ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 26, 2016, 08:45:16 pm »ศิลปะการเปลี่ยน “ทุกข์” ให้เป็น “สุข” ของ ชนกวนัน รักชีพ (1)
หากเอ่ยถึง “คุณแม่คนเก่ง” ในวงการบันเทิงเชื่อว่าต้องมีชื่อของ ตุ๊ก - ชนกวนัน รักชีพ อยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ แน่นอน
หลังจากผ่านพ้นมรสมชีวิตคู่ เธอกลับมาเข้มแข็งและยืนหยัดอย่างมั่นคงเพื่อเป็นเสาหลักให้ลูกน้อยทั้งสองคน (น้องแพรว – เด็กหญิงแพรวพิชชา วัชรคุณและน้องภูมิ – เด็กชายพิชญภูมิ วัชรคุณ) เติบโตขึ้นอย่างมีความสุข
เธอยอมรับว่าจุดหักเหในชีวิตคู่ถือเป็นบทเรียนที่สาหัสที่สุดของหญิงสาวที่มีชีวิตราบเรียบมาตลอด แต่ขณะเดียวกันมันเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เธอเข้าใจชีวิตมากขึ้นและมีทักษะและศิลปะในการรับมือกับความทุกข์ได้ดียิ่งขึ้น
“ทุกวันนี้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลย” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มและพร้อมเปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตให้เราฟัง
ชีวิตในกรอบ
ตุ๊กคิดว่าชีวิตวัยเด็กของตุ๊กเป็นชีวิตที่อยู่ในกรอบและราบเรียบมาก ครอบครัวของเรามีกันอยู่ 5 คน คือ ป๊า แม่ และลูก3 คน ตุ๊กเป็นพี่สาวคนโต มีน้องสาวและน้องชายอีกสองคน อายุห่างกันคนละ 1 ปีป๊าเลี้ยงดูและปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยให้ลูก ๆ เป็นพิเศษ เราสามคนพี่น้องจึงต้องทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างให้เรียบร้อยและตรงเวลา ป๊ากับแม่ไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวันชีวิตจึงมีแต่เรียน กิน เล่น แล้วก็นอนแต่ก็มีความสุขดี
ตอนตุ๊กอายุ 6 ขวบ ป๊ากับแม่แยกทางกัน แต่ตุ๊กไม่ได้รู้สึกว่าครอบครัวของเราแตกแยก อาจเป็นเพราะตอนนั้นเรายังเด็กมาก อีกทั้งป๊าก็ให้ภรรยาใหม่รับหน้าที่ดูแลเราสามคนพี่น้อง ซึ่งเมื่อต้องอยู่กับแม่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กก็ทำให้พวกเราสนิทกับท่านมาก ตุ๊กเป็นเด็กคุยเก่งมาก แถมยังกินเก่งเป็นที่สุด เพราะป๊าจะคอยสรรหาของอร่อย ๆ มาให้ลูก ๆ เสมอ ทำให้เราเป็นเด็กที่มีความสุขกับการกินและติดนิสัยนี้มาจนโต ส่วนเรื่องการเรียน ตุ๊กเป็นเด็กที่เรียนดีมาก ช่วงประถมถึงมัธยม ตุ๊กสอบได้ที่ 1 ตลอด จนเป็นที่จดจำของเพื่อน ๆ ว่า “ชนกวนัน คนที่สอบได้ที่หนึ่งไม่เคยได้ที่สอง” ที่เรียนดีขนาดนี้ไม่ใช่เพราะเป็นเด็กขยัน แต่เพราะชอบอ่านหนังสือเรียน ชอบทำแบบฝึกหัดตอนอยู่ในห้องเรียนจึงคุยแหลกเลย เพราะว่าสิ่งที่ครูสอนตุ๊กรู้เรื่องหมดแล้ว
พอโตเป็นวัยรุ่น ที่บ้านยังเลี้ยงแบบอยู่ในกรอบเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร อาจเป็นเพราะเราเป็นเด็กเรียบร้อยอยู่แล้ว เรื่องที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตวัยรุ่นก็แค่หนีไปกินไอศกรีมกับเพื่อนหลังเลิกเรียนแล้วแม่จับได้ นี่คือเรื่องที่ทำให้ตุ๊กตัวชาวาบไปทั้งตัวด้วยความกลัวแล้ว นอกเหนือจากนั้นตุ๊กก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้เราเป็นทุกข์ หรือหากไม่สบายใจ ตุ๊กก็มีวิธีดูแลตัวเอง หากิจกรรมโน่นนี่ทำ แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้โดยเร็ว
