ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 04, 2016, 02:13:42 am »เพิ่มเติม https://www.youtube.com/user/cpallseven/videos
https://www.youtube.com/playlist?list=PLr8CA-SlIPTThYfQKnNJqXZtlI-wKsYYH
พุทธปัญญาภิรมย์ กับประสบการณ์ปฎิบัติธรรมของคุณจินตหรา สุขพัฒน์ ที่แม้เธอจะเป็นคริสตศาสนิกชน แต่ก็สนใจความเป็นธรรมชาติของพุทธศาสนา จนสามารถนำการทำสมาธิ และการดูจิต การมีสติคอยตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาประยุกต์กับความเชื่อในศาสนาของเธอได่อย่างกลมกลืน
ซึ่งเธอเห็นประโยชน์ของหลักเหล่านี้ ว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยไม่จำเป็นต้องไปวัดก็ได้ และที่สำคัญ ทำให้เธอสามารถยอมรับในความแตกต่างของแต่ละคน โดยเฉพาะแม่ที่เป็นดั่งพระอรหันต์ในบ้าน ตอน ธรรมะทำไม ทำไมธรรมะ
จินตหรา สุขพัฒน์ หรือ (แหม่ม) นางเอกยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย มีผลงานแสดงภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ หลายเรื่องที่ตราตรึงใจผู้ชม ซึ่งนอกจากฝีมือทางการแสดงแล้ว ยังได้รับการยกย่องในความประพฤติที่ดี และเป็นแบบอย่างที่ดีงามของนักแสดงรุ่นหลังหลายคน
จินตรา เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ในงาน เรายกวัดไว้ที่เซเว่นฯ หัวข้อ “ดารานักธรรม” ตามโครงการส่งเสริมการศึกษา พัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ของบมจ.ซีพี ออลล์ ซึ่งได้ร่วมขึ้นเวทีถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตที่มีความสนใจในหลักธรรมของพระพุทธศานา เพื่อต้องการปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเองให้พ้นจากความทุกข์ ในหลาย ๆ เหตุการณ์
แม้จินตรา ดารานักธรรม จะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เพราะพ่อนับถือศาสนาคริสต์ ส่วนแม่นับถือศาสนาพุทธ ถือได้ว่ามี 2 ศาสนาอยู่ในบ้าน แต่เมื่อถึงเวลาทำบุญทางฝ่ายญาติคุณแม่ก็ต้องทำบุญตามแนวทางพุทธศาสนา ด้านคุณพ่อนับถือศาสนาคริสต์ ตั้งแต่เล็กจนโตจึงซึมซับแนวทางหลักธรรมมาโดยตลอด เมื่อเข้าสู่วงการบันเทิงได้มีโอกาสรู้จักกับพี่ ๆ เพื่อนๆ ในวงการ พากันไปไหว้พระทำบุญในวันสำคัญทางพระพุทธศานาก็รู้สึกประทับใจ ยิ่งในช่วงเวลาที่รู้สึกเหนื่อยในการทำงานในวงการบันเทิงก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสมาธิ ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ อ่านบทแสดง ก็มักจะจำบทบาทไม่ได้มาก เรียกง่ายๆว่าสมาธิไม่มี ทั้ง ๆ ที่ปกติจะเป็นคนที่มีสมาธิดีมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะทำงานเหนื่อยมากจริง ๆ จนกระทั่งคนรอบข้างที่สนิทกันชวนไปฝึกปฏิบัติธรรม
