ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 23, 2016, 01:56:07 pm »แมเรี่ยน กรูซาลสกี้ ผู้หญิงที่ถูกลิขิต ให้ค้นพบความหมายของชีวิตจากความตาย
ถ้าคุณต้องสูญเสียลูกสุดที่รักผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไปถึง 3 คน และต้องหย่าร้างกับสามีที่เคยผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นในเวลาที่ใกล้เคียงกัน คุณจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต…
หลายคนอาจเสียสติ หลายคนอาจฆ่าตัวตาย หลายคนอาจทำร้ายตัวเอง แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งเลือกที่จะใช้ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสของเธอ เบนเข็มทิศแห่งจิตเข้าสู่วิถีแห่งธรรม และใช้เวลาที่เหลืออยู่ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน โดยเธอได้ก่อตั้งสถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้าย (Hospice) ทั้งหมด 4 แห่งในสหรัฐอเมริกาและเดินทางไปให้คำปรึกษาแก่สถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้ายมาแล้วทั่วโลก
ถ้าวิชาชีวิตมีจริง เธอผู้นี้ก็คงจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก เพราะเธอผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายมาอย่างโชกโชน ทั้งก้าวข้ามมรสุมแห่งความตายที่โหมกระหน่ำ แล้วดำดิ่งลงไปในก้นบึ้งของจิตใจตัวเองจนค้นพบสัจธรรมที่ซุกซ่อนอยู่…พบเจอกับชายในผ้าเหลืองที่มาเข้าฝัน และนำทางเธอไปสู่วิถีแห่งธรรมราวกับปาฏิหาริย์จนสุดท้ายเธอก็สามารถสอบผ่านวิชาชีวิตได้อย่างเต็มภาคภูมิ และอุทิศทุกวินาทีที่เหลืออยู่ในการทำให้ชีวิตของผู้อื่นมีความหมาย พร้อมทั้งเปลี่ยน “ความตาย”ให้กลายมาเป็นกัลยาณมิตรที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยระยะท้ายทุกคน
แมเรี่ยน กรูซาลสกี้ (Marion Gruzalski) คือชื่อของผู้หญิงคนนั้น และเธอกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าผมแล้วตอนนี้
อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณสนใจเรื่องผู้ป่วยระยะท้ายครับ
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นมาจากความสูญเสียค่ะ ลูกสาวคู่แฝดทั้งสองคนของฉันเสียชีวิตตั้งแต่พวกเขาเพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นานหลังจากนั้น เมื่อลูกชายของฉันอายุได้เพียง15 ปี เขาก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุแก๊สระเบิดตอนเสียลูกสาวฉันก็รู้สึกแย่มาก ๆ แล้ว แต่ตอนที่เสียลูกชายนี่ฉันเสียศูนย์ไปเลย เพราะเขาเป็นเด็กน่ารักที่กำลังมีอนาคตยาวไกล
เป็นเวลาราว 2 - 3 ปีที่ฉันตกอยู่ในสภาพอมทุกข์อย่างหนัก ฉันเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตและความหมายของชีวิต เช่น “มนุษย์เกิดมาทำไม” “ฉันมาอยู่ที่นี่ทำไม” และด้วยความที่ฉันโตมาโดยนับถือศาสนาคริสต์ตอนนั้นฉันจึงตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อของตัวเอง และเริ่มตั้งคำถามว่า “พระเจ้ามีจริงหรือ” เพราะในศาสนาคริสต์มีความเชื่อว่า ถ้าคุณเป็นคนดี พระเจ้าจะคอยปกปักรักษาและดูแลคุณ ตัวฉันเองก็พยายามทำความดีและพยายามเป็นคนดีมาทั้งชีวิตแต่โศกนาฏกรรมเหล่านั้นกลับเกิดขึ้นกับฉันอย่างโหดร้ายทารุณ ในที่สุดฉันจึงเลือกที่จะเชื่อว่า “พระเจ้าไม่มีจริง!”
