ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 10, 2016, 11:06:40 pm »“ถึงเวลาส่งต่อสิ่งดีๆ ให้คนอื่นบ้าง” โจอี้ บอย ปลุกเลย ปลูกเลย
ย้อนไปสักประมาณสิบปีก่อนเวลา 'ตีสอง' สำหรับนักร้องเพลงแร็ปชื่อดังของเมืองไทยอย่าง ‘โจอี้ บอย’หรือ‘โจ้-อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต’คงเป็นช่วงเวลาที่เขาเพิ่งวางไมค์ ก้าวลงจากเวที และปล่อยตัวปล่อยใจให้ล่องไหลไปในความรู้สึกกึ่งฝันกึ่งตื่นจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในผับดังสักแห่งโดยไม่ต้องแคร์สายตาใคร...
แต่นั่นก็เป็นแค่ภาพภาพหนึ่ง เป็นเพียงมิติเดียวที่สื่อหยิบยกมานำเสนอตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมาและโจอี้ บอยก็บอกว่า สำหรับเขาการถูกคนอื่นพูดถึงในทางเสียๆ หายๆ แบบนั้น หากจะใช้คำว่า “ไม่ชอบ” ก็คงเบาเกินไป แต่ทั้งหมดทั้งมวลคงต้องใช้คำว่า เข้าขั้น “เกลียด” เลยก็ว่าได้
ยามขับรถ เมื่อเห็นด่านตำรวจอยู่ข้างหน้า เขามักหวาดระแวงว่า ตนมีปืนหรืออะไรอย่างอื่นที่สุ่มเสี่ยงจะโดนเข้าใจผิดตกหล่นอยู่บ้างหรือไม่ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ก็ยังอดกังวลไม่ได้ว่า พรุ่งนี้จะโดนนักข่าวเล่นข่าวเสียๆ หายๆ ในประเด็นไหนอีกบ้าง “นี่กูเป็นอาชญากรเหรอ” เขาคิดไปถึงขั้นนั้น ทั้งที่ก็ยืนยันว่า ตนยังมีด้านอื่นๆ อีกมากมายที่แตกต่างออกไปจากภาพแบดบอยที่สังคมยัดเยียดให้
“อย่ามายุ่งกับชีวิตกู” เวลานั้นเขาเลือกที่จะโพล่งออกไป มีความขุ่นเคืองคุกรุ่นอยู่เต็มอก และรำพึงรำพันกับตัวเองในใจว่า หรือเราจะลองเลวให้ถึงที่สุดดู
แล้วผ่านช่วงยากลำบากเช่นนั้นมาได้อย่างไร?
“ถึงจุดหนึ่งก็คิดว่าไม่ได้แล้ว”
แม้นั่นจะเป็นแค่ภาพภาพเดียวในชีวิตขนาดใหญ่ แต่เขาก็ไม่อยากหนีมันไปตลอด จะหันหลัง ยักไหล่และแค่บอกว่าไม่ใช่ก็คงไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ผ่านสร้างผลงาน หากเป็นนักร้องก็ต้องเขียนเพลงที่ดีออกมา หากเป็นโปรดิวเซอร์ก็ต้องพาศิลปินในความดูแลทะยานไปข้างหน้าให้ได้
และโดยไม่ต้องยกเกียรติประวัติอะไรมาอธิบาย วันนี้ เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า ชื่อของโจอี้ บอย นั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน เขาทำได้ เป็นกรรมการคนสำคัญของรายการเรตติ้งดีอย่าง The Voice Thailand มาหลายซีซั่น เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตมากมายในรอบสิบถึงยี่สิบปีที่ผ่านมา เป็นนักกีฬาทีมชาติที่เขาเคยฝันใฝ่ แถมยังพาตัวเองออกไปช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอย่างเต็มใจ เช่น การออกไปช่วยผู้ประสบภัยในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2554 และวันนี้ ในวันที่เขาบอกว่า “ผมไม่ต้องห่วงปากท้องของตัวเองอีกแล้ว” หลังจากได้เห็นภาพภูเขาหัวโล้นที่จังหวัดน่านจนเกิดความสะเทือนใจ เขาจึงลุกขึ้นมายกมือเป็นอาสาสมัคร เพื่อหวังจะกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญและมาร่วมกันปลูกป่าในโครงการ 'ปลูกเลย' ที่เขาปลุกปั้นขึ้นมา
เวลา 'ตีสอง' ในวันนี้ของโจอี้ บอยเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้ล่องไหลไปกับความเมามายเหมือนที่แล้วมา แต่หลังจากที่บทสนทนาของเราจบลง เขากำลังรอเวลา เพราะเมื่อตีสองของคืนนี้มาถึง เขาก็จะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถยนต์ส่วนตัว หลับตาลง และรอให้คนขับพาเขาท่องไปบนท้องถนน
“ไปไหน?”เราถาม
“น่าน” เขาว่า
นั่นล่ะ ไม่ว่าสุดท้ายโครงการล่าสุดของเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่อย่างไร เราก็ได้เห็นความมุ่งมั่นปรากฏอยู่ในดวงตาของชายหนุ่มคนนี้แล้ว
โครงการ 'ปลูกเลย' ที่คุณกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตอนนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร?