ส่วนช่วงชีวิตที่ถือว่าสุดเหวี่ยงที่สุดน่าจะเป็นช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เพราะได้ออกจากอ้อมอกของครอบครัวมาอยู่หอพักใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งตุ๊กได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่อิสระของตุ๊กคือการที่ได้หาของกินอร่อย ๆ แถวมหาวิทยาลัยนั่งรถทัวร์จากนครปฐมไปดูหนังที่เมเจอร์ปิ่นเกล้า ได้ร้องคาราโอเกะกับเพื่อน ๆ หลังเลิกเรียน เท่านั้นเองจริง ๆ เรียกได้ว่าเป็นชีวิตวัยรุ่นที่จืดชืดมาก แต่ตุ๊กกลับมีความสุขมาก
ก้าวสู่เส้นทางนางแบบด้วยตัวเอง
ดูเหมือนว่าเด็กเนิร์ด ๆ อย่างตุ๊กไม่น่าเป็นนางแบบได้ แต่วันหนึ่งของการเรียนปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัย ตุ๊กได้เห็นโฆษณาการประกวด “ซิตร้า พอร์เทรท ออฟ บิวตี้”ซึ่งเป็นการเฟ้นหานางแบบหน้าใหม่ผิวดีมาถ่ายแบบลงปกนิตยสาร ดิฉัน อยู่ดี ๆ ก็คิดขึ้นมาว่า
“ฉันต้องไปประกวดให้ได้”
ตุ๊กก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อาจเป็นเพราะตอนนั้นชอบอ่านนิตยสาร และทุกครั้งที่เห็นนางแบบสวย ๆ อย่าง พี่อุ๋ม -อาภาศิริ นิติพน พี่แอน - นาตาชา สัจจกุลรู้สึกว่าอยากจะเป็นอย่างพี่ ๆ เขาบ้าง
เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็แอบนั่งรถทัวร์จากนครปฐมไปสยามสแควร์เพื่อสมัครเข้าประกวดโดยไม่ได้บอกใครทั้งสิ้น ทั้งที่ตอนนั้นยังแต่งหน้าแต่งตัวไม่เป็น และในขณะที่ผู้สมัครคนอื่นมีโมเดลลิ่งมาดูแล แต่ตุ๊กไม่รู้จักคำว่าโมเดลลิ่งด้วยซ้ำ เรียกว่ากล้ามากที่เดินมาสมัครคนเดียว ปรากฏว่าตุ๊กได้เข้าอบ 50 คน แต่ไม่ได้บอกใคร
จนเมื่อเข้ารอบ 15 คนจึงยอมบอกแม่เพราะให้แม่ไปเป็นเพื่อน จำได้ว่าเช้าวันประกวดชุลมุนวุ่นวายมาก เพราะตุ๊กเป็นภูมิแพ้ ซึ่งเป็นโรคประจำตัวที่หนึ่งปีจะเป็นเพียงหนึ่งวัน แต่ก็ดันมาเป็นวันประกวดพอดี ทำให้ตาบวม หน้าบวม ต้องรีบแวะหาหมอเพื่อเอายามากินและเอาน้ำแข็งประคบรอให้ยุบ แล้วจึงแต่งหน้าเข้าประกวด ทุกอย่างไม่พร้อมเลยสักนิด แต่สุดท้ายผลการตัดสินในวันนั้นคือ ตุ๊กชนะการประกวด ซึ่งอาจเป็นเพราะเราตัวสูงกว่าใครในการประกวดนี้
หลังชนะการประกวดก็ได้ไปถ่ายแฟชั่นเพื่อลงปกนิตยสาร ดิฉัน ที่ประเทศเคนยาทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด เพราะเป็นการไปต่างประเทศโดยไม่มีครอบครัวไปด้วยเป็นครั้งแรก การไปทำงานครั้งนี้ทำให้รู้ว่าเบื้องหลังการถ่ายภาพในนิตยสารไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานทุกคนต้องทุ่มเทอย่างมากเพื่อให้ผลงานออกมาดี ตอนนั้นเป็นการถ่ายแบบครั้งแรก ตุ๊กยังโพสท่าไม่เป็น ไม่รู้มุมกล้อง ทุกอย่างดูยากไปหมด แต่ก็เก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้ในใจและตั้งใจทำให้ดีที่สุด จนพี่ ๆ ทีมงานเอ่ยชมซึ่งไม่ได้ชมว่าสวยนะคะ แต่ชมกันว่า “เป็นเด็กที่อึดมาก”
บทเรียนดี ๆ จากการเป็นนักแสดง
