ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 07, 2016, 02:36:37 am »ภาพจากสถานีโทรทัศน์เอ็นดีทีวี
สื่ออินเดียเผยภาพประทับใจ “กษัตริย์จิกมี” เข้าครัวหั่นหอม-ผัก ทำกับข้าวเลี้ยงเด็กนักเรียนชนบทภูฏาน
เอเจนซีส์ / MGR online – ทีวีช่องดังของอินเดียเผยแพร่ภาพสุดประทับใจ ขณะที่ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก หรือ “กษัตริย์จิกมี” แห่งภูฏานทรงลงมือหั่นผักและปอกหัวหอมเพื่อเตรียมประกอบอาหารให้แก่เด็กนักเรียน ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในเขตชนบทของภูฏาน
สถานีโทรทัศน์นิวเดลี เทเลวิชัน (เอ็นดีทีวี) ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ยอดนิยมที่ก่อตั้งกิจการมาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1988 เผยแพร่ภาพพระจริยาวัตรอันงดงามของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ขณะที่พระองค์ทรงปอกหัวหอมและเตรียมผักอีกหลายชนิด บริเวณพื้นที่โรงครัวอันเฉอะแฉะของโรงเรียนชุมชนแห่งหนึ่งในเมืองมองการ์
ภาพจากรอยเตอร์
ทีวีช่องดังแห่งแดนโรตีรายงานว่า ภาพสุดประทับใจนี้ถูกบันทึกไว้ได้ในขณะที่กษัตริย์จิกมีแห่งราชอาณาจักรมังกรสายฟ้า เสด็จพระราชดำเนินเยือนโรงเรียนชุมชนของเมืองมองการ์เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยสื่ออินเดียระบุ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏานทรงอาสาเข้าครัวเตรียมอาหารมื้อกลางวัน ให้กับบรรดาเด็กนักเรียนด้วยพระองค์เอง ถึงแม้ทางโรงเรียนจะเตรียมแม่ครัว-พ่อครัวไว้แล้วก็ตาม
“เราไม่ได้มาที่นี่ในฐานะกษัตริย์ของประเทศนี้ แต่เรามาที่นี่ในฐานะพ่อคนหนึ่งที่อยากได้มีโอกาสเข้าครัวทำอาหารให้ลูกได้กินบ้างสักครั้ง” กษัตริย์จิกมีตรัสต่อผู้ติดตาม
ภาพจากรอยเตอร์
รายงานข่าวของสื่ออินเดียระบุว่า พระราชดำรัสเพียงสั้นๆ นี้ของกษัตริย์แห่งภูฏาน มีการถ่ายทอดผ่านผู้ติดตาม ส่งต่อมายังสื่อมวลชนทั้งของอินเดียและของภูฏานในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 แห่งภูฏานเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปี 2006 ภายหลังจากสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย นัมชุก พระราชบิดาของพระองค์ทรงสละราชสมบัติโดยมีพระราชดำริในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก่อนที่เจ้าชายจิกมีในขณะนั้นจะได้ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก ขึ้นเป็นกษัตริย์ภูฏานอย่างเป็นทางการ ณ พระราชวังในกรุงทิมพูในวันที่ 6 พฤศจิกายน ปี 2008
ภาพจากรอยเตอร์
ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000075751
กษัตริย์จิกมี ทรงนับถือในหลวงของเรา
จาก forward mail
"ขออนุญาตนำรูปภาพบนกระดานส่งมาให้ดู
ได้จากรุ่นน้องทำงานที่ UN
ภาพจากประเทศภูฏาณ ภาพนี้ ประทับใจ ซาบซึ้งใจ...
ที่กษัตริย์จิกมี่ ทรงนับถือในหลวงของเรา
และเอาเป็นแบบอย่างของพระองค์ในการปกครองประเทศ"
ความผูกพัน..กษัตริย์ภูฏาน..
