ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 13, 2016, 10:29:34 pm »พระพุทธเจ้า (ต่อ)
คำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า สามารถย่อลงเหลือเพียงคำเดียว คำนั้นก็คือ อิสรภาพ นั่นคือคำสอนพื้นฐานของพระองค์ เป็นความหอมในแบบของพระองค์โดยแท้ ไม่มีใครอีกที่ยกอิสรภาพขึ้นสูงสุดเช่นนี้ นี่คือคุณค่าเชิงปรมัตถ์ในมุมมองของพระพุทธเจ้า เป็นความดีสูงสุด หรือ ซัมมัม โบนัม ไม่มีอะไรสูงกว่านี้
(ซัมมัม โบนัม เป็นภาษาละติน หมายถึงความดีสูงสุดที่ทุกคนยอมรับ)
ดูเหมือนเป็นเรื่องพื้นฐานมากในการเข้าใจว่า เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงเน้นย้ำถึงอิสรภาพมากนัก ไม่ได้ทรงเน้นถึงพระเจ้า สวรรค์ หรือความรัก แต่เป็นอิสรภาพ มีเหตุผลในเรื่องนี้อยู่ประการหนึ่ง นั่นคือทุกสิ่งที่มีคุณค่านั้น จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในบรรยากาศของอิสรภาพ ความรักก็เติบโตได้เพียงในเนื้อดินแห่งอิสรภาพ หากไร้อิสรภาพ ความรักก็ไม่อาจเติบโต ไร้ซึ่งอิสรภาพ สิ่งที่เติบโตในนามของความรักไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากตัณหา หากไร้อิสรภาพ ก็จะไม่มีพระเจ้า หากไร้อิสรภาพ สิ่งที่คุณคิดว่าเป็นพระเจ้า ที่แท้แล้วก็เป็นเพียงจินตนาการ ความกลัว หรือความโลภของคุณเอง ไม่มีสวรรค์ไหนไร้อิสรภาพ อิสรภาพคือสวรรค์ และหากคุณคิดว่ามีสวรรค์แห่งไหนที่ไร้อิสรภาพ สวรรค์นั้นก็ไม่มีค่า ไม่เป็นจริง เป็นเพียงสิ่งที่คุณฝันเฟื่องขึ้นเท่านั้น
คุณค่ายิ่งใหญ่ทั้งปวงเติบโตได้ในบรรยากาศของอิสรภาพ ฉะนั้น อิสรภาพจึงเป็นคุณค่าพื้นฐาน และยังเป็นยอดสูงสุดด้วย หากคุณต้องการเข้าใจพระพุทธเจ้า คุณจะต้องลิ้มรสอิสรภาพที่พระองค์ตรัสถึง
อิสรภาพของพระองค์ไม่ใช่เรื่องภายนอก ไม่ใช่สังคม ไม่ใช่การเมือง ไม่ใช่เศรษฐกิจ แต่เป็นอิสรภาพทางจิตวิญญาณ ด้วยคำว่า ‘อิสรภาพ’ พระองค์หมายถึงภาวะของจิตสำนึกที่ไม่ถูกผูกรัดด้วยกิเลสใดๆ ไม่ถูกล่ามโซ่ด้วยกิเลสใดๆ ไม่ถูกคุมขังด้วยความโลภ ด้วยตัณหาใดๆ โดยคำว่า ‘อิสรภาพ’ พระองค์ทรงหมายถึงจิตสำนึกที่ปลอดการคิด ภาวะที่ไร้จิต เป็นความว่างเปล่าสูงสุด เพราะหากมีบางสิ่งอยู่ สิ่งนั้นก็จะเหนี่ยวรั้งอิสรภาพ และขัดขวางความว่าง
คำว่าความว่างเปล่าหรือ สุญตา นั้นมีคนเข้าใจผิดอย่างมาก เนื่องจากคำนี้มีความหมายในทางลบ เมื่อไรก็ตามที่เราได้ยินคำว่า ‘ว่างเปล่า’ เราจะคิดถึงบางสิ่งในแง่ลบ ในภาษาของพระพุทธเจ้าความว่างไม่เป็นลบ ความว่างเป็นบวกอย่างสมบูรณ์ บวกยิ่งกว่าสิ่งที่เราเรียกว่าความเต็มอิ่มเสียอีก เพราะความว่างนั้นเต็มไปด้วยอิสรภาพ สิ่งอื่นๆ หายไป เป็นความว่างไพศาล ไร้ขอบเขต ภายในพื้นที่ไร้ขอบเขตนี้เท่านั้น ที่อิสรภาพจะเป็นไปได้ ความว่างเปล่าของพระองค์ไม่ใช่ความว่างเปล่าธรรมดา ไม่ใช่การขาดหายไปของบางสิ่ง ทว่าเป็นปรากฏการณ์ของบางสิ่งที่มองไม่เห็น
ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณทำห้องให้ว่างเปล่า ขณะที่คุณย้ายเครื่องเรือน ภาพเขียน และของต่างๆ ในห้องออกไป ในด้านหนึ่ง ห้องว่างเปล่าเนื่องจากไม่มีเครื่องเรือน ไม่มีภาพเขียน ไม่มีสิ่งของ ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ภายในอีกแล้ว แต่ในอีกด้านหนึ่ง บางสิ่งที่มองไม่เห็นก็ได้เติมเต็มห้องแห่งนั้น สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นก็คือ ‘ความกว้างขวาง’ พื้นที่โล่ง ห้องแลดูใหญ่ขึ้น ขณะค่อยๆ ย้ายของออกไป ห้องก็จะค่อยๆ กว้างขึ้นและกว้างขึ้น เมื่อทุกสิ่งถูกย้ายออกไป แม้กระทั่งผนัง ห้องก็จะใหญ่เท่ากับท้องฟ้า
นั่นคือกระบวนการทั้งหมดของสมาธิภาวนา ย้ายทุกสิ่งออกไป ย้ายตัวตนของคุณออกไปให้หมด ไม่ให้เหลือสิ่งใดไว้ แม้กระทั่งคุณ ในความสงบงันนั้นคืออิสรภาพ ในความนิ่งนั้น ดอกบัวแห่งอิสรภาพที่มีพันกลีบได้เบ่งบาน อบอวลด้วยกลิ่นหอม เป็นกลิ่นแห่งสันติ เมตตา ความรัก และความสุข
การที่พระพุทธเจ้าทรงเน้นเรื่องเมตตานั้น ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ใหม่มากในเวลาที่คนยังเชื่อในมนต์ขลังแบบเดิมๆ อยู่ พระพุทธเจ้าได้ขีดเส้นประวัติศาสตร์แยกจากอดีต ก่อนหน้าพระองค์ แค่ภาวนาก็เพียงพอแล้ว ไม่มีใครเน้นเรื่องความเมตตาควบคู่ไปกับการภาวนา เหตุผลก็คือการภาวนาทำให้บรรลุ เบ่งบาน เข้าถึงตัวตนสูงสุด แล้วยังจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า ตราบเท่าที่คนสนใจแต่ปัจเจก แค่ภาวนาก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้ารวมถึงการแนะนำให้มีเมตตาก่อนหน้าจะเริ่มทำสมาธิภาวนาเสียด้วยซ้ำ คุณควรมีความรัก ความเมตตา ความกรุณามากขึ้น
มีเรื่องเชิงวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลังด้วย ก่อนที่คนเราจะบรรลุธรรมนั้น หากเขามีหัวใจเปี่ยมไปด้วยเมตตาก่อน ก็เป็นไปได้ว่า หลังจากปฏิบัติสมาธิภาวนาแล้ว เขาจะช่วยผู้อื่นให้บรรลุถึงความงาม และความสูงส่งเดียวกันนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงทำให้การบรรลุธรรมเป็นเรื่องที่แพร่ไปได้ เพราะหากคนคนนั้นรู้สึกว่าตนได้กลับบ้านแล้ว จะต้องไปสนใจคนอื่นอีกทำไม
พระพุทธเจ้าทรงทำให้การบรรลุธรรมเป็นเรื่องไม่เห็นแก่ตัวเป็นครั้งแรก ทรงทำให้เป็นความรับผิดชอบต่อสังคม นี่คือความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ แต่ควรเรียนรู้ความเมตตาก่อนการบรรลุธรรมจะเกิดขึ้น เพราะหากไม่ได้เรียนรู้ไว้ก่อนแล้ว หลังการบรรลุธรรม ก็จะไม่มีอะไรให้เรียนอีก เมื่อคนคนหนึ่งเกิดปีติในตัวเองอย่างมากแล้ว กระทั่งความเมตตาก็ดูเหมือนจะขัดขวางปีตินั้นได้ กลายเป็นเรื่องรบกวนปีติไปเสีย
