ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 03, 2016, 01:09:14 pm »คลิกดาวน์โหลด “ใต้ร่มโพธิญาณ”
"กิ่งก้านโพธิญาณ" และ "ธรรมปรากฏ"
สู่เมธาธรรม : พระราชสุเมธาจารย์
ครูบาจารย์ชา
“บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถร”
"อุปลมณี" หนังสือ ชีวประวัติ - ศีลาจารวัตร ของหลวงปู่ชา
สวัสดีครับ
ตอนที่ไปนอนเฝ้าไข้แม่ที่เข้าโรงพยาบาลช่วงปีใหม่นี้ ผมได้อ่านหนังสือ “ใต้ร่มโพธิญาณ” ซึ่งเป็นประวัติหลวงพ่อชา ทำให้เกิดความศรัทธาซาบซึ้งประทับใจในประวัติของท่านมาก และทำให้เห็นชัดเลยว่า คำสอนของหลวงพ่อล้วนมาจากประสบการณ์จริงที่ท่านประสบ เป็นธรรมะแท้ที่ไม่ได้มาจากการท่องจำตามตำรา แต่มาจากการรู้แจ้งเห็นจริงประจักษ์ชัด และหลวงพ่อก็นำมาสอนด้วยความเมตตา ประวัติของหลวงพ่อชาจึงเป็นธรรมะอันยิ่งไม่แพ้คำสอนของท่าน
ผมเคยอ่านและฟังประวัติของหลวงพ่อชามาบ้างแล้ว แต่งวดนี้ได้พักยาวในโรงพยาบาล จึงได้มีโอกาสอ่านหนังสือ ใต้ร่มโพธิญาณ จบเล่ม ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ทุกตัวอักษร อ่านช้า ๆ ไม่ตกหล่นแม้แต่ตัวเดียว
คลิกดาวน์โหลด “ใต้ร่มโพธิญาณ”
เมื่ออ่านแล้ว ผมอดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะเหมือนหรือต่างจากท่านอื่น ข้างล่างนี้ครับ
♥-ในฐานะที่ผมเป็นคนเชื่อในกฎแห่งกรรมอันศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาด และเชื่อในเรื่องการตามให้ผลของกรรมเมื่อตายแล้วเกิดใหม่ ผมเชื่อว่าหลวงพ่อชาเมื่อชาติที่แล้วนั้น การบำเพ็ญบารมีธรรมของท่านต้องเกือบเต็มอยู่แล้ว เมื่อเกิดมาในชาตินี้ ท่านจึงเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่สมบูรณ์ด้วยขันติ วิริยะ ปัญญา เมตตา กรุณา และบารมี อย่างเต็มเปี่ยม
♥-ผมพยายามอ่านอย่างกลั่นกรองว่า ใครเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชาบ้าง และก็อ่านเจอว่า ท่านได้ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่น 3 วัน(เมื่อ พ.ศ.2490), อยู่กับหลวงปู่กินรี ประมาณ 1 ปี (เมื่อ พ.ศ.2490-91), และได้รับคำแนะนำในการบำเพ็ญเพียรจากอาจารย์วัง (เมื่อ พ.ศ.2492) และเมื่อดูข้อมูลตามนี้ จะพูดว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านเหล่านี้ก็ไม่น่าจะตรงซะทีเดียวนัก คือมีลักษณะว่าหลวงพ่อชาท่านได้รับคำชี้แนะที่ช่วยให้การบำเพ็ญธรรมของท่านมีความชัดเจน สามารถดำเนินไปได้รวดเร็วขึ้น แต่ท่านไม่ได้มีลักษณะเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นกิจจะลักษณะของท่านทั้งสามนี้
♥-เมื่ออ่านประวัติการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อชาไปเรื่อย ๆ ทีละบรรทัด ก็จะเห็นได้ชัดว่า ชีวิตพระป่าและพระธุดงค์ที่หลวงพ่อชาปฏิบัติมาหลายปี เป็นชีวิตที่ลำบากสุด ๆ ในด้านปัจจัยสี่ หลายต่อหลายครั้งที่ท่านผ่านโรคร้ายมาได้แบบเอาชีวิตแทบไม่รอด จึงทำให้ชวนคิดว่า ธรรมะจากการฝึกกายฝึกจิตในป่า จะเอามาใช้กับคนเมืองได้หรือ? แต่ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามคำสอนของหลวงพ่อชาทุกท่านย่อมสามารถเป็นพยานได้ว่า ธรรมะที่ท่านสอนนั้นเป็นสากล เป็นอกาลิโก ปฏิบัติได้ไม่จำกัดกาล แต่หลวงพ่อชาสามารถสอนโดยใช้ถ้อยคำภาษาที่ทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอกาลิโกแบบปฏิบัติได้ ในขณะที่พระหลายท่านทำไม่ได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะไม่รู้ธรรม หรือรู้ธรรมแต่สอนไม่เป็น หรือสอนเป็นแต่สอนอย่างผิดธรรม
