ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: สิงหาคม 31, 2016, 04:54:50 am »สาเหตุที่ทำให้ชาวมอญต้องอพยพ
ชาวมอญที่อพยพออกจากดินแดนถิ่นกำเนิดนั้น สาเหตุที่สำคัญคือการตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของพม่า ถูกบีบคั้นทางการเมือง ความเดือดร้อนจากการถูกกดขี่ เกณฑ์แรงงานไปใช้ในการก่อสร้าง ทำการเกษตรรวบรวมเสบียงอาหารให้กองทัพพม่าก่อนการยกทัพเข้าทำสงครามกับชาติต่างๆ มากกว่าจะเป็นความเดือดร้อนจากเรื่องการทำมาหากิน หรือเพราะประชากรเพิ่มจำนวนสูง จนประสบปัญหาที่ทำกิน มีผลผลิตไม่เพียงพอ ทั้งนี้เพราะภูมิประเทศของมอญมีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญ สภาพเศรษฐกิจจึงอยู่ในระดับมั่งคั่ง ไม่เดือดร้อน ส่วนการที่ชาวมอญเลือกอพยพเข้ามาไทยเป็นหลักมากกว่าจะเป็นประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ นั้น เนื่องจากพื้นที่ของมอญและไทยต่อเนื่องกัน สภาพภูมิอากาศคล้ายกัน ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีอาหารการกิน วิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณีก็เหมือนกัน ที่สำคัญคือ นับถือศาสนาพุทธเช่นเดียวกัน จึงสามารถปรับตัวได้ง่ายเมื่อเข้ามาอยู่ในไทย ประกอบกับไทยมีความรู้สึกเป็นมิตร ไม่มีนโยบายกีดกันชาวมอญ รวมทั้งพระมหากษัตริย์ไทยยินดีต้อนรับชาวมอญให้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเสมอ ชาวมอญเหล่านี้ทราบดีว่ามอญที่ได้อพยพเข้ามาก่อนหน้านั้น ล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างดี หลายคนได้รับราชการเป็นขุนนางระดับสูง การอพยพครั้งสำคัญของชาวมอญเข้ามาตั้งหลักแหล่งในไทยมี 9 ครั้ง ดังนี้
การอพยพครั้งที่ 1 (สมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช พ.ศ. 2082)
เมื่อพระเจ้าตะเบงชเวตี้ทำสงครามชนะ มีอำนาจเหนืออาณาจักรหงสาวดี ชาวมอญจำนวนมากพากันอพยพหลบหนีเข้ามายังพระราชอาณาจักรไทย พระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯให้ชาวมอญกลุ่มนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบชานพระนครกรุงศรีอยุธยา
การอพยพครั้งที่ 2 (สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ. 2127)
สืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง นายทหารมอญคือพระยาเกียรติ์ พระยาราม และพระมหาเถรคันฉ่องได้เข้ามาสวามิภักดิ์สมเด็จพระนเรศวร หลังจากนั้นสมเด็จพระนเรศวรจึงชักชวนพระยาเกียรติ์พระยาราม และพระมหาเถรคันฉ่องเข้ามาไทย อีกทั้งชาวเมืองแครงและชาวมอญในเมืองรายทางที่เกลียดชังพม่าเพราะถูกกดขี่มานานจึงอพยพตามเสด็จสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้ามาเป็นจำนวนมาก
การอพยพครั้งที่ 3 (สมัยสมเด็จพระนเรศวร พ.ศ. 2136)
สาเหตุเกิดจากความเดือดร้อนที่ชาวมอญได้รับจากภาวะสงคราม เนื่องจากพม่าสมัยพระเจ้านันทบุเรงพยายามยกทัพเข้ามาปราบปรามเอาชนะไทยหลายครั้งแต่พ่ายแพ้กลับไปทุกครั้ง ทำให้ต้องเกณฑ์พลเมืองเข้ากองทัพเพื่อทำนาและเป็นทหาร ซึ่งชาวมอญเป็นพวกที่เดือดร้อนที่สุดเนื่องจากอยู่ตรงแดนต่อระหว่างไทยกับพม่า ชาวมอญจึงพากันอพยพหนีพม่าเข้ามายังพระราชอาณาจักรไทย
การอพยพครั้งที่ 4 (สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2175)
สาเหตุเกิดจากชาวมอญถือโอกาสที่พม่าผลัดแผ่นดินจึงก่อกบฏขึ้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จถูกพม่าจับประหารชีวิตเป็นจำนวนมาก ชาวมอญจึงพากันอพยพเข้ามายังพระราชอาณาจักรไทย
การอพยพครั้งที่ 5 (สมัยสมเด็จพระนารายณ์ พ.ศ. 2203)
สาเหตุเกิดจากกองทัพจีนฮ่อซึ่งยึดบัลลังก์จากจักรพรรดิ์ยุ่งลีของจีนได้ จักรพรรดิ์ยุ่งลีหนีมาอาศัยอยู่ในดินแดนพม่า กองทัพฮ่อไม่พอใจจึงตามเข้ามาโจมตีพม่า พม่าจึงเกณฑ์ชาวมอญขึ้นไปช่วยรักษาเมืองอังวะ แต่ชาวมอญพากันหนีทัพ พม่าจึงยกกองทัพมาปราบจับชาวมอญฆ่าเผาไฟอย่างโหดเหี้ยม ชาวมอญได้อพยพหนีเข้ามายังพระราชอาณาจักรไทย ร่วม 10,000 คน
การอพยพครั้งที่ 6 (สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. 2290)
สาเหตุเกิดจากความอ่อนแอของพม่าปลายราชวงศ์ตองอู ขณะที่พม่าต้องประสบภาวะสงครามจีนฮ่อและไทย มอญก็ถือโอกาสรวบรวมกำลังและประกาศอิสรภาพใน พ.ศ. 2283 ภายใต้การนำของสมิงทอพุทธเกษ หลังจากตั้งมั่นที่หงสาวดีได้แล้ว มอญคิดจะขยายอาณาเขตออกไปทางเหนือ เพื่อทำลายล้างอาณาจักรพม่าที่อังวะซึ่งกำลังอ่อนแอให้ราบคาบ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ มอญจึงเริ่มอพยพเข้ามายังพระราชอาณาจักรไทย และอพยพติดตามมาเป็นระลอกย่อยๆ หลายครั้งเมื่อกองทัพพม่าตีโต้กลับมาและปราบปรามอย่างหนัก
การอพยพครั้งที่ 7 (สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พ.ศ. 2317)
สาเหตุเกิดจากพม่าสมัยราชวงศ์อลองพญาได้เกณฑ์แรงงานมอญเข้ากองทัพเพื่อเตรียมเส้นทางเตรียมยกทัพเข้าโจมตีไทย มีพระยาเจ่ง เจ้าเมืองเตรินเป็นหัวหน้า ทหารมอญอีกส่วนหนึ่งถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารประจำกองทัพ แต่พากันหนีทัพ พม่าจึงจับครอบครัวทหารมอญไปเป็นตัวประกัน และพลอยจับเอาครอบครัวของทหารที่สร้างทางไปด้วย เมื่อทหารเหล่านั้นทราบเข้าจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก ก่อกบฏขึ้นรุกตีเอาเมืองคืนจากพม่า แต่ยกทัพขึ้นไปได้เพียงเมืองย่างกุ้ง (ตะเกิง) พม่าส่งกองทัพมาปราบ พวกมอญสู้ไม่ได้และอพยพเข้ายังพระราชอาณาจักรไทยจำนวนหลายพันคน
การอพยพครั้งที่ 8 (สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. 2358)
สาเหตุเกิดจากพระเจ้าปดุงของพม่า ต้องการสร้างพระเจดีย์มินกุนให้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงได้เกณฑ์แรงงานเป็นจำนวนมาก ชาวมอญได้รับความเดือดร้อนสาหัส เพราะไม่มีเวลาทำมาหากิน ถูกรีดไถเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหน้าที่พม่าที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ชาวมอญจึงพากันอพยพเข้าไทย จำนวนกว่า 40,000 คนเศษ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฏ ไปรับครัวมอญทางด่านเจดีย์สามองค์
การอพยพครั้งที่ 9 (สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2367)
สาเหตุเกิดจากเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดกองทัพออกไปรับครอบครัวมอญที่เป็นญาติพี่น้องจากเมืองมอญ เนื่องจากขณะนั้นพม่ากำลังรบพุ่งอยู่กับอังกฤษ ซึ่งพื้นที่บางส่วนตกเป็นของอังกฤษแล้ว เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) เกรงว่าญาติพี่น้องของตนจะเกิดอันตราย ซึ่งการอพยพครั้งนั้นมีจำนวนชาวมอญเข้ามายังพระราชอาณาจักรไทยไม่มากนัก และเป็นการอพยพครั้งสุดท้ายก่อนพม่าตกเป็นของอังกฤษ
เส้นทางอพยพเข้าสู่ประเทศไทย
มอญที่อพยพเข้ามายังพระราชอาณาจักรไทย โดยมากเป็นมอญจากเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญ เป็นศูนย์กลางการค้า มีความอุดมสมบูรณ์ มีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงถูกพม่าควบคุมอย่างเข้มงวด เช่น เมืองเมาะตะมะ และ เมืองมะละแหม่ง เมืองเหล่านี้อยู่ใกล้ชายแดนไทย มีเส้นทางติดต่อค้าขายมาแต่สมัยโบราณ ชาวมอญคุ้นเคยเส้นทางเหล่านี้ดี จึงสามารถเดินทางมาได้สะดวก ประกอบกับมอญในเมืองเมาะตะมะถูกพม่าบีบคั้นกดดันมากกว่าเมืองอื่น เพราะถูกพม่าใช้เป็นที่ประชุมพล ก่อนยกทัพเข้าตีไทย นอกจากมอญเมืองเมาะตะมะ และเมืองมะละแหม่ง ยังประกอบด้วยชาวมอญจากเมืองหงสาวดี เมืองเร (เย) เมืองแครง เป็นต้น
เส้นทางการอพยพของชาวมอญเข้าสู่ไทย มีด้วยกัน 4 ทางโดยตั้งต้นจากเมืองเมาะตะมะ และเมืองมะละแหม่ง ได้แก่
(1) ทางเหนือ อพยพเข้ามายังเมืองตาก หรือ เมืองระแหง ทางด่านแม่ละเมา เช่น การอพยพในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช พ.ศ. 2317 มีสมิงสุหร่ายกลั่นและพระยาเจ่งเป็นหัวหน้า
(2) ทางใต้ อพยพเข้ามายังเมืองกาญจนบุรี ทางด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้กันมาก ทั้งเป็นเส้นทางการค้า การเดินทัพ ทั้งของฝ่ายไทยและฝ่ายพม่า เช่น การอพยพในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ และการอพยพในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
(3) เข้ามาทางเมืองอุทัยธานี เช่น การอพยพในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งเป็นการอพยพครั้งใหญ่ อพยพกันเข้ามาหลายเส้นทาง
(4) เข้ามาทางเมืองเชียงใหม่ เช่น การอพยพในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. 2290 มีพระยาพระราม พระยากลางเมือง และพระยาน้อยวันดีเป็นหัวหน้า โดยตัดมาทางตะวันตกเข้าเมืองเชียงใหม่ เจ้าเมืองเชียงใหม่ส่งลงมาทางเมืองตาก และเจ้าเมืองตากได้ทำหนังสือส่งต่อมาถึงอยุธยา
จากหลักฐานที่ทางการไทยบันทึกไว้ การอพยพของมอญมายังพระราชอาณาจักรไทย มีการจดบันทึกเอาไว้ 9 ครั้ง คือ สมัยอยุธยา 6 ครั้ง สมัยธนบุรี 1 ครั้ง และสมัยรัตนโกสินทร์ 2 ครั้ง อพยพเข้ามาโดยมีสาเหตุและเส้นทางการอพยพเข้ามาที่แตกต่างกันไป
นโยบายทางการไทยที่มีต่อผู้อพยพชาวมอญ
เมื่อชาวมอญมีความเดือดร้อนเพราะถูกกดขี่ข่มเหงจากพม่า ก็มักจะมีหนังสือลับเข้ามากราบบังคมทูลฯต่อพระมหากษัตริย์ไทยก่อน เพื่อขออพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
นโยบายของทางการไทยที่มีต่อชาวมอญอพยพ คือ ยินดีต้อนรับ เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มแรงงานการผลิตในภาคเกษตรกรรมแล้ว ยังเป็นกำลังสำคัญในการป้องกันและสร้างอาณาจักรไทยให้เข้มแข็ง ทางการไทยจะจัดเตรียมกองทัพพร้อมเสบียงอาหารออกไปรับชาวมอญอพยพ เมื่อชาวมอญเข้ามาอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารแล้ว พระมหากษัตริย์ไทยจะพระราชทานที่ดิน อุปกรณ์ก่อสร้างและจัดสถานที่ให้ปลูกบ้านเรือนอยู่อาศัย โดยมากเป็นย่านริมน้ำและใกล้พระนครหรือชานพระนคร เนื่องจากสะดวกต่อการสัญจร และมีความอุดมสมบูรณ์ในการดำรงชีวิต ส่วนหัวหน้าชาวมอญที่นำครอบครัวมอญเข้ามาก็มักได้รับพระราชทานรางวัล ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ตามที่ได้รับเมื่อครั้งอยู่ในเมืองมอญ ตั้งตำแหน่งหัวหน้าให้ดูแลปกครองกันเอง และให้สิทธิในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และการประกอบอาชีพโดยอิสระ
สถานที่อยู่อาศัยของชาวมอญในเมืองไทย
การอพยพครั้งที่ 1 (สมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช พ.ศ. 2082) เมื่อพระเจ้าตะเบงชเวตี้ทำสงครามชนะ มีอำนาจเหนืออาณาจักรหงสาวดี ชาวมอญจำนวนมากพากันอพยพหลบหนีเข้ามายังพระราชอาณาจักรไทย พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯให้ชาวมอญกลุ่มนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบชานพระนครกรุงศรีอยุธยา
การอพยพครั้งที่ 2 (สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา พ.ศ. 2127) ชาวมอญได้รับการโปรดเกล้าฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณบ้านใหม่มะขามหย่อง บางลี่ บางขาม ปากน้ำประสบ บ้านบางเพลิง บ้านไร่ ป่าฝ้าย ส่วนครอบครัวพระยาเกียรติ์พระยาราม ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านขมิ้นใกล้พระอารามวัดขุนแสน ใกล้พระราชวัง ครอบครัวและญาติโยมของพระมหาเถรคันฉ่อง ให้ตั้งบ้านเรือนที่ตำบลหัวแหลม ใกล้วัดนก วัดค้างคาว อยู่ใกล้กับวัดสบสวรรค์
การอพยพครั้งที่ 3 (สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พ.ศ. 2136) การอพยพครั้งนี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าชาวมอญได้รับการโปรดเกล้าฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณใด แต่คาดว่าให้อยู่แถบชานเมืองรวมกับพวกที่อพยพเข้ามาก่อนหน้านั้น
การอพยพครั้งที่ 4 (สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พ.ศ. 2175) การอพยพครั้งนี้ไม่ปรากฏในเอกสารฝ่ายไทย มีแต่เอกสารพม่าเป็นหลัก จึงไม่มีหลักฐานระบุว่าโปรดเกล้าฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณใด แต่คาดว่าให้อยู่แถบชานเมืองรวมกับพวกที่อพยพเข้ามาก่อนหน้านั้น
การอพยพครั้งที่ 5 (สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2203) ชาวมอญได้รับการโปรดเกล้าฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณบ้านสามโคก ปลายเขตแดนกรุงศรีอยุธยาต่อกับเมืองนนทบุรี บางส่วนอยู่ที่วัดตองปุและแถวริมคลองคูจามชานพระนคร
การอพยพครั้งที่ 6 (สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. 2290) การอพยพครั้งนี้มากันหลายระลอก ไม่ปรากฏหลักฐานว่าชาวมอญได้รับการโปรดเกล้าฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณใด แต่คาดว่าให้อยู่แถบชานเมืองรวมกับพวกที่อพยพเข้ามาก่อนหน้านั้น
