ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 27, 2016, 01:06:47 am »โจอี้ บอย… ผู้ชายมาดร้ายกับ “บางสิ่ง” ที่ซ่อนไว้หลังแว่นดำ
คงมีคนไม่มากนักที่รู้จักผู้ชายชื่อ “อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต”
แต่หากเปลี่ยนมาเป็น “โจอี้ บอย” หลายคนคงร้องอ๋อ เพราะเขาเป็นแร็พเปอร์คนแรกๆ ของประเทศ ที่อัลบั้ม Fun Fun Fun ของเขามียอดขายเกินล้านชุด นอกจากนั้นเขายังได้ทำในสิ่งที่คนจำนวนมากใฝ่ฝัน อย่างการเป็นนักกีฬาพารามอเตอร์ทีมชาติ หรือล่าสุดคือการเป็นโค้ชนักปั้นศิลปินในรายการ The Voice Thailandซึ่งผู้ชมทั่วประเทศต่างติดอกติดใจในความฮาปนห่ามและความกวนปนเก๋าสไตล์แบดบอยของเขา
หลังจากที่เขากดปุ่ม “I Want You”เลือกคนเข้าทีมมานักต่อนัก คราวนี้ถึงเวลาที่ Secret จะ “กดปุ่ม” เลือกหนุ่มมาดกวนคนนี้มาพูดคุยส่งท้ายปีกันบ้าง เรามาดูว่าภายใต้แว่นดำและเรียวหนวดกวน ๆ อันคุ้นตานั้น…เขาจะมีอะไรมาเซอร์ไพร้ส์ผู้อ่าน!
ในฐานะที่อยู่วงการเพลงมานานคุณมองเวทีการแข่งขันต่างๆที่เป็นโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่อย่างไรครับ
มองได้หลายแง่นะครับ แง่หนึ่งต้องบอกว่าเส้นทางสู่ดวงดาวสั้นลง แล้วก็ง่ายดายขึ้นมาก แต่ในอีกแง่หนึ่ง แต่ละคนก็ต้องพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่า โดยรวมแล้วถือเป็นเรื่องดีนะครับ ทำให้คุณภาพศิลปินรุ่นใหม่ดีขึ้นและเก่งขึ้นมาก โดยที่ไม่ต้องลำบากเหมือนเราในสมัยก่อน ที่ไปเล่นสเกตบอร์ดกันที่ไหนมีแต่คนไล่ แต่ปัจจุบันห้างร้านต่าง ๆแทบจะแย่งกันเป็นสปอนเซอร์ขอให้ช่วยมาเล่นตรงนี้หน่อยเถอะ เพื่อสร้างจุดสนใจให้กับห้าง
ช่วยเล่าเรื่องราวของเด็กที่ชื่อ “โจ้” ก่อนที่เขาจะมาเป็น “โจอี้บอย” สักเล็กน้อยสิครับ
ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นเด็กวัดครับ แต่ไม่ได้อยู่วัดหรอกนะ แค่เรียนโรงเรียนวัดตั้งแต่ประถม คือโรงเรียนวัดพลับพลาชัยกับโรงเรียนวัดราชาธิวาส จึงได้รับการปลูกฝังเรื่องพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก และทำให้ผมท่องบทสวดมนต์ได้เกือบหมด จนถึงวันนี้ก็ยังท่องได้อยู่ การได้สวดมนต์และได้ฟังเสียงสวดมาเยอะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการแร็พของผม อย่างเช่นในส่วนของเมโลดี้การสวด ซึ่งเป็นสไตล์ที่เรียกกันว่า Chantซึ่งทางยุโรปจะชอบวิธีการร้องแบบนี้กันมาก
แล้วเด็กโรงเรียนวัดเริ่มเข้าสู่แวดวงสเกตบอร์ดได้อย่างไรครับ
ผมเริ่มเล่นสเกตฯช่วงอายุประมาณ13 - 14 ปี ก่อนหน้านั้นผมเล่นฮอกกี้น้ำแข็งอยู่ทีมลีโอ เป็นทีมชาติจูเนียร์ แต่หลังจากที่ตัวเริ่มโต รองเท้าฮอกกี้เริ่มคับ ผมไม่อยากขอเงินพ่อแม่ไปซื้อรองเท้าใหม่ ซึ่งราคาแพงมาก คู่ละเป็นหมื่น ผมเลยผันตัวเองไปเล่นสเกตบอร์ดแทน
จุดเปลี่ยนเกิดจากเรื่องรองเท้าคับแค่นั้นเองหรือครับ
