ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 04, 2016, 08:08:31 pm »ชวนเที่ยววัดเจดีย์เทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) หรือ วัดเทพธิดาราม @เมืองเว้, เวียดนาม
เจดีย์เทียนมู่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม เมืองเว้ เมืองมรดกโลกแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีความสำคัญและสวยงามควรค่าแก่การเยี่ยมเยือนอย่างมาก ทั้งในแง่ของพุทธศาสถาน และพุทธศิลปะ นิกายเซน ที่ได้รับอิทธิพลของนิกายมหายาน
เจดีย์เทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) หรือ วัดเทพธิดาราม
ชวนเที่ยววัดเจดีย์เทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) หรือ วัดเทพธิดาราม @เมืองเว้, เวียดนาม
เจดีย์เทียนมู่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม เมืองเว้ เมืองมรดกโลกแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีความสำคัญและสวยงามควรค่าแก่การเยี่ยมเยือนอย่างมาก ทั้งในแง่ของพุทธศาสถาน และพุทธศิลปะ นิกายเซน ที่ได้รับอิทธิพลของนิกายมหายาน
เจดีย์เทียนมู่ สร้างในปี พ.ศ.2144 (คศ.1601) ตามดำริของขุนนางเหวียนฮวาง (Nguyen Hoang) เจ้าผู้ปกครองเมืองเว้ (หรือเมือง Thuận Hóa) ในขณะนั้น เมื่อครั้นที่ท่านได้ร่องเรือเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของบ้านเมืองโดยรอบ และมาได้ยินเรื่องเล่าของชาวบ้านบริเวณนี้เข้า ว่า มีเรื่องเล่ากันว่า เคยมีคนเห็นหญิงสูงอายุคนหนึ่ง( Thiên Mụ หรือเทพธิดา) สวมชุดสีแดง ฟ้า นั่งเช็ดแก้ม ตรงบริเวณภูเขาที่ได้สร้างเจดีย์ในปัจจุบัน หญิงผู้นี้ได้บอกว่าวันหนึ่งจะมีผู้ยิ่งใหญ่มาสร้างเจดีย์บริเวณนี้และจะนำสันติสุขมาสู่เมือง เมื่อขุนนาง Nguyen Hoang ได้ผ่านมาและทราบเรื่องเข้าจึงสร้างเจดีย์ขึ้น และให้ชื่อว่า Chua Thien Mu มีความหมายว่า เจดีย์นางฟ้า หรือ คนไทยเรียกว่า วัดเทพธิดาราม
เป็นเจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูง 7 ชั้น เชื่อว่าเป็นตัวแทนภพชาติต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ทางด้านซ้าย-ขวา เป็นที่ตั้งของศิลาจารึก ระฆังสำริดขนาดใหญ่ หนักถึง 3285 กิโลกรัม ที่ประตูทางเข้าสู่บริเวณภายในวัด มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์ คอยยืนปกปักษ์รักษาไม่ให้ความชั่วร้ายผ่านเข้ามา
ในแง่ของประวัติศาสตร์ ทางการเมือง และศาสนา
วัดเจดีย์เทียนมู่ แห่งนี้ ถึงเป็นพุทธสถาน ที่มีความสำคัญมาก ในแง่ของการเป็นจุดรวมพลของชาวเวียดนามที่นับถือศาสนาพุทธ ที่ไม่พอใจรัฐบาลโงดินห์เดียม ที่มีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวง และสั่งทำลาย ทำร้ายผู้นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมีมากกว่า 90% อย่างรุนแรง
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สำคัญ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้าน ขึ้นในวันที่ 11 มิถุนายน 2506 วันนั้นโลกต้องตกตะลึง เมื่อ พระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก วัยุ 73 ปี เจ้าอาวาสจากวัดเทียนมู่ ประกาศอุทิศชีวิตเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ด้วยการเผาตนเอง ณ กรุงไซง่อน (โฮจิมินห์ ซิตี้ ในปัจจุบัน)
แต่คณะรัฐบาลโงดินห์เดียม ไม่ได้ให้ความสนใจใยดี และสั่งกวาดล้างพระสงฆ์หนักขึ้น และมีพระรูปอื่นเผาตัวเองประท้วงอีกหลายรูป แต่การเรียกร้องครั้งนั้น ก็ได้จุดชนวนให้กลุ่มทหารผู้นับถึงพุทธลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาล โดยการนำของหัวหน้าเสนาธิการกองทัพเทียน วัน ดง และนายพลสำคัญๆอย่าง เยื้อง วัน มินห์, ทราน เทียน เคียม, เล วัน คิม และ เหวียน ฮู โก แผนการเริ่มขึ้น 11:00 น. ของวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2506 และสุดท้าย ปธน.โงดินห์เดียม และน้องชาย ถูกทหารยิงประหารในวันรุ่งขึ้น
หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง รถออสตินคันสีฟ้า ที่พระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ใช้เป็นพาหนะขับไปจอดที่กลางกรุงไซ่งอน ในวันที่ท่านเผาตัวเอง พร้อมทั้งเถ้าถ่าน และหัวใจของท่าน ถูกนำมาเก็บไว้ในสถูปทองคำ วัดเทียนมู่ จนถึงปัจจุบัน
แต่ช่วงหลังๆ มานี้ทางวัดไม่ได้เปิดในส่วนของสถูปทองคำให้เข้าชมได้อย่างใกล้ชิดแล้ว แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถเข้าชมบรรยากาศความสวยงามได้โดยรอบนะคะ
จาก http://www.indochinaexplorer.com/viewhotshot.php?hotid=192
เวียดนามตอนที่ 6 ( วัดเทียนมู่ ริมแม่น้ำหอม )
วัดเทียนมู่ วัดเซนแห่งเมืองเว้ ที่เจ้าอาวาสเผาตัวเองประท้วงรัฐบาลเมื่อ พ.ศ.2506 จนเป็นข่าวไปทั่วโลก
(บันทึกการเดินทางเมื่อเดือน เมษายน 2550)