ที่จริงแล้ว ถือเป็นปีติที่ล้ำลึกกว่า เมื่อคุณได้เห็นคนมากมายเบ่งบานอยู่รอบตัวคุณ คุณไม่ใช่ต้นไม้โดดเดี่ยวเบ่งบานอยู่ในป่าที่ไม่มีต้นไม้อื่นผลิดอกเลย เมื่อป่าทั้งป่าเบ่งบานไปพร้อมกับคุณ ปีตินั้นยิ่งทวีคูณเป็นพันเท่า คุณได้ใช้การบรรลุธรรมนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่โลก
พระพุทธเจ้าไม่เพียงบรรลุธรรมเท่านั้น ทว่ายังเป็นนักปฏิวัติที่บรรลุธรรมอีกด้วย ความห่วงใยโลกและผู้คนของพระองค์นั้นใหญ่หลวงนัก พระองค์ทรงสอนสานุศิษย์ว่า เวลาปฏิบัติสมาธิภาวนาแล้วเกิดความนิ่งสงบ ปีติอยู่ลึกๆ ภายในนั้น จงอย่ายึดมั่นกับมัน ให้มอบสิ่งนั้นแก่โลก จงอย่ากังวล เพราะยิ่งมอบให้ ก็จะยิ่งสามารถหามาเพิ่มเติมได้มากขึ้น ท่าทีแห่งการให้นั้นจะทรงความสำคัญใหญ่หลวง เมื่อคุณรู้ว่า การให้ไม่ได้พรากสิ่งใดไปจากคุณ ตรงกันข้าม มันกลับเสริมสร้างประสบการณ์ให้คุณ ทว่าคนที่ไม่เคยเมตตา จะไม่รู้ความลับของการให้ ไม่รู้ความลับของการแบ่งปัน
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับศิษย์คนหนึ่งของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นฆราวาส เขาไม่ได้เป็นสันยาสี แต่ก็อุทิศตัวแด่พระพุทธเจ้า เขากล่าวว่า “ข้าจะปฏิบัติตาม...แต่ข้าขอข้อยกเว้นอย่างหนึ่ง ข้าจะมอบความสุขและการปฏิบัติสมาธิภาวนาและสมบัติล้ำค่าภายในของข้าให้กับโลกทั้งใบ ยกเว้นเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เพราะคนนั้นเป็นคนร้ายกาจ”
เพื่อนบ้านมักเป็นศัตรูเสมอ พระพุทธเจ้าตรัสตอบ “เธอจงลืมโลกทั้งใบเสีย แล้วเพียงมอบทุกอย่างให้เพื่อนบ้านคนนั้น”
เขาพูดขึ้น “ท่านว่าอะไรนะ”
พระพุทธเจ้าตรัส “มีเพียงการมอบให้เพื่อนบ้านของเธอเท่านั้น ที่จะปลดปล่อยเธอจากความคิดเดียดฉันท์เพื่อนมนุษย์ได้”
โดยพื้นฐานแล้ว ความเมตตาหมายถึงการยอมรับข้อด้อยของคนอื่น ความอ่อนแอของพวกเขา ไม่ใช่คาดหวังให้เขาทำตัวประหนึ่งเทพเจ้า นั่นเป็นความโหดร้าย เพราะพวกเขาไม่อาจทำตัวเหมือนเทพเจ้าได้ แล้วคุณก็จะประเมินเขาตกต่ำ ทำให้เขาเคารพตัวเองน้อยลง คุณได้บดขยี้พวกเขาอย่างร้ายกาจ ทำลายศักศรีดิ์ของพวกเขา พื้นฐานอย่างหนึ่งของความเมตตาก็คือ ต้องทำให้ทุกๆ คนมีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ ทำให้ทุกๆ คนรู้ว่า พวกเขาก็สามารถเป็นเหมือนที่คุณเป็นได้เช่นกัน ทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่สิ้นหวัง มิได้ไร้ค่า และการบรรลุธรรมไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำตัวให้เลอค่าถึงสมควรจะได้รับ ทว่ามันเป็นธรรมชาติในตัวตนของเราเอง
