ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
ถ้าเราโกรธใคร ธรรมะจะเป็นหนทางผ่อนคลายความโกรธนั้นลงได้ใช่ไหม ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม ):
ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเหรียญสองด้านใช่หรือไม่ครับบางครั้งก็หัวบางครั้งก็ก้อย( เลือกตอบแค่ ใช่ กับไม่ใช่ครับผม):
คุณเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
เว็บใต้ร่มธรรมเป็นเว็บเล็กๆแนวธรรมะในจิตใช่หรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ความดีนำทาง:
การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ นิยมใช้คำว่า (อนุโมทนา) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ อนุโมทนา:
เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้น (สาธุ) กรุณาพิมพ์คำนี้ครับ  สาธุ:
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
ใต้ร่มธรรม เป็น แค่เว็บไซต์และจินตนาการทางจิต การทำดี สำคัญที่ใจเรา เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ พิมพ์คำว่า "เริ่มความดีที่ใจเราก่อนเสมอ":
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใต้ร่มธรรมเองก็จะเป็นไปตามวัฐจักรนี้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น (เป็นจริง) หรือ (ไม่จริง):
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
สำนวนไทยที่ว่า แต่ละคนต่างมีรสนิยมแตกต่างกัน หรือไม่ตรงกัน  พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ลางเนื้อชอบลางยา):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):
ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร พิมพ์เป็นประโยคภาษาอังกฤษครับ เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมดนะครับ เว้นวรรคคำด้วยครับ (He who has never tasted bitterness does not know what is sweet):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: บัวผ่อง
« เมื่อ: ตุลาคม 29, 2016, 10:00:21 pm »

อืม...พออ่านความเห็น ที่เหล่านักปฏิบัติชาวพุทธ พล่ามแล้ว
หญิงเดียรถีย์อย่างเรา นึกถึง  รูป ปิรามิดของการโต้แย้ง อันนี้นะ


Ad Hominem  &  Responding to Tone ?





คือปกติ เวลาสนทนาธรรมตามกาล ตามหลัก มงคล 38  นี่
เวลา มีใคร กระทู้ถาม สนทนาโต้แย้งกัน
มานี มักจะ ใช้ ปิรามิด ดังกล่าว มาวิเคราะถึง รากเหง้าสันด่าน ที่เป็น อนุสัย ของ คน ๆ นั้นนะ
ว่าเขาเป็น วิญญูชน หรือเป็น อวิญญูชน


เฮ้ออ...เอาเป็นว่าจาก คำตอบในโพส ที่ อ่าน ๆ มา
ทำให้หญิงเดียรถีย์คนนี้สงสัยเหลือเกินเจ้าค่ะ ว่า


1.ตกลง พวกคนพุทธอย่างคุณ นี่ รู้จักที่ใช้สามัญสำนึกเฉกเช่น วิญญูชนพึงมี มาวิเคราะห์ แยกแยะ ได้หรือไม่
ว่า อะไร หรือ สัมมา ฯ อะไร คือ มิจจฉา ฯ ตามแนวทาง สัมมัปปทาน 4 ?
หรือว่า พวกคนพุทธอย่างคุณ ขาดแคลน Secular morality ( คุณธรรมโลกวิสัย ) เสียจนใช้สติปัญญา ของตน แยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่ได้




2.นักปฏิบัติ อย่างพวกคุณนี่ เคย ทวนศีลทวนจิต
ตามแนวทาง สัมมัปปทาน 4 เพื่อให้รู้เท่าทัน อนุสัยในด้านมืดของตนบ้างหรือไม่ ?
จากกรณีศึกษา ในกระทู้ ที่ เราเอามาเปิดประเด็นสนทนา เป็น ธรรมวิจัยยะ นั้น
มันก้อแค่แบบทดสอบภายใต้ สถานการณ์สมมุติ เพื่อ ใช้พิจารณา ตน
ให้ตะหนัก ถึงแรงขับเคลื่อน แห่งพฤติ ก้อเท่านั้น เอง ว่าเมื่อ มี factor แบบนี้เข้ามาในชีวิต


