ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 13, 2016, 10:55:03 pm »บทความเรื่อง ไภษัชยคุรุ...กับการเยียวยาสังคม
โดย ศิโรฒน์ รัตนาภรณ์ siroat_07@hotmail.com 28 พฤศจิกายน 2551
"ไภษัชยคุรุ" เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนาคติมหายาน ว่ากันว่าท่านมีปณิธานในการบำบัดเยียวยารักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วยให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน
ภิกษุณีธัมมนันทา(อดีตอาจารย์ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์)แห่งวัตรทรงธรรมกัลยาณี จ.นครปฐม ได้กล่าวในบทความลงในวารสารพุทธสาวิกา(ฉบับที่ 28 ตุลาคม-ธันวาคม 2551) ของท่านว่า
"โรคภัยไข้เจ็บที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าพระองค์นี้รับสั่งถึงก็คือ โรคแห่งความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน โรคอันเกิดจากตัวตนของเรา ถูกครอบงำด้วยความโลภ ด้วยความโกรธ ด้วยความหลงนี้เป็นโรคภัยไข้เจ็บทางจิตวิญญาณที่พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ตั้งใจที่จะลงมาเยียวยารักษามนุษย์อย่างแท้จริง..."
สังคมในปัจจุบันมีแรงแห่งกิเลสที่รุนแรง และน่าสะพรึงกลัว เราจึงควรบริหารกิเลสให้เป็นและควบคุมมันให้อยู่ในฐานที่ตั้ง มากกว่าจะปล่อยให้มันออกมาแสดงแสงยานุภาพในการประหัตประหาร เข่นฆ่า โกรธเกรียว อันจะนำสังคมให้จมอยู่ในหายนะ
สังคมที่ปล่อยให้กิเลสแสดงแสงยานุภาพอย่างไม่ขีดจำกัด เป็นสังคมที่อยู่ในภาวะเป็นโรคร้าย ถ้าไม่รีบเร่งเยี่ยวยารักษา อาจเกิดความพิบัติอันเกิดจากการสำแดงสัญชาตญาณเดียรัชฉานอันยากที่จะเยี่ยวยารักษาและพินาศล่มจมได้ในที่สุด
โรคแห่งกิเลสน่ากลัวนัก เพราะกิเลสที่ไม่รู้จักบริหาร คือต้นทางแห่งความหายนะ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจในสังคมถ้าไม่รู้จักการบริหารกิเลส ก็อาจทำให้เกิดกลียุคอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
ถ้าเราลองนำพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้ามาเป็นสรณะในภาวะวิกฤตินี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ จริงๆแล้ว ไภษัชยคุรุ ก็อาจหมายถึงคุณลักษณะของพระพุทธเจ้าประการหนึ่ง ที่พระองค์เคยเปรียบตัวพระองค์เองเหมือนแพทย์ผู้เยียวยารักษาชาวโลกที่เจ็บไข้ได้ป่วยและเปรียบพระธรรมคำสั่งสอนเหมือนตัวยาขนานต่างๆที่ใช้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์(ปรากฎคำกล่าวในลักษณะนี้หลายแห่งในพระไตรปิฎก เช่น ติกิจฉสูตร อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกทสกนิบาต พระไตรปิฎก ฉบับหลวง พ.ศ. 2525 เล่มที่16 เป็นต้น)
ในเบื้องต้น วิธีการนำพระไภษัชคุรุพุทธเจ้า มาเยี่ยวยาสังคม คือ เราต้องยึดหลักธรรมะ เป็นตัวตั้ง แล้วนำพระธรรม คือ ยาอันดีเลิศเข้าไปสู่ใจของเรา
ธรรมโอสถขนานแรก คือ ความศรัทธา เราต้องมีความตั้งมั่นในใจ เชื่อมั่นว่า ธรรมะ จะสามารถเยี่ยวยาสังคมที่มีแรงแห่งกิเลสเดือดพล่านได้
ธรรมโอสถขนานที่ 2 คือ ทาน (การให้) สังคมที่มีการเผื่อแผ่แบ่งปัน คือ สังคมแห่งสันติสุข การให้มิใช่ว่าเราจะให้แต่วัตถุสิ่งของเท่านั้น ถ้าเราให้ความรู้ที่ถูกต้อง ให้การคุ้มครองดูแลซึ่งกันและกัน ให้วาจาที่ดีงาม ก็ถือเป็นการเยี่ยวยาสังคมที่กำลังเดินไปสู่ความเห็นแก่ตัวและขาดสันติสุขได้