มอญที่อพยพเข้ามาสมัยอยุธยา ส่วนใหญ่จะได้รับการโปรดเกล้าฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงศรีอยุธยา แถบชานพระนครหรือบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ห่างจากกรุงศรีอยุธยามากนัก เช่น ปลายเขตแดนต่อกับจังหวัดปทุมธานี
การอพยพครั้งที่ 7 (สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พ.ศ. 2317) ชาวมอญได้รับการโปรดเกล้าฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปากเกร็ด แขวงเมืองนนทบุรี และสามโคกแขวงเมืองปทุมธานี หัวหน้ากลุ่มจะได้รับพระราชทานยศศักดิ์ให้ทุกคน และได้ตั้งบ้านเรือนรอบกรุงธนบุรี ใกล้เขตพระราชฐานทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
การอพยพครั้งที่ 8 (รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พ.ศ. 2358) ชาวมอญได้รับการโปรดเกล้าฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่แขวงเมืองปทุมธานี เมืองนนทบุรี และเมืองนครเขื่อนขันธ์
การอพยพครั้งที่ 9 (รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2367) ชาวมอญกลุ่มนี้มีเพียงเล็กน้อย และเป็นญาติกับเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) จึงได้รับการโปรดเกล้าฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองนครเขื่อนขันธ์ ซึ่งมีมอญอยู่เป็นจำนวนมาก
มอญในภาคกลางของไทย
มอญที่อพยพเข้ามาในเมืองไทยตามที่ปรากฏพระราชพงศาวดารทุกครั้ง พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ในภาคกลางของไทยทั้งสิ้น โดยเฉพาะมอญที่อพยพเข้ามาสมัยรัตนโกสินทร์ ส่วนใหญ่จะได้รับพระราชทานที่ดินทำกินบริเวณสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดปทุมธานีลงมาจนถึงจังหวัดสมุทรปราการ ตลอดจนตามลุ่มน้ำแม่กลอง และลุ่มน้ำท่าจีน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯให้สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ สร้างป้อมปราการที่ปากน้ำ ในครั้งนี้ได้ตัดเอาท้องที่แขวงกรุงเทพมหานครกับแขวงเมืองสมุทรปราการ รวมกันตั้งเป็นเมืองใหม่ แล้วพระราชทานชื่อว่า “เมืองนครเขื่อนขันธ์” (อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ) และให้ย้ายชาวมอญเมืองปทุมธานีพวกเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ที่อพยพเข้ามาสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชไปอยู่ เมื่อสร้างเมืองและป้อมค่ายเสร็จแล้วจึงโปรดเกล้าฯให้ตั้งสมิงทอมา บุตรเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) เป็นพระยานครเขื่อนขันธ์รามัญราชชาติเสนาบดีศรีสิทธิสงคราม ผู้รักษาเมือง
ต่อมาพ.ศ. 2371 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน) ไปสร้างป้อมที่ปากคลองมหาชัย และให้แบ่งครอบครัวชาวมอญในเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) บุตรเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ไปตั้งบ้านเรือนและทำมาหากินอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร อยู่ดูแลป้อม และขุดลอกคลองสุนัขหอน
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่ออังกฤษเข้ายึดพม่าและมีความคิดที่จะตั้งประเทศมอญขึ้นใหม่ โดยขอตัวเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ไปจากไทย เพื่อตั้งเป็นกษัตริย์มอญ แต่ทางการไทยไม่เห็นด้วย เพราะหากมีประเทศมอญเกิดขึ้นใหม่ ไพร่บ้านพลเมืองมอญที่อพยพเข้ามาก็จะพากันกลับบ้านเมืองของตน และจะเกิดประโยชน์กับฝ่ายอังกฤษ ฝ่ายเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ก็ต้องการอยู่สนองพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทย อีกทั้งไม่ต้องการไปอยู่ใต้อาณัติอังกฤษ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดเหตุมีชาวมอญพากันอพยพกลับเมืองมะละแหม่งเป็นจำนวนมาก สร้างความไม่พอใจแก่ทางการไทย เพราะจะทำให้ไพร่บ้านพลเมืองเหลือน้อย เกิดความอ่อนแอขึ้นได้ จึงมีการออกพระราชบัญญัติควบคุมการหลบหนีออกนอกประเทศของมอญ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของพระมหากษัตริย์ในทุกรัชกาลที่ผ่านมา ที่ต้องการแรงงานมอญไว้ใช้ประโยชน์ในพระราชอาณาจักรไทย
สำหรับหัวเมืองชายแดนตะวันตกด้านจังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดราชบุรี ซึ่งติดต่อกับประเทศพม่า และเป็นอาณาเขตมอญแต่เดิมนั้นเป็นเส้นทางผ่านในการอพยพ มีการอพยพเข้ามาอยู่เนืองๆ ชาวมอญตั้งหลักแหล่งกระจัดกระจายกันอยู่ ทางราชการจึงจัดให้คนเหล่านี้อยู่รวมกันตามเมืองหน้าด่าน เป็นเมืองหน้าศึกกับพม่ารวม 7 เมือง เรียกว่ารามัญ 7 เมือง ได้แก่ เมืองสิงห์ เมืองลุ่มสุ่ม เมืองท่าตะกั่ว เมืองไทรโยค เมืองทองผาภูมิ เมืองท่าขนุน และเมืองท่ากระดาน ขึ้นตรงกับเมืองกาญจนบุรี เป็นเมืองหน้าด่านคอยสอดแนมสืบข่าวความในฝั่งพม่าแล้วรายงานให้ทางการทราบ และคอยสกัดทัพพม่าก่อนเข้าโจมตีไทย
ชาวมอญเมื่อเข้ามายังพระราชอาณาจักรไทย จะสร้างบ้านเรือนและประกอบอาชีพยังสถานที่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้ ต่อมาเมื่อที่ทำกินคับแคบ จึงมีการกระจายตัวของชาวมอญ จากพระประแดง ปทุมธานี นนทบุรี และราชบุรี เข้าไปยังบริเวณต่างๆ ตามลุ่มน้ำท่าจีนและแม่กลอง
นายลีล (Leal) ล่ามของร้อยเอกเฮนรี่ เบอร์นี่ (Henry Burney) ทูตการค้าชาวอังกฤษ ที่ได้เข้ามาทำสัญญาการค้ากับไทยช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวว่ามีมอญมากถึง 30,000 คน จากช่วงแม่น้ำเจ้าพระยาถึงปากแม่น้ำแม่กลอง ตอนเหนือของแม่น้ำแม่กลองเหนือเมืองราชบุรีมีหมู่บ้านมอญเป็นหย่อมๆ และทางตอนเหนือของกาญจนบุรี นายลีล ยังได้พบเมืองที่มีประชากรประมาณ 5,000 คน โดยมากเป็นมอญที่ย้ายมาจากกรุงเทพฯ เป็นมอญเก่ามีมอญใหม่ปนบ้าง
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการทำสำมะโนพลเมือง พ.ศ. 2446 พบมอญกระจายอยู่ตามมณฑลราชบุรี มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ มณฑลกรุงเก่า มณฑลนครราชสีมา และมณฑลปราจีนบุรี อันเป็นหลักฐานแสดงการกระจายตัวของมอญสมัยนั้น