โครงการปลูกเลยจริงๆ มันเป็นความคิดที่ว่าจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง แต่เราก็ไม่นึกว่ามันจะเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ ไม่คิดว่ามันจะกลายมาเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ เริ่มแรกมันเกิดจากความต้องการของผม ที่อยากเข้าไปช่วยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เพราะเราไปเห็นท่านโพสต์ถึงเรื่องวิกฤตป่าไม้ เราคิดว่า เราสามารถช่วยๆ กันได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าเรื่องพวกนี้มันคงเป็นเรื่องของผู้ว่าราชการ หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่มันไม่ใช่ไง มันเป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ ตอนแรกผมก็คิดเหมือนกันว่า จะพิมพ์ไปดีหรือเปล่าวะว่าเราอยากช่วย แต่ก็รู้สึกว่า เฮ้ย เราทำได้นะ สุดท้าย ก็เลยเสนอตัวไปในเพจตัวเองว่า ถ้าท่านมีโอกาสได้อ่าน ผมยินดีจะช่วยนะ ไม่ว่าวิธีไหนก็ตาม เท่านั้นเองครับ
แต่ก็ถึงขั้นบริจาคเงินกว่าครึ่งแสน อะไรที่ทำให้คุณกระทบกระเทือนใจขนาดนั้น?
เรื่องเงินบริจาคนี่มันอยู่ในใจผมมานานแล้ว คือมันอยู่ที่ผมมาตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมใหญ่พ.ศ. 2554 ซึ่งผมพาทีมไปช่วยตั้งแต่พิมาย ลพบุรี ไล่มาจนถึงกรุงเทพฯ ผมจำได้ว่า วันแรกที่ไปช่วยผมยังแทบจะเอาตัวเองไม่รอด คือจากเป็นคนไปช่วย กลายเป็นผู้ประสบเหตุเสียเอง ตอนนั้นไปกันทั้งก้านคอคลับ พายเรือคายักไปแล้วน้ำมันเชี่ยวมาก ไปถึงพวกเราก็ไปติดอยู่จนมูลนิธิต้องมาช่วยเราอีกที (หัวเราะ) พอกลับมาก็ไม่ยอมแพ้ มาฝึกพายคายักให้เป็น ซื้อเรือ ทำนั่นนี่ ออกไปช่วยคนกันทุกวัน ตอนนั้นน้ำมาถึงรัชโยธินแล้ว คือการช่วยของเรา มันเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะสามารถทำอะไรเพื่อประเทศเราได้จริงๆ ตอนนั้น เราเลยตั้งกองทุนเล็กๆ ขึ้น เพื่อซื้อเรือให้มูลนิธิต่างๆ แต่ทีนี้หลังเหตุการณ์น้ำท่วม มันมีเงินเหลือเยอะมากเลย มีผู้บริจาคเงินให้เราเยอะมาก เราก็เก็บเงินเหล่านี้คาอยู่ในบัญชี คือมันไม่ใช่เงินผมคนเดียวนะครับ เงินทั้งก้อนเป็นเงินที่หลายๆ คนช่วยบริจาคกันเข้ามา แล้วผมช่วยสมทบทุนเข้าไป และพอตอนนี้ เราเห็นปัญหาเรื่องป่าไม้ ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็คิดแหละว่า สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น เงินจำนวนนี้มันก็ยังน้อยมากอยู่ดี แต่เราแค่รู้สึกว่า ถ้ามันสามารถทำให้เกิดประโยชน์ได้ เราก็ยินดีสนับสนุน
ก่อนหน้านี้เคยไปปลูกป่ามาบ้างหรือเปล่า?