อาทิเช่น การได้รับค่านิตยภัต , การออกไปชุมนุมปิด สนามบิน  เราจะตอบสนองต่อ สถานการณ์นั้น ๆ อย่างไร
และ อะไร คือ แรงขับเคลื่อน แห่งพฤติ เหล่านั้น  เราแยกแยะได้ไหม ว่า สิ่งที่ได้กระทำ มันเป็นสัมมาหรือไม่
ซึ่งถ้า แยกแยะไม่ได้ มันก็น่าสงสัย นะ ว่า ศาสดาของพวกคุณได้เคยสั่งสอนเรื่องนี้กันไว้บ้างหรือเปล่า ?
พวกคุณ ถึงได้ ขาดหลักการและ บรรทัดฐาน ในการ แยกแยะว่าอะไร คือ กุศล และ อกุศล
แถมยัง ขาดความซื่อสัตย์ต่อ กิเลสตัณหา และ อัตตาตัวเอง เช่นนี้




มันยากตรงไหน ที่จะตอบว่า การกระทำที่ยกมาถามในกระทู้ ตามข้อ 1 ,2 นั้น
แบบไหนทำแล้ว เป็น กุศล แบบไหน ทำแล้วเป็น อกุศล ? ตามหลักสัมมัปปทาน 4
เมื่ออยู่ใน สถานการณ์นั้น ๆ  คือ


1.ถ้า มานีเป็นพระ มานีตั้งใจจะ สละสิทธิ ไม่รับ ค่านิตยภัต
เพราะเห็นว่า การรับเงิน ที่ เจ้าของภาษี( ที่อยู่ ต้นทาง ) เขาไม่เต็มใจจะให้เรา นั้น มันไม่สมควรกระทำ
หาก สิ่งที่ มานี ตั้งใจกระทำนี้ มิใช่ ทางแห่งสัมมา มิใช่ กุศลกรรม
พวกคุณก็ แย้งมาสิ ว่า สิ่งที่มานีกระทำ เป็น อกุศล เพราะ เหตุผล 1-2-3-4
สิ่งที่สมควรกระทำ และเป็น กุศล คือ มานีควรใช้สิทธิที่มีอย่างคราบในการรับค่านิตยภัต
จงอย่าได้ไปแคร์ แม้ เจ้าของเงินภาษี( ที่อยู่ ต้นทาง ) เขาจะไม่เต็มใจจะให้เงินเรา




2.มานีตั้งใจว่า ถ้ามานี มีส่วนร่วมไปชุมนุมปิดสนามบิน กับ โกตั๊บ
จนทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องตกเครื่องบินโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ 
มานีก้อตั้งใจจะสำนึกผิด และ ขอโทษเขา
พร้อมกับ แสดงความรับผิดชอบ โดยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนค่าเสียหายให้
ด้วยการ บริจาคเงินตาม สัดส่วนของความเสียหายที่มีการประเมินออกมา


หาก สิ่งที่ มานี ตั้งใจกระทำนี้ มิใช่ ทางแห่งสัมมา มิใช่ กุศลกรรม
พวกคุณก็ แย้งมาสิ ว่า สิ่งที่มานีกระทำ เป็น อกุศล เพราะ เหตุผล 1-2-3-4
สิ่งที่สมควรกระทำ และเป็น กุศล คือ มานีควรทำไม่รู้ไม่ชี้ กับ เวรกรรมที่เคยไปละเมิดสิทธิผู้อื่น
ไม่จำเป็นต้องสำนึกผิด หรือ แสดงความรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ให้เปลืองเงิน
ถือซะว่า เป็นวิบากกรรม ของชาวบ้านเมื่อ ชาติปางก่อน คนพวกนั้นเลยตก เครื่องบิน