นอกจากหลักฐานดังกล่าว ยังพบว่ามีมอญอาศัยอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย อาจเป็นการโยกย้ายกันเองภายหลัง การอพยพตกหล่นตามรายทางแต่เดิมที่เป็นเส้นทางเดินทัพ และเส้นทางอพยพหลบหนี รวมทั้งการหนีเตลิดเข้าป่าลึก เพราะหวาดกลัวสงคราม เมื่อความเจริญเข้าไป มีการสำมะโนพลเมือง จึงปรากฏเป็นชุมชนมอญในภายหลัง เช่น ในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ตาก พิษณุโลก อุทัยธานี ลพบุรี นอกจากนี้ยังปรากฏมีชุมชนมอญเล็กๆ กระจายอยู่ในหลายจังหวัด เช่น นครสวรรค์ นครราชสีมา สระบุรี ปราจีนบุรี ชัยภูมิ นครปฐม พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี นครนายก กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า บริเวณที่มีชาวมอญอาศัยอยู่เป็นกลุ่มหนาแน่น ได้แก่ อำเภอบ้านโป่ง และ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง และ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร
บทบาทและการยอมรับในสังคมไทย
เมื่อชาวมอญได้เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ทางการไทยไม่ได้ถือว่าเป็นชนต่างชาติ ให้สิทธิในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย การประกอบอาชีพ การนับถือศาสนา การประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ และการดำเนินชีวิตตามขนบธรรมเนียมตามแบบอย่างที่ชาวมอญได้เคยยึดถือปฏิบัติกันมาแต่เดิม โดยไม่มีการหวงห้าม ขุนนางมอญและหัวหน้ากลุ่มที่อพยพเข้ามานั้น พระมหากษัตริย์ก็ได้โปรดเกล้าฯให้เป็นขุนนางระดับสูง ส่วนไพร่พลเรือนก็มีเสรีภาพเช่นเดียวกับชาวไทย สามารถเลือกประกอบอาชีพของตนได้ตามความถนัด มีบทบาทอยู่ในสังคมเท่าเทียมกับพลเมืองไทยโดยทั่วไป
บทบาทด้านการเมือง
ชาวมอญที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย ได้รับสิทธิเสรีภาพเช่นเดียวกันกับคนไทยทุกประการ ทางการมิได้ถือว่าคนมอญเป็นชาวต่างประเทศ* เพราะนับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน รูปร่างหน้าตา วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตก็คล้ายกันกับคนไทย มีการผสมกลมกลืน และแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม หลักฐานยืนยันคือ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ.ศ. 2273 ทางราชสำนักได้นำศิลาจารึกไปปักไว้หน้าประตูโบสถ์คริสต์ ห้ามมิให้เผยแผ่ศาสนาคริสต์แก่คนไทย ลาว มอญ และห้ามคนไทย ลาว มอญ เข้ารีตเป็นอันขาด เพราะ 3 ชาตินี้นับถือศาสนาเดียวกัน คือพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาศักดิ์สิทธิ์ของไทย
ทางการไทยมิได้ปฏิบัติต่อคนมอญเยี่ยงคนต่างชาติ หากปฏิบัติต่อคนมอญเช่นเดียวกันกับคนไทย ให้สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ และชายชาวมอญทุกคนต้องรับราชการทหาร มีหน้าที่เช่นเดียวกันกับคนไทย กล่าวคือ ชายฉกรรจ์ชาวมอญ ต้องรับราชการเมื่ออายุได้ 18 ปี ขึ้นทะเบียนเป็นไพร่สม เข้าสังกัดมูลนาย อายุครบ 20 ปี ปลดเป็นไพร่หลวง คือจะต้องมีสังกัดมูลนาย หรือกรมกอง สังกัด ไม่สามารถอยู่ลอยๆ ได้
สมัยอยุธยาไม่มีหลักฐานการแบ่งกรมกองมอญที่ชัดเจน แต่แต่งตั้งหัวหน้ากองมอญในยามสงคราม และให้ควบคุมดูแลกันเอง ตำแหน่งจักรีมอญ มียศเป็นพระยารามัญวงศ์ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการจัดแบ่งหน่วยงานไพร่หลวงรามัญออกเป็น 5 กรม มีเจ้ากรมยศเป็นพระยา และถือศักดินา 1,600 ดังนี้
(1) กรมดั้งทองซ้าย มีพระยาเกียรติ เป็นเจ้ากรม
(2) กรมดั้งทองขวา มีพระยาพระราม เป็นเจ้ากรม
(3) กรมดาบสองมือ มีพระยานครอินทร์ เป็นเจ้ากรม
(4) กรมอาทมาตซ้าย มีพระยาภักดีสงคราม เป็นเจ้ากรม
(5) กรมอาทมาตขวา มีพระยารัตนจักร เป็นเจ้ากรม
นอกจากกรมกองสังกัดเหล่านี้แล้ว ก็มีบางพวกสังกัดอยู่ในกรมของเจ้า ไม่เกี่ยวกับงานราชการแผ่นดิน เป็นแต่ทำงานตามรับสั่งของเจ้า โดยในสมัยธนบุรีและในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มีข้อห้ามไม่ให้ชาวมอญเป็นไพร่ในกรมเจ้าทั่วไป ยอมให้มีแต่กรมพระราชวังบวรแห่งเดียว ไพร่รามัญที่สังกัดในกรมพระราชวังบวรแบ่งเป็น 3 กรม เจ้ากรมมียศเป็นพระ คือ
(1) กรมมอญขวา มีพระปราบอังวะ เป็นเจ้ากรม
(2) กรมมอญซ้าย มีพระชนะภุกาม เป็นเจ้ากรม
(3) กรมมอญกลาง มีพระภักดีสรเดช เป็นเจ้ากรม
การเกณฑ์ราชการ การกำหนดให้เข้าประจำการทั้งยามปกติและยามสงคราม ประเภทไพร่หลวงและไพร่ส่วยก็เหมือนกันทั้งไพร่ไทยและไพร่มอญ
ไพร่พลมอญที่เข้ามาอยู่ในพระราชอาณาจักรไทย มีส่วนในการทำสงครามป้องกันประเทศทุกครั้ง สงครามครั้งสำคัญเช่น สงครามเก้าทัพ สมัยพระเจ้าปดุง พ.ศ. 2328, 2329 และ 2330 และสงครามปราบกบฏหัวเมืองปัตตานี พ.ศ. 2381
สำหรับหัวหน้าผู้อพยพชาวมอญ มักได้รับแต่งตั้งจากทางการให้ดำรงตำแหน่งดังเดิมในเมืองมอญ เป็นหัวหน้าควบคุมดูแลกันเอง อีกทั้งให้มีบทบาทสำคัญในกองทัพไทย เช่น พระยาเกียรติ์ พระยาราม ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระยารามัญวงศ์ (มะโดด) ในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนี) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช บุตรหลานชาวมอญได้รับราชการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน มีหน้าที่การงานระดับสูงในสังคมไทยสืบทอดมานับจากอดีตจวบจนปัจจุบัน
อนึ่งบทบาททางการเมือง ที่ขุนนางมอญเข้าไปมีบทบาท ไม่เพียงแต่เกิดจากขุนนางมอญเท่านั้น ยังมีบทบาทที่เกิดจากพระมหากษัตริย์ เช่นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำเนินกุศโลบายหลายประการที่เกี่ยวข้องกับมอญ ซึ่งพบว่าได้ทรงใช้ “มอญ” เป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ด้านการเมืองของพระองค์ในการวางรากฐานอำนาจขึ้นสู่ราชบัลลังก์ และการรักษาสถานภาพรวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ของประเทศจนตลอดรัชกาลของพระองค์ ได้แก่
(1) สถาปนาธรรมยุติกนิกาย โดยมีพระมอญเป็นแม่แบบ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนานิกายใหม่ขึ้น โดยทรงให้เหตุผลว่า ขณะที่พระองค์ (พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฏ) ผนวชอยู่ ทรงเกิดความเบื่อหน่าย เนื่องจากพระภิกษุส่วนมากประพฤติผิดพระธรรมวินัย และต้องการจะลาสิกขาบทจากสมณเพศ กระทั่งทรงได้พบและมีพระราชปฏิสันถารกับพระสุเมธมุนี (ซาย พุทธฺวังโส) พระภิกษุมอญ ซึ่งมีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใสเคร่งครัดพระธรรมวินัย
พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎจึงได้อาราธนาพระสุเมธมุนี (ซาย พุทธฺวังโส) ซึ่งบวชมาจากเมืองมอญให้ช่วยร่างแบบแผนคณะสงฆ์ “ธรรมยุติกนิกาย” โดยยึดถือการวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด และการครองจีวรของพระมอญเป็นแม่แบบ