เช้านี้หลังจากเที่ยวสุสานไดคิงห์ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขานอกเมืองเว้ จากนั้นก็กลับเข้าตัวเมืองเพื่อชมวัดเทียนมู่ หรือวัดเทียนหมู่ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Thien Mu Pagoda แต่คนเวียดนามเรียกว่า An Quan ในอดีตพระสงฆ์นิกายเซ็น จากวัดนี้ก็สร้างความฮือฮา จนโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยการราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาตนเองเพื่อประท้วงรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ที่ย่ำยีชาวพุทธเมื่อปี 2507 แต่เรื่องนี้เอาเก็บไปพูดกันตอนท้ายๆ เพราะเรื่องมันยาวครับ
เมืองเว้ ตามที่ได้บอกแต่ตอนแรกๆว่า เป็นเมืองประวัติศาสตร์ของเวียดนาม เทียบกับบ้านเราก็น่าจะพอๆกับจังหวัดอยุธยา แต่เว้เป็นเมืองใหญ่และมีประชากรอาศัยเป็นจำนวนมาก และในบรรดาของเมืองต่างๆของเวียดนาม ก็มีเมืองเว้นี้แหละที่ทำรายได้จากการท่องเที่ยวได้มากที่สุด แต่อนาคตก็ไม่แน่ เพราะเมืองฮานอยก็เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญไม่แพ้กัน มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆได้แก่สุสานโฮจิมินห์ อ่าวฮาลอง หรือฮาลองเบย์ ซึ่งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ปัจุบันมีคนไทยไปเที่ยวเมืองนี้กันมาก ท่านใดสนใจเที่ยวฮานอย ก็ต้องคอยติดตามได้ที่นี่ ในภาคที่ 2 ของเวียดนาม
มาเที่ยวเมืองเว้แล้วรับรองว่าไม่เหงา ทั้งคนทั้งจักรยาน รวมทั้งมอเตอร์ไซด์ วิ่งกันจนเต็มท้องถนน คนไทยที่มาถึงเมืองเว้ใหม่ๆต่างก็รู้สึกตื่นเต้น ว่าทำไมถึงมากมายขนาดนี้ เวียดนามมีประชากรถึง 85 ล้านคน แต่มีพื้นที่น้อยจึงอยู่กันอย่างแออัดกว่าบ้านเรามาก ตามซอกตามซอยก็หนีไม่พ้นต้องเจอผู้คนและรถรากันตั้งแต่เช้ายันดึก
แต่ก็น่าแปลกที่เวียดนามมีประชากรค่อนข้างมากแต่กลับมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ดีทีเดียว ไม่เหมือนบ้านเราที่ต่างคนต่างอยู่
ไกด์ลาวที่พูดภาษาเวียดนามได้ และเป็นผู้นำเที่ยวในทริปนี้บอกว่า คนเวียดนามชอบไปมาหาสู่กันด้วยการขี่จักรยาน ไม่ชอบอยู่บ้านเฉยๆ ยิ่งตอนเย็นๆจะเห็นหนุ่มสาวขี่จักรยานไปตามท้องถนน พอค่ำหน่อยก็จะหามุมสงบนั่งคุยกัน คนเวียดนามเป็นคนที่มีอารมณ์โรแมนติก ให้ความสำคัญกับชีวิตคู่ หากสังเกตให้ดีอาจเห็นพิธีแต่งงานซึ่งจัดกันในบ้าน มีฉากผ้าม่านสีสดใสกั้นหน้าบ้านเพื่อให้รู้ว่าบ้านนี้มีงาน หรือหากฐานะดีหน่อยก็อาจเห็นรถเก๋งที่ตกแต่งด้วยผ้าสีชมภู ไม่ต่างกับวัฒนธรรมทางตะวันตก
นึกถึงเมื่อครั้งที่ไปเที่ยวสิงคโปร์ ไกด์ที่นั่นบอกว่าคนสิงคโปร์แต่งงานกันยาก ทำให้ประชากรไม่เพิ่มขึ้น รัฐบาลต้องหาวิธีการต่างๆเพื่อส่งเสริมให้คนในชาติแต่งงานและผลิตลูกผลิตหลาน จะได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีซึ่งลดให้มากมาย แต่ไม่ค่อยได้ผลนัก เหตุผลก็คือคนสิงคโปร์มีการศึกษาสูงทั้งผู้หญิงผู้ชาย จบมาก็มุ่งแต่ทำงานหาเงิน อารมณ์ที่จะคิดแต่งงานก็พลอยลดลงไปด้วยโดยเฉพาะผู้หญิง เพราะสามารถทำงานเลี้ยงตัวเองได้ บางคนก็เรียนสูงกว่าหรืออาจมีรายได้มากกว่าฝ่ายชาย ไกด์บอกว่าใครมาเที่ยวสิงคโปร์แล้วเจอคนท้องก็ต้องบอกว่าโชคดีมาก เพราะสิงคโปร์หาคนท้องยากมาก แถมยังพูดดักหน้าไว้เสร็จว่า หากเจอคนท้องแล้วก็ต้องบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ไช่คนสิงคโปร์
ผมเคยไปเที่ยวทั้งสิงคโปร์ และเวียดนาม ก็เอามาเล่าสู่กันฟังว่าคนสิงคโปร์ไม่ค่อยสนใจเรื่องความรักและชีวิตคู่ อาจจะเลือกมากหรือมากเรื่องก็ไม่แน่ใจ ผิดกับประเทศเวียดนามที่เป็นคนโรแมนติก กระหนุงกระหนิงกันตามที่สาธารณะจนเห็นเป็นปกติ และเมืองเว้ก็เห็นผู้หญิงเดินอุ้มท้องอยู่หลายคน
“ แล้วเมืองไทยละ “ อาจมีคนตั้งคำถาม
คงตอบแบบมั่วๆว่า “ คนไทยชอบมีกิ๊กมากกว่ามีเมีย หรือมีเมียแล้วแต่ก็ชอบมีกิ๊ก “
ก็ไม่ทราบว่าจะถูกต้องหรือเปล่า แต่อาจถูกใจหลายๆคน
ดูตัวอย่างจากละครโทรทัศน์บ้านเราก็ได้ ที่มักชอบบอกว่าเป็นการสะท้อนสังคมและเพื่อความบันเทิง ก็มีเรื่องราวทำนองนี้อยู่บ่อยๆ จนเป็นเอกลักษณ์ว่า หากไม่มีบทชู้สาว ด่ากันไฟแลบ หรือตบตีกัน รู้สึกจะเรตติ้ง(คะแนนความนิยมของคนดู) อาจจะตก แต่ละเรื่องจึงมีฉากปลุกปล้ำอยู่หลายตอน ไม่นานนี้ก็มีเรื่องราวของแอร์โฮสเตสสาว ตบแย่งผัวกัน.. ตบกันดีๆก็พอดูได้ แต่ตบกันแบบเอาเป็นเอาตาย ชนิดกระโปรงสั้นจู๋มันถลกขึ้นมาถึงโคนขา จนแทบจะเห็นกางเกงใน ชนิดที่บาดตาบาดตาบาดใจชายไทยทั่วทั้งประเทศ แบบนี้มันก็ไม่ไหว ผมคนหนึ่งละที่ทนดูไม่ได้ (ขอยืนยันอย่างลูกผู้ชาย)
ก่อนวัดเทียนมู่ประมาณ 3-4 กิโลเมตร รถพาวิ่งเลียบแม่น้ำหอมซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองเว้ แม่น้ำหอม มีหลายชื่อ บ้างก็เรียกว่าแม่น้ำเฮือง หรือเฮืองยาง หรือแม่น้ำเหือง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Song Houng river ชาวเมืองเว้ตั้งฉายาอีกความหมายหนึ่งว่า “ แม่น้ำแห่งความรัก “ เพราะแม่น้ำสายนี้ใช้เป็นสะพานรัก ของหนุ่มสาวเมืองเว้มาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ริมฝั่งแม่น้ำหอมอันแสนโรแมนติก ช่วยให้หลายคู่ประสบพบรักมามากต่อมากแล้ว เสียดายที่มีเวลาน้อย ไม่งั้นคงต้องพิสูจน์ว่า บรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำหอมนี้ ความรักมันจะหอมหวานกันขนาดไหนเชียว ภาษาเวียดนามก็พูดไม่ได้ รู้แต่คำว่า ซินจ่าว ที่แปลว่า สวัสดี ส่วนคำอื่นก็พูดไม่เป็น แต่หากเป็นภาษารักแล้วน่าจะพอจะกล้อมแกล้มไปได้บ้าง คงต้องอาศัยภาษามือ (จากมือถึงมือ) และแววตาที่เซื่องซึม(อย่างน่าสงสาร) น่าจะประสบความสำเร็จได้บ้าง