อนึ่งจะสนทนาธรรมตามกาลกัน ทั้งที ก้อช่วยตอบคำถาม ในสไตล์ ยอดปิรามิด มั่งก้อดีนะ
โพส ตอบมาแต่แบบ ที่เป็น ส่วนฐานของปิรามิดเนี่ย พวกคนพุทธอย่างคุณ จะกลายเป็นตัวตลก ให้คนต่างศรัทธา ขบขันเอาได้ ในความไร้เดียงสา ของพวกคุณ




เฮ้ออ ด๊อกฯ สม สุจิรา  หมอฟัน ที่ผันตัวเองไปเรียนจิตวิทยา ป.โท เคยเขียนไว้ ว่า




อ้างถึง




" การตอบสนองของมนุษย์แต่ละคน ต่อ ผัสสะ(สิ่งเร้า)ที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน
การตอบสนองที่ต่างกัน นี่เองที่ทำให้ มนุษย์แต่ละคน มีวิถีแห่งชีวิตที่แตกต่างกัน
ทุกคนมีชีวิตอยู่ในธรรมชาติเดียวกัน  แต่วิธีการตอบสนองของมนุษย์แต่ละคนที่มีต่อธรรมชาติต่างหาก คือ ลิขิตแห่งชีวิต "






พวกคุณก้อเลือก ลิขิตแห่งชีวิต เอาเองตาม อนุสัย แล ขันธสันดาน ของพวกคุณก้อแระกัน





ข้อความโดย: บัวผ่อง
« เมื่อ: ตุลาคม 29, 2016, 09:58:18 pm »

จาก กรณีศึกษา เรื่องการรับค่านิตยภัตของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ !


หากว่า คุณเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่  แล้ว เข้าเกณฑ์ ได้รับค่านิตยภัต จากรัฐบาล
แล้ว มาทราบในภายหลังว่า มีประชาชนเจ้าของเงินภาษีบางคน เขาไม่เต็มใจจะให้เงินค่านิตยภัต กับ คุณ ซึ่งอยู่คนละศาสนากับเขา


 อนึ่ง ถ้าใช้ หลัก สัมมัปปทาน 4 มาพิจารณา การกระทำ ในอดีต แล้ว


1. คุณคิดว่า การรับสินทรัพย์อย่าง ค่านิตยภัต 
ทั้งๆที่รู้ว่า เจ้าของทรัพย(์ที่อยู่ต้นทาง) เขาไม่เต็มใจจะให้ นั้น
 มัน  จัดเป็น สัมมาฯ หรือไม่ เพราะอะไร ?


2.และคุณคิดว่า เมื่อคุณ ทราบแล้ว ว่า ค่านิตยภัต ที่คุณเคยรับๆไว้ในกาลก่อนนั้น
เจ้าของทรัพย(์ที่อยู่ต้นทาง) เขาไม่เต็มใจจะให้


 ในตอนนี้คุณจะแสดงความรับผิดชอบต่อกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีต อย่างไรบ้าง ?


______


อันนี้ คำตอบจาก ญิ๋งเดียรถีย์ อย่างเราอ่ะ


1. คุณคิดว่า การรับสินทรัพย์อย่าง ค่านิตยภัต  ทั้งๆที่รู้ว่าเจ้าของทรัพย(์ที่อยู่ต้นทาง) เขาไม่เต็มใจจะให้ นั้น
 มัน  จัดเป็น สัมมาฯ หรือไม่ เพราะอะไร ?


ตอบ ไม่จัดเป็น สัมมา แต่จัดเป็น มิจฉา
เหตุเพราะ การครอบครองและหาประโยชน์จากทรัพย์ ที่มีที่มาที่ไปไม่บริสุทธิ์
เช่น เป็นทรัพย์ ที่เจ้าของทรัพย์( ที่อยู่ต้นทาง ) เขาไม่เต็มใจจะให้นั้น
มันก้อคือ การไปละเมิดสิทธในทรัพย์สินโดยชอบธรรมของผู้อื่น จัดเป็นการก้าวล่วงศีลข้อ 2 (อทินนาทานา ฯ ) ดีๆนี่เอง
ยิ่งถ้าครองสมณะเพศ แล้วรับค่านิตยภัตที่มีเงินเกิน 5 มาสก จากคนที่เขาไม่เต็มใจจะให้ พระรูปนั้นย่อมต้อง อาบัติปราชิกแน่นอน




2.และคุณคิดว่า เมื่อคุณ ทราบแล้ว ว่า ค่านิตยภัต ที่คุณเคยรับๆไว้ในกาลก่อนนั้น
เจ้าของทรัพย(์ที่อยู่ต้นทาง) เขาไม่เต็มใจจะให้


 ในตอนนี้คุณจะแสดงความรับผิดชอบต่อกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีต อย่างไรบ้าง ?


