่ายเพลงยังไม่มีใครสนใจความดีงามของดนตรีสไตล์นี้สักเท่าไหร่ จนในที่สุดพวกเขาต้องลงขันกันทำอัลบั้มด้วยตัวเอง

"ไม่มีคน ไม่มีใครหยุดยั้งยังคงก้าวไป ไกลสุดเพียงไหน ผ่านวันทุกทนปานใด ไม่หวั่น..." เพลงผ่านวัน

ดอนผีบินเริ่มลงมือบันทึกเสียงอัลบั้มชุดแรกกันเท่าที่กำลังตัวเองมี ตระเวนทำงานหลายแห่งเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีและครบถ้วนทุกรายละเอียด ข้อความบนปกอัลบั้มระบุสถานที่ทำงานไว้มากมาย ตั้งแต่บันทึกเสียงเบสและกลองที่ CCI Studio (เชียงใหม่), ริธึ่มและโซโล่กีตาร์ที่ Prositron Studio (กรุงเทพฯ), เสียงร้องที่ Hi-Tech Studio (กรุงเทพฯ) ไปจนขั้นตอนการมิกส์ที่ Jam Studio ซึ่งได้ตัวเพื่อนร่วมก๊วนอย่างอุกฤษฐ์ พิทักษ์ประชากิจ (มือกีตาร์ วงวิปลาส แธรชเมทัลรุ่นราวคราวเดียวกับดอนผีบิน) มารับหน้าที่เป็นซาวนด์เอนจิเนียร์ให้


(หน้าปกอัลบั้มโลกมืด)

3.
กลางเดือนร้อนวันปีใหม่ไทย (15 เมษายน พ.ศ. 2536) คือวันที่คอเพลงเฮฟวี่ในยุคนั้นจดจำมิรู้ลืม เพราะนอกจากจะเป็นวันที่ Metallica แธรชเมทัลจากเบย์แอเรีย รัฐแคลิฟอร์เนีย เปิดการแสดงสดครั้งแรกในประเทศไทย ยังเป็นวันที่อัลบั้มชุดแรกของดอนผีบินได้ปรากฎสู่หูคนฟังอย่างเป็นทางการ

หน้าศูนย์เยาวชน ไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง บทเพลงของดอนผีบินเปิดกระหึ่มท่ามกลางอณูแดดแผดเผา พวกเขาทำงานเชิงรุกด้วยการเปิดท้ายขายเทปกันหน้าประตูคอนเสิร์ต ดอนผีบินและผู้มาชมคอนเสิร์ตคงไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่บันทึกหน้าหนึ่ง สมศักดิ์ แก้วทิตย์ บอกว่าในวันนั้นอัลบั้มโลกมืดขายได้พันม้วน[1]

โลกมืดเป็นงานดนตรีในสไตล์เฮฟวี่เมตัลรสชาตจัดจ้าน ไม่ว่าจะสไตล์การเล่นกีตาร์ของสมบัติ เสียงกลองของสมศักดิ์ หรือการร้องเสียงสูงของสมคิด (ที่ฝากไว้ในอัลบั้มนี้เพียงชุดเดียว) ถือได้ว่าเป็นอัลบั้มเฮฟวี่ภาคภาษาไทยที่ดีเยี่ยมชุดหนึ่ง ผ่านการขัดเกลาอย่างตั้งใจโดยสมาชิกทั้ง 3 ในวง ไม่มีโปรดิวเซอร์หรือคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

ต่างคน, โลกันต์ โลกา, เพียงหนึ่งเดียว และทำไม หนักแน่น รุนแรง รวดเร็ว แต่แทรกความสวยงามไว้ในบางจังหวะที่มักหักมุมเปลี่ยนอารมณ์ที่เคยเกรี้ยวกราดให้เย็นลง ดังอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ที่ไม่เคยคงที่ มันคือความสับสนของสังคมก็ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความโกลาหลปนความเศร้าในท่วงทำนอง

