ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คิดว่าความดีทำยากไหม( เลือกตอบแค่ ยาก กับ ไม่ยาก ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆในโลกออนไลน์ใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
หากมีคน บอกว่า เราไม่ดีเราเลว แต่ใจเรารู้ว่าไม่เป็นเช่นนั้น เราจะใช้วิธีใดจัดการกับเรื่องนี้  (โต้เถียงให้แรงกว่าที่เค้าว่ามา) หรือ (เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความดีของเราเองไม่ต้องทำอะไร):
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2016, 10:15:12 am »

บรมครูพูพู่อ่องสย้าต่อ

บรมครูพู่พู่อ่อง สุดยอดปรมาจารย์แห่งมอญพม่า

ตำนานพู่พู่อ่อง โดย ทิพยจักร



       บรมครูพู่พู่อ่อง สุดยอดปรมาจารย์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ และยังเป็นหนึ่งในครูทั้งสิบสายยาแดง ท่านสำเร็จวิชาธาตุ ๔ สามารถควบคุมธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้อย่างเด็ดขาด นับเป็นผู้วิเศษแห่งเมืองมอญ ที่พระเจ้าบุเรงนองนับถือสุดหัวใจ

      ตำนานเรื่องพู่พู่อ่องเล่าสืบต่อกันมาว่าท่านได้รับคัมภีร์วิเศษเป็นพระเวทย์วิชาอาคมที่จารึกลงบนแผ่นทอง ท่านได้ศึกษาคัมภีร์เล่มนี้ และเดินจาริกไปที่ต่าง ๆ จนสำเร็จวิชาในที่สุดเล่ากันว่าในขณะที่ท่านเดินจาริกแสวงหาความรู้นั้นท่านเคยจาริกไปถึงเมืองชมพูทวีปคืออินเดียในปัจจุบันคราวที่ท่านไปถึงเมืองอินเดียนั้นได้พบกับพระเจ้าปุดอตอนนั้นยังเป็นเจ้าชายยังมิได้ทันขึ้นครองราชย์คราวนั้นเมื่อพบกันจึงเกิดคำมั่นสัญยาว่าจะเป็นเพื่อนกันซื่อสัตย์ต่อกันตลอดชั่วชีวิต ต่อมาไม่นานพู่พู่อ่องสำเร็จซึ่งฌานสมาบัติและพระเวทย์วิเศษ สำเร็จปรอทธาตุอันวิเศษ ทำให้เป็นอมตะไม่มีวันแก่เฒ่า ไม่มีวันตาย ประกอบด้วยอิทฤทธิ์พิสดารยิ่งนัก ส่วนเจ้าชายปุดอก็ได้ขึ้นครองราชย์สมใจเป็นกษัตริย์ปุดอแห่งเมืองม่านหรือพม่านั่นเอง



        พู่พู่อ่องครั้งนึงจึงเคยเป็นเพื่อนกับกษัตริย์ปุดอ ต่อมาเมื่อพู่พู่อ่องสำเร็จเป็นผู้วิเศษ พอกษัตริย์ปุดอรู้เข้าว่าเพื่อนของตนสำเร็จเป็นผู้วิเศษสมปรารถนาแล้วก็เกิดความระแวงว่าพู่พู่อ่องจะมาชิงราชบัลลังค์ เลยประกาศจับตัวแล้วประหารโดยฝังทั้งเป็น ทหารยกกองทัพออกตามหาพู่พู่อ่องจนเจอแล้วจับมัดตัวขึ้นเรือเพื่อพากลับมายังวังของกษัตริย์ เมื่อเรือเริ่มออกจากท่าทหารก็แทบหัวใจวาย เพราะพู่พู่อ่องไปยืนยิ้มอยู่ที่ฝั่ง พวกทหารต้องกลับขึ้นฝั่งไปใหม่เพื่อจับพู่พู่อ่องอีกครั้ง คราวรี้พวกทหารวิงวินว่า ถ้าพู่พู่อ่องไม่ไปด้วยคนที่จะตายคือพวกเขาแน่นอน พู่พู่อ่องสงสารเลยบอกว่าพวกเจ้าจงกลับไปหากษัตริย์ของเจ้าเถอะเราสัญญาว่าจะให้เจ้าจับตัวส่งกษัตริย์ของเจ้าอย่างแน่นอน