ภาพริมฝั่งแม่น้ำหอมหลายภาพในชุดนี้ น่าจะทำให้หลายคนอิจฉาคนเมืองเว้ที่มีแม่น้ำสายบริสุทธ์ มีธรรมชาติที่สวยงามจนอยากมาเที่ยว และในชุดนี้ก็มีหนุ่มสาวเวียดนามนั่งจีบกันอยู่ด้วย เป็นหลักฐานว่าทุกวันนี้หนุ่มสาวเมืองเว้ยังใช้แม่น้ำหอมนี้เป็นสักขีพยานของความรัก
วัดเทียนมู่เป็นวัดพุทธศาสนานิกายเซ็น ตั้งอยู่บนเนินเขาริมแม่น้ำหอม อยู่ห่างจากเมืองเว้ประมาณ 2-3 กิโลเมตรเท่านั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากเมืองเว้โดยนั่งเรือมังกรสองหัว ที่ดัดปลงให้เป็นเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ล่องมาตามแม่น้ำหอม ภายในเรือจะมีดนตรีประจำชาติเวียดนามขับกล่อมตลอดทาง แต่ละเพลงมีความไพเราะจนอาจหลงไหลนักร้องสาวหรือนักดนตรีสาวๆหน้าตาดีก็เป็นได้
วัดเทียนมู่มีสถูปเจดีย์แบบจีนทรง 8 เหลี่ยม แบ่งเป็นชั้นๆถึง 9 ชั้น แต่ละชั้นแทนภพชาติของพระพุทธเจ้า เจดีย์ 9 ชั้นนี้ถือป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเวียดนาม และเป็นสัญลักษณ์ของวัดนี้ ในวัดเทียนมู่จะเห็นสามเณรและแม่ชี แต่งกายแบบพระเวียดนามในสมัยก่อน แม่ชีจะนุ่งสีออกเทาๆ ส่วนเณรจะนุ่งจีวรสีเข้มหรือสีกระ คล้ายพระป่าในบ้านเรา และสามเณรที่วัดนี้ต่างจากบ้านเราตรงที่จะไม่โกนผมทั้งศรีษะ แต่จะไว้ทรงเป๋ๆ เข้าใจว่าเมื่อบวชนานเข้าก็จะค่อยๆโกนจนหมดทั้งศรีษะ
ศาสนาพุทธในเวียดนามได้ล่มสลายไปเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ปัจจุบันวัดพุทธในเวียดนามเหลืออยู่น้อยมาก สำหรับวัดเทียนมู่ที่เห็นนี้ดูแล้วน่าจะคงไว้เพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้นเอง สภาพภายในวัดยังคงไว้เช่นเดียวกับวัดเซ็น เช่นมีโรงครัว และพระเณรในวัดจะหุงหาอาหารกันเอง เช่นเดียวกับวัดเซ็นในญี่ปุ่น
เวียดนาม หากย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 44 ปี หรือ พ.ศ. 2506 มีผู้นับถือศาสนาพุทธอยู่ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างกับประเทศไทยในเวลานั้น รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆเช่น ลาว กัมพูชา และพม่า แต่พุทธศาสนาในเวียดนามต้องพบกับการบีบคั้นเป็นอย่างมาก จากรัฐบาลที่เป็นกลุ่มตัวแทนของคาทอลิค และมีใบสั่งจากอเมริกา
เหตุการณ์เลวร้ายในเวียดนามเกิดขึ้นในสมัยของ ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ผู้โค่นล้มระบอบกษัตริย์บ่าวได๋ และตั้งตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม โดยการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ร่วมกับกรุงวาติกัน(ศูนย์กลางคริสต์จักรคาทอลิค) จนกลายเป็นรัฐบาลคริสเตียนโรมันคาทอลิค โดยโง ดินห์ เดียม ได้แต่งตั้งญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดที่เป็นคาทอลิคด้วยกันเข้าร่วมรัฐบาล พร้อมกับให้ความสำคัญและให้สิทธิพิเศษแก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ รวมถึงประชาชนที่นับถือศาสนาคริสต์ ส่วนผู้นับถือศาสนาพุทธกลายเป็นบุคคลชั้นสอง
หลังจาก โง ดินห์ เดียม ได้เป็นประธานาธิบดี ก็ได้ออกกฏหมาย และระเบียบต่างๆที่หักหาญจิตใจชาวพุทธ จนเกิดการต่อต้านจากพระสงฆ์ กลุ่มแม่ชี และชาวพุทธในเวียดนาม แต่เป็นการต่อต้านแบบอหิงสา เช่นการเดินขบวน แจกจ่ายแถลงการณ์ และอดอาหารประท้วง
กฏเหล็กที่ย่ำยีจิตใจชาวพุทธในเวียดนาม และต่อชาวพุทธทั่วโลกมีหลายรูปแบบ
ได้แก่ความพยายามที่จะให้ประเทศเวียดนามเปลี่ยนจากศาสนาพุทธมานับถือศาสนาคริสต์ด้วยวิธีการอันเหี้ยมโหด เช่น ส่งกำลังตำรวจเข้าปราบปราบฆ่าพระ แม่ชี และเผาวัด โดยใช้กลุ่มทหารตำรวจที่เป็นคาทอลิคด้วยกัน หรือใช้รถยนต์วิ่งเข้าหาฝูงชนขณะที่รวมตัวประท้วงตามท้องถนน ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีนับร้อยๆคน หรือไม่อนุญาตให้ออกหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนารวมทั้งให้งดออกรายการทางวิทยุกระจายเสียงในวันสำคัญทางศาสนา ให้ประชาชนนำภาพพระเยซูที่ได้รับมาจากทางการ นำมาตั้งไว้ในบ้าน หากถูกทำลายจะได้รับโทษอย่างร้ายแรง การประกอบศาสนกิจในวัดจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลพร้อมต้องแจ้งด้วยว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน และจำนวนกี่คน
รวมไปถึงดัดแปลงแก้ไขคำสอนในพุทธศาสนาเพื่อใช้เป็นแบบเรียนโดยเป็นคำสั่งของ โง ดินห์ ถึก (พี่ชาย โง ดินห์ เดียม) ซึ่งคุมกระทรวงศึกษาธิการด้วย