เมื่อเริ่มปฏิบัติธรรม ที่วัดอินบางขุนพรหมเป็นเวลา 3 วัน มีพิธีกรนำสวด เดินจงกลม ดูเทปธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะก็ทำจิตใจให้จดจ่ออยู่กับสติ อยู่กับตัวเองก็เริ่มรู้สึกว่า มีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต หน้าที่การงานก็ดีขึ้น สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้ในวันนั้น ได้นำมาใช้ที่บ้านเป็นประจำ เป็นการเรียนรู้ให้เรารู้เท่าทันจิตของเรา เมื่อเรารู้สึกตัวว่าไม่มีสมาธิ ก็พยายามอยู่กับตัวเอง กำหนดจิตให้อยู่กับปัจจุบันจริงๆ การที่เราอยู่ในสังคม แน่นอนว่ามีคนให้เรามาทดสอบจิตใจ แต่ที่สำคัญคือทำให้รู้จักตัวเราเองมากขึ้น และพยายามเตือนตัวเอง แล้วตั้งสติใหม่ ไม่คิด และไม่ทำในสิ่งต่าง ๆ ที่มันไม่ดี ก็จะทำให้จิตใจเราโปร่งสบาย
“ถ้าเกิดเราปล่อยจิตให้กระเจิงตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมันก็จะขุ่นมัวอยู่ในจิต เราจะไปแก้อะไรในโลกนี้คงเป็นไปไม่ได้แน่ ๆ ที่สำคัญคือต้องแก้ที่ตัวเราเอง แหม่มเองจะทะเลาะกับคุณแม่บ่อยมาก เมื่อไปปฏิบัติธรรม ก็คิดได้ว่าพ่อแม่ก็เหมือนพระในบ้าน ถ้าเราทำไม่ดีกับท่าน ก็จะเป็นบาปกับเรา แม่ให้กำเนิดเรา และที่สำคัญคือต้องกตัญญู ถือว่าเป็นบุญกับตัวเราเองกับคนที่ได้ดูแลพ่อแม่ในยามที่ท่านแก่เฒ่า” จินตรากล่าว
ประสบการณ์ชีวิตเวลาที่ทุกข์ หากนำเอาหลักของธรรมมาใช้กับตัวเอง และมีจิตศรัทธา มีความเชื่อว่า ในการทำดี เหตุการณ์ก็จะนำพาสิ่งดี ๆ มาช่วยในเรื่องของจิตใจ เพียงแค่จิตใจสบายขึ้นก็ถือว่าเป็นบุญของเราแล้ว เป็นบุญที่ได้รับความสุขภายในจิตใจทันที นอกจากนี้ยังต้องดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย
และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ลูกมีหน้าที่ดูแลพ่อแม่ , นักเรียนมีหน้าที่เรียนหนังสือ ในบทบาทนักแสดง จินตราก็ทำอย่างเต็มที่จึงก้าวมาถึงจุดนี้ และตอนนี้กำลังเริ่มผันตัวเองเป็นผู้จัดละคร ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องทำในสิ่งที่ตั้งใจให้ดีที่สุด ถ้ามีโอกาสแล้วให้ตั้งปณิธานว่า จะทำดี ให้ก้าวหน้า เมื่อพัฒนาตัวเองให้ดีแล้ว ก็จะมาช่วยเหลือสังคม ให้เป็นประโยชนให้กับตัวเองกับคนอื่น
จาก http://www.trueplookpanya.com/true/ethic_detail.php?cms_id=24860
ยืนหยัดอย่างยั่งยืน ‘แหม่ม – จินตหรา สุขพัฒน์’