บอกได้เลยว่าอนุบาล ในชีวิตของผม ผมปลูกต้นไม้นับต้นได้ ไม่เคยไปร่วมงานอีเวนต์ปลูกปงปลูกป่าอะไรกับเขาเลย ไม่ค่อยได้สนใจนัก ไม่ค่อยมีอะไรอยู่ในหัวสักเท่าไหร่ แต่ก่อนหน้าที่โครงการปลูกเลยจะเกิดขึ้นเนี่ย ผมไปเจอกับพี่ต่อ (ธนญชัย ศรศรีวิชัยผู้กำกับโฆษณาชื่อดังผู้มีความสนใจในเรื่องป่า) มา แกชวนผมไปบ้านเมื่อราวเดือนที่แล้ว คือก่อนหน้าที่จะมีเรื่องนี้เกิดขึ้น เราไปบ้านแก ไปนั่งดูบ้านซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ แล้วรู้สึกว่า โห นี่มันเป็นแรงบันดาลใจล้วนๆ เลย สิ่งที่แกทำเจ๋งว่ะ พากูเดินชมสวน ตัดกิ่งแต่งต้นไม้ทั้งวัน เราเลยเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ แล้วพอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราเลยคิดว่า เราทำอะไรได้นี่หว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงวันนี้ ทุกวันเลยกลายเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับต้นไม้ หรือป่าไม้จากอาจารย์ทั้งหลาย จากหลายๆ คนที่โพสต์เข้ามา แล้วทำให้เราได้ศึกษาหาความรู้ไปด้วย เรียกว่าก็รู้เยอะขึ้นมากเลย รู้จนกระทั่งเดี๋ยวนี้จะเดินเหยียบไปบนสนามหญ้ากูยังคิดเลยอะ(หัวเราะ) เพราะเรารู้ว่า ต้นไม้มันเกิดขึ้นมายากฉิบหาย มันคือชีวิตที่อยู่มาก่อนเรา มันสำคัญมากๆ รู้สึกสนุกไปกับมัน จากการที่ได้ไปนั่งเรียนอยู่ทุกวัน ทำให้รู้ว่าต้นไม้แบบนี้มันอุ้มน้ำนะ ต้นไม้แบบนี้ให้สารอะไรแก่ดิน พยุงหน้าดินเอาไว้ แบบนี้กันไฟ แบบนี้สามารถดึงสัตว์เข้ามาหากิน ทำให้เมล็ดขยายพันธุ์ออกไป โห มันทำงานกันเป็นทีม เป็นระบบ ซึ่งมันเป็นความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่เราอยากเห็นมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว คือผมเป็นคนกรุงเทพฯ เมื่อก่อนบ้านอยู่ริมถนนวรจักร จะเห็นสนามหญ้าสักครั้งต้องไปสวนลุมฯ ตื่นเต้นฉิบหายเวลาเห็นสนามหญ้า เราได้รู้ว่าเรื่องราวของแต่ละต้นเป็นแบบนี้ มันเติบโตแบบนี้ ตอนนี้ชีวิตของผมคือ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราต้องสนุกไปกับมันก่อน และตอนนี้ผมก็เจอความสนุกของมันแล้วล่ะ คิดว่ามันน่าสนุกที่เราจะได้ทำ
แต่มีเสียงค้านเหมือนกันว่า 'อย่าปลูกเลย' ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น มันอาจเป็นผลเสียต่อระบบนิเวศน์มากกว่าผลดี ต้นไม้มันเกิดได้เอง หรือปลูกแล้วจะยังไงต่อ เพราะถ้าปลูกไปแล้วต้นไม้ไม่ได้รับการดูแลอีกไม่นานมันก็อาจตาย?