ในตอนที่ฉันกำลังทุกข์ที่สุด ฉันและสามีก็หย่าร้างกัน เพราะคงไม่มีใครทนอยู่กับฉันในสภาพนั้นได้ ฉันจึงต้องอยู่เพียงลำพัง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นฉันเคยมีครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่น โลกทั้งใบของฉันแตกสลายลงโดยสิ้นเชิง และตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มคิดฆ่าตัวตาย
ตอนแรกฉันคิดว่าจะกินยาตาย แต่ฉันไม่มียา ต่อมาฉันจึงคิดจะรมแก๊สตัวเองแต่แก๊สทำให้ฉันมึนหัว สุดท้ายฉันจึงคิดจะยิงตัวตาย แต่ก็ไม่รู้จะหาปืนได้ยังไงแล้วตอนนั้นเอง ฉันก็เริ่มตระหนักว่าแม้ลูก ๆ ของฉันจะตายไปถึง 3 คน และสามีก็ทิ้งฉันไป แต่พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นและตกเหมือนเดิม ไม่มีอะไรในธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่มีใครใส่ใจกับความทุกข์ที่ฉันต้องเผชิญเลยแม้แต่น้อย
ณ วินาทีนั้น ฉันจึงเริ่มเข้าใจว่า“โลกของฉัน” เท่านั้นที่แตกสลายไป ไม่ใช่“โลกใบนี้” ฉันเริ่มเข้าใจว่า เราทุกคนต่างก็อาศัยอยู่ในโลกใบเล็กที่ตัวเราเองสร้างขึ้นมา และเอาใจเข้าไปผูกติดกับสิ่งต่าง ๆในโลกใบเล็กของเรา แล้วในที่สุดฉันก็พบว่าฉันไม่ได้อยากตายจริง ๆ สักหน่อย ฉันเพียงแค่อยากจะหาทางหลบหนีจากความเจ็บปวดอ้างว้างที่กำลังเผชิญอยู่เท่านั้นแต่ถ้าฉันตัดสินใจไม่ฆ่าตัวตาย ฉันก็ต้องหาทางที่จะ“มีชีวิต” ต่อไปให้ได้ ไม่ใช่แค่สูดลมหายใจไปวัน ๆ ในสภาพที่ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้ว
แล้วคุณเริ่มหาทางที่จะ “มีชีวิต” ต่อไปอย่างไรครับ
ด้วยการเริ่มก่อตั้งสถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้ายนี่แหละค่ะ เพราะการที่ฉันต้องสูญเสียคนที่ฉันรักที่สุดไปถึง 3 คนทำให้ฉันตระหนักว่า การรับมือกับความตายเป็นเรื่องใหญ่ และยังไม่มีใครให้ความสนใจเท่าที่ควร ตัวฉันเองก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการรับมือกับความตายของลูก ๆ เลย นอกจากนั้น แม่ของฉันที่เป็นมะเร็งปอดและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลก็ถูกส่งตัวกลับให้มาตายที่บ้าน โดยไม่มีการช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น ฉันจึงเข้าใจความทุกข์ของคนที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับฉัน และอยากจะช่วยเหลือคนทั่วโลกในเรื่องที่ตัวฉันเองเคยเผชิญและผ่านพ้นมันมาได้แล้ว ดังนั้น การพัฒนาคุณภาพชีวิตก่อนตายจึงเป็นความหมายใหม่ในการมีชีวิตอยู่ต่อไปของฉัน
ที่สำคัญคือ ฉันได้เรียนรู้แล้วว่าช่วงเวลาที่ฉันเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างที่สุด กลับเป็นช่วงชีวิตที่ฉันเติบโตมากที่สุด สุดท้ายฉันจึงตัดสินใจที่จะใช้การเติบโตนั้นในการช่วยเหลือผู้อื่นที่ยังทุกข์ทรมานอยู่
ในฐานะของคนที่ผ่านความเศร้าโศกมามาก คุณมีคำแนะนำให้คนที่กำลังโศกเศร้าอย่างแสนสาหัสอยู่ในตอนนี้อย่างไรบ้างครับ
คำแนะนำของฉันก็คือ อย่า “ต่อต้าน”ความเศร้านั้น อย่าไปฝืนมัน แต่จงอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกถึงความเศร้าโศกนั้นอย่างเต็มที่เพราะยิ่งคุณปล่อยให้ตัวเองรู้สึกถึงความเศร้าจริง ๆ มากเท่าไหร่ คุณก็จะรู้สึกว่าพลังแห่งความเศร้าได้จางหายไปเร็วมากขึ้นเท่านั้น และในไม่ช้าคุณก็จะเห็นถึงความไม่เที่ยงของอารมณ์ แต่ถ้าคุณไปฝืนมันพยายามบังคับให้มันจางหายไปโดยเร็ว หรือพยายามจะไม่รู้สึกเศร้า โดยการไปกดทับหรือไม่คิดถึงมัน คุณจะยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น