แต่หลังจากพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎสถาปนาธรรมยุติกนิกายแล้ว ก็ไม่ปรากฎหลักฐานและประวัติที่กล่าวถึงพระสุเมธมุนี (ซาย พุทธฺวังโส) อีกเลย ว่าได้มีบทบาทต่อคณะสงฆ์ไทยอย่างไรต่อมาคงเนื่องด้วยพระสุเมธมุนี (ซาย พุทธฺวังโส) เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่รักสันโดษ และชราภาพมากแล้ว ได้ปลีกตัวไปอยู่วิเวกตามลำพัง ในบั้นปลายชีวิตพระสุเมธมุนี (ซาย พุทธฺวังโส) ได้มีเหตุบาดหมางกับกรมหลวงรักษ์รณเรศ (หม่อมไกรสร) จากนั้นก็หายสาบสูญไป กล่าวกันว่าหม่อมไกรสร ขอพระบรมราชานุญาตถอดจากสมณศักดิ์และประหารชีวิต
(2) มีพระบรมราชินี และเจ้าจอมเป็นมอญจำนวนมาก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีบาทบริจาริกาที่เป็นชั้นเจ้าจอมมารดา และ เจ้าจอมเป็นสตรีมอญทั้งสิ้น 6 ท่าน ที่สำคัญมีพระบรมราชินีคือ กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ ดังจะเห็นได้ว่าในงานพระบรมศพของกรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้มีปี่พาทย์มอญ เพราะทรงดำริว่ากรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์เป็นเชื้อมอญ นอกจากกรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระมเหสีเทวีแล้วยังประกอบด้วยเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่น ที่จะได้กล่าวต่อไปจากนี้ เจ้าจอม พระนม นางกำนัล พระพี่เลี้ยงที่เป็นเชื้อสายมอญจำนวนมาก ซึ่งเป็นปกติธรรมดาด้วยบุคคลใดมีบุญวาสนาเข้ารับราชการในตำแหน่งสูง ก็ย่อมชักนำเครือญาติของตนเข้าไปรับใช้ใกล้ชิด ทั้งความไว้เนื้อเชื่อใจส่วนบุคคล เสริมฐานะของตนเอง และเป็นการช่วยเหลือเครือญาติ จึงเป็นดังที่แอนนากล่าวว่า ราชสำนักของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมอญเข้มข้น
(3) อ้างว่าราชวงศ์จักรีสืบเชื้อสายมาจากตระกูลนายทหารมอญ
ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ พระองค์ประสบเหตุความยุ่งยากในรัชกาล อันสืบเนื่องมาจากการแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดินของกลุ่มขุนนางที่สนับสนุนพระองค์ขึ้นครองราชย์ และการเข้ามาของชาติตะวันตก ประเทศอังกฤษส่ง เซอร์ จอห์น เบาริ่ง เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี และได้แสดงให้เห็นว่าพร้อมจะใช้กำลังทหารบีบบังคับ หากรัฐบาลไทยไม่ยินยอมเจรจาและตกลงทางการค้าแบบเสรี แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงต้อนรับคณะทูตด้วยดี โอนอ่อนตามด้วยการที่ทรงแสดงให้เห็นว่ากำลังมีการพัฒนาประเทศ เปิดรับอารยธรรมตะวันตกตามแบบอย่างนานาอารยประเทศ
พระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ เซอร์ จอห์น เบาวริง เกี่ยวกับราชตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากนายทหารมอญ เพื่อแสดงให้ชาติตะวันตกเห็นว่า ชาติไทยเป็นชนชาติที่มีอารยธรรมสืบเนื่องมายาวนานนั้นระบุว่า บรรพบุรุษข้างบิดาของพระองค์สืบเชื้อสายจากนายทหารที่มาจากเมืองหงสาวดี แสดงว่าความเป็น “มอญ” ในยุคสมัยนั้นมีกิตติศัพท์เป็นที่รู้จักทั่วไป และเป็นที่ยอมรับสามารถอาศัยอ้างอิงได้
บทบาทด้านเศรษฐกิจ
สภาพเศรษฐกิจของชาวมอญในประเทศไทยตั้งแต่แรกตั้งถิ่นฐาน ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็คล้ายๆ กับชาวไทยคือ เป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง ซื้อขายแลกเปลี่ยนผลิตผลหมุนเวียนกันอยู่ภายในชุมชนของตน มีการค้าขายกันระหว่างชุมชนบ้าง เป็นการรับซื้อผลผลิตของเพื่อนบ้านไปขายต่อยังชุมชนที่ห่างออกไป หรือชุมชนที่มีชาวมอญอาศัยอยู่ เช่น การนำฟืน จากมุงหลังคา จากสมุทรสาครไปขายยังปากเกร็ด สามโคก การนำเครื่องปั้นดินเผาจากปากเกร็ด สามโคก มาขายยังสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และราชบุรี เป็นต้น แต่ไม่ได้ติดต่อการค้าขายกับต่างประเทศอย่างชาวจีนในประเทศไทย
อาชีพของชาวมอญส่วนใหญ่คล้ายกับคนไทยทั่วไป คือ ทำนา ทำสวน นาเกลือ และงานหัตถกรรมท้องถิ่น เช่น เย็บจากมุงหลังคา ตัดฟืน เผาถ่าน ทำจักสาน ทอเสื่อ ทอผ้า อาชีพที่ขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของชาวมอญ ได้แก่ ทำเครื่องปั้นดินเผา และทำอิฐมอญ แหล่งที่ทำกันมาก คือ ปากเกร็ด และสามโคก อาชีพดังกล่าวได้ก่อให้เกิดอีกอาชีพหนึ่งตามมา คือ พ่อค้าโอ่งและเครื่องปั้นดินเผาทางเรือ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ มีนโยบายเปิดประเทศค้าขายเสรี ภายหลังสนธิสัญญาเบาวริง รูปแบบของเศรษฐกิจเปลี่ยนไปเป็นแบบเพื่อการค้ามากขึ้น สินค้าที่ส่งออก ทำรายได้ให้กับประเทศช่วงนั้นมากก็คือ ข้าว และชาวมอญก็มีส่วนสำคัญในสภาพเศรษฐกิจแบบใหม่ มีการบุกเบิกที่นาใหม่ๆ ย่านบางนา บางแก้ว บางพลี บางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เขตลาดกระบัง เขตหนองจอก เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ อำเภอบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี และอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เป็นต้น
ชาวมอญนั้นก็ต้องเสียภาษีอากรเช่นเดียวกันกับชาวไทยทุกประการ ไพร่หลวงมอญที่ไม่ต้องการเข้าเวรทำราชการ ก็ใช้วิธีเสียเงินแทน เรียกว่า เงินค่าราชการ
ชาวมอญมีอิสระในการประกอบอาชีพตามความถนัดของตน ตั้งแต่แรกเริ่มเข้ามายังแผ่นดินไทย การประกอบอาชีพต่างๆ ของชาวมอญ ทำให้ได้ผลผลิต ที่นำไปสู่ระบบการซื้อขายแลกเปลี่ยน การหมุนเวียนของตลาด ชาวมอญมีบทบาทในการผลิตและการค้าขายในระดับหมู่บ้าน แต่ภายหลังจากสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นแล้ว ชาวจีนก็เข้ามาแทนที่ สามารถกุมระบบเศรษฐกิจของไทยไว้ได้เกือบทั้งหมด ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับประเทศ พระยาสีหศักดิ์สนิทวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ถัด ชุมสาย บุตรหม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย กับ หม่อมเจ้าสารภี สนิทวงศ์ หม่อมราชวงศ์ถัด ชุมสาย เป็นหลานตาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท) กล่าวว่าเคยทำธุรกิจหลายประเภท แต่ต้องเลิกกิจการไปเพราะ “...ตกลงขายข้าวสารแพ้เจ๊ก ขายเสาแพ้แขก เป็นอันสู้คนต่างชาติไม่ได้...”