ผ่านวัน, ลีลาลวง และไกลบ้าน บัลลาดร็อคที่มากด้วยความไพเราะ เนื้อหาเติมกำลังใจแก่คนที่อ่อนโรยในสังคมให้กลับมามีแรงสู้กันใหม่ When the Sun Going Down, Street of Life และ Back to the Nature 3 เพลงบรรเลงที่มากด้วยบรรยากาศและเรื่องราว ใช้เสียงดนตรีเป็นสื่อแทนคำร้องสุดแต่คนฟังจะจินตนาการ


สมบัติ แก้วทิตย์ อธิบายถึงความหมายของคำว่า 'โลกมืด' ว่า "โลกมืด คือมีภัยมืดรอบตัวเป็นสิ่งที่น่ากลัว เราไม่รู้ว่าภัยนี้จะมาหาเราเมื่อไหร่ การต่อสู้ในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องที่เราจะต้องระวังตลอดเวลา ยิ่งในสังคมเมือง ไม่เฉพาะในกรุงเทพฯ นะ กรุงเทพฯ นี่อาจจะหนักกว่า แต่ว่าต่างจังหวัดก็มีเรื่องราวเหล่านี้ คนทุกคนเจออยู่ทุกวัน มันน่าจะเป็นเรื่องที่ควรจะเอามานำเสนอแล้วให้เรามีสติ คิดอะไรมั่งก่อนที่จะทำอะไรต่างๆ"[2]

"วันเวลา ปีเดือน คอยย้ำเตือนตัวเราเอง ไป... ตามทาง สร้างใจให้ยืนยง" เพลงเพียงหนึ่งเดียว



4.
นับตั้งแต่วันแรกที่ 'โลกมืด' สยายปีกสู่คนฟัง บทเพลงที่ถูกค่ายเมินหน้าหนีกลับกลายเป็นอัลบั้มที่อยู่ในความต้องการของคนฟังเพลงเป็นจำนวนมาก ภายหลังมีการผลิตเพิ่มอีกหลายครั้งทั้งในรูปแบบเทปและซีดี

ล่าสุด พ.ศ. 2557 สมศักดิ์ แก้วทิตย์ พี่ชายคนรองของตระกูลที่หันมาจับงานด้านการบันทึกเสียงและทำค่ายเพลงของตัวเองในนาม 'เดย์วันเรคคอร์ด' ได้นำซีดีชุดโลกมืดมาผลิตอีกครั้ง นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วสำหรับการผลิตซ้ำให้กับผลงานชุดนี้ ยังไม่นับรวมส่วนที่สมบัติผลิตแบบ D.I.Y. เพื่อใช้ในการระดมทุนทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ทุกครั้งล้วนมีการตอบสนองจากนักฟังเพลงด้วยดีไม่ว่าหน้าเก่าที่อยากเก็บสะสมหรือแฟนเพลงรุ่นใหม่ที่เพิ่งรู้จักผลงานของดอนผีบิน

หากบอกว่าอัลบั้ม 'โลกมืด' คือผลงานชิ้นเอกของวงการเพลงไทยอาจไม่ใช่คำกล่าวเกินเลย

เหนืออื่นใด ความนิยมต่อผลงานเพลงชิ้นนี้ คือรางวัลแห่งความพยายามที่สามพี่น้องไม่ยอมย่อท้อต่ออุปสรรคที่โถมทับในอดีต

"ขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุนผลงานชุดแรกของเรา ผลงานชิ้นนี้ผ่านกาลเวลามานานแสนนาน พบกับอุปสรรคที่ทำให้เราต่อสู้ฟันฟ่ากับทุกสิ่งเพื่อรอวันนี้ วันที่เราจะได้พบปะและนำเสนอผลงานสู่แฟนเพลงกับสิ่งที่มีสาระและคุณภาพ... การนำเสนอผลงานเรายึดอุดมการณ์ ผลงานไม่เน้นจุดขาย... เน้นการสร้างสรรค์ จุดนี้เราได้พยายามทำและต่อสู้ด้วยตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็นเงินทุน การต่อสู้ในระบบรูปแบบ ความคิด ฯลฯ เป้าหมายของเราเพื่อนำเสนองานสร้างสรรค์ที่มีความหมาย... มีคุณค่า... เพื่อให้คุ้มกับวันเวลาที่สูญไป... วันนี้... พรุ่งนี้... และต่อไป ดอนผีบินยังคงมุ่งมั่น แน่วแน่ในอุดมการณ์ที่จะสร้างสรรค์ผลงานเพื่อแฟนเพลงคุณภาพเช่นคุณ ถึงแม้ก้าวแรกจะมีข้อบกพร่องบ้าง แต่เราก็ภูมิใจที่ได้ทำ... อย่างน้อยก็อาจจะช่วยต่อเติมความรู้สึกอารมณ์บางส่วนในชีวิตที่ขาดหายไปได้บ้าง!"[3]
 