‘ละครโทรทัศน์’ คือมหรสพส่งท้ายก่อนที่ทุกคนจะเข้านอน โดยละครแต่ละเรื่องต่างก็มีอรรถรสที่แตกต่างและหลากหลายกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นดราม่าน้ำตาตก ตลกเบาสมอง รักโรแมนติก สยองขวัญสั่นประสาท และอีกมากมาย ซึ่ง 'แหม่ม - จินตหรา สุขพัฒน์' เป็นนักแสดงหญิงที่ผ่านบทบาททั้งหมดนี้มาแล้ว รวมถึงไม่บ่อยหนักที่จะเห็นเธอรับเล่นร้ายอีกครั้งกับบท‘ธรา’ จากเรื่อง ‘ไฟในวายุ’ ที่เป็นการตอกย้ำศักยภาพของเธอได้อย่างเด่นชัด
ความสามารถทางการแสดงจึงเป็นตัวขับเคลื่อนให้เธอยืนอยู่ในวงการบันเทิงได้อย่างสวยงาม ยิ่งพิจารณาจากละครที่ผ่านมาด้วยแล้ว มั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่า จินตหรา สุขพัฒน์ ไม่ได้เข้ามาเพราะโชคช่วย แต่เป็นฝีไม้ลายมือที่เธอสร้างล้วน ๆ การสัมภาษณ์ในครั้งนี้จึงเป็นการเก็บเกี่ยวแง่มุมในการใช้ชีวิตและการทำงานของเธอ เพื่อเป็นหลักให้กับคนรุ่นใหม่ในวงการบันเทิงได้ทำอาชีพนักแสดงอย่างยืนหยัดและยั่งยืนต่อไป
แหม่มรู้จักตัวเองว่า เราต้องเข้ามาในเส้นทางวงการบันเทิงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่รู้เลยค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ตัวเองเลย (หัวเราะ) อาจเป็นเพราะว่าช่วงสมัยเรียนอยู่ที่กิตติพาณิชย์ตอนชั้นปีที่ 2 ปิดเทอมมีเวลาว่างก็จะเริ่มทำงานพิเศษ ได้มีโอกาสไปทำงานที่บริษัทโตโยต้า และที่นั่นเด็กศิลป์เขาจะทำโฆษณาให้ เดินเข้าเดินออกอยู่ที่โตโยต้าอยู่นาน เด็กศิลป์เขาเห็นก็มาชวนว่า “ลองถ่ายรูปทิ้งไว้ไหม เผื่อมีงานโฆษณาจะได้เรียก” เราก็ไปถ่ายให้เขา ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะไม่ได้นึกว่าตัวเองจะมาเป็นดารา เพียงแต่ว่าจากตรงนั้น พอได้มีโอกาสได้แสดงงานโฆษณาผ้าอนามัยลอริเอะ ก็มีทางไฟว์สตาร์ติดต่อเข้ามา พี่กอบสุข (กอบสุข จารุจินดา) เป็นคนมาเจอ ก็ให้ไปเทสต์หน้ากล้อง แล้วทางไฟว์สตาร์ชอบ เลยมีโอกาสได้เล่นภาพยนตร์กับเขา ซึ่งเอาเข้าจริงพี่ยอมรับตามตรงเลยว่า ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาเป็นนักแสดง ไม่เคยวาดตัวเองไว้ในวงการบันเทิงเลย เพราะตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่า หนังไทยก็ไม่ได้ดูสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะดูแต่หนังต่างประเทศ แต่พอรู้ว่ามันเป็นโอกาสของเราแล้ว ก็อยากจะลอง เพราะไหน ๆ ก็มีคนติดต่อเข้ามาแล้ว ไม่เสียหายอะไรถ้าคิดจะทำดูสักตั้ง จะดังหรือไม่ดังก็ไม่เป็นไร แต่พอเข้ามาแล้วก็เลยยาวมาจนถึงทุกวันนี้ (ยิ้ม)
ชอบแวดวงสื่อหรือวงการบันเทิงมากน้อยแค่ไหนหลังจากที่เข้ามาอยู่แล้ว