บทบาทด้านศาสนา
ไทยรับพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทมาจากอินเดียโดยผ่านทางมอญ รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีที่ส่งผ่านกันทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เช่น การค้าขาย และการสมรสระหว่างกัน เป็นต้น โดยเฉพาะด้านศาสนา มีพิธีกรรมในวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องและผูกพันอยู่กับพระพุทธศาสนา วิถีชีวิตของคนทั้งสองชนชาติจึงมีความสอดคล้องกลมกลืนกัน จึงเป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ชาวมอญที่อพยพเข้ามาอยู่เมืองไทย ได้รับการยอมรับให้มีการผสมกลมกลืนทางชาติพันธุ์ มีการสมรสระหว่างกัน ทั้งในหมู่ราษฎรทั่วไปและกับพระบรมวงศานุวงศ์
พระสงฆ์มอญเข้ามาพร้อมกับการอพยพลี้ภัยของชาวมอญ ด้วยนโยบายการปกครองของพม่า ที่กดขี่ข่มเหง ฆ่าฟันผู้ที่ขัดขืน ไม่เว้นแม้พระภิกษุสงฆ์ ทั้งที่พม่าเองก็ยอมรับนับถือพุทธศาสนา การเข้ามาของพระสงฆ์มอญทำให้เกิดศาสนาพุทธรามัญนิกายขึ้นในประเทศไทย
คณะสงฆ์รามัญนิกายในประเทศไทย เกิดจากการที่ชาวมอญได้นำพุทธศาสนาแบบของตนเองเข้ามาด้วย เมื่อมีการอพยพตั้งแต่ครั้งที่สองที่มีการบันทึกเอาไว้อย่างเป็นทางการ คือในสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา ได้มีพระเถระผู้ใหญ่ร่วมขบวนเสด็จมากับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย คือ พระมหาเถรคันฉ่องและคณะประกอบด้วยภิกษุสามเณรอีกจำนวนมาก สมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชทานที่ทำกินแก่ราษฎร และสร้างวัดถวายพระสงฆ์ อีกทั้งโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้พระมหาเถรคันฉ่องเป็นพระราชาคณะ เจ้าคณะสงฆ์รามัญ ปกครองดูแลคณะสงฆ์มอญทั้งหมด
หลังกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าใน พ.ศ. 2310 เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง ศาสนิกชนห่างเหินไม่ทำนุบำรุงศาสนา พระภิกษุสงฆ์ไม่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย แม้ว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะทรงพยายามฟื้นฟูขึ้นใหม่ แต่ยังไม่ทันเรียบร้อยก็เกิดกรณีที่ทรงเข้าพระทัยว่าทรงบรรลุโสดาบันและทรงบังคับให้พระสงฆ์กราบไหว้พระองค์ พระเถระผู้ใหญ่ที่ขัดขืนต้องถูกถอดสมณศักดิ์เป็นอันมาก รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงได้ฟื้นฟูกิจการด้านศาสนาขึ้นใหม่ ในส่วนของพระมอญโปรดเกล้าฯตั้งพระราชาคณะฝ่ายรามัญขึ้น 3 รูป และส่งไปปกครองวัดสำคัญซึ่งประกอบด้วย พระสุเมธาจารย์ ให้ปกครองวัดชนะสงคราม ที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเพิ่งสร้างเสร็จ พระไตรสรณธัช ส่งไปปกครองวัดบางหลวง เป็นเจ้าคณะรามัญในแขวงเมืองนนทบุรีและสามโคก และพระสุเมธน้อย ส่งไปปกครองวัดบางยี่เรือใน หรือวัดราชคฤห์ ฝั่งธนบุรี
การปกครองคณะสงฆ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แบ่งออกเป็นคณะดังนี้ คือ คณะเหนือ คณะใต้ และคณะกลาง ซึ่งตั้งขึ้นใหม่เพื่อรวบรวมเฉพาะวัดในเขตกรุงเทพฯเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนคณะอรัญวาสีนั้นมีแต่ตำแหน่งเจ้าคณะ และคณะรามัญนั้นก็เป็นการรวมเอาวัดรามัญเข้าไว้ด้วยกัน
ธรรมยุติกนิกาย เกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มูลเหตุมาจากเจ้าฟ้ามงกุฏขณะที่ทรงผนวชอยู่พบเห็นพระภิกษุโดยมากมีวินัยหย่อนยาน กระทั่งได้พบพระภิกษุมอญมีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส จึงทำการปฏิรูปคณะสงฆ์ สถาปนานิกายใหม่คือ “ธรรมยุติกนิกาย”
การสวดพระปริตร เป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์มอญมาแต่โบราณ เริ่มมีครั้งแรกเมื่อพระมหาเถรคันฉ่องเข้ามาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา และได้รักษาสืบต่อมาเป็นโบราณราชประเพณีอย่างหนึ่งในราชสำนักไทย ในการสวดพระปริตรรามัญ ที่หอศาสตราคม พระบรมมหาราชวัง เป็นการสวดเพื่อขจัดปัดเป่าภยันตรายต่างๆ เป็นการสืบชะตาเมือง ที่สำคัญคือเพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์สำหรับองค์พระมหากษัตริย์สรงพระพักตร์ เป็นน้ำโสรจสรง และสำหรับประพรมพระบรมมหาราชวังเพื่อขจัดปัดเป่าภยันตรายของบ้านเมือง ดังหนังสือ วรรณกรรมพระยาตรัง ที่กล่าวถึงการสวดพระปริตรในพระบรมมหาราชวังว่าเนื่องมาจากความ “ขลัง” ของคาถาอาคม ดังความว่า
เรียงโรงคชเศวตไว้ ระวางใน
ทุกประเทศชวนชม ชื่นหน้า
หอพระปริตไข พุทธเวท
สังฆรามัญห้า เหตุขลัง
บทบาทด้านศิลปวัฒนธรรมและประเพณี
วัฒนธรรมประเพณีของไทย ได้รับอิทธิพลมาจากหลายชนชาติ เช่น มอญ เขมร อินเดีย จีน ลาว เป็นต้น โดยเฉพาะวัฒนธรรมประเพณีมอญมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยอย่างมาก วัฒนธรรมมอญที่ปะปนอยู่ในวัฒนธรรมของไทยเริ่มแรกเข้ามาพร้อมกับการยอมรับนับถือศาสนาแล้ว
