ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 05, 2016, 05:17:02 pm »สี่มหาเถระยุคหมินกว๋อ (ยุคสาธารณรัฐจีน) ผู้ฟื้นฟู สืบสาน และปฏิรูปพุทธศาสนาในยุคแห่งการเปลี่ยนแลง การศึกสงคราม และการกดขี่

พระธรรมาจารย์ซวีหยุน (2383 - 2502) สายวิปัสสนา
พระเถระซวีหยุนเน้นปฏิบัติธรรมด้วยการทำสมาธิ วิปัสสนา ฟื้นฟูวิถีพุทธธรรมอันสันโดษของนิกายฉาน (นิกายเซน) จาริกธุดงค์ไปทั่วสารทิศ สถาปนา บูรณอารามนับสิบๆ มีศิษยานุศิษย์มากมายทั้งฝ่ายปริยัติ ฝ่ายปฏิบัติ หรือแม้แต่ฝ่ายวรยุทธิ์ เรื่องราวของท่านมีเหตุปาฏิหารย์เหนือการอธิบายมากมาย ล้วนแต่เป็นผลจากการปฏิบัติวิปัสสนา กล่าวได้ว่า ในเอเชียบูรพา แนวทางของท่านได้รับการปฏิบัติอย่างแพร่หลาย
"หากเราพิจารณาว่าแต่ละวันคือวันสุดท้ายในชีวิตของเรา เราจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีไปกับเรื่องไร้สาระ หรือความเคียดแค้นหรือโทสะพยาบาท เราจะไม่ลืมแสดงความเมตตากตัญญุตาต่อผู้ที่การุณต่อเรา เราจะไม่เสียเวลาให้ทำใจปล่อยวางกับเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แล้วหากเราทำผิดพลั้งไป จะไม่รีรอที่จะขอขมาลาภัย แม้ในยามจะสิ้นลมหายใจหรือ?"

พระธรรมาจารย์อิ้นกวง (2404 - 2490) สายพุทธานุสสติ
พระเถระอิ้นกวง มุ่งมั่นภาวนาพระนามพระอมิตาภพุทธมา ผสมผสานกับการปฏิบัติสมาธิ ทำให้การภาวนาพุทธนามได้รับการยอมรับจากปัญญาชนที่เคยดูแคลนว่า การปฏิบัติพุทธานุสสติเป็นกิจง่ายๆ ของ คนไม่มีการศึกษา แต่พระเถระไม่เพียงอธิบายให้ผู้คนเข้าใจ ยังส่งเสริมจนแพร่หลาย ช่วยยกระดับจิตใจผู้คนเหลือคณานับ ยกย่องกันว่าเป็นบูรพาจารย์ลำดับที่ 13 แห่งนิกายจิ้งถู่ หรือนิกายสุขาวดี
"อย่าไปกลัวความคิดโลภะ โทสะ โมหะที่เกิดขึ้นมา ให้กลัวว่าเราจะรู้ตัวช้าเกินไปว่าเกิดความคิดที่ว่า เมื่อโลภะ โทสะ โมหะเกิดขึ้น ตราบใดที่เรามีสติเท่าทัน ตราบนั้นความฟุ้งซ่านเหล่านี้ก็จะมลายไปเอง"

พระธรรมาจารย์หงอี (2423 - 2485) สายพระวินัย
เดิมท่านเป็นศิลปินและนักคิดที่มีชื่อเสียงมากในยุคหมินกว๋อ แต่เมื่อายุได้ 37 ปี ท่านได้บำเพ็ญเนกขัมมะนาน 21 วัน เกิดความซาบซึ้งในพุทธศาสนา จึงสละทางโลกหมดสิ้น ออกบวชเป็นภิกษุ แล้วเห็นว่าศาสนาในจีนเสื่อมโทรมลง ท่านจึงคิดฟื้นฟูพระวินัยเคร่งครัดที่สาบสูญไป ไปสืบเสะจนได้ปกรณ์นิกายวินัยที่เก็บรักษาไว้ที่ญี่ปุ่น จึงนำกลับมาเผยแพร่ในแผ่นดินจีนอีกครั้ง ชั่วชีวิตบรรพชิตของท่านส่งเสริมพระวินัย ฟื้นฟูหลักของนิกายวินัย หรือนิกายลวื่อจง ที่เคยรุ่งเรืองในจีน ส่งเสริมรากฐานศีล สมาธิ ปัญญา นับเป็นบูรพาจารย์หนึ่งของนิกายนี้
"หลักของมหายานคือการมีปณิธานมุ่งมาดเป็นพุทธะ คิดมุ่งเป็นพุทธะจะต้องมีจิตกรุณายังประโยชน์แก่สวรรพชีวิต ชาวพุทธฝ่ายมหายานจึงต้องมีจิตเมตตากรุณาอยู่เสมอ ตั้งปณิธานขนถ่ายสรรพสัตว์ มุ่งหมายที่จะทำกุศลแก่สรรพสัตว์ ดังนี้จึงจะเรียกตัวเองเป็นชาวพุทธได้เต็มภาคภูมิ"