และที่น่าขันก็คือ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2506 เป็นเวลาที่ โง ดินห์ ถึก สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ซึ่งเดินทางไปประชุมสังคายนาวาติกัน 2 ( VATICAN COUNCIL 2) ณ กรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ได้แถลงต่อที่ประชุมวาติกันว่า "ประเทศเวียตนามเป็นประชากรของพระเจ้า ประชาชนเวียตนามล้วนนับถือในพระเจ้า และซื่อสัตย์ต่อสันตะปาปา" พร้อมกันนั้น โง ดินห์ ถึก ได้โทรเลขด่วน สั่งให้บาทหลวงใต้บังคับบัญชาของตนในเมืองเว้ ให้ประชาชนทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขนขึ้นที่หน้าบ้าน เพื่อจะได้เป็นข่าวทางสื่อมวลชน ยืนยันให้สันตะปาปา เชื่อถือ และมอบตำแหน่งคาร์ดินัล ให้กับโง ดินห์ ถึก
เหตุการณ์มีความตึงเครียดขึ้นตามลำดับทั่วทั้งประเทศเวียดนาม ทางการได้ส่งตำรวจทหารไปตรึงอยู่ตามวัดต่างๆ ที่มีการชุมนุมของชาวพุทธ โดยเฉพาะเมืองเว้ที่มีวัดสำคัญๆอยู่หลายวัด และเป็นที่ประทับของสังฆราชหรือประมุขของสงฆ์ในประเทศเวียดนาม
พระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก วัยุ 73 ปี จากวัดเทียนมู่ ทนเห็นความทารุณโหดร้ายจากการใช้อำนาจของรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ได้ จึงได้ประกาศอุทิศชีวิต เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนา โดยนั่งรถออสตินออกจากวัดเทียนมู่ ในคืนวันที่ 10 มิถุนายน 2506 ถึงกรุงไซ่ง่อนในเช้าวันที่ 11 มิถุนายน 2506 เพื่อร่วมประท้วงกับกลุ่มชาวพุทธ ที่กำลังเดินขบวนอยู่ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล
หลังจากพระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ได้เขียนข้อเรียกร้องถึง 6 ข้อ ให้รัฐบาลหยุดทารุณกรรม ท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ 1,000 คนด้วยความสงบ เพื่อไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และพุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนขบวนผู้ประท้วงเสียชีวิตในวันที่ 8 พฤษภาคม 2506 ที่ผ่านมา (มีพระและนางชีเสียชีวิต 70 คน ชาวพุทธอื่นๆอีก 30 คน) จากนั้นขบวนชาวพุทธก็เดินต่อไปอย่างสงบ โดยมีรถนำพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง (กรุงไซ่ง่อน)
พระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ก้าวลงจากรถไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีชาวพุทธล้อมเป็นวงใหญ่
จากนั้นได้มีผู้หยิบถังน้ำมันเบนซิน 5 แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนร่างกายของพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นก็เอาไฟจุด ไฟลุกโชติช่วงท่วมร่างอยู่นานประมาณ 10 นาที ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นก็หงายหลังอย่างสงบ โดยไม่ได้แสดงอาการทุกขเวทนาทุรนทุรายแต่อย่างใด
เหตุการณ์ที่กระทบต่อพุทธศาสนาในเวียดนามเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน นับว่ารุนแรงกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 16 , 6 ตุลา 19 หรือ พฤษภา 35 อย่างเทียบกันไม่ได้
หลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ก็มีการปฏิวัติเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2506 โดยกลุ่มทหารยังเติร์กที่ทนดูรัฐบาลทำร้ายพระสงฆ์และชาวพุทธต่อไปไม่ได้ และการปฏิวัติครั้งนี้ได้รับไฟเขียวจากอเมริกา ในฐานะที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม มาตั้งแต่แรก
ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม สังฆราชตริสเตียน โง เดียม คาน และพี่ชาย โง ดินห์ ถึก ถูกทหารยิงเสียชีวิต หลังหนีกบดานไปอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่งในย่านโชลอง ซึ่งเป็นย่านคนจีนในไซ่ง่อน ส่วนผู้ร่วมในคณะรัฐบาล ทหาร ตำรวจ ที่เข่นฆ่า พระ นางชี และประชาชนในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ถูกประหารชีวิตทั้งหมด
ความผิดที่โ่ค่นบัลลังค์กษัตริย์ นับว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ แต่กลับเหิมเกริมถึงขั้นจะเปลี่ยนศาสนาของคนทั้งประเทศ ดูจะเป็นความผิดต่อแผ่นดินอย่างไม่น่าให้อภัย แต่จุดจบของชีวิตก็ดูจะสาสมกับสิ่งที่ตนเองและญาติพี่น้องได้กระทำลงไป สำหรับในเมืองไทยหากใครคิดกระทำการที่หมิ่นสถาบัน คิดล้มล้างระบอบกษัตริย์ก็ขอให้ไปศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศเวียดนามเสียก่อน แล้วจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วชีวิตจะจบลงแบบใด
เรื่องวัดเทียนมู่อาจดูเครียดๆหน่อยนะครับ แต่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ชาวพุทธควรจะรับรู้ไว้บ้าง โดยเฉพาะภาพพระเผาตนเอง เป็นภาพที่สะเทือนใจและสร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วัดเทียนมู่ มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจ โดยเฉพาะชาติตะวันตก ที่เคยก่อกรรมทำเข็ญมาหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส หรืออเมริกา ทุกวันนี้ชาติเหล่านั้นพยายามไถ่บาปให้กับตนเอง โดยให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆเพื่อฟื้นฟูประเทศเวียดนาม