หลังจากนิตยสารเล่มนั้นวางแผง ตุ๊กก็เป็นที่รู้จักในวงการนางแบบ จากนั้นก็ได้ขึ้นปกนิตยสารแฟชั่นทุกฉบับ แต่ก็ยังไม่ทิ้งการเรียน โดยจะรับงานแค่เสาร์ - อาทิตย์เท่านั้น ชีวิตส่วนตัวก็เป็นเหมือนเดิมทุกอย่างตุ๊กยังคงเป็นเด็กสาวที่กินเก่ง โหวกเหวกโวยวาย ไม่เคยห่วงสวย ไม่มีจริตใด ๆ และลืมไปว่าคนเริ่มจำหน้าเราได้แล้ว จนเพื่อน ๆเตือนตุ๊กว่า “ตุ๊ก แกช่วยมีฟอร์มนิดหนึ่งเถอะนะ”
เมื่อเป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่น อายุ –ยุวดี ไทยหิรัญ ผู้บริหารค่ายละครยูม่ากำลังมองหานักแสดงหน้าใหม่ จึงเรียกให้ตุ๊กไปแคสติ้ง และได้เล่นละครเรื่องแรกโดยรับบทนางร้ายในเรื่อง ผู้ดีอีสาน พอละครออนแอร์ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าตุ๊กคงเป็นไฮโซมาเล่นละครแน่ ๆเพราะหน้าตาก็แย่ ในเรื่องตุ๊กต้องทำผมหยิกฟู ไม่เข้ากับหน้าเราเลย ที่สำคัญคือแอ๊คติ้งได้แย่มาก ๆ ซึ่งตุ๊กก็รู้ตัวว่ายังทำได้ไม่ดี และตั้งใจจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
การได้เข้ามาทำงานกับค่ายยูม่า เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะ อายุ ดูแลเราเหมือนเป็นลูกหลาน สอนนักแสดงทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องการวางตัว ท่านเน้นให้รู้จักช่วยเหลือทีมงาน ไม่นิ่งดูดาย ต้องเอื้อเฟื้อไปไหนมาไหนต้องมีของติดไม้ติดมือไปฝากอดทนทำงาน ไม่บ่น ไม่เรื่องมาก เรียกได้ว่านี่คือคาแร็คเตอร์ของเด็กค่ายยูม่าเลยทีเดียว
หลังจากเรียนจบ ตุ๊กรับงานเดินแบบและเล่นละครไปพร้อมกัน บางครั้งก็มีช่วงที่ทำงานหนักและเหนื่อยมาก แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับตุ๊ก เพราะเมื่อเหนื่อย พอได้นอนหลับ ตื่นมาก็หาย และพร้อมลุยงานต่อไม่เคยคิดว่าเหนื่อยมากแล้ว อยากหนีไปไกล ๆไม่เจอใครเลย อาจมีบ้างที่เหนื่อยมาก ๆ แล้วเหวี่ยงนิดหน่อย แต่ส่วนมากเป็นเรื่องเหนื่อยและหิวมากกว่าที่ทำให้งอแงผิดปกติ
ชีวิตของตุ๊กดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนไม่ได้เตรียมใจเลยว่าต่อไปจะต้องเจอบทเรียนชีวิตที่ทำให้ทุกข์ใจที่สุด
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
จาก http://www.secret-thai.com/article/14969/tuk-thisislife-1/
ศิลปะการเปลี่ยน “ทุกข์” ให้เป็น “สุข” ของ ชนกวนัน รักชีพ (2)
เมื่อเข้ามาในวงการเต็มตัว ตุ๊ก (ชนกวนัน รักชีพ) มีโอกาสทำงานหลายอย่าง ทั้งเป็นนางแบบ นักแสดงพิธีกร แต่อาชีพนางแบบเป็นอาชีพแรกที่ตุ๊กมีโอกาสได้ทำ และเป็นงานที่ทำให้ตุ๊กได้เรียนรู้การทำงานและเรียนรู้จิตใจตัวเองไปพร้อมกัน
หลายคนอาจคิดว่าอาชีพนี้เป็นงานง่าย ได้สตางค์เยอะแต่แท้จริงแล้วภาพเบื้องหน้าอันสวยหรูต้องแลกมาด้วยความอดทน เพราะการเดินแบบแต่ละงาน นางแบบทุกคนต้องมาซ้อมคิว รอแต่งหน้าทำผมนานหลายชั่วโมงก่อนงานเริ่ม
การเป็นนางแบบทำให้ตุ๊กได้เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้จิตใจผู้คนมากมาย ถ้าถามในมุมชิงดีชิงเด่นในวงการก็มีเหมือนกันส่วนเรื่องการนินทาหรือความไม่จริงใจก็มีให้เห็น ตุ๊กเคยเจอเหตุการณ์ที่รู้สึกว่าตัวเองรับไม่ได้ นั่นคือ วันหนึ่งขณะนั่งรอทำงาน เหล่านางแบบในงานนี้ก็นั่งดูนิตยสารเล่มหนึ่งด้วยกันแล้วเปิดไปเจอภาพแฟชั่นเซตของเพื่อนนางแบบคนหนึ่ง ขณะที่เปิดดูภาพไปทีละหน้า จู่ ๆ ก็มีนางแบบคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