ทว่าถ้อยคำเหล่านี้ควรมาจากผู้บรรลุธรรม เพราะมีเพียงท่านเหล่านั้นที่จะสร้างความไว้วางใจให้ได้ หากมาจากนักวิชาการที่ยังไม่บรรลุธรรม พวกเขาก็จะสร้างความไม่ไว้วางใจขึ้นมา ถ้อยคำจากผู้บรรลุธรรมจะเริ่มหายใจ เริ่มมีจังหวะหัวใจของตนเอง เริ่มมีชีวิต และดิ่งตรงเข้าสู่หัวใจของคุณ ไม่ใช่การบริหารทางปัญญา แต่กับนักวิชาการเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตัวเขาเองยังไม่แน่ใจเลยว่าพูดถึงอะไรอยู่ เขียนถึงอะไรอยู่ เขาก็อยู่ในความไม่แน่นอนเดียวกันกับคุณนั่นเอง
พระพุทธเจ้าถือเป็นหลักหมายหนึ่งในวิวัฒนาการของการตระหนักรู้ สิ่งที่ทรงมอบให้นั้นยิ่งใหญ่ ประเมินค่ามิได้ ในคำสอนของพระองค์นั้น ความคิดเรื่องเมตตาธรรมถือเป็นสาระสำคัญที่สุด แต่คุณพึงระลึกไว้ว่า เพียงมีเมตตาไม่ได้ทำให้คุณสูงส่งขึ้น ไม่อย่างนั้น คุณก็จะทำให้ทุกสิ่งเสียไปหมด มันจะกลายเป็นการพอกพูนตัวตน จงจำไว้ว่า อย่าทำให้คนอื่นอับอายขายหน้าด้วยเมตตาของคุณ มิฉะนั้น ก็ไม่ใช่เมตตาธรรม เบื้องหลังถ้อยคำเหล่านี้ คุณกำลังสนุกกับการทำให้คนอื่นได้อาย
ความเมตตาเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ เพราะมันคือความรักที่ต้องบ่มเพาะ
ความเมตตาไม่กล่าวถึงผู้ใด ทั้งไม่ใช่ความสัมพันธ์ แต่มันเป็นเพียงตัวตนเนื้อแท้ของคุณ คุณจะชื่นชมไปกับความเมตตาที่มีต่อต้นไม้ นก สัตว์ มนุษย์ ทุกๆคน โดยปราศจากเงื่อนไข ไม่ร้องขอสิ่งใดตอบแทน
มีเรื่องราวอันงดงามสำหรับคุณ
แพดดี้กลับมาบ้านเร็วกว่าปกติหนึ่งชั่วโมง และพบภรรยาของเขาเปลือยกายแผ่หราอยู่บนเตียง เมื่อเขาถามว่าเพราะอะไร เธออธิบายว่า “ฉันกำลังประท้วง เพราะฉันไม่มีเสื้อผ้าสวยๆ จะใส่”
แพดดี้เปิดประตูเสื้อผ้า “บ้าน่า” เขาว่า “ดูในนี้สิ มีชุดสีเหลือง สีแดง ชุมพิมพ์ลาย ชุดสูท.....หวัดดี บิล!” แล้วเขาก็พูดต่อ “ชุดสีเขียว.....”
นี่คือความเมตตา!
เป็นความเมตตาต่อภรรยาของเขา เป็นความเมตตาต่อบิล ไม่หึงหวง ไม่ต่อสู้ มีเพียง...
“หวัดดี บิล สบายดีไหม” แล้วเขาก็พูดต่อ เขาไม่แม้แต่จะถามว่า “นายมาทำอะไรในตู้เสื้อผ้าของฉัน”
ความเมตตาต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เป็นความเข้าใจที่ละเอียดอ่อนอย่างที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้
เมื่อขับรถมาถึงทางแยก รถของชายคนหนึ่งเบรกไม่อยู่แล้ว พุ่งไปชนท้ายรถที่มีป้าย ‘เพิ่งแต่งงานใหม่’ ติดอยู่ทั่วทั้งคัน รถเสียหายเล็กน้อย แต่ชายคนนั้นก็ขอโทษขอโพยอย่างจริงใจต่อคู่แต่งงานใหม่
“โธ่ ไม่เป็นไรหรอก” เจ้าบ่าวบอก “เรื่องธรรมดาๆ น่า”
ความเข้าใจ ความเข้าใจอันลึกซึ้งที่ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้...เมื่อคนคนหนึ่งแต่งงาน เขาควรคาดหวังว่าอาจเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ได้ เหตุการณ์ใหญ่ที่สุดเพิ่งเกิดขึ้นไป ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรสลักสำคัญอีก
คนที่มีเมตตาไม่ควรถูกกวนใจด้วยเรื่องเล็กๆ ในชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ทุกขณะจิต ด้วยวิธีนี้เท่านั้น คุณก็ได้ช่วยสั่งสมพลังแห่งเมตตาในตัวเองทางอ้อม ให้มันตกผลึก แข็งแกร่งขึ้น และยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา
แล้วเมื่อถึงวันที่ชั่วขณะอันสุขที่สุดมาถึง เมื่อคุณสดใสเจิดจ้า ก็ยังมีเพื่อนเหลืออยู่อย่างน้อยหนึ่งคน นั่นก็คือความเมตตา เกิดวิถีชีวิตแบบใหม่ขึ้นทันที...เนื่องเพราะบัดนี้คุณมีอะไรๆ มากเสียจนคุณสามารถมอบให้โลกทั้งใบได้แล้ว
ถ้อยคำสุดท้ายของพระพุทธเจ้าในโลกนี้ก็คือ“จงเป็นผู้นำแสงสว่างมาสู่ตนเอง” จงอย่าตามผู้อื่น อย่าเลียนแบบ เนื่องจากการเลียนแบบ หลงคล้อยตาม ล้วนก่อให้เกิดความเขลา คุณเกิดมาพร้อมปรีชาญาณอันใหญ่หลวง เกิดมาพร้อมกับแสงสว่างภายในตัวคุณ จงฟังเสียงเล็กๆ ที่สงบนิ่งภายใน เสียงนั้นจะนำทางคุณไป ไม่มีใครอีกที่จะนำทางคุณได้ ไม่มีใครอีกที่จะเป็นแบบอย่างของชีวิตคุณได้ เพราะคุณไม่เหมือนใคร ไม่มีใครที่เหมือนกับคุณทุกประการ และในอนาคตก็ไม่มีใครที่จะเหมือนคุณอีก นี่คือสมบัติของคุณ ความยิ่งใหญ่ของคุณ ที่คุณไม่อาจมีใครมาแทนที่ได้ คุณเป็นตัวของคุณเอง ไม่ใช่ใครอื่นอีก
คนที่เป็นสาวกผู้อื่นสุดท้ายแล้วจะล้มเหลว กลายเป็นของเทียม กลายเป็นเพียงกลไก เขาอาจเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่ในสายตาผู้อื่น ทว่าลึกลงไป เขาเป็นเพียงคนไม่ฉลาด ไม่ใช่อย่างอื่น เขาอาจมีบุคลิกที่น่าเคารพยกย่อง แต่นั่นก็เป็นเพียงเปลือกภายนอก ไม่ได้ลึกลงไปใต้ผิดด้วยซ้ำ เพียงขูดเขานิดหน่อย คุณก็จะประหลาดใจที่พบว่า ภายใต้เปลือกนั้นเขาเป็นอีกคนหนึ่งเลย ตรงข้ามกับภายนอกของเขา
โดยการเป็นสาวกผู้อื่นอย่างงมงาย คุณอาจปลูกฝังบุคลิกอันงดงามขึ้นได้ ทว่าคุณจะไม่มีจิตสำนึกอันงดงาม และหากคุณไม่มีจิตสำนึกอันงดงามเสียแล้ว คุณก็ไม่อาจเป็นอิสระได้ คุณอาจจะเปลี่ยนคุกคุมขังตัวเอง เปลี่ยนเครื่องพันธนาการ เปลี่ยนการเป็นทาส คุณอาจเป็นฮินดู มุสลิม คริสต์ หรือเซน แต่นั่นก็จะไม่ช่วยอะไรคุณ การเป็นเซนหมายถึงการทำตามอย่างของท่านมหาวีระ แต่บัดนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่เป็นเหมือนท่านมหาวีระ ทั้งไม่มีใครสามารถเป็นเช่นนั้นได้ด้วย การหลงยึดมั่นอย่างงมงายในท่านมหาวีระจะทำให้คุณล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง คุณจะไม่เห็นความจริง จะสูญเสียความจริงใจทั้งปวง คุณจะไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง คุณจะกลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ ไม่เป็นธรรมชาติ และการเป็นสิ่งประดิษฐ์ เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ ก็คือวิถีแห่งหายนะ โง่ และเขลา