จริงครับ มันเกิดได้เอง แต่สิ่งที่เราทำลายกันไป ถ้าปล่อยให้มันเกิดเอง ยังไงก็ไม่รอด เพราะเราทำลายไปเยอะกว่าที่จะรอให้มันเกิดขึ้นเองได้ หลักการที่ผมศึกษากับอาจารย์จุลพร นันทพานิช (สถาปนิกและอาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้เชื่อมั่นในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับธรรมชาติ) คือต้นไม้เกิดขึ้นเองได้จริง ในกรุงเทพฯ อย่างถ้ามีตึกร้างหน่อย เราก็จะเห็นมันขึ้นของมันเองได้ ตรงนั้นไม่เถียงเลย แต่มันจะเป็นแค่กับพันธุ์ไม้ไม่กี่ประเภท เฉพาะที่มันจะเกิดขึ้นได้ หรืออยู่รอดได้ เช่น นกไปกินเมล็ดต้นไทร ต้นโพธิ์ กระถิน ไม่กี่ชนิดนี้ แล้วบินมาถ่ายไว้ ต้นไม้มันก็จะงอก แต่ประเด็นคือมันไม่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ต้นไม้บางพันธุ์ที่หายไปแล้ว มันไม่สามารถกลับมาเอง อาจารย์บอกว่า บางพื้นที่ที่เราต้องปลูกป่าปลูกต้นไม้ที่กินผลได้ เพราะสัตว์อย่างอีเห็น หรือชะมดอะไรพวกนั้นมันไม่มีแล้ว เราเลยต้องไปช่วยเร่งให้เขากลับมา แต่ไม่ได้เร่งซี้ซั้วนะ อาจารย์เขาจะไปดูว่า พื้นที่นั้นๆ มันเคยมีต้นอะไรบ้างที่ไม่มีทางจะกลับมาได้ถ้าเราไม่ช่วยมัน มันจึงเกิดกระบวนการที่เรียกว่า สูตรสร้างป่าที่จะทำให้ป่ากลับมาเป็นเหมือนเดิมเพิ่มเติมเข้ามา จริงๆ แล้วมีสูตรที่หลายโครงการทำสำเร็จแล้ว อย่างแม่ฟ้าหลวง หรืออีกเยอะแยะมากมายซึ่งสูตรของอาจารย์จุลพรก็เป็นสูตรที่ผม พี่ต่อ และพี่โต้-สุหฤท สยามวาลา เชื่อ จึงมารวมตัวกันเป็น 'ปลูกเลย'
ว่ากันว่าการเผาป่าถางป่าในพื้นที่ต่างๆ จริงๆ แล้วมาจากประชาชนในพื้นที่ที่ต้องทำมาหากินด้วยการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อหาเลี้ยงชีพ ถ้าโครงการปลูกเลยสำเร็จจริงๆ สุดท้าย เราจะมีวิธีการอย่างไรให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้?