โครงการหลวงของเรา..ในหลวงของเรา
เมื่อครั้ง สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน เสด็จพระราชดำเนินมาเชียงใหม่ ทรงเข้าเยี่ยมชมโครงการหลวงดอยอินทนนท์และสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
ภาพที่ชาวบ้านซึ่งเป็นชาวเขา จัดเตรียมสิ่งของที่ดีที่สุดของพวกเขา เพื่อถวายพระองค์ โดยชาวบ้านนำพระพุทธรูปบ้าง ข้าวที่เขาตำใหม่ ยอดผักจากสวนหลังบ้าน หรือถุงย่ามที่ทอเอง ซึ่งเมื่อถวายพระองค์ท่าน เจ้าชายจะสะพายย่ามนั้นทันที
และนำสิ่งของต่างๆ ที่ชาวบ้านถวายพระองค์ใส่ไว้ในถุงย่ามนั้น ผู้เฝ้ารับเสด็จสัมผัสได้ชัดถึงความตั้งพระทัยและมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้อย่างยิ่ง และกับพระจริยวัตรที่เรียบง่าย การเข้าสัมผัสกับราษฎรชาวเขาอย่างไม่ถือพระองค์ และสิ่งที่ชาวบ้านเทใจปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยแล้ว
ครั้งแรกที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินถึงยอดดอยอ่างขางด้วย ฉลองพระองค์เสื้อเชิ๊ตสีม่วง พับแขน มิหนำซ้ำยังทรงพระเยาว์เป็นเจ้าชายหนุ่ม ทำให้เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงจากรถยนต์พระที่นั่งและยกมือไหว้ทุกคน เขาแทบจะไม่เชื่อสายตา
“พระองค์ท่านซักถามทุกอย่าง เรื่องน้ำจัดการอย่างไร ดูแลชาวบ้านอย่างไร” และไม่ถือพระองค์เลย
ที่ผมประทับใจคือเมื่อพระองค์ท่านจะเสด็จพระราชดำเนิน เราก็ได้แจ้งให้ชาวบ้านซึ่งเป็นชาวเขาในหมู่บ้านว่า เจ้าชาย ซึ่งคือลูกของพระเจ้าแผ่นดินประเทศหนึ่งจะเสด็จมาเยี่ยม
ชาวบ้านเขาทราบว่าเป็นลูกพระเจ้าแผ่นดินจะมา ก็จะพากันมารับเสด็จ แต่ระยะทางบนดอยค่อนข้างไกล ก็มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่เดินกันมาเป็นกลุ่มจะไปยังจุดที่นัดหมาย เพื่อรับเสด็จแต่ไปไม่ทันแน่ รถยนต์พระที่นั่งมาถึงแล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ให้ชาวบ้านกลุ่มนั้นหยุดนั่งรับเสด็จอยู่ข้างทางแทนชาวบ้านก็นั่งยกมือไหว้ พระองค์รับสั่งให้จอดรถและลงไปพูดคุยกับเขาทันที ทรงนั่งและโอบชาวเขาด้วย”
ทำให้ภาพแห่งวันเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยมราษฎรบนดอยสูงเมื่อหลายสิบปีก่อน ได้กลับมาฉายซ้ำ
ให้ดอกไม้บนยอดดอยเบ่งบานอีกครั้ง……
สายสัมพันธ์แห่งภูฏานและประเทศไทยจะยังคงทอดยาวไกล
เพราะที่นี่ “เชียงใหม่” คือแหล่งเรียนรู้แห่งการตามรอยพระบาทนั้น
ก่อนหน้าการเสด็จเยือนประเทศไทยในฐานะผู้แทนประมุขแห่งราชอาณาจักรภูฏาน
ในงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มกุฎราชกุมารจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก ได้เคยเสด็จพระราชดำเนินมาประเทศไทยหลายครั้ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ได้ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้โครงการหลวงใช้เป็นทุนรอนในการช่วยเหลือพัฒนาภูฎานมาแล้วหลายปี
ขณะที่เจ้าชายจิกมี ก็ทรงได้ยิน ได้ฟัง และเฝ้าติดตามพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยมา ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ด้วยความชื่นชมและยกย่อง
เมื่อครั้ง หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี องค์ประธานมูลนิธิโครงการหลวงเสด็จเยือนภูฏาน และได้เข้าเฝ้าพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ได้ทรงมีรับสั่งถึงงานพัฒนาร่วมกัน เนื่องจากโครงการหลวงได้ผ่านงานพัฒนาด้านเกษตรที่สูงมายาวนาน
ขณะที่ภูกานเป็นประเทศที่มีทรัพยกรธรรมชาติสมบูรณ์ ดี แต่รายได้ของประชากรไม่มาก และมีปัญหาภูมิประเทศพื้นที่ซึ่งเป็นภูเขาสูง
แนวทางร่วมมือเพื่อการพัฒนาบนพื้นที่สูงของทั้ง 2 ประเทศจึงเริ่มต้นจากนักวิชาการ นักการทูต รัฐมนตรีด้านการเกษตรของภูฏาน เดินทางมาศึกษาและเรียนรู้งานที่จังหวัดเชียงใหม่คือ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
หนึ่งปีให้หลัง เจ้าชายจิกมี ก็เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเรียนรู้งานด้วยพระองค์เอง กลางเดือนมีนาคม 2546 และทรงประทับแรมอยู่ที่อ่างขางนี้ 1 คืนด้วย