“อี๋ ยัยนี่ถ่ายรูปนี้น่าเกลียดจังเลย”
เธอพูดยังไม่ทันขาดคำ เพื่อนนางแบบที่ถูกพูดถึงก็เดินเข้ามา แต่คนที่เพิ่งพูดว่าเธอลับหลังกลับพูดกับเธอว่า
“เธอ ถ่ายรูปนี้สวยจังเลยนะ”
พอเห็นพฤติกรรมแบบนี้ ตุ๊กลุกออกไปอ้วกในห้องน้ำเลย เพราะรับไม่ได้กับการเสแสร้งแบบนี้ หลังเหตุการณ์นี้ตุ๊กก็เก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยคุยสุงสิงกับใคร แล้วก็อารมณ์ไม่ดีจนเพื่อน ๆ เริ่มเมาท์กันว่าตุ๊กแปลกไป ตุ๊กต้องปรับตัวปรับใจอยู่สักพักกว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ คงเป็นเพราะตอนนั้นเรายังเด็กมากจึงไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้มากนัก แต่พอโตขึ้น ได้เจอคนเยอะ เรียนรู้จิตใจคนมากขึ้น เราก็เข้าใจและไม่รับมาคิดต่อให้ตัวเองเป็นทุกข์
ในขณะเดียวกันตุ๊กคิดว่าตัวเองเริ่มสร้างนิสัยหรือกลไกบางอย่างเพื่อปกป้องตัวเองจากเรื่องที่ไม่อยากรับรู้ ที่เพื่อน ๆล้อกันว่าเป็นอาการ “หูดับ” คือตุ๊กสามารถปิดตัวเองไม่ให้ได้ยินเรื่องที่ไม่อยากได้ยินแม้กำลังนั่งคุยกันปกติในวงเพื่อน ๆ ก็ตาม แม้ฟังดูแปลก แต่ก็ช่วยให้ตุ๊กไม่รับความทุกข์จากเรื่องรอบตัวบางเรื่องได้ดี
“หลง” โดยไม่รู้ตัว
ใคร ๆ ก็มองว่า “นางแบบ” ต้องเป็นคนหวือหวา แต่ตุ๊กยังคงใช้ชีวิตส่วนตัวราบเรียบเหมือนเดิม ไม่เคยไปปาร์ตี้กินเหล้า หรือเที่ยวกลางคืนเลย พอเดินแบบเสร็จก็รีบกลับบ้าน มานั่งอ่านหนังสือ ถักนิตติ้ง คือใช้ชีวิตเชย ๆดูไม่เป็นนางแบบเลยจริง ๆ เหมือนเราออกไปสวมบทเป็นนางแบบ เสร็จงานก็กลับบ้านมาอยู่ในโลกของตัวเอง
คนทั่วไปอาจมองว่าตุ๊กเป็นคนง่าย ๆ และคงไม่ “หลง”ไปกับชื่อเสียงของตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วตุ๊กยอมรับว่ามีบางมุมที่ตุ๊กหลงไปกับสิ่งเหล่านี้บ้างเหมือนกัน ตุ๊กเคยเจอพี่ช่างแต่งหน้าที่เคยแต่งหน้าให้ตุ๊กสมัยเพิ่งเข้าวงการ พี่เขาพูดสะกิดใจตุ๊กมากว่า
“เจอน้องตุ๊กมาตั้งแต่อะไรก็ได้…”
กลายเป็นว่าที่คิดมาตลอดว่าเป็นคนง่าย ๆ เหมือนวันแรกที่เข้ามาในวงการ จริง ๆ แล้วเราเปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ตัวเช่น ตุ๊กอาจขอให้พี่ช่างแต่งหน้าแต่งในแบบที่คิดว่าเหมาะกับเรา คิ้วต้องอย่างนั้น กรีดตาต้องแบบนี้ หรือบางครั้งตุ๊กก็“เคยตัว” กับการที่มีคนมาบริการและดูแลเราอย่างดี ทำให้กล้าขอให้คนทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ เช่น เวลาพาลูกไปกินข้าวนอกบ้าน ร้านอาหารไม่มีลูกค้าแล้ว ตุ๊กก็กล้าบอกว่า “ขอโทษนะคะ ช่วยปิดทีวีได้ไหมคะ” เพราะปกติไม่ให้ลูกดูทีวีเลย
ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ตุ๊กมั่นใจว่าถ้าเราไม่ได้เป็นคนที่มีคนรู้จัก คงไม่กล้าทำแน่นอน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตุ๊กพูดเสมอว่าไม่อยากให้ลูกทำงานในวงการบันเทิง แม้จะเป็นวงการที่ตุ๊กรักและสนุกกับงานที่ทำ แต่ก็รู้ว่าคนที่อยู่ในวงการนี้ต้องประคองตัวอย่างดี ซึ่งถ้าลูกเราทำไม่ได้ ก็ไม่อยากให้ลูกอยู่ในจุดที่ไม่รู้ตัวเองเช่นนี้