ธรรมโอสถขนานที่ 3 คือ การสำรวจตนเองด้วยศีล เพราะศีลคือบรรทัดฐานในเชิงศาสนาที่วัดความเป็นปรกติของความเป็นมนุษย์ เบื้องต้นของปุถุชนคนธรรมดา คือ การมีศีล 5 ข้อแรก คือ ห้ามใจไม่ให้เข่นฆ่า ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน ข้อ2 คือห้ามใจต่อการคดโกง ลักขโมยของอันเป็นสมบัติของผู้อื่นและสมบัติของสาธารณชน ข้อที่ 3 คือซื่อตรงต่อคนที่เรารักและคู่ครองของตนอันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวที่สำคัญอันอาจกระทบถึงผู้อื่น ข้อที่ 4 ไม่กล่าววาจาโกหก หลอกลวงด้วยความเท็จ อันจะนำไปสู่ความเกลียดชังและสุมไฟแห่งความขัดแย้ง การบิดเบือนข้อมูลก็อยู่ในขอบเขตนี้เช่นกัน ข้อที่ 5ไม่เสพของมึนเมาอันเป็นทางมาของการขาดสติและเผยสัญชาตญาณอันไม่พึงประสงค์
ธรรมโอสถขนานที่ 4 คือ มี สติ รู้เท่าทันปรากฏการณ์ทางสังคม รู้เท่าทันอารมณ์ และรู้เท่าทันข่าวสาร มีวิจารณญาณในการฟัง ในการพบเห็น ในการพูด ในการคิดพิจารณา เราต้องมีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา
ธรรมโอสถขนานที่ 5 คือ ความเมตตากรุณา ในภาวะปัจจุบันนี้เรามักพลักไสให้คนที่เห็นต่างจากเราเป็นศรัตตรู พร้อมที่จะเผชิญหน้า และถกเถียงเพื่อเอาชนะคะคาน แต่ถ้าเรามีจิตเมตตากรุณาต่อกัน เปิดใจของเราให้กว้างและวางอคติโดยใช้ความขัดแย้งเปลี่ยนเป็นสนามในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ฟัง คิด พูด ทำ ต่อกันด้วยจิตที่เปี่ยมด้วยเมตตา เชื่อแน่ว่าสนามแห่งความขัดแย้งจะแปลเปลี่ยนเป็นสนามแห่งปัญญา เพราะ ความเมตตา จริงใจ ที่เรามีให้แก่กันและกัน นี้คือเมตตาในเบื้องต้น
ธรรมโอสถขนานที่ 6 คือ ความอดทนอดกลั้น แรงโหมของความขัดแย้งย่อมอาจเกิดการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา ความอดทนเป็นสิ่งที่ควบคุมกิเลสกองความโกรธได้อย่างดี เราจะเห็นได้ว่าไม่ว่าฝ่ายใด พอเกิดความโกรธเข้าแล้วถ้าไม่รู้จักมีความอดทนก็ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างน่าเสียดาย
นี้คือ ธรรมโอสถ 6 ประการ ถ้าเรานำยาดี 6 ขนานนี้เข้ามาสู่ใจนั่นคือการเชื้อเชิญพระไภษัชคุรุพุทธเจ้าให้มาเยียวยาสังคมแห่งความเจ็บป่วยให้หายจากความเป็นโรคร้าย จริงแท้แล้ว ไภษัชยคุรุในคัมภีร์มหายานก็อาจเป็นกุศลบายในการสร้างจิตศรัทธาตั้งมั่นในคุณงามความดีในรัตนตรัยคุณ เพราะถ้าเรา ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกบุคคล หรือ สังคมมีหลักธรรมแล้วเชื่อแน่ว่าความสันติสุข ความสงบเย็น ศานติภาพก็จะบังเกิดอย่างยั่งยืน.....
อ้างอิง
กรมการศาสนา,พระไตรปิฎก ฉบับหลวง. กรุงเทพ:โรงพิมพ์กรมการศาสนา 2525
ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์,ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตสูตร.กรุงเทพ:ศูนย์ไทยธิเบต,2548
ภิกษุจีนวิศวภัทร,พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร.กรุงเทพ:คณะศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่หมื่นคุณธรรมสถาน,2550
ภิกษุณีธัมมนันทา.พระไภษัชยคุรุฯการตั้งปณิธานเพื่อต่อชีวิต.วารสารพุทธสาวิกา ฉบับที่ 28 ตุลาคม-ธันวาคม 2551:หน้า4-6