ป่าควรอยู่กับคนเป็นเรื่องที่ถูกต้องครับ แต่ตรงนี้มันซับซ้อน และมีหลายๆ โครงการทำอยู่แล้ว คนอย่างพวกผมจะไปทำอะไรได้ มันเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับพวกเราแล้วล่ะ มันเป็นเรื่องของนโยบาย เรื่องของตัวจังหวัด กรมกองที่เกี่ยวข้องต้องมาช่วยดูแล เราก็คิดว่าป่าควรอยู่กับคน ซึ่งป่าที่เราทำก็เป็นอย่างนั้น ให้คนที่เข้าไปเก็บสอยกินได้ เพราะพื้นที่ที่เราเข้าไปคุณซี้ซั้วเด็ดอะไรมันผิดกฎหมายอยู่แล้ว มันจึงต้องได้รับการยินยอมเป็นพื้นที่พิเศษ ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่ที่ภาครัฐต้องคุยกัน ทางเราเนี่ยมี 6 คน เราทำเต็มกำลังได้เท่าที่เราทำ เป็นแบบอย่างให้คนเห็นว่า มึงทำกันได้นะ แต่มึงจะหวังให้กูเปลี่ยนพื้นที่สีเขียวทั้งประเทศกูทำไม่ได้หรอก กูทำเท่าที่ทำได้ เรารู้ด้วยซ้ำว่า Seed bomb (ก้อนดินปั้นใส่เมล็ดพันธุ์พืชผสมปุ๋ย) มันประสบความสำเร็จแค่ 20% แต่การที่เราลงมือทำมันก็น่าจะเป็นตัวช่วยจุดกระแสได้
คนเมืองส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์ โดยมองไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างตัวเองกับป่า มองเรื่องความสำคัญของป่าหรือต้นไม้เป็นเรื่องห่างไกล อย่างน่านเองก็อยู่ห่างกรุงเทพฯ ตั้ง 668 กิโลเมตร แต่ทำไมถึงคิดว่า เราควรสนใจเรื่องต้นไม้ขนาดนั้น?
อันดับแรกเลย ถ้ามาถามผมสองสามเดือนก่อน ผมคงไม่มีคำตอบให้ เพราะเราเองก็เป็นหนึ่งหน่วยที่สร้างมลภาวะ เป็นหน่วยทำลายสิ่งแวดล้อม บางทีเราก็แอบคิดนะว่า หลายๆ คนที่พยายามโทษชาวบ้านว่า ไปตัดไม้ ไปบุกรุกพื้นที่ป่า ทำไมในทางกลับกันเขาไม่มองว่า เรานี่แหละโคตรเป็นตัวทำลายเลย หรือทำไมเราไม่มาขี่จักรยานทั้งเมืองล่ะ ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องของความเข้าใจ แต่กว่าจะไปถึงขั้นของความเข้าใจได้ เราก็ต้องช่วยเหลือกัน คนเมืองก็คงไม่พ้นเรื่องพลังงานต่างๆ ที่ใช้กันจนชินแล้ว จนลืมความเชื่อมโยงระหว่างกัน บอกเลยว่าผมไม่ได้ต่างจากคุณ ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งนึกอยากลุกขึ้นมารักป่าไม้ แล้วต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่าง แต่วันหนึ่งผมก็แค่คิดขึ้นมา และรู้สึกว่า ผมน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้ โดยเริ่มจากตัวเอง เริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต ซึ่งจริงๆ คนเรามักจะค่อยๆ ซึมซับเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากคนที่อยู่ในกระแสอยู่แล้ว ถ้าผมทำให้คนมองเห็นตรงนี้ได้ก็น่าจะเป็นหน้าที่ที่ชัดเจนที่สุด อย่างน่าน น้ำประปาที่เราใช้ส่วนหนึ่งก็มาจากน่านใช่ไหม มาวันหนึ่ง เราบ่นว่าร้อนเว้ย แล้วมีคนไปถ่ายรูปป่าต้นน้ำที่น่าน และพบว่ามันหายไปหมดแล้ว ด้วยความสำคัญตรงนี้ ผมคิดว่ายังไงคนก็จะให้ความสำคัญกับมัน
ภาพจำของโจอี้ บอยเมื่อสักราวๆ 10-15 ปีก่อน ค่อนข้างไปในทางของชายหนุ่มที่มีภาพลักษณ์แบดบอย มาวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นจึงทำให้คุณลุกมาทำงานเพื่อสังคม?