            ทันทีที่ทหารพาเข้าเฝ้ากษัตริย์ปุดอ พู่พู่อ่องก็ปรากฏขึ้นในรูปของผู้โดนพันธนาการด้วยการมัด แต่เมื่อกษัตริย์ปุดอสั่งให้ไปฝังทั้งเป็น พู่พู่อ่องก็เนรมิตรตนลอยขึ้นไปกลางอากาศ อะไรก็จับไม่อยู่โซ่ตรวน เชือกมัดต่างหลุดลุ่ยออกทั้งหมด พู่พู่อ่องประกาศว่า การจะประหารเรานั้นท่านต้องลบอักขระที่ปรากฏขึ้นบนพื้นของพระราชวังให้ได้ ทันใดนั้นอักขระวิเศษก็ปรากฏขึ้นบนพื้นของพระราชวัง ทหารทุกคนต่างช่วยกันลบ แต่ยิ่งลบอักขระนั้นกลับยิ่งเพิ่ม มากขึ้น มากขึ้น จนเต็มพระราชวังไปหมด สุดท้ายก็ไม่มีใครลบอักขระวิเศษออกได้ พู่พู่อ่องกล่าวกับกษัตริย์ปุดอว่า ท่านตระบัดสัตย์ เพราะท่านเคยสัญญาว่าจะเป็นมิตรแก่เรา แต่บัดนี้ท่านกลับคำคิดสังหารเราเสีย ด้วยอคติที่โง่เขลา ด้วยความสามารถของเรานั้นสามารถทำให้ท่านปกครองโลกทั้งโลก พู่พู่อ่องกล่สวก่อนที่จะจากไป ในขณะที่กษัตริย์ปุดอสำนึกผิด ได้แต่เพียงวิงวอนว่า ขอให้พู่พู่อ่องช่วยคุ้มครองลูกหลานของท่านสืบไป จากนั้นพู่พู่อ่องก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตากษัตริย์ุดอและปวงทหารทั้งหลาย ทิ้งไว้แต่ความเสียดายที่ไม่สามารถนำผู้มีความสามารถอย่างพู่พู่อ่องมาช่วยราชการบ้านเมืองเพื่อความผาสุกยิ่งๆขึ้นไป



     จากนั้นมาพู่พู่อ่องได้กลายเป็นผู้วิเศษที่ล่องหนหายตัวไปตามสถานที่ต่างๆคอยดูว่าผู้ใดมีบุญวาสนามีใจสุจริตก็จะไปโปรดสอนวิชากรรมฐานและเล่นแร่แปรธาตุ เชื่อกันสืบมาตราบจนบัดนี้ว่าเดี๋ยวนี้พู่พู่อ่องก็ยังคงมีชีวิตสังขารเป็นอมตะ ท่านอยู่ที่เขาโปปา แต่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็นเพราะท่านอยู่อีกมิติหนึ่งเหลื่อมซ้อนอยู่ต้องได้อภิญยาตาทิพย์มองเข้าไปจึงเห็นท่านได้ ดังนั้นผู้ใดปรารถนาจะพบพู่พู่อ่องท่านว่าให้พึงเจริญพระกรรมฐานจนได้ฌาน ๔ ประกอบด้วยพรหมวิหาร และคำสัตย์มีสีลเป็นที่รักในใจท่านก็จะได้พบพู่พู่อ่องตามปรารถนาที่สำคัญคือให้อธิษฐานถึงท่านเป็นประจำ