ปีแรก ๆ เป็นอะไรที่เราต้องปรับตัวเยอะมาก เพราะเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยพบปะผู้คนมากมาย เป็นคนเงียบ ๆ เรียบร้อย ไม่ค่อยอะไรกับใคร แต่พออยู่ในวงการก็ต้องปรับตัว ต้องมาเจอสื่อ ต้องมาเจอประชาชน ปีแรก ๆ ต้องปรับตัวอย่างหนักเลย รวมถึงการทำงานหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เราเริ่มท้อและถอดใจ สงสัยจะไม่ไหว อยากกลับไปเรียนหนังสือ กลับไปทำงาน แต่ผู้ใหญ่หลาย ๆ คนอย่างคุณสักกะ จารุจินดา ที่เป็นผู้กำกับคนแรกก็บอกว่า หลาย ๆ คนอยากจะเข้ามาทำงานตรงนี้ ในเมื่อเรามีโอกาสตรงนี้แล้ว ทำไมไม่สานต่อ มันเป็นอาชีพซึ่งที่ดีสำหรับเราในอนาคต ถ้าเราสามารถอยู่และทำตรงนี้ได้ การที่จะสร้างนักแสดงขึ้นมาในวงการสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย บริษัทต้องลงทุนหลาย ๆ อย่างไปกับเรา แต่เราจะมาทิ้งไปกลางคันแบบนี้เหรอ คือผู้ใหญ่เขาคงอยากจะให้เรานึกถึงโอกาสและบุญคุณของผู้ใหญ่ที่เขาให้โอกาสเราด้วย ก็เลยตั้งหลักใหม่ แล้วก็กลับมาแสดงภาพยนตร์เหมือนเดิม จากปีแรกเซ็นสัญญาไปแล้ว 2 ปี แต่แล้วจะถอดใจ และก็กลับมาเซ็นสัญญาต่อสำหรับไฟว์สตาร์ ก็อยู่กับไฟว์สตาร์มา 6 ปี หลังจากนั้นก็ไม่ได้เซ็นสัญญาอะไรต่อ เพราะเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็เลยกลายเป็นสัญญาใจไป ไฟว์สตาร์มีงานเมื่อไหร่ เราก็จะไปเล่นให้ และผันตัวเองมาแสดงละครแทน
พอได้เป็นดารา นักแสดงแล้ว เราต้องมีการวางตัวในสังคมอย่างไร
แรก ๆ เข้ามา ก็ไม่ได้อะไรมากมาย แต่โชคดีที่ว่า ได้มาเจอคุณพิศมัย วิไลศักดิ์ จากภาพยนตร์เรื่องแรกเลย เหมือนคุณสักกะ จารุจินดา ซึ่งเป็นผู้กำกับก็ฝากฝังไว้ตั้งแต่แรกเลยว่า ให้คุณพิศมัยเป็นคนดูแลนักแสดงใหม่คนนี้ เหมือนเป็นผู้ฝึกสอนการแสดงให้เราตั้งแต่เรื่องแรก มี้แสดงภาพยนตร์เรื่องเดียวกันและคอยสอนบทให้กับเรา เราก็ค่อย ๆ เรียนรู้จากมี้ไป ซึ่งแรก ๆ บอกได้เลยว่า เราไม่เป็นอะไรเลยสักอย่าง ไม่มีพื้นฐานทางด้านการแสดง มี้ก็จะคอยมาสอนให้ นอกจากการแสดง มี้ก็จะสอนเรื่องของการวางตัว เวลาเราไปไหน เราจะต้องรู้จักกาลเทศะ ไม่ว่าจะไปงานไหน ต้องให้เกียรติงานเขาเสมอ เราจะต้องรู้เสมอว่า งานไหนเราจะต้องทำตัวอย่างไร การแต่งตัวต้องเป็นอย่างไร เจอคนมากมายต้องทำอย่างไร การนั่ง การเดิน ทุกอย่าง มี้เป็นคนแนะนำหมด คนเขาเห็นเราจากในภาพยนตร์ เราสวยงาม เวลาเขาเห็นตัวจริง เขาก็คงอยากเห็นเราสวยงามด้วย ฉะนั้น ลากรองเท้าแตะ เสื้อยืด กางเกงยีน ชุดสบาย ๆ ใส่อยู่กองถ่ายได้ แต่เวลามางานในโรงแรม คุณจะลากรองเท้าแตะเข้ามาโรงแรมก็ไม่ได้ หรือเวลาไปงานกลางคืน นักข่าวเยอะ ต้องแต่งตัวให้ถูกกาลเทศะ ต้องคอยดูว่าโป๊ไหม มีอะไรขาดตกบกพร่องหรือเปล่า ซึ่งมี้จะเป็นคนแนะนำทุกอย่าง เจอกันทุกวันนี้มี้ยังสอนเราอยู่เลย ความเป๊ะตรงนี้ได้จากมี้จริง ๆ เพราะมี้เป็นคนเป๊ะมาก