ใช่ครับ แจ๋วไหมล่ะ (หัวเราะ) แถมก่อนหน้านั้นก็ไม่มีความพิศวาสอยากเล่นสเกตฯเลยนะ แต่ความที่บ้านผมอยู่ติดกับร้านขายสเกตบอร์ด เดินผ่านทุกวันจนเกิดความรู้สึกว่า อ่ะ ไหน ๆ ก็เล่นฮอกกี้น้ำแข็งไม่ได้แล้ว ก็ซื้อสเกตบอร์ดมาเล่นแล้วกันปรากฏว่าติดหนึบเลย ผมเล่นสเกตบอร์ดด้วยความรักความพิศวาสอยู่เป็นสิบปี เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วผมเข้าใจทันทีว่า เวลาวัยรุ่นหาสิ่งที่ชอบเจอ เขาจะติดอยู่กับสิ่งนั้นมาก เหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวของชีวิต แล้วจากนั้นจะค่อย ๆ พัฒนาไปถึงจุดที่อยากให้คนยอมรับในสิ่งที่เราชอบและพยายามต่อยอดไปถึงความสำเร็จให้ได้
คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนด้วยไหมครับ
คุณแม่จะตามใจและสนับสนุนผมตลอด พยายามเปิดโลกทัศน์ให้ลูกเสมอพยายามหาเงินส่งเราไปเรียนซัมเมอร์ต่างประเทศ ส่วนคุณพ่อจะคอยดุแล้วก็ปรับเราให้อยู่กับร่องกับรอย ผมจึงโตมาโดยการเลี้ยงดูที่มีทั้งสปอยล์และอยู่ในกรอบ
ครอบครัวคาดหวังจากลูกชายคนนี้มากไหมครับ
เขาก็คาดหวังกันนะครับ เพราะผมเป็นหลานคนโตในตระกูลคนจีน ตอนเด็ก ๆได้อยู่แต่ในอู่รถยนต์ซึ่งเป็นกิจการของที่บ้านถูกใช้ให้ไปซื้อของ บางทีพ่อก็ให้ลองล้างคาร์บูเรเตอร์ มืองี้ดำปี๋ ผมเลยไม่เคยชอบอะไรเกี่ยวกับรถเลย
แล้วคุณพ่อทราบไหมครับว่าลูกชายคงไม่รับช่วงกิจการต่อแน่นอน
เขารู้อยู่แล้วครับว่าผมไม่เอา และคงเป็นห่วงอยู่บ้าง เพราะผมเรียนไม่เก่งธุรกิจก็ไม่เอา แต่พ่อแม่คงเห็นว่าผมน่าจะเอาตัวรอดได้ ก็เลยลองวัดใจกับเราดู ท่านให้ผมลองทำหลายอย่าง ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่มีค่ามาก อย่างแม่เขาทำธุรกิจอัญมณีเล็ก ๆเลยส่งผมไปฝึกงานออกแบบอัญมณีที่โรงงานญี่ปุ่นตั้งแต่อยู่ ม. 3 ปิดเทอมผมต้องฝึกงานที่ออฟฟิศทั้งวัน ถามว่าชอบไหม ก็ชอบกว่าล้างคาร์บูฯ แต่ไม่ได้ชอบจริง ๆ แค่ชอบที่ได้นั่งห้องแอร์สบาย ๆ เท่านั้น
ถึงผมจะเป็นแบบนี้ แต่ถามว่าผมเคยใจแตกหรือเสี่ยงกับการเสียอนาคตไหมตอบได้เลยว่าไม่เคย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำพ่อแม่ก็อยู่ตรงนั้นเสมอ เรื่องหนีออกจากบ้านนี่ไม่เคยมีอยู่ในหัว ทะเลาะกับพ่อแม่ก็ไม่เคย คือผมเชื่อเสมอว่ามีวิธีการที่ดีกว่านั้น พอเห็นคนอื่นทำ ผมยังคิดเลยว่าเขาจะทำอย่างนั้นทำไมวะ สำหรับผม การทะเลาะกับพ่อแม่เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดที่สุดสองคนนี้คือสองคนสุดท้ายที่เราควรจะทะเลาะด้วยเลยนะโว้ย ทำไมเด็กคนอื่นไม่รู้จักวิธีการดีลกับพ่อแม่เขาวะ ถ้าเป็นผม ผมจะคุยด้วยเหตุผล
อย่างตอนจบ ม. 6 เพื่อนสนิทผมที่อยู่ฮ่องกง เขาชวนไปเล่นสเกตบอร์ดที่นั่นผมอยากไปมาก ทำไงดีวะ ก็คิดโครงการไปเสนอพ่อว่าจะไปซื้อเสื้อมาขาย วางแผนเป็นเรื่องเป็นราวว่าต้องขายกี่ตัวถึงจะได้ค่าตั๋วเครื่องบิน คิดเรียบร้อยแล้วถึงส่งแผนให้พ่อดู แม่ก็มาช่วยเชียร์ ปรากฏว่าโอเค ผ่าน…ได้ไป