       ท่านผู้อ่านเมื่อได้อ่านมาถึงตรงนี้อาจเข้าเค้าว่าเรื่องพู่พู่อ่องนั้นคล้ายๆกับเรื่องของหลวงปู่เทพโลกอุดรทางฝั่งไทยเรา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงและอาจเป็นไปได้ด้วยว่าในความเป็นจริงโลกของอริยะหรือผู้ทรงฌานสมาบัตินั้นท่านเหล่านี้ย่อมรู้จักซึ่งกันและกัน ในโลกทางวัตถุเราสามารถสื่อสารเชื่อมโยงกันด้วยสัญญาณดาวเทียม สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณวิทยุฉันใดก็ดีในโลกแห่งพลังจิตท่านย่อมเชื่อมโยงติดต่อกันด้วยจิตอันทรงพลานุภาพ อันว่าอำนาจจิตนั้นมีศักยภาพสูงยิ่งว่าคลื่นสัญญาณใดๆที่พวกเราใช้อยู่ในปัจจุบัน มีอานุภาพความชัดเจนความเร็วยิ่งกว่าคลื่นดาวเทียม โทรทัศน์ โทรศัพท์เป็นไหนๆ แต่ทั้งนี้ผู้ปรารถนาจะติดต่อสื่อสารด้วยอำนาจจิตพิเศษก็ต้องผ่านการฝึกฝนจนชำนาญมีสมาธิแก่กล้า จนสามารถรับคลื่นและส่งคลื่นจิตได้ตามปรารถนา
 
      พู่พู่อ่องนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สำเร็จซึ่งวิชาปรอทวิชาเลขยันต์ วิชาการทำประคำ และวิชาการทำตัวยาวิเศษ ทั้งนี้ท่านทรงฌานสมาบัติสูงสุด ทั้งมีฤทธิ์อภิญญาอย่างเยี่ยมยอด กล่าวกันว่าท่านดำรงสังขารอยู่ได้ด้วยอำนาจจากฌานสมาบัติที่ท่านทรงไว้ เรียกว่าการทรงอิทธิบาท ๔ และประกอบกับท่านสำเร็จปรอทวิเศษและตัวยาวิเศษจึงทำให้ท่านอยู่ได้ชั่วกัปล์ คำว่ากัปล์นี้ไม่ได้หมายถึงระยะเวลา ๑๒๐ ปีตามกำหนดอายุมนุษย์ทั่วไป แต่หมายถึงระยะเวลาที่ยาวนานมากๆอาจเป็นหมื่นปี แสนปี ล้านปี หรือยาวนานกว่านั้นก็ทำได้ดังใจของท่านปรารถนาทุกประการ เล่ากันว่าพู่พู่อ่องนั้นท่านอธิษฐานรอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศรีอริเมตรตรัยมาอุบัติเมื่อท่านได้ฟังธรรมจากพระศรีอาริย์แล้วท่านก็จะเข้านิพพาน ณ กาลบัดนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นดวงจิตดวงใจของท่านบรมครูพู่พู่อ่องนั้นเป็นดวงจิตที่พร้อมจะบรรลุธรรมขั้นสูงเพียงแต่ท่านอธิษฐานขอเข้าเฝ้าองค์พระศรีอาริย์ไว้เท่านั้นจึงชะลอจิตยั้งจิตไว้ยังไม่เข้าสู่มรรคผลขั้นสูงสุดและระหว่างนี้ท่านก็ทำหน้าที่โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พึงจะสงเคราะห์ได้ตามวาสนาบารมี


จาก http://www.rusi-sitta.com/article/60/ บรมครูพูพู่อ่องสย้าต่อ

มีอีก เพิ่มเติม ท่านพ่อครูโพมินข่อง บรมครูผู้อยู่เหนือสมมุติ http://aseanline.blogspot.com/2016/09/blog-post_69.html

พ่อครูโพมินข่อง  http://aseanline.blogspot.com/2014/04/blog-post_4.html

พ่อครูพู่พู่อ่องและพ่อครูโพมินข่อง สายวิชาปะฐะมะสิทธิหรือวิชาสายยาแดง http://aseanline.blogspot.com/2014/04/blog-post.html