♥-จากการอ่านประวัติของหลวงพ่อชา ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปมองประวัติศาสตร์ของประเทศไทยว่า เราก็เป็นเมืองพุทธมากว่า 800 ปีแล้วตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย และพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นพระสุปฏิบัติที่ทรงศีลบรรลุธรรม ก็น่าจะมีอยู่คู่สังคมไทยมาทุกยุคทุกสมัย แต่โชคร้ายด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่ ทำให้เราไม่มีบันทึกคำเทศน์คำสอนของพระตั้งแต่อดีตหลงเหลืออยู่เลย ส่วนที่เป็นวรรณคดีทางพุทธศาสนาที่แต่งโดยคนชั้นสูงก็ไม่น่าจะนับเป็นบันทึกธรรมของพระของมวลชนได้ ผมกำลังนึกว่า ผมเองนี้โชคดีที่เกิดมาในยุคที่เทคโนโลยีสามารถช่วยบันทึกทั้งเสียงและข้อธรรมของพระผู้รู้ธรรม เช่น หลวงพ่อชา และท่านอาจารย์พุทธทาสไว้ให้อยู่คงทนแบบไม่ผิดเพี้ยน จึงอดไม่ได้ที่จะอธิษฐานจิตตามประสาปุถุชนว่า ถ้าผมตายไปและเกิดใหม่ในปี พ.ศ.2600 ถ้าเกิดมาเป็นคนไทยขอให้ผมได้มีสัมมาทิฏฐิ แสวงหาและพบธรรมะของหลวงพ่อชาและท่านอาจารย์พุทธทาสเช่นในชาตินี้อีก แต่ถ้าไปเกิดเป็นคนชาติอื่น ขอให้ผมสามารถอ่านธรรมะของท่านที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้เข้าใจ เพราะผมเข้าใจว่าภาษาอังกฤษยังจะเป็นภาษาที่ชาวโลกส่วนใหญ่ยังใช้อยู่ยาวไปจนถึงชาติหน้าที่ผมเกิดใหม่
ท่านอาจจะคิดว่า ผมนี่คิดมากเกินไปจนใกล้เพี้ยน แต่ผมว่านี่ไม่ใช่การคิดมากหรอกครับ มันคือการวางแผนระยะยาว ตอนที่ผมเข้าโรงพยาบาลเฝ้าแม่ที่ป่วย แม่บอกว่าถ้าแม่ตายก็จะไม่ได้เจอกันอีก ผมบอกแม่ว่า เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับการอธิษฐานจิตเหมือนกันนะครับ ถ้าเราตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้บุญกุศลที่เราทำไว้อวยพรให้เราได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีก ชาติหน้าเราก็น่าจะมีโอกาสเกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีกครั้ง ในทำนองเดียวกัน ถ้าผมอธิษฐานจิตว่า เมื่อผมตายไปขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาพบคำสอนที่บริสุทธิ์ที่ผมประจักษ์ด้วยตัวเองแล้วในชาตินี้ คือคำสอนของหลวงพ่อชาและท่านอาจารย์พุทธทาส ผมก็น่าจะมีสิทธิ์ที่จะอธิษฐานขอเช่นนี้
เวลานี้ผมชักจะแก่แล้ว และเจอ 2 สิ่งที่ใหม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับหลายสิบปีสมัยก่อน คือ
(1) สมัยนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถผลิตสิ่งที่ภาษาเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “สินค้า” และ “บริการ” ออกมามากมาย จนทำให้คนทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าติดกับถอนตัวออกมาจากสินค้าและบริการเหล่านี้ได้ยาก และมันก็น่าเห็นใจที่คนมากมายติดยึดสิ่งเหล่านี้เนื่องจากมันยั่วยวน และคนจำนวนมากก็เดือดร้อนเพราะความยั่วยวนเหล่านี้
(2) ทุกวันนี้พระภิกษุชาวพุทธที่สั่งสอนและประพฤติธรรมะอย่างผิดและชั่วมีมาก จนคนแยกไม่ออกว่าผิด-ถูก, ชั่ว-ดี ต่างกันอย่างไร และมันก็น่าเห็นใจที่คนแยกไม่ออก เพราะผู้ใหญ่/ผู้นำและระบบที่ควรจะสอนให้สังคม-เศรษฐกิจ-การเมือง มีสัมมาทิฏฐิ กลับยกมิจฉาทิฏฐิเป็น model หรือ idol ผู้คนจึงเกิดมาและตกเป็นเหยื่ออย่างมีความสุขระยะสั้นแต่มีความทุกข์ระยะยาว เพราะงับเหยื่อ กินเหยื่อ และติดเบ็ด