ก.กฎหมาย
กฎหมายไทยฉบับแรก คือ กฎหมายตราสามดวงมีต้นแบบมาจากพระมนูธรรมศาสตร์ หรือมานวธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์พราหมณ์ของชาวฮินดู และมอญได้นำมาตัดทอนเอาส่วนที่มีลักษณะของพราหมณ์ฮินดูและระบบวรรณะออกไป คงไว้เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับกฏหมายปกครอง และปรับให้เข้ากับพระพุทธศาสนา จึงทำให้พระมนูธรรมศาสตร์ของอินเดียกับพระธรรมศาสตร์หรือธรรมสัตถัมของมอญต่างกัน และพระธรรมศาสตร์ก็มีขนาดเล็กกว่าพระมนูธรรมศาสตร์ด้วย
ข.ภาษา
เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวมอญและชาวไทยมีความใกล้ชิดกันในทางศาสนา และสิ่งที่เข้ามาพร้อมๆ กับอิทธิพลทางศาสนา ได้แก่ ภาษา ที่ผสมกลมกลืน และมีความใกล้ชิดอยู่ในวัฒนธรรมไทยมานาน ตั้งแต่เริ่มมีอักษรไทยในสมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหงทรงคิดค้นอักษรไทยขึ้น โดยดัดแปลงมาจากภาษาขอมหวัดและมอญโบราณ ซึ่งอารยธรรมมอญมีอิทธิพลอยู่ในเมืองสุโขทัย รวมทั้งพลเมืองในเมืองสุโขทัยก็มีคนมอญจำนวนมาก ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น ดังนั้นในภาษาไทยที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้จึงมีภาษามอญปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก
ค.ดนตรี
เครื่องดนตรีมอญที่ไทยรับอิทธิพลเข้ามาอย่างแพร่หลาย คือ ปี่พาทย์มอญ ซึ่งเป็นการบรรเลงเพลงมอญ และสำเนียงมอญ ดนตรีมอญนั้นมีทั้งนำเข้ามาจากเมืองมอญโดยตรงพร้อมการอพยพของคนมอญ และทั้งการปรับปรุงดัดแปลงขึ้นใหม่โดยคนไทยและคนมอญรวมทั้งลูกหลานมอญที่เกิดในเมืองไทย ดนตรีมอญชนิดอื่นๆ ได้แก่ กลองยาว วงซอ วงมโหรี สำหรับใช้ในการแสดงทะแยมอญ นอกจากดนตรีมอญแล้วสิ่งที่มักมาควบคู่กันคือ รำมอญ นาฏศิลป์ การละเล่นการแสดง ได้แก่ สะบ้า ทะแยมอญ กระอั้วแทงควาย
ง.วรรณคดี
วัฒนธรรมประเพณีมอญเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในสังคมไทย วรรณคดีเรื่อง “ราชาธิราช” เป็นพงศาวดารมอญ มีการแปลและแต่งเป็นวรรณคดีไทย ได้รับการยกย่องเป็นวรรณคดีที่ควรค่าแก่การอ่านสำหรับคนไทย เนื้อหาบางตอนถูกนำไปตีพิมพ์เป็นแบบเรียนสำหรับเยาวชน โดยกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนั้นยังมีวรรณคดีไทยหลายเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีมอญ เช่น วรรณคดีไทยพื้นบ้านเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” มีเนื้อหาเป็นเรื่องราวในปลายสมัยอยุธยา และถูกนำมาแต่งเป็นบทร้องเสภาเมื่อสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งมีผู้ร่วมแต่งกันหลายท่าน หนึ่งในนั้นคือสุนทรภู่ ซึ่งแต่งตอน “กำเนิดพลายงาม” เสภาบทดังกล่าวมีสำนวนภาษา และเนื้อหาเกี่ยวกับมอญอยู่หลายแห่ง วัฒนา บุรกสิกร ได้วิเคราะห์ว่า สุนทรภู่น่าจะมีความรู้ภาษามอญ ซึ่งบทเสภาดังกล่าวมีดังนี้
แล้วพวกมอญซ้อนซอเสียงอ้อแอ้ ร้องทะแยย่องกะเหนาะหย่ายเตาะเหย
ออระหน่ายพลายงามพ่อทรามเชย ขวัญเอ๋ยกกกะเนียงเกรียงเกลิง
ให้อยู่ดีกินดีมีเมียสาว เนียงกะราวกนตะละเลิ่งเคริ่ง
มวยบามาขวัญจงบันเทิง จะเปิงยี่อิกะปิปอน
เนื้อหากล่าวถึงมอญในฐานะนักดนตรี “ทะแยมอญ” มีข้อความที่ถอดเสียงมาจากภาษามอญ แทรกอยู่ 6 บาท ดังนั้นผู้แต่งที่มีความรู้ด้านฉันทลักษณ์ไทยและเข้าใจภาษามอญเท่านั้น จึงจะสามารถแต่งกลอนให้มีเสียงและความหมายเป็นมอญ ตรงตามฉันทลักษณ์ได้ แสดงให้เห็นว่ามีคนมอญอยู่ในสังคมไทยเป็นจำนวนมาก และคนไทยก็คุ้นเคยกับวัฒนธรรมมอญเป็นอย่างดี
วรรณคดีเรื่อง “ขุนช้าง ขุนแผน” สอดแทรกวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกาย การละเล่น ประเพณี คติความเชื่อ และไสยศาสตร์ของมอญ เช่น ตอนพระไวยแตกทัพ เมื่อพลายชุมพลปลอมตัวเป็นมอญท้าพระไวยออกรบ (พลายชุมพลและพระไวยเป็นบุตรของขุนแผน)
ครานั้นเจ้าพลายชายชุมพล แยบยลพูดเพี้ยนเป็นหงสา
กูชื่อสมิงมัตรา บิดากูผู้เรืองฤทธิไกร
ชื่อสมิงแมงตะยากะละออน ในเมืองมอญใครไม่รอต่อได้
เลื่องชื่อลือฟุ้งทุกกรุงไกร แม่ไซร้ชื่อเม้ยแมงตะยา
พระครูกูเรืองฤทธิเวท พระสุเมธกะละดงเมืองหงสา
จะมาลองฝีมือไทยให้ระอา ถ้าใครกล้ากูจะฟันให้บรรลัย
แสดงให้เห็นว่าคนไทยในยุคนั้นคุ้นเคยกับคนมอญเป็นอย่างดี สามารถปลอมตัว เลียนเสียง รวมทั้งเอ่ยชื่อคนมอญ คือผู้ปลอมและผู้ถูกทำให้เชื่อต้องรู้จักมอญอย่างดี จึงสามารถเข้าใจความหมายและเชื่อถือ
การกล่าวอ้างถึงครูด้านคาถาอาคม สื่อให้เห็นว่า ในอดีตชาวมอญมีชื่อเสียงทางด้านไสยศาสตร์ เวทย์มนต์ เป็นที่หวั่นเกรงของคนทั่วไป ส่วน “พระสุเมธ” เป็นตำแหน่งพระมหาเถรฝ่ายรามัญ ที่พระมหากษัตริย์ไทยแต่งตั้งให้ดูแลปกครองพระรามัญด้วยกัน เริ่มตั้งครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยตั้งตามตำแหน่งพระสงฆ์ในเมืองมอญ