ผมดีลกับพ่อแม่แบบนี้มาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต รวมถึงกรณีที่ผมขอเลิกเรียนเพื่อไปเป็นนักร้องด้วย คือเราต้องสร้างความมั่นใจให้เขาเสียก่อนว่าเราทำได้ แล้วหลังจากนั้นการจะคิดอ่านทำอะไร ท่านก็จะเชื่อมั่นและสนับสนุนเรา ตอนนี้นอกจากดูแลพ่อแม่แล้ว การทำให้พ่อแม่มั่นใจและแฮ็ปปี้ในตัวเราก็ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญในชีวิตผมมาตลอด ไม่ว่าจะทำอะไร ผมจะคิดก่อนเลยว่า ถ้าพ่อกับแม่รู้แล้วเขาจะแฮ็ปปี้หรือเปล่า ถ้าไม่แฮ็ปปี้ ผมไม่ทำ ซึ่งเท่าที่สังเกตดู เขาก็แฮ็ปปี้กับสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดนะครับ อาจจะไม่แฮ็ปปี้อยู่เรื่องเดียวคือยังไม่แต่งงานสักที (หัวเราะ) เพราะตอนนี้น้องสาวผมก็แต่งงานมีลูกไปแล้ว
ทุกวันนี้คุณมองผู้ชายที่ชื่อ “โจอี้ บอย” อย่างไรบ้าง
โจอี้ บอย ถือเป็นพาร์ตหนึ่งของชีวิตผม เป็นอาชีพของผม แล้วผมก็ยังคงสนุกสนานกับอาชีพที่เป็นโจอี้ บอย ทุกวันนี้การทำเพลงไม่ใช่งานสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเหมือนความสนุกสำหรับผมกับแฟนเพลงมากกว่า
ต้องยอมรับว่าชื่อโจอี้ บอย ส่งผลให้เราได้ทำหลาย ๆ อย่างที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การร้องเพลงอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นทำค่ายเพลง โปรดิวเซอร์ พระเอกหนัง ผู้กำกับภาพยนตร์ หรือว่าเป็นนักกีฬาทีมชาติ ผมคิดมาตลอดว่า เรามีโอกาสได้มายืนตรงนี้และมีคนคอยเฝ้าดู ฉะนั้นเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เริ่มตั้งแต่การใช้ชีวิตไปจนถึงทุกสิ่งที่ทำ ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาเห็นว่า คนเราทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรหรือยากเย็นแค่ไหน ซึ่งผมพิสูจน์มาด้วยตัวเองแล้วว่า ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าปีที่หนึ่งยังไม่เห็นผล ก็ขอให้ตั้งใจต่อในปีที่สอง ปีที่สาม หรือปีที่สี่ มันต้องเห็นผลแน่นอน
คุณมีคติประจำใจไหมครับ
คติที่ผมใช้มาตลอดคือ “ขึ้นให้สุดลงให้สุด” เพราะสำหรับผม คนเราเกิดมาครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ดังนั้นถ้าอยากทำอะไรก็จงทำซะ ทำให้เต็มที่ แล้วคุณจะไม่มีวันเสียใจ
Secret Box
คนเราทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรหรือยากเย็นแค่ไหน
โจอี้ บอย
เรื่อง พีรภัทร โพธิสารัตนะ www.facebook.com/peerapat.secret
ภาพปกและภาพประกอบ วรวุฒิ วิชาธร ผู้ช่วยช่างภาพ สรยุทธ์ พุ่มภักดี, จรัส มณีล้อมรัตน์
สไตลิสต์ รุจิกร ธงชัยขาวสอาด ผู้ช่วยสไตลิสต์ วรัญญา อิสระโคตร, ภัสสร สุขสม
จาก http://www.secret-thai.com/article/2954/17112558-2/