หลังจากเรามีชื่อเสียงเงินทองที่แฟนๆ มอบให้มา เราคิดว่า สิ่งที่เราจะตอบแทนกลับไปได้ ก็น่าจะเป็นเรื่องของแรงบันดาลใจที่ดี ส่วนเรื่องเลวๆ ทำมาเยอะแล้ว ก็อย่าไปจำนะครับ (หัวเราะ)เราน่าจะเป็นพี่ที่ดีของน้อง เป็นเจ้านายที่ดีของลูกน้อง สิ่งสำคัญที่สุดคือเราน่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีได้
ณ วันนี้ถ้าให้นิยามตัวเองตามเนื้อหาเพลง 'ร้ายก็รัก' ของตัวเอง คุณคิดว่า คุณเป็นพระรามหรือยัง หรือจริงๆ แล้วก็ยังเป็นทศกัณฐ์อยู่?
(หัวเราะ) เป็นทั้งสองอย่างแหละครับ เราไม่ได้บอกว่าตัวเองดีเลิศประเสริฐศรี แต่มันมีจุดที่ตื่นขึ้นมาทุกวัน แล้วคิดว่า กูทำงานมาเยอะขนาดนี้ วันนี้กูตื่นขึ้นมาแล้วไม่ต้องพะวงเรื่องปากท้องตัวเองอีกแล้ว มันถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องส่งต่อสิ่งดีๆ ให้คนอื่น ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม เท่านี้เอง
เคยน้อยใจไหมที่ก่อนหน้านี้สื่อมักนำเสนอภาพของคุณในแง่ลบ?
อย่าใช้คำว่าน้อยใจ ใช้คำว่าเกลียดเลยดีกว่า (หัวเราะ) คนเราไม่มีทางชินหรอกเวลาที่ใครก็ไม่รู้ที่เราไม่รู้จัก มานั่งเขียนเรื่องชีวิตเราแบบเสียๆ หายๆ แต่สุดท้าย เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน บทเรียนที่ผ่านมา หรือเรื่องแย่ๆ ที่เคยทำเอาไว้ มันไม่ไปไหนหรอก ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำอะไรต่อไปเอาจริงๆ กูก็ไม่ได้เลวขนาดนั้นหรือเปล่าวะ (หัวเราะ) บางทีก็สงสัยว่า กูเลวขนาดนั้นเลยเหรอ บางวันขับรถอยู่ดีๆ เจอด่านตำรวจกูยังกลัวเลย จะเริ่มพะวงแล้วว่า เฮ้ย กูมีปืนหรือเปล่า มีอะไรอยู่ในรถหรือเปล่าวะ มันถึงขนาดที่มีโมเมนต์หนึ่งที่ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า เฮ้ย กูเป็นอาชญากรเหรอวะ คิดไปถึงขนาดนั้น ถึงขั้นที่รู้สึกว่า กูไม่ชอบนักข่าว ไม่ชอบตำรวจ อย่ามายุ่งกับชีวิตกู แต่ถึงจุดหนึ่งก็คิดว่าไม่ได้แล้ว จะไปเกลียดจะไปหนีตลอดไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือต้องสร้างผลงานให้ดีขึ้น ทำให้ตัวเองมีค่าที่สุด ทำแต่สิ่งดีๆ สร้างสิ่งดีๆ ขึ้นมา พัฒนาให้ดีที่สุด จากนักร้องนักเขียนเพลงก็ต้องเป็นนักเขียนเพลงที่ดี เป็นโปรดิวเซอร์ที่ดีให้ได้ ดึงความกดดันทั้งหมดมาเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต คนอย่างกูจะเป็นนักกีฬาทีมชาติให้ดู (โจอี้ บอยเป็นนักกีฬาพารามอเตอร์ทีมชาติไทย) ก็ต้องทำให้ได้
ทุกวันนี้หลายๆ อย่างที่ลงมือทำก็ประสบความสำเร็จพอสมควรแล้ว รู้สึกอย่างไรกับมันบ้าง?
คิดว่า ความรู้สึกที่เราเคยรู้สึกมาก่อนมันสามารถส่งต่อได้ คนอย่างกูยังทำได้ มึงก็ต้องทำได้ ทุกครั้งที่รับเหรียญรางวัล ที่อยากจะโพสต์ให้เห็น กูไม่มีอะไรจะโชว์หรอก นอกจากอยากบอกว่า น้องๆ ดูนี่ เราทำได้ว่ะ
นอกจากเรื่องสิ่งแวดล้อม เหมือนจะมีข่าวแว่วมาว่าโจอี้ บอยกำลังจะเขียนหนังสือ?