สำหรับทัวร์เวียดนามตอนต่อไปจะพาเข้าวังครับ ใครอยากเข้าวังไปกับผมก็เตรียมเนื้อเตรียมตัว และแต่งกายให้สุภาพด้วยนะครับ
จาก http://www.photoontour.com/outbound/vietnam/vietnam06.htm
เจดีย์เทียนมู่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม เมืองเว้ เมืองมรดกโลกแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีความสำคัญและสวยงามควรค่าแก่การเยี่ยมเยือนอย่างมาก ทั้งในแง่ของพุทธศาสถาน และพุทธศิลปะ นิกายเซน ที่ได้รับอิทธิพลของนิกายมหายาน
เจดีย์เทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) หรือ วัดเทพธิดาราม
ชวนเที่ยววัดเจดีย์เทียนมู่ (Thien Mu Pagoda) หรือ วัดเทพธิดาราม @เมืองเว้, เวียดนาม
เจดีย์เทียนมู่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม เมืองเว้ เมืองมรดกโลกแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีความสำคัญและสวยงามควรค่าแก่การเยี่ยมเยือนอย่างมาก ทั้งในแง่ของพุทธศาสถาน และพุทธศิลปะ นิกายเซน ที่ได้รับอิทธิพลของนิกายมหายาน
เจดีย์เทียนมู่ สร้างในปี พ.ศ.2144 (คศ.1601) ตามดำริของขุนนางเหวียนฮวาง (Nguyen Hoang) เจ้าผู้ปกครองเมืองเว้ (หรือเมือง Thuận Hóa) ในขณะนั้น เมื่อครั้นที่ท่านได้ร่องเรือเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของบ้านเมืองโดยรอบ และมาได้ยินเรื่องเล่าของชาวบ้านบริเวณนี้เข้า ว่า มีเรื่องเล่ากันว่า เคยมีคนเห็นหญิงสูงอายุคนหนึ่ง( Thiên Mụ หรือเทพธิดา) สวมชุดสีแดง ฟ้า นั่งเช็ดแก้ม ตรงบริเวณภูเขาที่ได้สร้างเจดีย์ในปัจจุบัน หญิงผู้นี้ได้บอกว่าวันหนึ่งจะมีผู้ยิ่งใหญ่มาสร้างเจดีย์บริเวณนี้และจะนำสันติสุขมาสู่เมือง เมื่อขุนนาง Nguyen Hoang ได้ผ่านมาและทราบเรื่องเข้าจึงสร้างเจดีย์ขึ้น และให้ชื่อว่า Chua Thien Mu มีความหมายว่า เจดีย์นางฟ้า หรือ คนไทยเรียกว่า วัดเทพธิดาราม
เป็นเจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูง 7 ชั้น เชื่อว่าเป็นตัวแทนภพชาติต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ทางด้านซ้าย-ขวา เป็นที่ตั้งของศิลาจารึก ระฆังสำริดขนาดใหญ่ หนักถึง 3285 กิโลกรัม ที่ประตูทางเข้าสู่บริเวณภายในวัด มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์ คอยยืนปกปักษ์รักษาไม่ให้ความชั่วร้ายผ่านเข้ามา
ในแง่ของประวัติศาสตร์ ทางการเมือง และศาสนา
วัดเจดีย์เทียนมู่ แห่งนี้ ถึงเป็นพุทธสถาน ที่มีความสำคัญมาก ในแง่ของการเป็นจุดรวมพลของชาวเวียดนามที่นับถือศาสนาพุทธ ที่ไม่พอใจรัฐบาลโงดินห์เดียม ที่มีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวง และสั่งทำลาย ทำร้ายผู้นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมีมากกว่า 90% อย่างรุนแรง
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สำคัญ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้าน ขึ้นในวันที่ 11 มิถุนายน 2506 วันนั้นโลกต้องตกตะลึง เมื่อ พระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก วัยุ 73 ปี เจ้าอาวาสจากวัดเทียนมู่ ประกาศอุทิศชีวิตเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ด้วยการเผาตนเอง ณ กรุงไซง่อน (โฮจิมินห์ ซิตี้ ในปัจจุบัน)
แต่คณะรัฐบาลโงดินห์เดียม ไม่ได้ให้ความสนใจใยดี และสั่งกวาดล้างพระสงฆ์หนักขึ้น และมีพระรูปอื่นเผาตัวเองประท้วงอีกหลายรูป แต่การเรียกร้องครั้งนั้น ก็ได้จุดชนวนให้กลุ่มทหารผู้นับถึงพุทธลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาล โดยการนำของหัวหน้าเสนาธิการกองทัพเทียน วัน ดง และนายพลสำคัญๆอย่าง เยื้อง วัน มินห์, ทราน เทียน เคียม, เล วัน คิม และ เหวียน ฮู โก แผนการเริ่มขึ้น 11:00 น. ของวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2506 และสุดท้าย ปธน.โงดินห์เดียม และน้องชาย ถูกทหารยิงประหารในวันรุ่งขึ้น
หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง รถออสตินคันสีฟ้า ที่พระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ใช้เป็นพาหนะขับไปจอดที่กลางกรุงไซ่งอน ในวันที่ท่านเผาตัวเอง พร้อมทั้งเถ้าถ่าน และหัวใจของท่าน ถูกนำมาเก็บไว้ในสถูปทองคำ วัดเทียนมู่ จนถึงปัจจุบัน
แต่ช่วงหลังๆ มานี้ทางวัดไม่ได้เปิดในส่วนของสถูปทองคำให้เข้าชมได้อย่างใกล้ชิดแล้ว แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถเข้าชมบรรยากาศความสวยงามได้โดยรอบนะคะ
จาก http://www.indochinaexplorer.com/viewhotshot.php?hotid=192
เวียดนามตอนที่ 6 ( วัดเทียนมู่ ริมแม่น้ำหอม )
วัดเทียนมู่ วัดเซนแห่งเมืองเว้ ที่เจ้าอาวาสเผาตัวเองประท้วงรัฐบาลเมื่อ พ.ศ.2506 จนเป็นข่าวไปทั่วโลก
(บันทึกการเดินทางเมื่อเดือน เมษายน 2550)