พระพุทธเจ้านิยามปัญญาว่ามีชีวิตอยู่ในแสงสว่างของจิตของคุณเอง และความโง่ก็คือการหลงงมงายเชื่อผู้อื่น เลียนแบบผู้อื่น และกลายเป็นเงาของคนอื่น
ศาสดาที่แท้จริงจะรังสรรค์ศาสดา ไม่ใช่สาวก ศาสดาที่แท้จริงโยนคุณกลับไปสู่ตัวคุณเอง ความพยายามทั้งหมดของท่านก็คือทำให้คุณเป็นอิสระจากท่าน เนื่องเพราะคุณต้องพึ่งพิงผู้อื่นมาหลายร้อยปีแล้ว และก็ไม่ได้พาคุณไปไหนเลย คุณยังคงดิ้นรนอยู่ในค่ำคืนมืดมิดแห่งจิตวิญญาณอยู่นั่นเอง
มีเพียงแสงภายในคุณเท่านั้นที่อาจกลายเป็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ ครูตัวปลอมจะชักชวนให้คุณทำตามเขา ลอกเลียนแบบเขา เป็นแค่กระดาษสำเนาของเขา ครูที่แท้จริงจะไม่ยอมให้คุณเป็นกระดาษสำเนา เขาต้องการให้คุณเป็นตัวเอง เขารักคุณ! แล้วจะมาให้คุณลอกเลียนแบบได้อย่างไร เขามีเมตตาต่อคุณ ปรารถนาให้คุณเป็นอิสระอย่างแท้จริง อิสระจากการพึ่งพิงใครๆ
แต่มนุษย์ทั่วไปกลับไม่ต้องการจะเป็นอิสระ พวกเขาต้องการที่พึ่ง ต้องการใครสักคนมานำทาง เพราะอะไรหรือ ก็เพราะเขาจะได้โยนความรับผิดชอบไปไว้บนบ่าของคนอื่น ยิ่งโยนความรับผิดชอบไปทิ้งไว้บนบ่าคนอื่นได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะมีปัญญาน้อยลงเท่านั้น เพราะเป็นความรับผิดชอบ ความท้าทายของความรับผิดชอบนั้น ที่รังสรรค์ปัญญา
คนเราต้องยอมรับชีวิตที่มีปัญหา คนเราต้องผ่านชีวิตไปโดยไม่มีใครปกป้อง คนเราต้องแสวงหาเส้นทางของเราเอง ชีวิตคือโอกาส เป็นความท้าทายที่จะค้นพบตัวเอง แต่คนโง่ไม่ต้องการทำอะไรยาก คนโง่ชอบเดินทางลัด เขาจะบอกตัวเองว่า “พระพุทธเจ้าบรรลุธรรมแล้วนี่ งั้นฉันก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วสิ แค่ดูพระจริยวัตรแล้วทำตามก็พอ พระเยซูบรรลุธรรมไปแล้ว แล้วฉันจะต้องมัวไปค้นหาแสวงหาอะไรอีก เพียงแค่กลายเป็นเงาของพระเยซูก็พอ แค่ติดตามพระองค์ไปทุกหนทุกแห่งก็พอแล้ว”
แต่ในการตามใครอีกคนหนึ่งจะทำให้คุณมีปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร คุณไม่ได้ให้โอกาสปัญญาของคุณสว่างโพลงออกมา เราต้องการชีวิตที่ท้าทายเพื่อให้เกิดปัญญาเกิดขึ้น ชีวิตที่ผจญภัย ชีวิตที่รู้ว่าจะต้องเสี่ยงอย่างไร และจะก้าวเดินไปสู่หนทางที่ไม่รู้จักได้อย่างไร มีเพียงปัญญาเท่านั้นที่ช่วยคุณได้ ไม่ใช่คนอื่น ปัญญาของคุณเอง ขอให้รู้ไว้ว่า การตระหนักรู้ของคุณเองจะกลายเป็นนิพพาน
จงเป็นผู้นำแสงสว่างมาสู่ตนเอง แล้วคุณจะชาญฉลาดขึ้น ถ้าปล่อยให้คนอื่นมาเป็นผู้นำ เป็นมัคคุเทศน์ แล้วคุณก็จะคงโง่เขลาอยู่อย่างนั้น คุณจะพลาดคุณค่าของชีวิตทุกประการ ซึ่งเป็นคุณค่าของคุณเองแท้ๆ!
ชีวิตคือการจาริกแสวงหาที่งดงามอย่างเหลือเกิน แต่สำหรับผู้พร้อมจะแสวงหาเท่านั้น
-จบ-
คุรุวิพากษ์คุรุ / ผู้เขียน : Osho ; ผู้แปลและเรียบเรียง : โตมร ศุขปรีชา
จาก http://www.sookjai.com/index.php?topic=178512.0