แบบอย่างของการให้อภัย
ตุ๊กมีแฟนคนแรกตอนใกล้จะเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นความรักที่บริสุทธิ์และน่าประทับใจมาก ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน เขาจีบตุ๊กตั้งแต่เรียนชั้น ม. 3 จนจบม. 6 แม้แยกย้ายกันไปเรียนคนละมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ไกลกันเขายังคงพยายามจีบต่อไป จนตอนเรียนจบเราจึงได้เป็นแฟนกัน
พอตุ๊กเข้าวงการ เราก็ยังคบกันดี เพราะเขาเข้าใจธรรมชาติของเรา แต่แล้วตุ๊กกลับเป็นคนที่เปลี่ยนไป
เมื่อคบกันได้ประมาณสามปี ตุ๊กได้เจอกับ พี่บ๊วย(เชษฐวุฒิ วัชรคุณ) ยอมรับว่าตุ๊กนอกใจแฟน ด้วยการให้เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า “ความสัมพันธ์ของเราต้องไม่ดีพอทำให้เราปันใจให้คนอื่น” สุดท้ายก็ขอเลิกกับเขา ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนขอร้องเท่าไหร่ ตุ๊กก็ยังยืนยันคำเดิมว่าต้องเลิกกัน
แต่หลังจากนั้นเรากลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เขากลับมาเป็นเพื่อนโดยไม่ได้หวังความสัมพันธ์อื่นใด เขาเป็นเพื่อนแท้ที่ตุ๊กยกให้เป็นต้นแบบของ “การให้อภัย” เพราะต่อมาเมื่อต้องเจอเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะให้อภัยคนที่เรารักได้อย่างไรตุ๊กก็นึกถึงเขา เขาเป็นแรงบันดาลใจให้เราให้อภัยคนที่รักได้เช่นกัน
มรสุมชีวิตที่ไม่คิดว่าจะต้องเจอ
ความรักของตุ๊กกับพี่บ๊วย เริ่มจากที่วันหนึ่ง ออร์แกน – ราศี วัชราพลเมฆ มาบอกว่า พี่บ๊วยฝากมาบอกตุ๊กว่า “เขาชอบตุ๊กมาก ชอบจริง ๆ ขอแค่ให้ได้ชอบก็พอ” หลังจากนั้นก็เงียบหายไป จนตุ๊กได้รู้จักและคุยกับพี่บ๊วยจริง ๆ ก็ตอนที่ตุ๊กโทร.ติดต่อเขาเรื่องฟิตเนสแห่งหนึ่ง เพราะพี่บ๊วยมีเพื่อนอยู่ที่ฟิตเนสแห่งนั้น เริ่มจากการโทร.ให้พี่เขาช่วยเช็กตารางว่างของฟิตเนสให้ จนกลายมาเป็นคุยกันทุกวันโดยไม่รู้ตัว
พี่บ๊วยเป็นคนน่ารัก สุภาพ และพูดเพราะมาก เราคุยโทรศัพท์กันอยู่ประมาณสิบเดือนจึงได้เจอหน้ากัน เพราะตอนนั้นตุ๊กยังมีแฟน ในใจจึงรู้สึกผิดมาก แต่สุดท้ายเมื่อทุกอย่างคลี่คลาย เราจึงได้มาเจอกัน และสุดท้ายก็ตกลงคบกัน พี่บ๊วยเป็นคนไม่จู้จี้จุกจิก ส่วนตุ๊กเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เราจึงคบกันได้อย่างมีความสุข เมื่อคบกันได้สองปีพี่บ๊วยก็ขอแต่งงาน เขาบอกว่ามั่นใจแล้วว่าตุ๊กคือรักแท้ของเขา
หลังจากแต่งงาน ตุ๊กย้ายเข้าไปอยู่กับครอบครัวของพี่บ๊วยการแต่งงานของตุ๊กเหมือนแค่การย้ายบ้าน ไม่ได้ปรับตัวสักเท่าไหร่ จึงทำให้จัดการกับความสัมพันธ์กับครอบครัวของเขาไม่ดีนัก จนเราตัดสินใจแยกบ้านเป็นครอบครัวเดี่ยว ตุ๊กก็รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น
ส่วนเรื่องการดูแลสามี ตุ๊กคิดว่าตุ๊กทำได้ดีแล้ว เพราะเราดูแลเรื่องอาหารการกิน เอาอกเอาใจ เซอร์ไพร้ส์ทุกเทศกาลแต่สุดท้ายก็รู้ตัวว่าตัวเองไม่มีศิลปะในการครองเรือน เพราะตุ๊กละเลยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรใส่ใจ เช่น พี่บ๊วยจะหอมแก้มตุ๊กทุกครั้งที่ออกจากบ้าน แต่กลับไม่มีสักครั้งเลยที่เราจะทำแบบนี้กับเขา หรือพี่บ๊วยจะถามทุกวันว่า “เหนื่อยไหม” แต่ตุ๊กกลับไม่ใส่ใจกับคำพูดนี้ เมื่อมองย้อนกลับไปตุ๊กรู้ว่าตัวเองเป็นคนได้รับความรักอยู่ฝ่ายเดียว แต่ไม่เคยมอบความรักกลับไปเลย