พระธรรมาจารย์ไท่ซวี (2433 - 2490) สายปฏิรูป
พระเถระไท่ซวีผสมผสานวิถีตะวันตกกับหลักพุทธธรรม ส่งเสริมการปฏิรูปคณะสงฆ์ ประสานสัมพันธ์ระหว่างนิกายมหายานฝ่ายเหนือ และเถรวาทฝ่ายใต้ ส่งคณะสงฆ์มาศึกษาพุทธรรรมในสยาม โดยเฉพาะด้านพระวินัย ขณะเดียวกันท่านสอนว่า แดนสุขาวดีของฝ่ายมหายานมิได้อยู่แต่ในโลกหลังความตาย แต่ยังอาจสร้างได้ในโลกปัจจุบันนี้ด้วยการปฏิรูปศาสนจักรให้ทันสมัย สอดคล้องกับวิทยศาสตร์ เข้าถึงคนรุ่นใหม่
"ชาวพุทธไม่ควรทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ควรยังประโยชน์ให้เกิดกับส่วนรวมด้วย ... ชาวพุทธควรนำหลักมหายานมาปฏิบัติเพื่อยังประโยชน์แก่ประเทศชาติ รัฏฐะ และโลกของเรา การปฏิบัติหลักมหายานนั่น ก็คือการปฏิบัติหลักโพธิสัตว์จรรยานั่นเอง"
จาก http://prajnatara79.blogspot.com/

พระธรรมาจารย์ซวีหยุน (2383 - 2502) สายวิปัสสนา
พระเถระซวีหยุนเน้นปฏิบัติธรรมด้วยการทำสมาธิ วิปัสสนา ฟื้นฟูวิถีพุทธธรรมอันสันโดษของนิกายฉาน (นิกายเซน) จาริกธุดงค์ไปทั่วสารทิศ สถาปนา บูรณอารามนับสิบๆ มีศิษยานุศิษย์มากมายทั้งฝ่ายปริยัติ ฝ่ายปฏิบัติ หรือแม้แต่ฝ่ายวรยุทธิ์ เรื่องราวของท่านมีเหตุปาฏิหารย์เหนือการอธิบายมากมาย ล้วนแต่เป็นผลจากการปฏิบัติวิปัสสนา กล่าวได้ว่า ในเอเชียบูรพา แนวทางของท่านได้รับการปฏิบัติอย่างแพร่หลาย
"หากเราพิจารณาว่าแต่ละวันคือวันสุดท้ายในชีวิตของเรา เราจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีไปกับเรื่องไร้สาระ หรือความเคียดแค้นหรือโทสะพยาบาท เราจะไม่ลืมแสดงความเมตตากตัญญุตาต่อผู้ที่การุณต่อเรา เราจะไม่เสียเวลาให้ทำใจปล่อยวางกับเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ แล้วหากเราทำผิดพลั้งไป จะไม่รีรอที่จะขอขมาลาภัย แม้ในยามจะสิ้นลมหายใจหรือ?"