เช้านี้หลังจากเที่ยวสุสานไดคิงห์ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขานอกเมืองเว้ จากนั้นก็กลับเข้าตัวเมืองเพื่อชมวัดเทียนมู่ หรือวัดเทียนหมู่ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Thien Mu Pagoda แต่คนเวียดนามเรียกว่า An Quan ในอดีตพระสงฆ์นิกายเซ็น จากวัดนี้ก็สร้างความฮือฮา จนโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยการราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาตนเองเพื่อประท้วงรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ที่ย่ำยีชาวพุทธเมื่อปี 2507 แต่เรื่องนี้เอาเก็บไปพูดกันตอนท้ายๆ เพราะเรื่องมันยาวครับ
เมืองเว้ ตามที่ได้บอกแต่ตอนแรกๆว่า เป็นเมืองประวัติศาสตร์ของเวียดนาม เทียบกับบ้านเราก็น่าจะพอๆกับจังหวัดอยุธยา แต่เว้เป็นเมืองใหญ่และมีประชากรอาศัยเป็นจำนวนมาก และในบรรดาของเมืองต่างๆของเวียดนาม ก็มีเมืองเว้นี้แหละที่ทำรายได้จากการท่องเที่ยวได้มากที่สุด แต่อนาคตก็ไม่แน่ เพราะเมืองฮานอยก็เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญไม่แพ้กัน มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆได้แก่สุสานโฮจิมินห์ อ่าวฮาลอง หรือฮาลองเบย์ ซึ่งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ปัจุบันมีคนไทยไปเที่ยวเมืองนี้กันมาก ท่านใดสนใจเที่ยวฮานอย ก็ต้องคอยติดตามได้ที่นี่ ในภาคที่ 2 ของเวียดนาม
มาเที่ยวเมืองเว้แล้วรับรองว่าไม่เหงา ทั้งคนทั้งจักรยาน รวมทั้งมอเตอร์ไซด์ วิ่งกันจนเต็มท้องถนน คนไทยที่มาถึงเมืองเว้ใหม่ๆต่างก็รู้สึกตื่นเต้น ว่าทำไมถึงมากมายขนาดนี้ เวียดนามมีประชากรถึง 85 ล้านคน แต่มีพื้นที่น้อยจึงอยู่กันอย่างแออัดกว่าบ้านเรามาก ตามซอกตามซอยก็หนีไม่พ้นต้องเจอผู้คนและรถรากันตั้งแต่เช้ายันดึก
แต่ก็น่าแปลกที่เวียดนามมีประชากรค่อนข้างมากแต่กลับมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันได้ดีทีเดียว ไม่เหมือนบ้านเราที่ต่างคนต่างอยู่
ไกด์ลาวที่พูดภาษาเวียดนามได้ และเป็นผู้นำเที่ยวในทริปนี้บอกว่า คนเวียดนามชอบไปมาหาสู่กันด้วยการขี่จักรยาน ไม่ชอบอยู่บ้านเฉยๆ ยิ่งตอนเย็นๆจะเห็นหนุ่มสาวขี่จักรยานไปตามท้องถนน พอค่ำหน่อยก็จะหามุมสงบนั่งคุยกัน คนเวียดนามเป็นคนที่มีอารมณ์โรแมนติก ให้ความสำคัญกับชีวิตคู่ หากสังเกตให้ดีอาจเห็นพิธีแต่งงานซึ่งจัดกันในบ้าน มีฉากผ้าม่านสีสดใสกั้นหน้าบ้านเพื่อให้รู้ว่าบ้านนี้มีงาน หรือหากฐานะดีหน่อยก็อาจเห็นรถเก๋งที่ตกแต่งด้วยผ้าสีชมภู ไม่ต่างกับวัฒนธรรมทางตะวันตก
นึกถึงเมื่อครั้งที่ไปเที่ยวสิงคโปร์ ไกด์ที่นั่นบอกว่าคนสิงคโปร์แต่งงานกันยาก ทำให้ประชากรไม่เพิ่มขึ้น รัฐบาลต้องหาวิธีการต่างๆเพื่อส่งเสริมให้คนในชาติแต่งงานและผลิตลูกผลิตหลาน จะได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีซึ่งลดให้มากมาย แต่ไม่ค่อยได้ผลนัก เหตุผลก็คือคนสิงคโปร์มีการศึกษาสูงทั้งผู้หญิงผู้ชาย จบมาก็มุ่งแต่ทำงานหาเงิน อารมณ์ที่จะคิดแต่งงานก็พลอยลดลงไปด้วยโดยเฉพาะผู้หญิง เพราะสามารถทำงานเลี้ยงตัวเองได้ บางคนก็เรียนสูงกว่าหรืออาจมีรายได้มากกว่าฝ่ายชาย ไกด์บอกว่าใครมาเที่ยวสิงคโปร์แล้วเจอคนท้องก็ต้องบอกว่าโชคดีมาก เพราะสิงคโปร์หาคนท้องยากมาก แถมยังพูดดักหน้าไว้เสร็จว่า หากเจอคนท้องแล้วก็ต้องบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ไช่คนสิงคโปร์
ผมเคยไปเที่ยวทั้งสิงคโปร์ และเวียดนาม ก็เอามาเล่าสู่กันฟังว่าคนสิงคโปร์ไม่ค่อยสนใจเรื่องความรักและชีวิตคู่ อาจจะเลือกมากหรือมากเรื่องก็ไม่แน่ใจ ผิดกับประเทศเวียดนามที่เป็นคนโรแมนติก กระหนุงกระหนิงกันตามที่สาธารณะจนเห็นเป็นปกติ และเมืองเว้ก็เห็นผู้หญิงเดินอุ้มท้องอยู่หลายคน
“ แล้วเมืองไทยละ “ อาจมีคนตั้งคำถาม
คงตอบแบบมั่วๆว่า “ คนไทยชอบมีกิ๊กมากกว่ามีเมีย หรือมีเมียแล้วแต่ก็ชอบมีกิ๊ก “
ก็ไม่ทราบว่าจะถูกต้องหรือเปล่า แต่อาจถูกใจหลายๆคน
ดูตัวอย่างจากละครโทรทัศน์บ้านเราก็ได้ ที่มักชอบบอกว่าเป็นการสะท้อนสังคมและเพื่อความบันเทิง ก็มีเรื่องราวทำนองนี้อยู่บ่อยๆ จนเป็นเอกลักษณ์ว่า หากไม่มีบทชู้สาว ด่ากันไฟแลบ หรือตบตีกัน รู้สึกจะเรตติ้ง(คะแนนความนิยมของคนดู) อาจจะตก แต่ละเรื่องจึงมีฉากปลุกปล้ำอยู่หลายตอน ไม่นานนี้ก็มีเรื่องราวของแอร์โฮสเตสสาว ตบแย่งผัวกัน.. ตบกันดีๆก็พอดูได้ แต่ตบกันแบบเอาเป็นเอาตาย ชนิดกระโปรงสั้นจู๋มันถลกขึ้นมาถึงโคนขา จนแทบจะเห็นกางเกงใน ชนิดที่บาดตาบาดตาบาดใจชายไทยทั่วทั้งประเทศ แบบนี้มันก็ไม่ไหว ผมคนหนึ่งละที่ทนดูไม่ได้ (ขอยืนยันอย่างลูกผู้ชาย)
ก่อนวัดเทียนมู่ประมาณ 3-4 กิโลเมตร รถพาวิ่งเลียบแม่น้ำหอมซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองเว้ แม่น้ำหอม มีหลายชื่อ บ้างก็เรียกว่าแม่น้ำเฮือง หรือเฮืองยาง หรือแม่น้ำเหือง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Song Houng river ชาวเมืองเว้ตั้งฉายาอีกความหมายหนึ่งว่า “ แม่น้ำแห่งความรัก “ เพราะแม่น้ำสายนี้ใช้เป็นสะพานรัก ของหนุ่มสาวเมืองเว้มาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ริมฝั่งแม่น้ำหอมอันแสนโรแมนติก ช่วยให้หลายคู่ประสบพบรักมามากต่อมากแล้ว เสียดายที่มีเวลาน้อย ไม่งั้นคงต้องพิสูจน์ว่า บรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำหอมนี้ ความรักมันจะหอมหวานกันขนาดไหนเชียว ภาษาเวียดนามก็พูดไม่ได้ รู้แต่คำว่า ซินจ่าว ที่แปลว่า สวัสดี ส่วนคำอื่นก็พูดไม่เป็น แต่หากเป็นภาษารักแล้วน่าจะพอจะกล้อมแกล้มไปได้บ้าง คงต้องอาศัยภาษามือ (จากมือถึงมือ) และแววตาที่เซื่องซึม(อย่างน่าสงสาร) น่าจะประสบความสำเร็จได้บ้าง