จากที่กล่าวมาเรื่องของการวางตัว แล้วเรื่องของภาพลักษณ์นั้นจำเป็นมากแค่ไหนสำหรับการเป็นนักแสดง
จำเป็นมาก เพราะถ้าใครอยากอยู่ในวงการนี้ต้องทำภาพพจน์ให้ดี ๆ อย่างน้อยมันก็เป็นภาพเชิงบวกให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน การติดต่องานต่าง ๆ ที่เรามีกับพี่ ๆ ผู้จัด ถ้าเราทำหน้าที่ของเราได้ดี อ่านบท ทำงานตรงเวลา มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่มาทำงานอดตาหลับขับตานอน มากองถ่ายสาย เขาก็ต้องเอาไปพูดต่อ ๆ กันไป แต่ถ้าเราทำได้ดี เราก็จะไม่มีปัญหาอะไร ทำงานแบบสบาย ๆ ก็เป็นเรื่องปกติที่รู้กันอยู่แล้ว ถ้าเราทำหน้าที่ของเราดี คนอื่นเขาก็จะนิยมชมชอบในตัวของเราเอง
นักแสดงมืออาชีพอย่าง ‘จินตหรา สุขพัฒน์’ เคยโดนติเรื่องของการแสดงหรือไม่
มี เยอะแยะเลย แรก ๆ ก็เป็นเรื่อง ‘ชิงช้ากับม้าหิน’ คือตอนนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวกับการแสดงเลย มี้สอนอะไรก็ทำตาม ยังไม่มีทฤษฎีอะไรในสมองเลย หลังจากนั้นแสดงไปหลาย ๆ เรื่องเข้า ก็ค่อย ๆ ปรับตัว ใช้ทฤษฎีของตัวเอง เวลาเศร้านึกถึงอะไร นึกถึงเรื่องที่เศร้า ๆ ของเรา หรืออะไรต่าง ๆ ขึ้นมา ถ้าบทของละครหรือภาพยนตร์ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย เราก็ต้องหาเหตุผลให้กับตัวเราเอง พอเริ่มจับทางได้ก็เริ่มแสดงได้
ตอนนี้ยังต้องฝึกฝนในเรื่องของการแสดงอยู่หรือเปล่า
ไม่ต้องถึงขนาดเข้าคอร์สเรียนนะคะ (หัวเราะ) เพียงแต่เวลามีบทใหม่ ๆ มา เราก็ต้องอ่านและทำความเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้น เพราะบทจากนิยายพอมาเป็นละครมันก็ไม่เหมือนกัน นิยายอาจให้รายละเอียดเยอะและมองเห็นได้ชัดเจนกว่า ฉะนั้นพอเราได้รับบทมา ก็ต้องมาทำการบ้านว่า ตัวละครนี้เป็นอย่างนี้ และเราต้องหาพื้นฐานของตัวละครว่า ตัวนี้มีบุคลิกเป็นอย่างไร เช่น เป็นชาวบ้าน เป็นแม่ค้า จะมีความคิดประมาณไหน เราจะต้องหาเหตุผลให้ตัวละครให้ได้ ถึงจะแสดงออกและถ่ายทอดออกมาได้
การแสดงที่ผ่านมา เรื่องไหนที่ภูมิใจและถือเป็นกำไรชีวิตมากที่สุดในชีวิตการแสดง
