ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 30, 2016, 10:32:28 pm »เรื่องการแก้กรรมที่เขาพูดกันเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน?
คำสอนเรื่องกรรม แก้กรรม เรื่องชาติก่อนชาตินี้ เป็นคำสอนหลักอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา ความเข้าใจว่า โลกนี้โลกหน้ามีจริง กฎแห่งกรรมมีจริง นรกสวรรค์มีจริง คือความเชื่อที่เป็นสัมมาทิฐิพื้นฐานใครไม่เชื่อเรื่องนี้ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ คือมีความเห็นผิด เข้าใจผิด เพราะคำสอน
หลักในพระพุทธศาสนาเรื่องกฎแห่งกรรมที่ว่าใครทำอะไรแล้วจะเกิดผลอย่างไร ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า เป็นสิ่งที่โยงใยกันหากตัดตอนว่าชาติก่อนไม่มี ชาติหน้าไม่มี ตายแล้วสูญ ต้องถือว่าหลุดไปจากคำสอนในพระพุทธศาสนาเลย
เราจะพิสูจน์เรื่อง ชาติก่อน กรรม &แก้กรรมได้อย่างไร ?
ถ้าจะพิสูจน์ให้ไปเห็นชัด ๆ เลยว่า ชาติก่อนเป็นอย่างไร ก็ต้องตั้งใจนั่งสมาธิ (Meditation) เกิดญาณทัสสนะเมื่อไรไปดูด้วยตัวเองได้ ในระหว่างยังไม่เข้าถึง เราสามารถตรองคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข้อได้ด้วยเหตุด้วยผล และจะเห็นว่าเป็นจริงทั้งหมด ไม่มีเหตุผลอะไรที่พระองค์จะทรงมาหลอกเรา และไม่เฉพาะพระองค์เท่านั้น ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน มีพระอรหันต์จำนวนมหาศาล
พระอรหันต์เหล่านี้บางรูปเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน บางองค์เป็นมหาเศรษฐี เป็นมหาเสนาบดี ฯลฯ ท่านเหล่านี้สละสิ่งที่ตนเคยมีทั้งหมดไปอยู่ป่าบำเพ็ญสมณธรรม แล้วยืนยันตรงกันว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเป็นเรื่องจริง แม้ปัจจุบันผู้ที่ปฏิบัติเข้าถึงธรรมได้ก็มีอยู่ และยืนยันตรงกันมาตลอด
จริง ๆ แล้วอย่าว่าแต่ชาวพุทธเลย ในอเมริกาและยุโรปก็มีการสำรวจและพบว่าคนที่เชื่อเรื่องตายแล้วไม่สูญ ชาตินี้ชาติหน้ามีจริง มีถึง 70 - 80 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ตรงข้ามกับคำสอนในศาสนาของเขา แล้วยังมีกลุ่มที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ ที่เป็นนักศึกษา นักวิทยาศาสตร์ รวมทีมกันไปเก็บข้อมูลที่ไหนมีคนระลึกชาติได้
เขาจะไปเก็บข้อมูลทุกอย่าง และมีการพิสูจน์ด้วย เช่น เด็กที่จำเรื่องราวในอดีตได้ ก็ทำการพิสูจน์ ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่ใช่การแต่งเรื่องขึ้น เพราะไม่ใช่วิสัยที่เด็กอายุขนาดนี้จะแต่งเรื่องต่าง ๆ ได้ แล้วมีกรณีอย่างนี้เป็นร้อยกรณี เขารวบรวมขึ้นมาเป็นเล่ม เป็นหลักฐานว่า ชาติก่อนมีจริง
ถ้าคนเราไม่เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า จะทำบาปได้ง่าย แต่ถ้าเชื่อแล้วจะมีสติยับยั้ง มีกำลังใจทำความดี ความเชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า จึงเป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม แต่ที่สำคัญที่สุดคือมันเป็นความจริง ไม่ใช่ความเชื่อ นี้คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายยืนยันกับเรา
ขอนำผลวิจัยของ ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน ผู้ทุ่มเทการศึกษาเรื่องการระลึกชาติเป็นเวลา 47 ปี มีcase study มากกว่า 3,000 ราย มาสนับสนุนบทความข้างต้น
ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน ผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่อง "ระลึกชาติ!"