ตุ๊กไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจจะกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้เสียใจที่สุดในชีวิต
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
จาก http://www.secret-thai.com/article/14996/tuk-thisislife-2/
ศิลปะการเปลี่ยน “ทุกข์” ให้เป็น “สุข” ของ ชนกวนัน รักชีพ (จบ)
เมื่อมีลูกคนแรก ตุ๊ก (ชนกวนัน รักชีพ) ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับลูก เรียกว่า “บ้าเลี้ยงลูก” มาก ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้แบ่งหน้าที่ของภรรยาและแม่ของลูกได้ไม่สมดุลกัน
ถึงอย่างนั้นสามีก็ไม่เคยตำหนิหรือขอให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้ตุ๊กมั่นใจว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นดีมากแล้ว ช่วงนั้นพี่บ๊วยให้หยุดทำงานเพื่อเลี้ยงลูกอย่างเดียว ชีวิตครอบครัวของเรามีความสุขมาตลอด จนตั้งท้องลูกคนที่สอง ช่วงตั้งท้องเดือนที่แปด จู่ ๆ วันหนึ่งตุ๊กก็รู้สึกแปลก ๆ ไปเองว่า “นี่เรามีความสุขมากไปไหมนะ” เพราะในขณะที่เพื่อนมีปัญหาทะเลาะกับแฟนบ้าง สามีมีผู้หญิงอื่นบ้างหรือมีปัญหาเรื่องเงินทอง แต่ชีวิตเรากลับดูราบเรียบไม่มีปัญหาอะไรเลย
เมื่อคลอดลูกคนที่สอง ตุ๊กต้องอยู่ไฟทุกวันตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น เวลาที่เหลือก็ยุ่งอยู่กับการให้นมลูก และดูแลเลี้ยงลูกเองทุกขั้นตอนเหมือนเดิม ช่วงหนึ่งเดือนที่อยู่ไฟนี้เริ่มรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอหน้าพี่บ๊วยเลย ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความห่างเหินและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ที่สุดของความเสียใจ
ในวันแรกที่รู้แน่ชัดแล้วว่าชีวิตครอบครัวมีปัญหา ตุ๊กนอนไม่หลับทั้งคืน ทั้งที่ปกติเป็นคนนอนหลับง่ายมาก ขนาดที่นับหนึ่ง สอง สามแล้วหลับได้ทันที เรียกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นอนไม่หลับ เพราะกังวลคอยแต่รอจังหวะที่จะได้คุยกันให้หายค้างคาใจว่าเขาเปลี่ยนไปจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้รับคือ เขาขอยกเลิกสถานภาพสามีภรรยาด้วยการหย่า
วินาทีนั้นตุ๊กหนาวสั่นไปหมด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดไว้เลย ไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดกับตัวเอง เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี ตุ๊กไม่เคยรู้สึกถึงความระหองระแหงในชีวิตคู่ อีกทั้งเราก็เพิ่งมีลูกคนที่สองด้วยกัน และก่อนหน้านั้นไม่นานก็วางแผนจะมีลูกคนที่สามด้วย จึงไม่น่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้