ภาพริมฝั่งแม่น้ำหอมหลายภาพในชุดนี้ น่าจะทำให้หลายคนอิจฉาคนเมืองเว้ที่มีแม่น้ำสายบริสุทธ์ มีธรรมชาติที่สวยงามจนอยากมาเที่ยว และในชุดนี้ก็มีหนุ่มสาวเวียดนามนั่งจีบกันอยู่ด้วย เป็นหลักฐานว่าทุกวันนี้หนุ่มสาวเมืองเว้ยังใช้แม่น้ำหอมนี้เป็นสักขีพยานของความรัก
วัดเทียนมู่เป็นวัดพุทธศาสนานิกายเซ็น ตั้งอยู่บนเนินเขาริมแม่น้ำหอม อยู่ห่างจากเมืองเว้ประมาณ 2-3 กิโลเมตรเท่านั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากเมืองเว้โดยนั่งเรือมังกรสองหัว ที่ดัดปลงให้เป็นเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ล่องมาตามแม่น้ำหอม ภายในเรือจะมีดนตรีประจำชาติเวียดนามขับกล่อมตลอดทาง แต่ละเพลงมีความไพเราะจนอาจหลงไหลนักร้องสาวหรือนักดนตรีสาวๆหน้าตาดีก็เป็นได้
วัดเทียนมู่มีสถูปเจดีย์แบบจีนทรง 8 เหลี่ยม แบ่งเป็นชั้นๆถึง 9 ชั้น แต่ละชั้นแทนภพชาติของพระพุทธเจ้า เจดีย์ 9 ชั้นนี้ถือป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเวียดนาม และเป็นสัญลักษณ์ของวัดนี้ ในวัดเทียนมู่จะเห็นสามเณรและแม่ชี แต่งกายแบบพระเวียดนามในสมัยก่อน แม่ชีจะนุ่งสีออกเทาๆ ส่วนเณรจะนุ่งจีวรสีเข้มหรือสีกระ คล้ายพระป่าในบ้านเรา และสามเณรที่วัดนี้ต่างจากบ้านเราตรงที่จะไม่โกนผมทั้งศรีษะ แต่จะไว้ทรงเป๋ๆ เข้าใจว่าเมื่อบวชนานเข้าก็จะค่อยๆโกนจนหมดทั้งศรีษะ
ศาสนาพุทธในเวียดนามได้ล่มสลายไปเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ปัจจุบันวัดพุทธในเวียดนามเหลืออยู่น้อยมาก สำหรับวัดเทียนมู่ที่เห็นนี้ดูแล้วน่าจะคงไว้เพื่อการท่องเที่ยวเท่านั้นเอง สภาพภายในวัดยังคงไว้เช่นเดียวกับวัดเซ็น เช่นมีโรงครัว และพระเณรในวัดจะหุงหาอาหารกันเอง เช่นเดียวกับวัดเซ็นในญี่ปุ่น
เวียดนาม หากย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 44 ปี หรือ พ.ศ. 2506 มีผู้นับถือศาสนาพุทธอยู่ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างกับประเทศไทยในเวลานั้น รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆเช่น ลาว กัมพูชา และพม่า แต่พุทธศาสนาในเวียดนามต้องพบกับการบีบคั้นเป็นอย่างมาก จากรัฐบาลที่เป็นกลุ่มตัวแทนของคาทอลิค และมีใบสั่งจากอเมริกา
เหตุการณ์เลวร้ายในเวียดนามเกิดขึ้นในสมัยของ ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ผู้โค่นล้มระบอบกษัตริย์บ่าวได๋ และตั้งตนเองขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเวียดนาม โดยการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ร่วมกับกรุงวาติกัน(ศูนย์กลางคริสต์จักรคาทอลิค) จนกลายเป็นรัฐบาลคริสเตียนโรมันคาทอลิค โดยโง ดินห์ เดียม ได้แต่งตั้งญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดที่เป็นคาทอลิคด้วยกันเข้าร่วมรัฐบาล พร้อมกับให้ความสำคัญและให้สิทธิพิเศษแก่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ รวมถึงประชาชนที่นับถือศาสนาคริสต์ ส่วนผู้นับถือศาสนาพุทธกลายเป็นบุคคลชั้นสอง
หลังจาก โง ดินห์ เดียม ได้เป็นประธานาธิบดี ก็ได้ออกกฏหมาย และระเบียบต่างๆที่หักหาญจิตใจชาวพุทธ จนเกิดการต่อต้านจากพระสงฆ์ กลุ่มแม่ชี และชาวพุทธในเวียดนาม แต่เป็นการต่อต้านแบบอหิงสา เช่นการเดินขบวน แจกจ่ายแถลงการณ์ และอดอาหารประท้วง
กฏเหล็กที่ย่ำยีจิตใจชาวพุทธในเวียดนาม และต่อชาวพุทธทั่วโลกมีหลายรูปแบบ
ได้แก่ความพยายามที่จะให้ประเทศเวียดนามเปลี่ยนจากศาสนาพุทธมานับถือศาสนาคริสต์ด้วยวิธีการอันเหี้ยมโหด เช่น ส่งกำลังตำรวจเข้าปราบปราบฆ่าพระ แม่ชี และเผาวัด โดยใช้กลุ่มทหารตำรวจที่เป็นคาทอลิคด้วยกัน หรือใช้รถยนต์วิ่งเข้าหาฝูงชนขณะที่รวมตัวประท้วงตามท้องถนน ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันทีนับร้อยๆคน หรือไม่อนุญาตให้ออกหนังสือพิมพ์ทางพุทธศาสนารวมทั้งให้งดออกรายการทางวิทยุกระจายเสียงในวันสำคัญทางศาสนา ให้ประชาชนนำภาพพระเยซูที่ได้รับมาจากทางการ นำมาตั้งไว้ในบ้าน หากถูกทำลายจะได้รับโทษอย่างร้ายแรง การประกอบศาสนกิจในวัดจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลพร้อมต้องแจ้งด้วยว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน และจำนวนกี่คน
รวมไปถึงดัดแปลงแก้ไขคำสอนในพุทธศาสนาเพื่อใช้เป็นแบบเรียนโดยเป็นคำสั่งของ โง ดินห์ ถึก (พี่ชาย โง ดินห์ เดียม) ซึ่งคุมกระทรวงศึกษาธิการด้วย