ฉันขอแนะนำว่า ถ้าคุณอยากร้องไห้ก็ร้องไปเลยให้เต็มที่ รู้สึกถึงความเศร้าให้เต็มที่ มองมัน เผชิญหน้ากับมันอย่าหนีหรือผลักไสมันออกไป เพราะ ถ้าคุณเปิดใจยอมรับความเจ็บปวด แม้มันจะสาหัสสักแค่ไหน หัวใจคุณจะเป็นอิสระเร็วขึ้นและความเศร้าจะเคลื่อนผ่านตัวคุณไปในที่สุด แม้ว่าความเจ็บปวดจะไม่มีวันจางหายไปโดยสิ้นเชิง มันก็จะเบาบางลงเรื่อย ๆ เพราะสุดท้ายทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรคงอยู่ได้ตลอดกาล
ดูเหมือนคุณจะมีความเป็นพุทธสูงมาก อะไรทำให้คุณตัดสินใจเปลี่ยนจากคริสต์มานับถือพุทธครับ
ตอนที่ฉันกำลังก่อตั้งสถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้ายแห่งแรกอยู่ มีพนักงานชาวอเมริกันคนหนึ่งซึ่งเคยบวชเป็นพระอยู่ที่ประเทศไทยเห็นฉันสอนพนักงานทุกคนให้ฝึกสมาธิและฝึกการอยู่กับปัจจุบัน เขาจึงบอกฉันว่า“ที่คุณสอนคือพุทธศาสนานี่นา” ในตอนนั้นเองที่ฉันคิดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็เป็นชาวพุทธสินะ” ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นฉันไม่เคยรู้จักพุทธศาสนามาก่อนเลย (ยิ้ม)
การฝึกสมาธิช่วยให้คุณผ่านพ้นความทุกข์เหล่านั้นมาได้อย่างไรครับ
ฉันได้มีโอกาสมองดูความเศร้าเอ่อล้นและไหลผ่านตัวฉันไปมากที่สุดตอนที่นั่งสมาธินี่แหละค่ะ การนั่งสมาธิช่วยให้จิตใจสงบได้มาก และทำให้ฉันเห็นความทุกข์ในใจตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เหมือนเวลาที่น้ำสงบนิ่งก็จะทำให้เราสามารถมองเห็นก้นบึ้งของสระน้ำได้ง่ายกว่า
การทำสมาธิช่วยดึงฉันกลับมาอยู่กับปัจจุบัน และการอยู่กับปัจจุบันนี่เองคือกุญแจไขประตูไปสู่ความสงบสุขที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของฉัน แม้ว่าความสงบสุขนั้นจะคงอยู่เพียงไม่กี่วินาที แต่มันก็ทำให้ฉันมีความหวังว่า ยังมีความสงบสุขซุกซ่อนอยู่ในใจ
ในโลกตะวันตก ผู้คนมักไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ยอมรับในความเศร้าของตนเอง คิดว่าตัวเองไม่ควรรู้สึกเศร้า ซึ่งฉันว่าเป็นการตอบสนองที่ผิดมาก ๆ เพราะแม้แต่ความคิดที่อยากจะฆ่าตัวตายก็มีต้นตอมาจากการที่เราไม่ยอมรับความเจ็บปวดนั่นเองเราพยายามต่อต้านมัน แต่สุดท้ายเมื่อสู้ไม่ไหว เราจึงหาทางหนีด้วยการพรากชีวิตของตัวเอง
แม้แต่ตัวฉัน ตอนที่คิดจะฆ่าตัวตายก็คือ ตอนที่ฉันไม่ยอมรับความตายของลูกฉันพยายามผลักความจริงนั้นออกไปจากจิตใจแต่มันกลับทำให้ความเศร้าของฉันยิ่งรุนแรงและยาวนานมากขึ้นอีกทวีคูณ
ปาฏิหาริย์ที่นำไปสู่การก่อตั้งสถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้าย
คนทั่วไปมักจะสงสัยและถามแมเรี่ยนถึงที่มาของการก่อตั้งสถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้ายแห่งแรกที่เมืองฮิวสตันว่า ผู้หญิงตัวคนเดียวซึ่งไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลยสามารถทำโครงการใหญ่ขนาดนี้ แล้วประสบความสำเร็จอย่างสูงได้อย่างไร และนี่คือคำตอบ…