ตุ๊กพยายามหาเหตุผลมาพูดคุยกับเขาอยากให้เขาลองคิดทบทวนดูใหม่ และคิดห่วงไปถึงลูกทั้งสองคน เพราะไม่อยากให้เติบโตในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ว่าจะหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาพูดคุยอย่างไรคำตอบก็คือ เขาต้องการยกเลิกการเป็นสามีภรรยาของเราจริง ๆ แต่เขายังรักและพร้อมดูแลลูกทั้งสองคนเหมือนเดิม
เช้าวันนั้นตุ๊กรู้เลยว่าสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองย่ำแย่มาก และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่โทร.หาแม่ว่า
“แม่ช่วยมาดูลูกให้ตุ๊กหน่อยนะ ตุ๊กไม่สบายมาก อุ้มลูกไม่ไหว”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ แม่ก็รู้เลยว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ ๆ เพราะปกติตุ๊กไม่ยอมขอให้ใครมาช่วยดูแลลูก พอแม่มาที่บ้าน ตุ๊กกลับนิ่งเงียบ ไม่เล่าอะไรให้ท่านฟังทั้งสิ้น จนแม่ต้องโทร.ไปถามเขาจึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมด
กลายเป็นว่าที่เราคิดว่าทำหน้าที่ภรรยาและแม่บ้านอย่างดี ทุกอย่างผิดไปหมดชีวิตคู่ที่ดูมั่นคงมาตลอดกลับเปราะบางมากแต่ตัวเราไม่เคยสังเกตเห็นเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และคิดเอาเองว่าไม่มีอะไร แต่อีกฝ่ายกลับเก็บรายละเอียดเหล่านี้ไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ
หลังเหตุการณ์วันนั้น ตุ๊กพยายามยื้อเวลารอให้เขาเปลี่ยนใจ และประคับประคองชีวิตคู่ให้ดีที่สุด แม้จะต้องทนทุกข์ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงและเฉยชาอยู่ทุกวัน เป็นช่วงเวลาที่ทรมานมาก แต่ก็ต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พึ่งให้ลูก เพราะรู้ว่าความรู้สึกของแม่กับลูกเชื่อมต่อกันตลอดเวลา ไม่อยากให้ลูกมารับรู้ความทุกข์ของเราแม้สักเล็กน้อย
จนวันหนึ่งได้ปรึกษาพี่ที่เคารพในวงการท่านหนึ่งที่รับรู้เรื่องชีวิตคู่ของเรามาตลอด เขาบอกว่า
“ตุ๊ก มนุษย์เราเปลี่ยนแปลงได้ทุกวันนะ”
พอได้ยินประโยคนี้ ตุ๊กเข้าใจทันทีและได้คำตอบที่เคยถามตัวเองมาตลอดว่าทำไมชีวิตเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เพราะจริง ๆ แล้วมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน ไม่ใช่แค่คนข้างกายเราที่เปลี่ยนไป ตัวเราก็เองก็เปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อพอจะเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ตุ๊กจึงทำตามที่เขาต้องการด้วยการเซ็นใบหย่าให้และมั่นใจว่าเราไม่ได้รู้สึกโกรธเขา
มองทุกข์และสุขอย่างเข้าใจ
ความล้มเหลวในชีวิตคู่ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ราบเรียบมาตลอดของตุ๊ก แต่ก็สอนให้เข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น เข้าใจว่า ความทุกข์และความสุขเกิดขึ้นเป็นวงจรที่ไม่จบสิ้น หากวันนี้เราเจอความทุกข์ เราก็ต้องเดินผ่านไปให้ได้ เพราะเมื่อผ่านพ้นความทุกข์ไปแล้ว เราอาจเจอความสุข แต่ความสุขนี้ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เพราะสุดท้ายเราก็ต้องผ่านไปพบกับความทุกข์อีกครั้งอยู่ดี ชีวิตเราต้องพบเจอทั้งทุกข์และสุขอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