5.
เช้าวันนี้เหมือนกับเช้าของเมื่อวาน - ท่วงทำนองบนท้องถนนฟังไม่ได้ศัพท์ ต่างคนต่างแย่งกันส่งเสียงความปรารถนาส่วนตน ดี-เลว-ชั่ว-ช้า-สับสน-ปนเป อยู่ในความคิดและการกระทำ กังวานนั้นไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ และผมมักหลบเร้นเสียงเหล่านั้นด้วยบทเพลงจากอัลบั้มโลกมืดของวงดอนผีบิน

"เดินไปตามเส้นทางของเรา จะเป็นอย่างไร ไม่มีใครหยั่งรู้ วันเวลาทุกนาทีไม่รีรอ หลงทางต้องร่วงหล่น" เพลงโลกันต์โลกา
 
อ้างอิง
[1]ปาร์ตี้ปิดเล่ม ดอนผีบิน นิตยสาร บันเทิงคดี  ปีที่ 7 ฉบับที่ 66 พฤศจิกายน 2538
[2]อุกาบาตดนตรี เฮฟวี่จากเมืองน่าน ดอนผีบิน นิตยสารสีสัน
[3]คำขอบคุณในปกอัลบั้มโลกมืด

จาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1455198607

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 01, 2016, 11:27:41 am »

ซีรีส์บทความ Street of Life : ตอนที่ 1 โลกมืด

โดย เอกวิทย์ เตระดิษฐ์

 
กว่า 20 ปีที่ชื่อของ 'ดอนผีบิน' โลดแล่นในวงการเพลง ทั้งใต้ดินและบนดิน มีผลงานอัลบั้มเต็ม บันทึกการแสดงสด และอัลบั้มพิเศษต่างๆ กว่า 10 ชุด ผ่านการร่วมงานกับค่ายเพลงขนาดเล็กและใหญ่ ฝ่าฟันร้อนหนาวหลายฤดูจนเป็นที่รู้จักของกลุ่มคนที่พิสมัยดนตรีหนักหน่วงแบบเฮฟวี่เมทัล
 
พวกเขาไม่ใช่นักดนตรีที่ทำเพลงเอามันหรือมักมากเรื่องชื่อเสียงเงินตรา แต่ดอนผีบินทำเพลงเพราะต้องการสะท้อนภาพปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม หวังให้ผู้ฟังได้ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ เพลงทุกบท ฉากทุกตอน ถูกร้อยเรียงไว้อย่างละเมียดละไม ภาษาที่ใช้สละสลวยสวนทางกับดนตรีที่หนักแน่นแต่กลับลงตัวอย่างน่าประหลาด

ที่ว่ามาเป็นเสน่ห์บางส่วนที่ทำให้มีผู้ติดตามวงเพิ่มขึ้นมากมาย อาจจะไม่เท่าแฟนคลับศิลปินดังในกระแส แต่ชื่อดอนผีบินไม่เคยหายจากสารบบ แม้จะเป็นช่วงที่พวกเขาห่างหายจากการทำงานเพลงก็ตาม

ปัจจุบันดอนผีบินกำลังทำงานเพลงชุดใหม่ เป็นภาคต่อของเรื่องราวในอัลบั้ม 'แดนดินทิพย์' โลกใหม่ที่ผู้คนต้องแสวงหา หลังจากที่เราได้ทำลายดวงดาวสีน้ำเงินใบเดิมไปเสียสิ้น


ซีรี่ย์ Street of Life จะนำเรื่องราวทั้งหมดก่อนการเดินทางไปสู่ดวงดาวพราวแสงแห่งใหม่