จริง ๆ จากภาพยนตร์มีหลายเรื่องมากเลย บังเอิญโชคดีพอไปอยู่ไฟว์สตาร์ ที่นั่นมีนางเอกไม่กี่คน เราเป็นนางเอกคนแรกที่เซ็นสัญญากับไฟว์สตาร์ และได้มีโอกาสเจอผู้กำกับหลายคนต่างกันไป เล่นกับอีกคนก็จะได้บทอีกแบบหนึ่ง ซึ่งถือว่าได้แสดงอะไรที่หลากหลายมาก แต่ถ้าให้พูดถึงภาพยนตร์ก็จะมีหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพีเรียดอย่าง ‘คู่กรรม’ ซึ่งเป็นตัวละครที่ผู้หญิงหลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยากจะเล่น นั่นคือ ‘อังศุมาลิน’ เรามีโอกาสได้แสดงก็ถือเป็นโอกาสที่ดี มีหลากหลายอารมณ์มาก หรือแม้กระทั่งในเรื่องของ ‘หวานมันส์...ฉันคือเธอ’ ก็จะเป็นแบบใส ๆ สนุก ๆ ที่เล่นสลับวิญญาณกับพี่หนุ่ม (สันติสุข พรหมศิริ)ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่เรามีโอกาสได้เล่นอะไรที่แตกต่างไปจากที่ผ่านมา มีอีกหลายเรื่องนะคะ หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์ของพี่บัณฑิต (บัณฑิต ฤทธิ์ถกล) เอง ถ้าบุญชูก็จะเป็นพี่หนุ่ม เพราะเรื่องนี้พี่หนุ่มจะชัดมาก เนื่องจากเป็นบทผู้ชายนำ แต่ถ้าเป็นของเราก็จะมีเรื่อง ‘ส.อ.ว. ห้อง 2 รุ่น 44’ ก็จะเล่นเป็นนักข่าวสาวชื่อ ‘สา’ มีบุคลิกสู้ไม่ถอย และมีความหลากหลายของตัวละครมาก แต่ถ้าจะให้พูดถึงละคร เราจะนึกถึงเรื่อง ‘สี่แผ่นดิน’ เพราะหลาย ๆ คนก็ยังนึกถึงพี่ในเรื่องสี่แผ่นดินอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีโอกาสได้ดูละครเรื่องนี้ก็ยังพูดถึงกันอยู่ เจอเราก็ยังอดพูดถึงแม่พลอยไม่ได้ เป็นละครเรื่องเดียวที่มีโอกาสได้แสดงตั้งแต่สาวจนแก่ ตั้งแต่ชีวิตสาววัยใสไปจนถึงเจอชีวิตมากมาย เป็นพีเรียดที่ถือได้ว่า พี่ไก่ (วรายุฑ มิลินทจินดา) ทำได้สมบูรณ์มากในยุคนั้น เรารู้สึกได้ว่า องค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบหรือนักแสดงร่วม ทุกคนมีคุณภาพหมดเลย แสดงและอยู่ด้วยกันเป็นระยะเวลานาน ถือว่านานมากในสมัยนั้นคือ 84 ตอน ทำให้คนดูอินเข้าไปในชีวิตของแม่พลอย ทำให้คนดูรักและติดละครเรื่องนี้
ในส่วนตัว คิดว่านักแสดงที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
นอกจากจะสามารถแสดงได้ในหลาย ๆ บทบาทแล้ว อาจจะไม่ทุกบทบาท แต่อย่างน้อยต้องมีโดดเด่นสักบทบาทหนึ่ง คุณสามารถที่จะแสดงและทำให้คนดูเชื่อได้ และนอกจากมีความสามารถในการแสดงแล้ว ยังมีเรื่องของการวางตัวต่าง ๆ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน การมาทำงานตรงเวลา ก็ถือเป็นองค์ประกอบด้วย ถ้าจะเป็นนักแสดงที่สมบูรณ์ก็ต้องมีองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย และสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองได้ในทุกบทบาท นั่นแหละคือนักแสดงที่ดี
การยืนระยะเป็นนักแสดงของแหม่ม จินตหรากับนักแสดงในปัจจุบันดูจะมีความแตกต่างกันมาก
แหม่มมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร
สมัยพี่มีนักแสดงอยู่ไม่กี่คน มีพี่นก (สินจัย เปล่งพานิช) พี่เปิ้ล (จารุณี สุขสวัสดิ์) น้องกวาง (กมลชนก เขมะโยธิน) และในเรื่องของสื่อโทรทัศน์อาจจะยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่ แต่ปัจจุบันคือมาไวและไปไวมาก ที่เราอยู่ได้นานเพราะมีผลงานอย่างต่อเนื่อง เวลาแสดงภาพยนตร์พี่จะแสดงหลาย ๆ เรื่องติดต่อกันจนเขาจำเราได้ว่า เราเป็นใคร ทำให้ชื่อเสียงของเราค่อนข้างจะยาวนานกว่า คนรุ่นเราทุกวันนี้ เขาเติบโตมาพร้อมกับเรา ดูหนัง ละคร และติดตามผลงานของเราอยู่ แต่เด็กรุ่นใหม่ ๆ เขามากันทีเป็นโขยง มากันทีเป็นกลุ่มหลายสิบคน เพราะละครโทรทัศน์มีเยอะมากขึ้น มีหลายช่องมากขึ้น ทุกช่องทำละครหมด มีเคเบิ้ลอีกต่างหาก นักแสดงใหม่ ๆ ก็เกิดขึ้นเรื่อย ๆ แต่การที่นักแสดงคนหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ เขาก็ต้องมีผลงานอย่างต่อเนื่อง แต่เดี๋ยวนี้พอหลังจากละครจบ นักแสดงคนนั้นกลับไม่มีผลงานอย่างต่อเนื่อง เว้นระยะไปสัก 2 – 3 เดือน คนเขาก็เริ่มลืมแล้ว เพราะมีละครใหม่เข้ามา ก็ไปสนใจละครเรื่องอื่นแทน จากที่ดังก็จะเริ่มแผ่ว ๆ ไป ถ้ามีผลงานอย่างต่อเนื่อง คนก็จะจำได้มากกว่า อย่างของพี่ก็จะแสดงภาพยนตร์ เพราะเมื่อก่อนมีภาพยนตร์มากกว่าละคร เขาก็จะจำเราได้ ทำไม ณเดชน์ หมาก ปริญ บอย ปกรณ์ ทุกคนเกิดจากละคร 4 หัวใจแห่งขุนเขา เพราะเป็นซีรีส์ 4 ตอน คนได้ดูนานและต่อเนื่อง ซึ่งการได้ดูนานและต่อเนื่องนี่แหละจะทำให้คนดูจดจำเขาได้เอง แต่ละครปัจจุบันเดือนกว่า ๆ ก็จบแล้ว เรื่องใหม่ก็มาแทน พี่ถือว่าความถี่ของการได้ดูผลงานของนักแสดง ก็มีส่วนทำให้ติดตาติดใจคนดูได้อย่างยาวนาน และส่งผลต่อการยืนระยะในวงการด้วย อีกเรื่องหนึ่งคือการปฏิบัติตัวได้ดีและเหมาะสม อย่างณเดชน์กับญาญ่า นี่เห็นได้ชัด ปฏิบัติตัวดี มีผลงานต่อเนื่อง ส่งผลให้คนดูชื่นชอบ ไม่มีเรื่องเสียหาย คนก็ยังนิยมชมชอบ ถึงแม้ผลงานละครจะห่าง ๆ กันไป แต่ก็มีงานโฆษณามาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ก็จะทำให้เขาสามารถดำรงอยู่ตรงนี้ได้ และรักษาคุณภาพของการทำงานไว้ได้ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ได้อีกยาวนานแค่ไหน ก็อยู่ที่ตัวของเขา ถ้าเวลาและวัยเปลี่ยนไป ก็ต้องผันตัวเองไปรับบทอะไรที่โตขึ้น เขาก็ยังจะคงอยู่ในวงการนี้ได้ต่อไป
แล้วจะยืนหยัดในวงการนี้อย่างไรให้ได้ยั่งยืนเหมือนกับแหม่ม จินตหรา