พ่อครูโพมินข่อง สิทธาผู้สำเร็จแห่งเขาโปปา http://aseanline.blogspot.com/2014/08/2557.html
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2016, 09:54:28 am »



"ผู่ผู่อ่อง"ตำนานบรมครูผู้วิเศษแห่งเมืองมอญ ชาวพม่าให้ความเคารพเทียบ คนไทยเคารพ "หลวงปู่เทพโลกอุดร"

ผู่ผู่อ่องตำนานผู้วิเศษแห่งเมืองมอญ                        

            ถ้าในเมืองไทยรู้จักตำนานเรื่องราวของ “หลวงปู่โลกอุดร” เป็นอย่างดีแล้ว ในเมืองพม่า มอญและไทยใหญ่เขาก็มีตำนานผู้วิเศษคล้ายๆกับเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดรในบ้าน เราเหมือนกัน แต่ทางเขาคือ “ผู่ผู่อ่อง” บุคคลท่านนี้เป็นผู้วิเศษที่มีชีวิตเป็นอมตะ เหาะเหิรเดินอากาศได้ ปรากฏตัวมาหลายยุคหลายสมัย  ผู่ผู่อ่องเป็นบุคคลที่บุเรงนองนับถือมาก ครั้งหนึ่งผุ่ผู่อ่องแสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปบนยอดเจดีย์ชะเวดากอง จารอักขระยันต์ “สะตะปะวะ” เอาไว้กันภัยพิบัติทั้งปวง



              ตามประวัติเล่าไว้ว่าผู่ผู่อ่อง ออกปฏิบัติบำเพ็ญพรตคราวแรกบรรพชาเป็นพระภิกษุ ต่อมาเห็นว่ามีข้อศีลสิกขามากทำให้เกิดความกังวลจึงลาสิกขาออกมา แล้วออกบวชเป็นผ้าขาว บำเพ็ญตนเป็นนักพรตฝ่ายฤๅษีชีไพร ธุดงค์รอนแรมไปเรื่อยจนพบ “ยอดเขาโป๊ปป้า” ภูเขา เขานี้อยู่ระหว่างเส้นทางจาก “พุกาม” จะไป “มันฑะเลย์” จะมียอดภูเขาไฟอยู่ยอดหนึ่ง เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับทำพวกพรรค์นี้มาก

              “ภูเขาโป๊ปป้า” เขาแห่งนี้เป็นภูเขาไฟเก่ามาก่อน เมื่อผู่ผู่อ่องเห็นชัยภูมิดีเป็นที่สัปปายะจึงใช้เป็นที่บำเพ็ญพรตพร้อมๆ กับใช้เป็นสถานที่ศึกษาเรื่องปรอทสำเร็จ ผู่ผู่อ่องร่ำเรียนทางไตรเพทย์วิทยามาเจนจบ ศึกษาเรื่องว่านยาและกายสิทธิ์จนล่วงรู้ความเร้นลับของธรรมชาติอย่างเหล็กไหลและปรอทเป็นอย่างดี จึงทดลองดักปรอทหมอกจากยอดเขาแล้วนำมาฆ่าด้วยว่านยาอันมีฤทธิ์ จากนั้นหุงด้วยวิทยาอาคมผสมผสานพลังจิตขั้นฌานชั้นสูง ผลออกมาก็ได้ปรอทวิเศษ เมื่ออมแล้วสามารถเหาะลอยไปยังสถานที่ใดก็ได้ การสำเร็จปรอทนั้นผู่ผู่อ่องคงบรรลุธรรมไปพร้อมๆ กัน คือสำเร็จซึ่งสมาบัติสูงสุด ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู่ผู่อ่องกลายเป็น “นักสิทธิวิทยา” ผู้มีชีวิตเป็นอมตะ ตามตำรานั้นกล่าวว่ามีอายุได้ยาวนานนับล้านปีหรือเป็นเวลา ๑ กัปล์ 