ตอบ เราจะเอ่ยปากขอโทษ และ แสดงความสำนึกผิด ที่เรามักง่ายคิดจะเอาแต่ได้โดยไมใช้สติปัญญา มา่โยนิโสให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อนที่จะรับเงินค่านิตยภัต


อนึ่งเราจะกลับไปนั่งทบทวนดูว่า ที่ผ่านมา เรารู้เท่าไม่ถึงกาล รับประเคนเงินค่านิตยภัตที่ชาวบ้านไม่เต็มใจจะให้ไปเท่าไร และนานแค่ไหนแล้ว
จากนั้นเราจะแสดงความรับผิดชอบต่อความระยัมของตน ด้วยการสึกไปทำงานประกอบสัมมาอาชีวะ เพื่อหาเงินมาชดใช้คืนให้เขา ทั้งต้นทั้งดอก


หรือถ้า เราหาทางคืนเงิน ให้เจ้าของทรัพย์นั้นไม่ได้จริงๆเพราะมีหลายคนมาก
เราก้อจะเอาเงินทั้งต้นทั้งดอก ที่ตั้งใจจะคืน นั้น ไปบริจาคเป็นสาธาณกุศล
โดยไม่เก็บเข้าพกเข้าห่อ เพื่อเอาไว้ยังประโยชน์สนองความต้องการของตัวเอง


และที่สำคัญ เมื่อเรารู้แล้วว่า เงินค่านิตยภัต เป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์
 อันเกิดจาก เจ้าของทรัพย์บางคน เขาไม่เต็มใจจะยกมาประเคนให้เรา
ต่อไป เราก้อจะ งดรับเงินค่านิตยภัตโดยเด็ดขาด !




เฮ้อออออออ...อันนี้เราก้อตอบเรื่อยเปื่อยไปตามระดับสติปัญญา
เฉกเช่นหญิงเดียรถีย์ผู้มีภูมิศีลต่ำ ภูมิธรรมด้อย ภูมิรู้น้อย อ่ะนะ
ไงก้อวาน บรรดาผู้ที่มีวาสนาได้เกิดเป็นคนพุทธ ช่วยชี้แนะ หน่อยแระกัน




















////////////////////////____////////




กระทู้สนทนา ว่าด้วยเรื่อง สัมมัปปทาน 4 จาก กรณีศึกษา เรื่องการก่อม็อบปิดสนามบิน !


หากว่าเมื่อหลายปีก่อน นักปฏิบัติ อย่างคุณ เคยไปร่วมปิดสนามบินกับแกนนำพันธมิตร …
ณ ตอนนี้ ถ้าใช้ หลัก สัมมัปปทาน 4 มาพิจารณา การกระทำ ในอดีต แล้ว


1. คุณคิดว่า การไปร่วมปิดสนามบินในอดีตของคุณ จัดเป็น สัมมาฯ หรือไม่ เพราะอะไร ?


2.และคุณคิดว่าในตอนนี้คุณจะแสดงความรับผิดชอบต่อกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีต อย่างไรบ้าง ?




______________


อันนี้ คำตอบจาก ญิ๋งเดียรถีย์ อย่างเราอ่ะ


1. คุณคิดว่า การไปร่วมปิดสนามบินในอดีตของคุณ จัดเป็น สัมมาฯ หรือไม่ เพราะอะไร ?