จริงๆ มีคนหลายคนพยายามจะให้เราเขียน แต่เราเขียนไม่ได้ว่ะ เราเขียนได้แต่อะไรสั้นๆ เช่น เพลง ที่จบในตอน เล็กๆ สั้นๆ หรือถ้าให้เรามานั่งเล่าให้ฟังมันคงง่ายกว่า (หัวเราะ) แต่ถ้ามีโอกาสก็คงอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง อยากทำให้ชีวิตตัวเองเป็นการ์ตูนมากเลย มันมีอะไรเยอะแยะมากมายที่เราอยากให้คนอื่นรู้
อยากให้คนอ่านรู้อะไรมากที่สุดเกี่ยวกับชีวิตของผู้ชายชื่อโจอี้ บอย ?
อยากให้รู้เรื่องมุมมองของเรา อยากให้รู้ว่าทัศนคติแบบไหนที่กระตุ้นเราอยู่ตลอดเวลา ยกตัวอย่างนะ อย่างเวลาเราเล่นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง แล้วเรารู้สึกว่ามันใช้ยากจังวะ แต่ถ้ามานั่งคิดอีกที ไอ้สิ่งยากๆ นี่แหละที่มันมีอีกคนสร้างขึ้นมา มีมนุษย์ที่ทำอะไรมากกว่ามึงเยอะเลย ในขณะที่มึงคิดว่าชีวิตมึงยากเย็นแสนเข็ญแล้ว จะปล่อยให้มนุษย์อีกคนฉลาดกว่ามึงตั้งกี่เท่าได้ยังไง สิ่งนี้มันกระตุ้นเราอยู่ตลอดเวลาว่า มันยากตรงไหนวะ ทำไมเราถึงทำมันไม่ได้ ทำไมกูทำไม่ได้ ตอนเด็กๆ เราจะโดนด่าบ่อยมากว่า เป็นคนไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง เราเป็นคนสนใจอะไรหลายๆ อย่างไง ก็จะถูกดุว่ามึงทำแบบนี้อีกแล้ว มึงไปเรียนนู่นเรียนนี่อีกแล้ว แต่ไม่เห็นทำจริงจังสักอย่าง แต่เราจะมองว่า จริงๆ มันไม่ใช่หรอก เราก็จะเถียงว่า กูทำจริงทุกอย่างเลยนะ กูทำได้หลายอย่างมาก คนเราไม่จำเป็นต้องทำอย่างเดียวทั้งชีวิต กูสรุปให้เลยว่าอยากทำอะไร สองปีมึงสามารถเก่งสัตว์ๆ ได้ทุกเรื่อง ภายในสองปีมึงจะโคตรเก่งเลย ถ้าตั้งใจทำ อยากเป็นนักกีฬาอะไร สองปีถ้าตั้งใจจริงๆ กูคิดว่ากูทำได้
หลายวันก่อนคุณเพิ่งไปร่วมเสวนาในงาน 'อ่านอะไร ได้อะไร' ปกติเป็นนักอ่านอยู่แล้วหรือเปล่า?