การเสด็จพระราชดำเนินเชียงใหม่ในปีนั้น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงพระราชทานพระราชวโรกาสให้เจ้าชายจิกมีเข้าเฝ้าที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์อีกด้วย
และในปีเดียวกันนั้น สมเด็จพระราชินีแห่งภูฏาน พระราชมารดาของเจ้าชายจิกมี และพระขนิษฐา ก็เสด็จพระราชดำเนินเยือนสถานีเกษตรหลวงอ่างขางอีกถึง 2 ครั้ง
ปัจจุบัน นักวิชาการโครงการหลวงจากประเทศไทย ได้เดินทางไปแนะแนวทางการปลูกไม้ผลเมืองหนาวแก่ชาวภูฏาน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทางตอนล่างของประเทศที่เริ่มปลูกมะม่วง หรือทางตอนเหนือที่สนใจการปลูกพืชเมืองหนาว ขณะที่แต่ละปี
นักวิชาการจากภูฏานก็จะเดินทางมาฝึกงานที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางมิได้ขาด
26 พ.ย.2549 มหาวิทยาลัยรังสิต กำหนดจัดพิธีประสาทปริญญาประจำปี 2549 โดยสภามหาวิทยาลัยรังสิต มีมติเป็นเอกฉันท์ทูลเกล้าฯ ถวาย ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์แด่มกุฎราชกุมารจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งราชอาณาจักรภูฏาน
ซึ่งท่านได้ทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งถึงในหลวง “ในโอกาสที่ข้าพเจ้าได้เดินทางมาร่วมงานเฉลิมฉลองในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าได้เห็นประชาชนของไทยแสดงความจงรักภักดี และเสียสละ แก่พระมหากษัตริย์และประเทศของตน ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของประชาชนคนไทยในการป้องกันประเทศอีกด้วย”
“…สำหรับปีนี้เป็นปีมงคลของคนไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และเป็นปีที่พิเศษสำหรับข้าพเจ้าเช่นกัน ข้าพเจ้ารัก เคารพ และชื่นชมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างมาก พระองค์ท่านทรงเป็นสุดยอดพระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้ามีความศรัทธาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างลึกซึ้งในหลายๆ เรื่อง ปีนี้เป็นปีที่สำคัญมากสำหรับข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืม ”
“เนื่องในโอกาสรับปริญญาบัตรครั้งนี้ จะต้องเป็นเยาวชนที่จะต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่างๆ ซึ่งตัวอย่างที่จะเรียนรู้นั้น หาได้ไม่ยากเลยคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่สำคัญสำหรับข้าพเจ้า พระองค์ทรงงานอย่างหนัก พระทัยดี ทรงมีความยุติธรรม ทรงเป็นบุคคลที่มีความพยายาม มุ่งมั่น ทำเพื่อประเทศชาติ
ข้าพเจ้าอยากจะให้เยาวชนไทยและคนไทย ยึดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแรงบันดาลใจในการปฏิบัติตน เพื่อดำรงชีวิตตามที่พระองค์ปฏิบัติ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากเยาวชนไทยทำได้ดังนั้น ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จและมีความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งสิ่งนี้เป็นหน้าที่ที่เยาวชน
ต้องระลึกเอาไว้ในใจเสมอว่า ตัวเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น มีประชาชนไม่มากนักที่ได้มีโอกาสเท่ากับคนไทย…”
มกุฎราชกุมารจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฏาน ได้ทรงออกแถลงการณ์ส่วนพระองค์ ผ่านกรมสารนิเทศ ขอบคุณคนไทยที่ให้การต้อนรับพระองค์อย่างอบอุ่น โดยในแถลงการณ์ดังกล่าว มีความว่า
“ตั้งแต่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ทรงได้ยินได้ฟังและอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตลอด พระองค์เสด็จมาเยือนประเทศไทยหลายครั้งแล้ว และทรงได้รับรู้เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจต่างๆที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอุทิศพระองค์เพื่อประชาชนชาวไทย พระองค์ทรงชื่นชมและยกย่องในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างยิ่ง”
จาก http://www.chaoprayanews.com/