ตอบ ไม่จัดเป็นสัมมา ฯ แตจัด่เป็น มิจฉา ฯ
เหตุเพราะ เป็นการดึงดันจะเอาแต่สนองความต้องการของตัวเองเป็นหลัก
โดยไม่สนใจว่า การกระทำของตนนั้นได้ไปละเมิดสิทธิโดยชอบธรรม ในการใช้สนามบิน ของชาวบ้านมากน้อยแค่ไหน และตนนั้น ได้ทำให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหนอีกกี่ชีวิต่ต้องเดือดร้อนตกเครื่องบิน








2.และคุณคิดว่าในตอนนี้คุณจะแสดงความรับผิดชอบต่อกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีต อย่างไรบ้าง ?


ตอบ อันนี้เคยเขียนเปี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เมื่อ ไม่นานมานี้
_______________________________________
_______________________________________

อืม...รู้ป่ะ ? หากป้า เคยหน้ามืดไปร่วมทำสังฆกรรม
ด้วยการไปปิดสนามบิน กะพวกโกตั๊บ อ่ะนะ
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา ป้าจะทำยังไง ?


ไม่ว่า ศาลจะตัดสินคดี โกตั๊บปิดสนามบิน เช่นไร หลุดหรือไม่
ป้าก้อจะแสดงความรับผิดชอบ ในส่วนที่เป็นความระยัมของตัวเอง
ด้วยการออกมาขอโทษชาวบ้านที่ต้องเดือดร้อนลำบากเพราะป้าไปปิดสนามบิน
และป้าจะบริจาคเงินเพื่อเป็นสาธารณกุศล เท่าจำนวนความเสียหายที่ป้ามีส่วนสร้างไว้กับชาวบ้านที่ต้องตกเครื่องบินว่ะ


เช่น ถ้าความเสียหายนั้น มันประเมินอยู่ที่ แสนล้านบาท
มีคนไปปิดหนามบิน อยู่ แสนคน
และ ป้าเป็นหนึ่งในแสนคนที่่ร่วมสร้างความระยำในครั้งนั้น
ป้าก้อจะทะยอยบริจาคเงินเพื่อชดใช้ให้เจ้ากรรมนาย
จนกว่าจะครบหนึ่งล้านบาทตามสัดส่วนที่ป้าสมควรจะต้องชดใช้ว่ะ
อืม...ไม่ดิ ถ้ารวมดอกเบี้ยด้วย ป้าควรจะชดใช้คืนมากกว่า หนึ่งล้านด้วยซ้ำมั้ง




และที่ป้าทำเนี่ย ก้อไม่ได้คาดหวังจะให้ เจ้ากรรมนายเวรที่ป้าไปทำให้ตกเครื่องบิน เขามาอโหสิกรรม ให้ป้าหรอกนะ
เพียงแต่ป้าคิดว่า เมื่อเราเคยทำระยัม5 อะไรเอาไว้แล้ว
 การสำนึกผิด และ การแสดงความรับผิดชอบ
เพื่อชดใช้ให้ชาวบ้าน ต่อความระยำนั้น ๆ มันเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ ว่ะ


เฮ้อ......ป้าก้อแค่ บ่นเรื่อยเปื่อย เพื่อเล่าสู่กันฟัง เฉย ๆ อ่ะนะ
ว่า มุมมองแลความคิดของป้า ต่อสรรพสิ่ง มันเป็นเช่นไร
ส่วนใคร อ่านแล้วจะได้ สาระ5อะรัย กลับไปบ้าง
อันนีัก้อช่างแมงมัน...เพราะป้าเข้าใจว่ะ...ว่า…


 ระดับ สติปัญญา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แล วาสนา ของคนเรานั้น... มันไม่เท่ากัน….