ทุกวันนี้ตอนผมทำบุญ ผมจะอธิษฐานว่า ขอให้ผมเกิดมาและมีศรัทธาในสัมมาทิฏฐิ เพราะผมเชื่อว่า ภายในปี พ.ศ. 2600 ที่ผมเกิดใหม่(หากผมเกิดในห้วงเวลานั้น) โลกจะเจริญด้วยเทคโนโลยีมากกว่านี้ และมิจฉาทิฏฐิในโลกก็จะยิ่งหนักข้อมากกว่านี้ ผมจึงกลัวนัก เพราะการเกิดมาและถูกสังคมเสี้ยมสอนให้มีศรัทธาในมิจฉาทิฏฐิ ต้องถือว่าตกนรก
♥ -ในประวัติของหลวงพ่อชา มีส่วนหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือการต่อสู้กับกามราคะ ทั้งตอนที่เป็นฆราวาสยังไม่ได้บวชและบวชแล้ว ตอนที่เป็นฆราวาสนั้นก็ถูกเมียเพื่อนให้ท่าทอดสะพานให้แต่ท่านไม่เดิน
ส่วนตอนที่บวชปฏิบัติธรรมนั้นท่านลูกราคะกลุ้มรุมหนัก ไม่ว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรืออิริยาบถใดก็ตาม ปรากฏว่า มีอวัยวะเพศของผู้หญิง ลอยปรากฏเต็มไปหมด เกิดความรู้สึกรุนแรง เดินจงกรมก็ไม่ได้เพราะ องค์กำเนิด ถูกผ้าเข้า ก็มีอาการไหวตัว ต้องให้เขา ทำที่จงกรมในป่าทึบ เพื่อเดินเฉพาะในเวลาค่ำมืด และเวลาเดิน ต้องถลกสบงพันเอวไว้ การต่อสู้กับกามราคะ เป็นไปอย่างทรหดอดทน ขับเคี่ยวกันอยู่นาน ถึง 10 วัน ความรู้สึก และ นิมิตเหล่านั้น จึงสงบและหายขาดไป
และอีกอันหนึ่งท่านเล่าว่า ในช่วง 7 ปีแรกของชีวิตพระท่านยังไม่สามารถตัดความความคิดจากนางสาวจ่ายอดีตแฟนสมัยฆราวาสที่กลายเป็นเมียของเพื่อนคือนายพุฒ
ประวัติส่วนนี้ทั้งหมดตอนจะมีการพิมพ์เป็นหนังสือ บรรดาศิษย์อยากจะให้ไม่ต้องพิมพ์ส่วนนี้ แต่หลวงพ่อชายืนยันว่าต้องพิมพ์ลงไปด้วย ท่านต้องการให้ประวัติของท่านเป็นบทเรียนแก่พระหนุ่มรุ่นหลังเพื่อเป็นกำลังใจให้เกิดความพากเพียรในการปฏิบัติธรรมว่า หลวงพ่อชาเองก็เจอเรื่องนี้ และได้อดทนพยายามจนถึงที่สุดและเอาชนะมันได้
อันที่จริงประวัติของหลวงพ่อชานี้ ถ้าจะรวบรวมกันอีกครั้งให้ละเอียดลออ ยังจะมีอีก 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 เป็นเรื่องที่ผู้อื่นเล่า ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือพระลูกศิษย์ ซึ่งเคยมีประสบการณ์โดยตรงกับหลวงพ่อชา ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า anecdote และรู้สึกว่า มีตีพิมพ์เป็นเล่มแล้วอยู่บ้าง เท่าที่ผมเจอคือ
"กิ่งก้านโพธิญาณ" และ "ธรรมปรากฏ"
สู่เมธาธรรม : พระราชสุเมธาจารย์
ครูบาจารย์ชา
ส่วนที่ 2 เป็นหนังสือประเภทที่ออกจะแสดงถึงความสามารถด้านการหยั่งรู้ หรือพลังจิต ออกไปในทำนองฤทธิ์หรือความศักดิ์สิทธิ์อะไรทำนองนั้น เรื่องนี้ผมเข้าใจว่า ทางพระผู้ใหญ่สายหลวงพ่อชาอาจจะไม่ค่อยสนับสนุนเพราะอาจจะทำให้คนยึดติดและห่างจากธรรม แต่ในความเห็นส่วนตัวผมว่าก็ไม่น่าเกลียดอะไร โดยหนังสือที่พิมพ์ออกมาในชื่อ “บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถร” ก็เขียนตามข้อเท็จจริง เชิญท่านลองเข้าไปอ่านได้ครับ คลิกดาวน์โหลด
ท่านผู้อ่านครับ ชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่เกิดมาในโลกนี้สั้นนัก คนบางคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง คือให้ธรรมะด้วยการพูดให้ฟัง ทำให้ดู อยู่ให้เห็น และเมื่อท่านสิ้นไปแล้ว สิ่งที่ท่านพูด ทำ แสดง ก็ยังคงปรากฏเป็นอนุสาวรีย์แห่งธรรม เป็นที่พึ่งของชาวโลก หลวงพ่อชาคือบุคคลเช่นนี้ การบูชาท่าน ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน เผยแผ่คำสอนของท่าน ย่อมเป็นคุณต่อตัวเองและต่อโลกโดยแท้
อ่านเพิ่มเติม:
"อุปลมณี" หนังสือ ชีวประวัติ - ศีลาจารวัตร ของหลวงปู่ชา
พิพัฒน์ https://www.facebook.com/EnglishforThai
จาก http://www.e4thai.com/e4e/index.php?option=com_content&view=article&id=2344:2015-01-12-11-10-32&catid=60&Itemid=124