และที่น่าขันก็คือ วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2506 เป็นเวลาที่ โง ดินห์ ถึก สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ซึ่งเดินทางไปประชุมสังคายนาวาติกัน 2 ( VATICAN COUNCIL 2) ณ กรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ได้แถลงต่อที่ประชุมวาติกันว่า "ประเทศเวียตนามเป็นประชากรของพระเจ้า ประชาชนเวียตนามล้วนนับถือในพระเจ้า และซื่อสัตย์ต่อสันตะปาปา" พร้อมกันนั้น โง ดินห์ ถึก ได้โทรเลขด่วน สั่งให้บาทหลวงใต้บังคับบัญชาของตนในเมืองเว้ ให้ประชาชนทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขนขึ้นที่หน้าบ้าน เพื่อจะได้เป็นข่าวทางสื่อมวลชน ยืนยันให้สันตะปาปา เชื่อถือ และมอบตำแหน่งคาร์ดินัล ให้กับโง ดินห์ ถึก
เหตุการณ์มีความตึงเครียดขึ้นตามลำดับทั่วทั้งประเทศเวียดนาม ทางการได้ส่งตำรวจทหารไปตรึงอยู่ตามวัดต่างๆ ที่มีการชุมนุมของชาวพุทธ โดยเฉพาะเมืองเว้ที่มีวัดสำคัญๆอยู่หลายวัด และเป็นที่ประทับของสังฆราชหรือประมุขของสงฆ์ในประเทศเวียดนาม
พระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก วัยุ 73 ปี จากวัดเทียนมู่ ทนเห็นความทารุณโหดร้ายจากการใช้อำนาจของรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ได้ จึงได้ประกาศอุทิศชีวิต เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนา โดยนั่งรถออสตินออกจากวัดเทียนมู่ ในคืนวันที่ 10 มิถุนายน 2506 ถึงกรุงไซ่ง่อนในเช้าวันที่ 11 มิถุนายน 2506 เพื่อร่วมประท้วงกับกลุ่มชาวพุทธ ที่กำลังเดินขบวนอยู่ที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล
หลังจากพระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ได้เขียนข้อเรียกร้องถึง 6 ข้อ ให้รัฐบาลหยุดทารุณกรรม ท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ 1,000 คนด้วยความสงบ เพื่อไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และพุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนขบวนผู้ประท้วงเสียชีวิตในวันที่ 8 พฤษภาคม 2506 ที่ผ่านมา (มีพระและนางชีเสียชีวิต 70 คน ชาวพุทธอื่นๆอีก 30 คน) จากนั้นขบวนชาวพุทธก็เดินต่อไปอย่างสงบ โดยมีรถนำพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง (กรุงไซ่ง่อน)
พระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ก้าวลงจากรถไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีชาวพุทธล้อมเป็นวงใหญ่
จากนั้นได้มีผู้หยิบถังน้ำมันเบนซิน 5 แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนร่างกายของพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นก็เอาไฟจุด ไฟลุกโชติช่วงท่วมร่างอยู่นานประมาณ 10 นาที ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้นก็หงายหลังอย่างสงบ โดยไม่ได้แสดงอาการทุกขเวทนาทุรนทุรายแต่อย่างใด
เหตุการณ์ที่กระทบต่อพุทธศาสนาในเวียดนามเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน นับว่ารุนแรงกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 16 , 6 ตุลา 19 หรือ พฤษภา 35 อย่างเทียบกันไม่ได้
หลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ก็มีการปฏิวัติเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2506 โดยกลุ่มทหารยังเติร์กที่ทนดูรัฐบาลทำร้ายพระสงฆ์และชาวพุทธต่อไปไม่ได้ และการปฏิวัติครั้งนี้ได้รับไฟเขียวจากอเมริกา ในฐานะที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม มาตั้งแต่แรก
ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม สังฆราชตริสเตียน โง เดียม คาน และพี่ชาย โง ดินห์ ถึก ถูกทหารยิงเสียชีวิต หลังหนีกบดานไปอยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่งในย่านโชลอง ซึ่งเป็นย่านคนจีนในไซ่ง่อน ส่วนผู้ร่วมในคณะรัฐบาล ทหาร ตำรวจ ที่เข่นฆ่า พระ นางชี และประชาชนในเหตุการณ์ที่ผ่านมา ถูกประหารชีวิตทั้งหมด
ความผิดที่โ่ค่นบัลลังค์กษัตริย์ นับว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ แต่กลับเหิมเกริมถึงขั้นจะเปลี่ยนศาสนาของคนทั้งประเทศ ดูจะเป็นความผิดต่อแผ่นดินอย่างไม่น่าให้อภัย แต่จุดจบของชีวิตก็ดูจะสาสมกับสิ่งที่ตนเองและญาติพี่น้องได้กระทำลงไป สำหรับในเมืองไทยหากใครคิดกระทำการที่หมิ่นสถาบัน คิดล้มล้างระบอบกษัตริย์ก็ขอให้ไปศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศเวียดนามเสียก่อน แล้วจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วชีวิตจะจบลงแบบใด
เรื่องวัดเทียนมู่อาจดูเครียดๆหน่อยนะครับ แต่เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ชาวพุทธควรจะรับรู้ไว้บ้าง โดยเฉพาะภาพพระเผาตนเอง เป็นภาพที่สะเทือนใจและสร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วัดเทียนมู่ มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจ โดยเฉพาะชาติตะวันตก ที่เคยก่อกรรมทำเข็ญมาหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส หรืออเมริกา ทุกวันนี้ชาติเหล่านั้นพยายามไถ่บาปให้กับตนเอง โดยให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆเพื่อฟื้นฟูประเทศเวียดนาม
สำหรับทัวร์เวียดนามตอนต่อไปจะพาเข้าวังครับ ใครอยากเข้าวังไปกับผมก็เตรียมเนื้อเตรียมตัว และแต่งกายให้สุภาพด้วยนะครับ
จาก http://www.photoontour.com/outbound/vietnam/vietnam06.htm