จ.ประเพณีและวัฒนธรรม
ประเพณีและวัฒนธรรมของไทยที่เรายึดถือปฏิบัติกันโดยทั่วไป หลากหลายประเพณีมีที่มาจากมอญ เช่นประเพณีสงกรานต์ โดยมอญรับจากอินเดียมาคลี่คลายและปรับใช้ในแบบของมอญ ซึ่งมอญและไทยถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ พิธีปล่อยนกปล่อยปลา ประเพณีค้ำโพธิ์ ส่งข้าวสงกรานต์ ทำบุญกลางหมู่บ้าน ตักบาตรน้ำผึ้ง ตักบาตรเทโว ประเพณีโยนบัว ล้างเท้าพระ เรียกได้ว่าประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาและอยู่วิถีชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ล้วนแทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตชาวไทยทั้งในราชสำนักและระดับสามัญชน ซึ่งชาวไทยรับเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เช่น ประเพณีโกนจุก ประเพณีการบวช ประเพณีแต่งงาน
ประเพณีแต่งงานของชาวมอญมีการแห่ขันหมาก นอกจากเงินทองและของหมั้น ขนม หมากพลู เหล้า บุหรี่ และผ้าเซ่นผีแล้ว ยังประกอบด้วย หน่อมะพร้าว หน่อกล้วยน้ำว้า และหน่อหมาก ให้คู่บ่าวสาวได้ปลูกและได้เก็บผลกินสำหรับตนและทารกที่จะเกิดใหม่ ซึ่งคู่แต่งงานที่ไม่ผ่านการสู่ขอจากผู้ใหญ่ แอบลักลอบหนีตามกัน หากทำพิธีแต่งงานจะไม่สามารถนำหน่อมะพร้าว หน่อกล้วยน้ำว้า และหน่อหมาก เข้าร่วมในขบวนแห่ได้ และเมื่อมีบุตรหลาน บุตรหลานก็จะไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมในพิธีสำคัญของหมู่บ้าน เช่น สาวเชิญเตียบ พานขันหมากในงานแต่งงาน สาวอุ้มต้นเทียนและเครื่องอัฐบริขารในงานบวชถือเป็นการลงโทษทางสังคม
ของหวานที่เลี้ยงแขกในงานแต่งงานคือ ขนมสี่ถ้วย ซึ่งชาวไทยเรียกว่า “กินสี่ถ้วย” ได้แก่ ไข่กบ (เม็ดแมงลัก) นกปล่อย (ลอดช่อง) มะลิลอย (ข้าวตอก) และ อ้ายตื้อ (ข้าวเหนียว) เป็นขนมมงคลในงานแต่งงาน และการกล่าวถึงคำว่า “กินสี่ถ้วย” ยังมีความหมายถึงประเพณีแต่งงานอีกด้วย ประเพณีแต่งงานดังกล่าวเป็นประเพณีที่ยังมีการปฏิบัติกันโดยทั่วไปในหมู่ชาวไทย โดยเฉพาะที่จังหวัดสุโขทัย ซึ่งมีชาวมอญอาศัยอยู่หลายชั่วอายุคนแล้ว รวมทั้งชาวมอญในประเทศพม่าซึ่งยึดถือประเพณีการแห่ขันหมาก รวมทั้งกินขนมในงานแต่งดังกล่าวข้างต้นอย่างเคร่งครัด แต่ไม่ได้มีสี่ถ้วยอย่างในเมืองไทย มีเพียงข้าวเหนียวและลอดช่องและชาวมอญในประเทศพม่าเรียก “ลอดช่อง” ว่า “โหลดช่ง”
ฉ.อาหาร
อาหารไทยหลายชนิด มีที่มาจากอาหารมอญ โดยได้รับอิทธิพลทั้งรูปแบบและรสชาติจากความใกล้ชิดคุ้นเคยกับชาวมอญทั้งในราชสำนัก และในระดับสามัญชน ต่อมาชาวไทยได้นำอาหารของชาวมอญมาดัดแปลง ประยุกต์ให้ได้รสชาติถูกปากคนไทย ซึ่งมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายชนิด ทั้งอาหารหวานและอาหารคาว เช่น ข้าวอีกา (เปิงคะด็อจก์)ข้าวเหนียวแดง (อะลอญฮะเกด) ข้าวเหนียวแดกงา (ฮะเปียง) ขนมกะละแม (กวานฮะกอ) ขนมจีน (ฮะนอม) และ ข้าวแช่ (เปิงด้าจก์ หรือ เปิงซังกราน) เป็นต้น
ข้าวแช่ ตามประเพณีมอญแต่เดิมเป็นการหุงข้าว เพื่อบูชาเทวดาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สืบเนื่องมาจากตำนานสงกรานต์ของมอญ
ขนมจีน เป็นอาหารมอญ ที่นิยมทำเฉพาะแต่ในเทศกาล และงานสำคัญเท่านั้น เพราะมีขั้นตอนการทำที่ต้องใช้เวลามาก คำว่า "ขนมจีน" มอญเรียกว่า "คนอม" เป็นกริยาแปลว่า ทำ, สร้าง (ในพจนานุกรมภาษามอญ-อังกฤษที่รวบรวมโดย Robert Halliday ได้ให้ความหมายว่า "form") ส่วนคำว่า"จีน" ที่อยู่ข้างหลังคำว่า "ขนม" นั้นไม่มีใช้ในภาษามอญ มีแต่คำว่า "จิน" ซึ่งแปลว่า “สุก” (จากการหุงต้ม) คนมอญนั้นจะเรียก ขนมจีนว่า "คนอม" เท่านั้น หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ สันนิษฐานว่า เกิดจากขณะที่คนมอญกำลังทำ "คนอม" อยู่ ซึ่งมักเกิดความโกลาหนขึ้นในที่ทำครัวเนื่องจากคนหมู่มาก จากการร้องบอกกันต่อๆ ไปว่า "คนอม" สุกแล้ว กินได้แล้ว ก็คือคำว่า “คนอม-จิน” ที่จริงแปลว่า “แป้งเส้น” สุกแล้ว เมื่อคนไทยได้ยิน จึงเรียกอาหารชนิดนี้ว่า “คนอมจิน” และเรียกเพี้ยนมาเป็น "ขนมจีน" อย่างในปัจจุบัน
สรุปได้ว่าศิลปวัฒนธรรมประเพณีมอญหลายประการที่อยู่ในสังคมไทยมาช้านานอย่างน้อย ตั้งแต่สมัยอยุธยา เกิดจากการอพยพเข้ามาของชาวมอญพร้อมกับ ศาสนา ภาษา วรรณคดี อาหาร การแต่งกาย ประเพณี ความเชื่อ และพิธีกรรม ได้เปลี่ยนถ่ายเคลื่อนไหวไปมาในหมู่ชาวมอญและชาวไทย แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมไทยต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ซึ่งในที่สุดวัฒนธรรมประเพณีมอญจะกลมกลืนหายไปกับศิลปวัฒนธรรมไทย เนื่องจากเกิดการยอมรับไปยึดถือปฏิบัติอย่างไม่รู้สึกแปลกแยกด้วยความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จาก http://www.baanjomyut.com/library/mon_history.html