พระธรรมาจารย์อิ้นกวง (2404 - 2490) สายพุทธานุสสติ
พระเถระอิ้นกวง มุ่งมั่นภาวนาพระนามพระอมิตาภพุทธมา ผสมผสานกับการปฏิบัติสมาธิ ทำให้การภาวนาพุทธนามได้รับการยอมรับจากปัญญาชนที่เคยดูแคลนว่า การปฏิบัติพุทธานุสสติเป็นกิจง่ายๆ ของ คนไม่มีการศึกษา แต่พระเถระไม่เพียงอธิบายให้ผู้คนเข้าใจ ยังส่งเสริมจนแพร่หลาย ช่วยยกระดับจิตใจผู้คนเหลือคณานับ ยกย่องกันว่าเป็นบูรพาจารย์ลำดับที่ 13 แห่งนิกายจิ้งถู่ หรือนิกายสุขาวดี
"อย่าไปกลัวความคิดโลภะ โทสะ โมหะที่เกิดขึ้นมา ให้กลัวว่าเราจะรู้ตัวช้าเกินไปว่าเกิดความคิดที่ว่า เมื่อโลภะ โทสะ โมหะเกิดขึ้น ตราบใดที่เรามีสติเท่าทัน ตราบนั้นความฟุ้งซ่านเหล่านี้ก็จะมลายไปเอง"

พระธรรมาจารย์หงอี (2423 - 2485) สายพระวินัย
เดิมท่านเป็นศิลปินและนักคิดที่มีชื่อเสียงมากในยุคหมินกว๋อ แต่เมื่อายุได้ 37 ปี ท่านได้บำเพ็ญเนกขัมมะนาน 21 วัน เกิดความซาบซึ้งในพุทธศาสนา จึงสละทางโลกหมดสิ้น ออกบวชเป็นภิกษุ แล้วเห็นว่าศาสนาในจีนเสื่อมโทรมลง ท่านจึงคิดฟื้นฟูพระวินัยเคร่งครัดที่สาบสูญไป ไปสืบเสะจนได้ปกรณ์นิกายวินัยที่เก็บรักษาไว้ที่ญี่ปุ่น จึงนำกลับมาเผยแพร่ในแผ่นดินจีนอีกครั้ง ชั่วชีวิตบรรพชิตของท่านส่งเสริมพระวินัย ฟื้นฟูหลักของนิกายวินัย หรือนิกายลวื่อจง ที่เคยรุ่งเรืองในจีน ส่งเสริมรากฐานศีล สมาธิ ปัญญา นับเป็นบูรพาจารย์หนึ่งของนิกายนี้
"หลักของมหายานคือการมีปณิธานมุ่งมาดเป็นพุทธะ คิดมุ่งเป็นพุทธะจะต้องมีจิตกรุณายังประโยชน์แก่สวรรพชีวิต ชาวพุทธฝ่ายมหายานจึงต้องมีจิตเมตตากรุณาอยู่เสมอ ตั้งปณิธานขนถ่ายสรรพสัตว์ มุ่งหมายที่จะทำกุศลแก่สรรพสัตว์ ดังนี้จึงจะเรียกตัวเองเป็นชาวพุทธได้เต็มภาคภูมิ"

พระธรรมาจารย์ไท่ซวี (2433 - 2490) สายปฏิรูป
พระเถระไท่ซวีผสมผสานวิถีตะวันตกกับหลักพุทธธรรม ส่งเสริมการปฏิรูปคณะสงฆ์ ประสานสัมพันธ์ระหว่างนิกายมหายานฝ่ายเหนือ และเถรวาทฝ่ายใต้ ส่งคณะสงฆ์มาศึกษาพุทธรรรมในสยาม โดยเฉพาะด้านพระวินัย ขณะเดียวกันท่านสอนว่า แดนสุขาวดีของฝ่ายมหายานมิได้อยู่แต่ในโลกหลังความตาย แต่ยังอาจสร้างได้ในโลกปัจจุบันนี้ด้วยการปฏิรูปศาสนจักรให้ทันสมัย สอดคล้องกับวิทยศาสตร์ เข้าถึงคนรุ่นใหม่
"ชาวพุทธไม่ควรทำเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ควรยังประโยชน์ให้เกิดกับส่วนรวมด้วย ... ชาวพุทธควรนำหลักมหายานมาปฏิบัติเพื่อยังประโยชน์แก่ประเทศชาติ รัฏฐะ และโลกของเรา การปฏิบัติหลักมหายานนั่น ก็คือการปฏิบัติหลักโพธิสัตว์จรรยานั่นเอง"
จาก http://prajnatara79.blogspot.com/