ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 07, 2016, 05:30:30 pm »คำสอนสมเด็จโต “เจ้าจงจำไว้ว่า การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ การให้ธรรมะ ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่ของเจ้า”
การให้ธรรมะพ่อแม่ เป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด
ลูกเอ๋ย...ยามที่พ่อแม่ของเจ้ามีอายุมากขึ้น ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ความแข็งแรงของร่างกายที่เคยมีก็ลดลง ใจน้อย โกรธง่าย ความจำก็เสื่อม ขี้หลงขี้ลืม จิตใจก็หมดความสุขสดชื่น ถึงแม้พวกเจ้าจะคอยเอาใจใส่ดูแลใกล้ชิดสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจช่วยให้พ่อแม่ของเจ้ามีความสุขได้เต็มที่ เพราะพวกเจ้าทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าช่วยท่านให้ได้รับความสุขเพียงการให้กินอยู่หลับนอน อันเป็นความสุขทางกายเท่านั้น แต่จิตใจของท่าน หาได้ร่าเริงสดชื่นผ่องใสไม่ เจ้าจงจำไว้ว่า การให้ความสุขแก่พ่อแม่อย่างแท้จริงก็คือ การให้ธรรมะ ด้วยการสอนหลักธรรมง่ายๆให้พ่อแม่ของเจ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน สอนท่านให้รู้จักการปฏิบัติบูชา สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ธรรมะจะอยู่ในจิตใจของพ่อแม่เจ้าทุกภพทุกชาติ ถือว่าเป็นการทดแทนพระคุณที่สูงสุด เจ้าจงจำไว้นะลูกเอ๋ย
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
พระพุทธเจ้าทรงเสด็จดาวดึงส์โปรดพระพุทธมารดา
เมื่อแสดงยมกปาฏิหาริย์ให้เป็นที่ปรากฏแล้ว พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเสด็จจากจงกรมแก้วที่นิรมิตขึ้นเหนือยอดไม้คัณฑามพฤกษ์ ก้าวพระบาทขวาเหยียบยอดภูเขายุคันธร แล้วยกพระบาทซ้ายก้าวเหยียบยอดเขาสิเนรุ เสด็จขึ้นไปประทับ ณ พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ซึ่งเป็นพระแท่นที่ประทับของพระอินทร์ ภายใต้ร่มไม้ปาริชาต ต้นไม้สวรรค์มีอยู่ในสวนของพระอินทร์ ต้นปาริชาตบนโลกมนุษย์หมายถึงต้นทองหลาง ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดา อันเป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติมาในอดีต
ในครั้งนั้นเหล่ามหาชนต่างพากันโศกเศร้าคร่ำครวญปรึกษากันว่าเมื่อแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้วพระบรมศาสดาได้เสด็จหายไปฉะนี้ เปรียบเสมือนดวงเดือนหรือดวงตะวันตกหายไปจากโลก ต่างประสงค์จะทราบว่าเวลานี้พระศาสดาแสด็จไปประทับ ณ ที่แห่งใด จึงพร้อมใจกันเข้าไปถามพระโมคคัลลานะเถระ พระอัครเสนาบดีแม้จะทราบดีแต่เพื่อถวายความเคารพแก่พระอนุรุทธเถระจึงบอกให้มหาชนไปสอบถามพระเถระ พระอนุรุทธได้บอกแก่มหาชนว่าบัดนี้พระบรมศาสดาได้เสด็จขึ้นไปแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารและจำพรรษา ณ ดาวดึงส์พิภพเป็นเวลา ๓ เดือน แล้วจะเสด็จพระราชดำเนินกลับสู่โลกในวันมหาปวารณาออกพรรษา
เหล่ามหาชนเมื่อทราบดังนั้นต่างบังเกิดศรัทธาอยู่เฝ้ารอรับเสด็จพระบรมศาสดา ณ ที่แห่งนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้สละกำลังทรัพย์สร้างที่พักและอาหารอนุเคราะห์แก่มหาชนทั้งหลาย แม้พระโมคคัลลานะเถระก็ได้แสดงธรรมโปรด
ฝ่ายท้าวสักกเทวราช เมื่อทราบว่าพระบรมศาสดาเสด็จขึ้นมาประทับ ณ พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์มีความรู้สึกปีติยินดี รีบป่าวประกาศแก่เหล่าเทพยดาทั้งหลายให้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่อฟังธรรม ครั้นพระพุทธองค์มิได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธมารดาจึงตรัสถามถึง ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จไปยังสวรรค์ชั้นดุสิตเพื่อทูลเชิญเทพธิดาเจ้าสิริมหามายาพระพุทธมารดาเพื่อให้มาฟังธรรม พระบรมศาสดาได้ยกพระหัตถ์เบื้องขวาออกจากจีวรกวัก เรียกว่า
“เอหิ อมฺม ขอพระพุทธมารดาเสด็จเข้ามาประทับใกล้ ๆ เถิด ตถาคตผู้เป็นปิโยรส ซึ่งพระแม่เจ้าได้อุ้มท้องประคับประคองเลี้ยงดูด้วยน้ำนม และป้อนข้าวแต่อเนกชาติ ตถาคตขอโอกาสโปรดสนองพระคุณสูงค่าอันหาประมาณมิได้ ด้วยพระธรรมเทศนา ตลอดถ้วนไตรมาส (ตลอดระยะเวลาสามเดือนที่เสด็จขึ้นมาจำพรรษา ณ ดาวดึงส์พิภพ) เพื่อให้พระพุทธมารดาได้บรรลุอริยมรรคอริยผลสมดังที่ทรงพระอุตสาหะเสด็จมา”
พระพุทธองค์ได้ทรงโปรดแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ สนองคุณมารดา ทำให้พระพุทธมารดาได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นอนาคามี และจะได้เลื่อนระดับชั้นไปสู่พระนิพพานในที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.phuttha.com,วัดป่า
จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/203152/