"ชีวิตภายหลังความตาย มีอยู่จริงหรือไม่ ชีวิตสิ้นสุดที่ความตายจริงหรือ" เป็นปริศนาที่อยู่ในความสนใจของมนุษย์ทุกชาติ ทุกศาสนามาโดยตลอด นับตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ดังนั้น การศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์ความจริงในปริศนาเหล่านี้ จึงนับได้ว่า มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นความต้องการของมวลมนุษยชาติ สมควรจะได้รับการพิสูจน์ให้ได้มาซึ่งความจริง ที่ชัดเจนและถูกต้องเสียที ถึงแม้ว่า ความจริงที่ได้ จะทำให้วิถีความเชื่อและความศรัทธาทางศาสนาสั่นคลอนก็ตาม
ด้วยเหตุที่ว่า "การศึกษาวิจัยชี้ไปที่ ความมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ คนเราสามารถจำอดีตชาติได้ และเวรกรรมมีจริง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ตัวท่านเองก็เกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ ท่านไม่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน แต่เมื่อท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์
ท่านก็ไม่ได้เอาความเชื่อทางศาสนามากีดกั้นความจริงที่พิสูจน์ได้ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่า ท่านจะทราบถึงธรรมชาติที่แท้จริง เกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเราว่า ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้จริง คนเราสามารถจำอดีตชาติได้จริง และเวรกรรมมีจริง"
ความจริงก็คือความจริง ถ้าหากเราไม่เชื่อ และไม่ศรัทธาในความเป็นจริงแล้ว เราจะเชื่อถือสิ่งใดได้อีก
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ คณะศึกษาวิจัยในหลายประเทศ พบผู้จำอดีตชาติได้จากทั่วโลกแล้ว มากกว่า ๕,๐๐๐ ราย คำสอนของพระพุทธเจ้ากำลังได้รับการพิสูจน์แล้ว โดยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ศาสนาพุทธกำลังได้รับการรับรอง โดยวิทยาศาสตร์ เหมือนดังคำกล่าวของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ที่ว่า
"If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism."
หมายถึง "ถ้าจะมีศาสนาใด ที่รับมือกับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบันได้ ศาสนานั้นก็น่าจะเป็นศาสนาพุทธ"
ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน (Ian Stevenson, M.D.) นักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้” และ “การกลับชาติมาเกิด” มานานกว่า ๔๗ ปี
นสพ.วอชิงตันโพสต์ ของสหรัฐอเมริกา ได้สดุดีว่า “ท่านเป็นบุคคลที่ทำการค้นคว้าหาหลักฐาน เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้อย่างมีหลักการ ยากที่จะปฏิเสธได้”
นสพ.เทเลกราฟ ของอังกฤษ กล่าวว่า “ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการศึกษาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ในยุค ๒๐๐๐”
การศึกษาวิจัยของ ศ.นพ.เอียน ได้ดำเนินการมากว่า ๔๗ ปี ตั้งแต่ก่อนปี ๒๕๐๓ ซึ่งท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้ หรือผู้ที่สืบชาติมาเกิดใหม่ จากชาติและศาสนาต่างๆ ทั่วโลก ทั้งใน ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา และทวีปเอเชีย (รวมทั้งประเทศไทย) มากกว่า ๓,๐๐๐ ด้วยการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยเด็ก ที่จำอดีตชาติได้ จำนวนมหาศาล ถึง ๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก เชสเตอร์ คาร์ลสัน (Chester Carlson) ผู้คิดประดิษฐ์เครื่องถ่ายเอกสารให้พวกเราได้ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสืบหากรณีศึกษา สัมภาษณ์ และเก็บข้อมูลหลักฐานในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย
ผลงานการศึกษาวิจัยของศ.นพ.เอียน ได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นรายงานทางวิชาการ ในนิตยสารชั้นนำทางวิทยาศาสตร์ หนังสือ และตำรับตำราออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ ถึงปัจจุบัน มากกว่า ๒๐๐ เล่ม จนเป็นที่ยอมรับจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
แต่ผลงานการศึกษาวิจัยของท่าน เป็นการนำเสนอเรื่องราวความจริงที่ขัดกันกับคำสอน และความเชื่อทางศาสนา ฮีบรู (ยิว) คริสต์ และอิสลาม
แต่ถึงแม้ว่า ดร.เอียน สตีเวนสัน จะถูกตราหน้าจากศาสนิกชนที่นับถือ ศาสนาฮีบรู (ยิว) ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ว่า ความคิดของเขาเป็นความคิดนอกรีต (Heresy) หรือเป็นพวกนอกรีต (Heresies) ก็ตาม แต่ความจริงที่ท่านได้พิสูจน์ และยืนยันในวันนี้ จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ในวงการวิทยาศาสตร์ และจากผู้คนทั่วโลก
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ “การจำอดีตชาติได้” และ “การกลับชาติมาเกิด” ของ ศ.นพ.เอียน ท่านก็ไม่ได้โน้มเอียงไปกับความเชื่อทางศาสนา ท่านยังคงเป็นนักศึกษาค้นคว้าวิจัยที่เป็นกลาง เชื่อในความเป็นจริง และเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกตลอดไป
สุดท้าย เมื่อท่านเสียชีวิต ท่านก็คงจะได้พบความจริง และได้ประจักษ์ชัดเกี่ยวกับ ชีวิตหลังความตาย ด้วยตัวของท่านเองแล้ว ไม่ต้องท่องเที่ยวสืบหาศึกษาวิจัยกรณีศึกษาใดๆ อีกต่อไป