จริงๆ ก็เขินนะ คือเราไปนั่งคุยกับพี่ๆ เขา (ดร.ปณิธิ หุ่นแสวงประธานมูลนิธิวิชาหนังสือ) เขาสงสัยว่าเราอ่านอะไรมา ซึ่งจริงๆ เราก็อ่านมาแค่นิดหน่อย เราไม่ใช่เด็กที่ชอบอ่านหนังสืออะไรมากมาย คือยังมีหนังสือหลายๆ เล่มที่ชอบมากๆ อยู่นะ แต่เราค่อนข้างจะไปใช้ชีวิตเอาต์ดอร์เสียส่วนใหญ่ เน้นการใช้ชีวิตมากกว่า ออกไปรู้เลย ออกไปเรียนเลย เข้าไปหาเขาเลย บอกให้เขาสอนเราหน่อย แม้กระทั่งวิชาเลขที่กูโง่มาทั้งชีวิตเนี่ย ตอนแรกเราก็แค่ตั้งข้อสงสัยว่า กูโตขนาดนี้ถ้ากูตั้งใจจริงๆ กูจะเข้าใจไหม ปรากฏว่าเข้าใจนะ ไปให้เขาสอนเลขกูหน่อย โจอี้ บอยเดินไปหาคนอื่นให้ช่วยสอนเลขให้ (หัวเราะ) สมการแบบนี้อยากแก้ให้ได้ ทำอย่างไร สอนหน่อยๆ สรุปกลับมาก็ทำได้ สำหรับเรามันอยู่ที่ความชอบ หลังจากนั้นก็เป็นความตั้งใจ แล้วมึงก็จะเก่ง แล้วถ้ายิ่งรักมัน มึงก็จะอยู่กับมันได้ แค่นั้นเอง
ไม่ได้มองว่า การไม่ชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะในคนไทยเป็นปัญหาขนาดนั้น?
ไม่หรอก มันก็คงเป็นปัญหา แต่เราจะมองว่า ปัญหาจริงๆ ของมันคือ เขาอาจจะไม่ได้มีอะไรที่อยากอ่านน่ะ แล้วมันก็ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วตัวเองชอบอะไร นี่คือสิ่งที่อันตรายที่สุดเลยนะ
หมายถึงการหาตัวเองไม่เจอ?
ใช่ มันเป็นสิ่งที่เด็กๆ วัยรุ่นจะต้องเจอ นั่นคือการหาตัวเองไม่พบ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่ทำสิ่งที่ชอบที่สุดแค่นั้นเอง ทุกวันนี้โลกมันเปิดขนาดนี้แล้ว เขียนแก๊กตลกลงเฟซบุ๊กยังดังได้เลย เราสามารถทำทุกอย่างได้แล้วในปัจจุบัน คำว่าหาไม่เจอเนี่ย เราจะถามว่าลองหาหรือยัง หาที่ชอบที่สุดก่อน แล้วก็หาหนทางทำมาหากินจากมันให้ได้ ซึ่งเราเป็นอย่างนั้นมาตลอด เรามาจากครอบครัวคนจีนที่ชอบรองเท้า adidas gazelle คู่นี้มาก อยากครอบครองมันมาก วิธีการก็คือไปซื้อมาขาย แล้วตัดล็อตเก็บไว้ใส่เอง แต่สุดท้ายกูก็เจ๊ง เพราะกูเก็บไว้ใส่เองทุกคู่ (หัวเราะ) มันต้องหาหนทาง แล้วก็หาประโยชน์จากมัน ผมคิดว่าคนเราถ้ามันถนัดแล้วสนใจอะไรสักอย่างจนเข้าถึงแก่นในทุกๆ เรื่อง มึงจะเป็นคนที่มีค่ามากๆ
สำหรับคนที่หาตัวเองเจอแล้ว แต่เขามีพื้นฐานหรือฐานะทางบ้านไม่ดี และงานที่ชอบก็ไม่สามารถทำเงินให้ได้ จนสุดท้ายต้องเลิกล้มกันไป คุณจะบอกเขาอย่างไร?
ก็พักเอาไว้ อย่าไปเลิกล้ม ต้องทำอย่างอื่นแลก ชีวิตโจอี้ บอยผ่านการทำอะไรที่ไม่ชอบมาเยอะมากเพื่อมาอยู่ในจุดที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบในวันนี้ มันต้องแลกเยอะครับ มันไม่ใช่คิดแค่หนึ่ง แล้วจะได้เลย เราทำไปร้อยอย่าง อาจจะได้ดีสักสิบอย่าง มันผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาหมดแล้ว
เรื่อง : ฆนาธร ขาวสนิท
ภาพ : พาณุวัฒน์ เงินพจน์
จาก http://astv.mobi/ApLzoXL