   ผู่ผู่อ่องสำเร็จปรอทจนถึงขั้นสูงสุดสำเร็จเป็นแก้วจักรพรรดิ์เรียกว่า “สำเร็จปรอท” พวกที่สำเร็จปรอทนี้พอถึงทำเป็นแก้วแล้ว เรื่องทำทองเป็นเรื่องเล็ก เขาก็จะทำแผ่นทองจารึกชื่อตัวเอง พร้อมกับวันเดือนปีที่สำเร็จปรอท แล้วก็เอาไปถวายบูชาตามเจดีย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ “เจดีย์ชะเวดากอง” ถ้าอยากดูก็ต้องปีนขึ้นไปดู ที่เมืองไทยมีอยู่ องค์หนึ่ง แต่ว่าท่านอยู่ในป่า สำเร็จปรอทแล้วท่านก็อมเอาไว้ เวลาธาตุปรอทมันเรืองแสงออกมา จะเห็นแก้มด้านที่อมปรอทสำเร็จไว้เป็นสีแดงๆ ก็เลยเรียกท่านว่า “หลวงพ่อแก้มแดง” เหลือเชื่อไหมว่าธาตุอย่างหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นอีกอย่างได้

ในปัจจุบันครูเวทย์หมอธรรมของทางกระเหรี่ยง ไทยใหญ่ พม่าและมอญ ต่างยังคงนับถือผู่ผู่อ่อง เชื่อกันว่าท่านยังคงดำรงสังขารธรรมของท่าน คอยสอดส่องด้วยอำนาจหูทิพย์ ตาทิพย์ ดูว่าใครเหมาะสมที่จะรับเป็นศิษย์ เมื่อพบแล้วก็จะมาโปรดแบบเดียวกันกับเรื่องหลวงปู่โลกอุดรในไทยเรา

จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/206909/






        เรื่องราวของพ่อครูโพมินข่องเป็นที่นับถือในหมู่ชาวไทยใหญ่ พม่าและมอญ และนับเอาดพครูโพมินข่องเป็นหนึ่งในสิบของพ่อครูทั้ง ๑๐ แห่งสายวิชายาแดงอีกด้วย

          รายนามพ่อครูทั้ง ๑๐ นั้นมีดังนี้คือ ๑ พ่อครูพู่พู่อ่อง ๒ พ่อครูโพมินข่อง ๓ พ่อครูบูดออี ๔ พ่อครูบูดอบิวหรือสะยาปิ๋ว ๕ พ่อครูบูดอป๋วย ๖ พ่อครูอุเมี๊ยะขิ่น ๗ พ่อครูสัจจะยามิน ๘ พระมหาโอสถวิชา ๙ เส่วิชา ๑๐ ต่อวิชา 

         ทั้ง ๑๐ ท่านนับเป็นยอดบรมครูแห่งการสักสายยาแดง รวมไปถึงวิชาการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อสำเร็จความเป็นอมตะ ธรรมของพ่อครุทั้ง ๑ๆ นั้นล้ำลึกพิสดาร สมบูรณ์ด้วยธรรมและอิทธิฤทธิ์ พลังเหนือโลก ที่สามัญชนคนธรรมดายากจะเข้าถึง ตามคติความเชื่อนั้นแม้ผู้ใดมีบารมีของพ่อครูท่านใดเพียงท่านเดียวสถิตย์อยู่กับตัว ด้วยลายสักยันต์ยาแดงก็ดี หรือด้วยคาถาที่ท่องจำไว้ในใจก็ดีหรือเพียงระลึกถึงท่านด้วยใจเคารพศรัทธาอันมั่นคงก็ดี คนผู้นั้นไม่มีโดนทำร้ายด้วยคุณไสย คุณคน หรือแม้แต่พิษร้าย สัตว์ร้ายต่างๆก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้ 