การศึกษาวิจัยของ ศ.นพ.เอียน สามารถบอกกับโลกว่า "ความจริงเกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย และตั้งแต่ตายจนกระทั่งเกิดใหม่นั้น อาจจะไม่เป็นไปตามความเชื่อของศาสนาต่างๆ เหล่านี้"
ด้วยเหตุที่ว่า "การศึกษาวิจัยชี้ไปที่ ความมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ คนเราสามารถจำอดีตชาติได้ และเวรกรรมมีจริง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ตัวท่านเองก็เกิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ ท่านไม่เคยมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดมาก่อน แต่เมื่อท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านก็ไม่ได้เอาความเชื่อทางศาสนามากีดกั้นความจริงที่พิสูจน์ได้ ตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพราะท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่า ท่านจะทราบถึงธรรมชาติที่แท้จริง เกี่ยวกับวงจรชีวิตของคนเราว่า ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง คนเราสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้จริง คนเราสามารถจำอดีตชาติได้จริง และเวรกรรมมีจริง"
ระลึกชาติรักษาโรค
จากการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทั่วโลกของคณะศึกษาวิจัยคณะนี้ พวกเขาได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้มากกว่า ๓,๐๐๐ ราย และพบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากหลายประเทศ หลายศาสนา และหลายความเชื่อทั่วโลก
ซึ่งพวกเขาได้นำผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางการแพทย์บ้างแล้ว เช่น ใช้ในการวิเคราะห์ และรักษาอาการทางจิตของเด็ก หรือของคนไข้ที่เป็นโรคกลัว (Phobias) เช่น กลัวน้ำ กลัวการนั่งเรือ กลัวที่จะอยู่ในที่แคบๆ เป็นต้น
ซึ่งผลจากการศึกษาวิจัยพบว่า บางกรณีเกิดจากความทรงจำที่เลวร้ายในอดีตชาติ ที่ยังฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก เช่น ในอดีตชาติเคยตกน้ำตาย หรือตายเพราะเรือล่ม เมื่อเกิดมาในชาตินี้ จึงกลัวน้ำกลัวการนั่งเรือ เป็นต้น
ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน ท่านได้ใช้ความจริงที่ได้จากการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ของท่าน ไปใช้ในการพยายามเปลี่ยนทัศนคติของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในการตรวจหาสมุฏฐานของโรค รอยตำหนิ แผลเป็น อาการความผิดปกติ และความผิดปกติพิการ ตั้งแต่กำเนิด ว่ามีบางกรณีไม่สามารถใช้สมุฏฐานเกี่ยวกับ การใช้ยาของมารดา โรคของมารดา ความผิดปกติระหว่างการตั้งครรภ์ หรือการสืบทอดทางพันธุกรรมมาอธิบายได้เพียงพอ รวมทั้งการวิเคราะห์เกี่ยวกับพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็ก ว่าบางกรณีอาจไม่ได้เป็นผลมาจากสภาวะแวดล้อมจากครอบครัวพ่อแม่ การเรียนรู้รับรู้ หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ นับตั้งแต่แรกเกิด
สำหรับในประเทศไทย เราก็มีผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มากพอสมควร แต่ยังไม่มีใครทำการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังในเชิงวิชาการ อาจเป็นเพราะไม่มีผู้สนับสนุนทุนให้ทำการศึกษาวิจัย เนื่องจากยังมองไม่เห็นประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมก็เป็นได้
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเราชอบเป็นผู้ตามมากกว่าที่จะเป็นผู้นำอยู่แล้ว เมื่อก่อนพวกฝรั่งเขาไม่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลย ไม่มีแม้แต่คำศัพท์ที่จะใช้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน
แต่ในปัจจุบันนี้ ฝรั่งเขาสนใจเรื่องนี้มาก เขามีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวของจิตที่นอกเหนือจากจิตปกติกันมานาน เช่น โทรจิต (Telepathy), สัมผัสที่หก (Six Sense), การรับรู้พิเศษ (Extra Sensory Perception), การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ (Psycho Kinetic), การกลับชาติมาเกิด(Reincanation) เป็นต้น ซึ่งอยู่ในสาขาวิชาปรจิตวิทยา (Parapsychology)
ในบ้านเรากลับตรงกันข้าม เมื่อก่อนนี้ เรามีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เพราะพวกเราส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ และเราเชื่อถือในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
แต่ในปัจจุบันนี้ เรากลับมองเรื่องเหล่านี้ว่า เป็นเรื่องงมงาย ทุกครั้งที่มีการนำเสนอถึงเรื่องเหล่านี้ ตามสื่อต่างๆ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ ก็จะได้เห็นคำว่า
...เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการชม
"ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือกับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบันได้ ศาสนานั้นก็น่าจะเป็นศาสนาพุทธ"
เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"
http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/27783
https://sites.google.com/site/thaireincarnation/Ian-Stevenson