เราก็จะทำหน้าที่นี้ต่อไปให้ดีที่สุด จากที่ผ่านมาเราทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีแล้ว เราอยู่ตรงนี้มาค่อนชีวิตแล้ว และเราก็คิดว่าอยากจะทำเบื้องหลังอยู่ ก็อาจจะไม่ออกมาเบื้องหน้าให้คนเห็นมาก จริง ๆ แล้วตามวาระและวัยของเราเองก็คงน้อยตามระยะเวลาของเราอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้เราผันตัวเองมา เราอาจจะยังคงอยู่ เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่เบื้องหน้าแล้ว มาอยู่เบื้องหลังของวงการบันเทิงแทน แต่ก็ยังอยู่ในวงการบันเทิง คงไม่ทิ้งไปไหน ถึงเราไปทำธุรกิจ การทำงานในวงการบันเทิงก็ยังเอื้อกับธุรกิจของเราอยู่ คนยังจดจำ เวลาทำอะไรก็ยังติดตาม นักข่าวก็ยังให้ความสนใจเราอยู่ สิ่งต่าง ๆ มันเป็นผลพวงจากการเป็นนักแสดง อย่างที่บอกมันเสริมซึ่งกันและกัน การแสดงนอกจากจะเป็นอาชีพและรายได้ของเราแล้ว เรายังต่อยอดของเรามาทำเป็นธุรกิจได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี แต่หมายความว่า คุณก็ต้องทำหน้าที่และดูแลชื่อเสียงของคุณให้ดีเช่นเดียวกัน เพราะการทำธุรกิจหมายถึงความเชื่อถือ ถ้าคุณทำให้คนเชื่อถือได้จากการทำงานของคุณ ต่อไปจะไปทำอะไร มันก็จะดีตามไปด้วย เหมือนคำพูดที่ว่า“ทำดีในวันนี้ จะส่งผลในอนาคตต่อไป” มันสามารถพิสูจน์ได้จริง ๆ
คำแนะนำของแหม่มที่จะบอกเด็กรุ่นใหม่ที่อยากจะก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงเหมือนอย่างคุณ
ถ้ามีฝันก็ต้องตามฝันให้ได้ ทำฝันให้เป็นจริง เพราะในวงการบันเทิงมีอะไรมากมายที่คุณเรียนรู้ได้และสร้างรายได้ให้กับคุณ เป็นอาชีพที่ดีและมีคนยอมรับ ซึ่งถ้าถามอีกว่า เข้ามาอยู่แล้วต้องทำตัวอย่างไร ก็รักษาคุณภาพของตัวเองไว้ให้ดี เพราะเป็นอาชีพที่สร้างอะไรให้กับคุณมากมายจริง ๆ ดูจากณเดชน์ ญาญ่า น้องพลอย เฌอมาลย์ น้องแอน ทองประสมก็ได้ ทุกคนเป็นตัวอย่างให้คุณเห็น เขาทำตรงนี้ได้ดีและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป น้องแอนเขาก็ไปต่อยอดเป็นผู้จัดรายการและละครได้ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่ทำเหล่านี้เอื้อต่ออนาคตของเราต่อไปจริง ๆ แต่ก่อนที่จะถึงตรงนั้น ต้องรู้ก่อนว่า เมื่อเข้ามาในวงการนี้แล้ว คุณต้องรักและทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด และรักษาคุณภาพที่ดีของตัวเองเอาไว้ คุณก็จะอยู่ในวงการนี้ได้ไปอีกนาน และประสบความสำเร็จได้เหมือนกับพี่รวมถึงนักแสดงหลาย ๆ ท่านด้วย (ยิ้ม)
รักในสิ่งที่ทำ ชอบในสิ่งที่เป็น และดำรงอยู่กับมันอย่างมีความสุข
นี่แหละคือชีวิตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง...
จาก http://www.all-magazine.com/ColumnDetail/allColumDetail/tabid/106/articleType/ArticleView/articleId/3488/---.aspx