เมื่อเริ่มเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น ตุ๊กจึงมีความสุขได้ง่ายขึ้น ด้วยการไม่พิรี้พิไรกับความทุกข์ เพราะจริง ๆ แล้วความทุกข์นั้นอาจเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่เรากลับนำมันมาทำร้ายตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ ด้วยการนำความทุกข์นั้นมาคิดซ้ำไปซ้ำมา เราต้องดึงสติให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะการกังวลอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้วและฝันเฟื่องถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงไม่ได้ช่วยให้ปัจจุบันของเราดีขึ้นเลย
ตุ๊กยังจำได้ถึงวันที่ต้องไปทำงานวันแรกหลังจากที่หยุดเลี้ยงลูกมานาน วันนั้นแม่โทร.มาบอกว่าลูกไม่ยอมกินนมจากขวด เพราะไม่เคยให้นมแม่ด้วยขวดนมมาก่อน เวลานั้นทุกอารมณ์ความรู้สึกถาโถมเข้ามาหมด ทั้งเสียใจที่ไม่ได้อยู่เลี้ยงลูก แล้วก็พาลโกรธทุกอย่างที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องเตือนตัวเองว่า กังวลไปก็ไม่ได้ช่วยให้ลูกยอมกินนม และงานตรงหน้าก็ทำได้ไม่ดีไปด้วย ต้องตัดความกังวลทั้งหมดออกไปและกลับมาทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ชีวิตที่มีความสุขง่ายขึ้น
ช่วงเวลาที่ต้องพบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส ตุ๊กโชคดีที่ได้กำลังใจจากคนรอบตัวเยอะมาก และที่สำคัญคือ มีกัลยาณมิตรที่ดีอย่าง “พี่โอ๋” (ชนาธิป นิติภานนท์)พี่สาวซึ่งเป็นลูกของพ่อบุญธรรมที่คอยอยู่เคียงข้างตุ๊กเสมอ
ตุ๊กได้เรียนรู้การใช้ชีวิตหลายอย่างจากพี่โอ๋ จากเป็นคนที่ต้องทำทุกอย่างให้เป๊ะชอบวางแผนอนาคตไว้ไกล ๆ พี่โอ๋สอนให้ตุ๊กรู้จักผ่อนปรนและปล่อยวาง ด้วยการ “รู้จักคิดถึงชีวิตแบบระยะสั้น แบบวันต่อวัน หรือวางแผนชีวิตไม่เกินสามปีห้าปี” ไม่น่าเชื่อว่าแค่เรื่องธรรมดา ๆ นี้จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะไม่ต้องคอยเครียดว่าต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปอย่างใจเสมอ แม้แต่เรื่องการเลี้ยงลูก ตุ๊กก็ทุ่มเทเต็มร้อย ดูแลให้ความรักความเข้าใจไปตามวัยอย่างดีที่สุด เพื่อที่ในอนาคตเขาจะสามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้โดยที่เราไม่คาดหวังมากเกินไป
นอกจากนี้ตุ๊กยังมีโอกาสได้ไปเป็น“ชาวนา” จากการที่ได้ไปช่วยคุณพ่อบุญธรรมดูแลการปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ที่สุธาทิพย์ฟาร์ม อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีตุ๊กมีความสุขที่ได้มาเรียนรู้วิถีชีวิตของเกษตรกรได้พาลูก ๆ มาลองใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติและที่สำคัญคือ เป็นการฝึกให้ตัวเองใช้ชีวิตช้าลง เพราะในระหว่างดำนา เก็บเกี่ยว หรือแม้แต่การบรรจุหีบห่อ ทุกขั้นตอนต้องอยู่กับตัวเองและใช้สมาธิอย่างมาก จิตใจของเราจึงนิ่งและสงบมากขึ้น
ทุกวันนี้มุมมองชีวิตเปลี่ยนไปมากตุ๊กเริ่มรู้จักศิลปะในการรับมือกับความทุกข์และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ง่ายขึ้น แม้ที่ผ่านมาต้องเจ็บปวด แต่ก็คุ้มที่ทำให้เข้าใจชีวิตได้ดีขึ้นเช่นกัน
จาก http://www.secret-thai.com/article/15002/tuk-thisislife-3/