        พ่อครูโพมินข่อง คือหนึ่งในผู้บรรลุอภิญญาฤทธิ์แห่งเมืองพุกาม มีผู้คนบูชาท่านมากมาย ขนาดที่เขาโปปาอันเป็นสิงสถิตของมังมหาคีรีนัต ยังได้จัดห้องของท่าน จำลองที่อยู่ของท่านไว้บนเขาโปปา เพื่อให้คนได้มีโอกาสไปสักการะ ไประลึกถึงอยู่เป็นประจำ

           รูปของพ่อครูโพมินข่อง มักเห็นในรูปของครูที่ปล่อยผมสยาย นั่งไขว้เท้าในท่าขัดสมาธิ และที่เป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งคือท่านมักถือถ้วยน้ำชาในท่ากำลังจิบอยู่เสมอ 

         ในบรรดาครูทั้ง ๑๐ นั้นเป็นที่เชื่อกันว่า มีอย่างน้อย ๒ ท่านที่มีชีวิตเป็นอมตะ คือพ่อครูพู่พู่อ่อง และพ่อครูโพมินข่อง กล่าวกันว่าพ่อครูพู่พู่อ่อง ท่านใช้วิธีฝึกวิชาไปตามขั้นจนสำเร็จ ส่วนพ่อครูโพมินข่องใช้เคล็ดฝึกวิชาย้อนกลับ หมายความว่าพ่อครูพู่พู่อ่องนั้นฝึกตามลำดับจากขั้นวิชา ๑ ๒ ๓ ๔ ไปจนสำเร็จขั้นสูงสุด ส่วนพ่อครโพมินข่องนั้นเมื่อเรียนวิชาท่านเริ่มจากวิชาที่ยากที่สุดก่อนและไล่ไปจนถึงวิชาขั้นพื้นฐาน ทั้งสองท่านสำเร็จแล้วอธิษฐานรักษาคุ้มครองพระพุทธศาสนา มีชีวิตยืนยาวเป็นกัปล์ รอรับเสด็จพระศรีอาริยะเมตรตรัย เมื่อฟังธรรมจากพระองค์จิตก็จะบรรลุสู่นิพพานธรรมและดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในทันที การสำเร็จวิชาของท่านพู่พู่อ่องและโพมินข่องนั้น คือสำเร็จทั้งด้านสมาธิจิต คือการเข้าฌานสมาบัติ กสิณ การเพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ จนเข้าอรูปฌานได้ การสำเร็จพระเวทย์คือการท่องมนตราและการตั้งพิธี การสำเร็จวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ทั้งปรอทสำเร็จและเหล็กไหลวิเศษ รวมทั้งการปรุงยาอมตะจากสมุนไพรที่หาได้จากเขาโปปา ด้วยความสามารถความสำเร็จทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเป็นคุณวิเศษเหนือโลก ที่ทำให้ท่านทั้งสองสมบูรณ์ด้วยฤทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใดในปฐพี


     ทุกวันนี้ยังเชื่อกันว่า ทั้งพู่พู่อ่องและโพมินข่องบรมครูผู้วิเศษศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนั้นยังคงดำรงสังขารอยู่ ผู้ที่ระลึกถึงนามท่านจะได้รับพรอันวิเศษ ผู้ที่ภาวนาถึงท่านจะได้รับความเมตตา และทุกวันนี้ชาวพม่ายังเชื่อกันว่าท่านทั้งสองยังสถิตย์อยู่ในเขาโปปา ในส่วนของแดนทิพย์อันเป็นภพภูมิที่เหลื่อมซ้อนกับตัวเขาอย่างลี้ลับ คนธรรมดามองไปจะเห็นเพียงแท่งหินทึบ แต่ผู้บรรลุจตุถฌานหรือได้ฌาน ๔ จะสามารถเห็นถ้ำลี้ลับซ้อนอยู่ภายใน อันเป็นที่สถิตย์ของเหล่าบรมครูทั้งหลายผู้เป็นอมตะ

จาก http://www.suriyanchantra.net/product/8/