ช่วงที่มรสุมชีวิตกำลังพัดโหมกระหน่ำอยู่นั้น แมเรี่ยนสังเกตเห็นว่า ในบางจังหวะของชีวิตมีความสงบสุขเกิดขึ้นภายในใจของเธอ แม้มันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆแต่ก็ทำให้เธอรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเธอจึงพยายามค้นหาว่าความสงบสุขนั้นอยู่ที่ไหน แล้วเธอก็พบว่า มันเกิดขึ้นเวลาที่เธออยู่กับปัจจุบันได้อย่างแท้จริง
วันหนึ่งแมเรี่ยนตัดสินใจไปนั่งเงียบ ๆ คนเดียวในสวนสาธารณะ ปรากฏว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น คือ ระหว่างที่เธอกำลังนั่งหลับตาอยู่นิ่ง ๆ เธอได้มองเห็นสีสันสวยงามต่าง ๆ มากมายซึ่งเธอไม่อาจอธิบายได้ว่ามันคืออะไร
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เหตุการณ์อัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกับเธออย่างต่อเนื่อง เธอรู้สึกเหมือนมีเสียงภายในใจคอยบอกให้เธอทำนู่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา และเวลาหลับเธอก็จะฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งมาหา เธอเรียกเขาว่า “คนไม่มีหน้า” เพราะเธอมองไม่เห็นหน้าเขา เห็นแต่เท้าของเขาเท่านั้น เธอบอกว่าเขาใส่รองเท้าแตะและคลุมตัวด้วยผ้าสีเหลืองเสมอ
ทุกคืนที่ฝันเห็นชายผู้นี้ เขาจะบอกเธอเกี่ยวกับการจัดตั้งสถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้าย ในขณะนั้นตัวเธอเองมีเงินไม่พอแถมยังไม่รู้จักใครเลย เพราะเธอเพิ่งย้ายมาอยู่ในเมืองฮิวสตันได้ไม่นาน แต่คนไร้หน้าในผ้าเหลืองก็บอกให้เธอไปคุยกับคนโน้นคนนี้โดยเขาบอกทั้งชื่อและนามสกุลของคนที่สามารถช่วยสนับสนุนการจัดตั้งสถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้ายได้ เช่น ชื่อของอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทกซัส และชื่อของคนที่จะให้เงินทุนกับเธอ
ปกติแล้วแมเรี่ยนเป็นคนขี้อายมากแต่ตอนนั้นเธอกลับกล้าโทร.ไปขอนัดพบคนใหญ่คนโตเหล่านั้นตามที่เขาบอก และที่น่าแปลกก็คือ เมื่อเธอโทร.ติดต่อไปทุกคนต่างตอบรับนัดของเธอด้วยความเต็มใจแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตาม
ในที่สุด ด้วยการทำตามคำแนะนำของชายในความฝันและเสียงภายในใจแมเรี่ยนก็สามารถก่อตั้งสถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้ายในรัฐเทกซัสได้สำเร็จ และหลังจากนั้น เธอก็ไม่เคยฝันถึงชายไร้หน้าในผ้าเหลืองอีกเลย…!
ประวัติและผลงานของแมเรี่ยน กรูซาลสกี้
จบการศึกษาคณะวิทยาศาสตร์จาก North Harris County Collegeและจบการศึกษาคณะชีววิทยาและประวัติศาสตร์จาก Rice University
เคยเป็นผู้อำนวยการสูดสุดของสถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้ายมาแล้ว7 แห่ง ทั้งในประเทศไอร์แลนด์และ
สหรัฐอเมริกา
เคยเป็นกรรมการที่ปรึกษาให้สถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้ายมาแล้ว16 แห่ง ทั้งในทวีปยุโรปและอเมริกา
ได้รับรางวัล “ผู้หญิงดีเด่นแห่งรัฐเทกซัส” สองปีซ้อน คือในปี 1984 และ
ปี 1985
ได้รับรางวัล “1 ใน 2,000 ผู้หญิงดีเด่นแห่งสหรัฐอเมริกา” ในปี 1996
Secret Box
สถานบำบัดผู้ป่วยระยะท้ายไม่ใช่สถานที่ที่จะช่วยให้คุณตายแต่มันคือสถานที่ที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างมีความสุข
แมเรี่ยน กรูซาลสกี้
เรื่อง ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร
ภาพ วรวุฒิ วิชาธร
จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/13698/230859/