_______________________________________
_______________________________________


เฮ้อออออออ...อันนี้เราก้อตอบเรื่อยเปื่อยไปตามระดับสติปัญญา
เฉกเช่นหญิงเดียรถีย์ผู้มีภูมิศีลต่ำ ภูมิธรรมด้อย ภูมิรู้น้อย อ่ะนะ
ไงก้อวาน บรรดาผู้ที่มีวาสนาได้เกิดเป็นคนพุทธ ช่วยชี้แนะ หน่อยแระกัน
ข้อความโดย: บัวผ่อง
« เมื่อ: ตุลาคม 09, 2016, 10:01:36 pm »







เงินทอง ยกให้ พระศาสนา โลก สังคม น่ายกย่อง พระจิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม ประโยชน์สาธารณะ  ตัวอย่าง

 ทึ่ง! พระขายขนมปัง “รสพระทำ” นำเงินไปสร้างทั้งศาลา-เตาเผาผี เมรุไร้มลพิษ http://www.tairomdham.net/index.php/topic,12216.0.html

 ข้าวแกงรสพระธรรม หลวงพี่ช้าง พระนักพัฒนา แห่งพรหมพิราม http://www.tairomdham.net/index.php?topic=11592.0


ตอนแรกว่าจา ถก เรื่องนี้ ด้วยตั้งนานแระ
แต่สันยานเนตที่แฟลตเดี้ยง ติดๆดับๆ สามวันดี สี่วันไข้
เรยเพิ่งได้ฤกษ์  ถก ตอนนี้ อ่ะนะ

อ้อ ป้า ขอ นุยาด ถก ในนี้แระกันนะ ไอ้หลานลูกมด
ตอนแรกว่าจา ถก ในมู้ต้นทาง ช่วยเอ็งปั่นเรทติ้ง เหมือนกันนะ
แต่ไอ้ป้ามัน พวก เรียลลิสติก แอคชั่น แอนด์ ทริลเลอร์ ซะด้วยอ่ะดิ
ขืนไปโพสในมู้นู้น คง ได้ พล่าม ดับฝัน อิพวกโรแมนติก ดราม่า ซะกระจุย แน่ๆเรยว่ะ สงสารพวกมัน



อืม...น่าขำ  ...เห็นเรื่องหนมปังรสพระทำ ที่เอ็งเอามาอวดแล้ว
แทนทีป้าจะซาบซึ้งกับฟามเสียสละ ช่วยเหลือชาวบ้านของหลงพี่
ป้ากับรู้สึกต่างออกไปว่ะ่


เฮ้อ...ไม่รู้สินะ เห็น หนมปังรสพระทำ แล้ว ป้านึกถึง …
หลงเจ๊เจริญพวง กะเรื่องนี้ว่ะ



แหม? ก้อไม่ลู้เหมือนกันนะ ว่า …
ไอ้หนมปังรสพระทำ เนี่ย ทั้งปลา ทั้งคน ถ้าได้กืนแล้วนี่...
มันจา อาหย่อย จน ลืมกลับวัด ไหม ?


แต่ที่แน่ๆอ่ะนะ หญิงเดียรถีย์อย่างป้า ก้อพอจะรู้อ่ะนะ ว่า
5 อะรัย คือ กิจของสงฆ์  แล้ว 5 อะรัย คือ กิจของ ฆราวาส  ตามหลัก ทิศ 6
แน่นอน ป้าค่อนข้างชัวร์ ว่า การทำหนมปังขาย นี่...
น่าจะเป็นกิจของฆราวาสอย่าง อาสุมะ คาสุมะ
 มากกว่า หลงพี่ช้างนะ




ถึงแม้ จะมีคนพยามพรีเซ้นท์ บอกว่า…
เฮ้ย เมิงจะเถรตรง อนุรักษ์นิยม 5 อะรัยกันนักกันหนา
พระนั่น มันก้อทำโดยที่ไม่ได้กะจะเอากำรี้กำไร เข้าพกเข้าห่อซะหน่อยนี่หว่า
เงินทองที่ได้มาทุกบาททุกสตางค์ก้อเอาไปถวายหั้ยพุทธศาสนาทั้งนั้น บลาๆ

นั่นก้อจริงอ่ะนะ แต่เอ็ง เคยได้ยิน คำพังเพยนี้ป่ะ ?

อัฐยาย ซื้อขนมยาย อ่ะนะ


กิจของสมณะ คือ การปฏิบัติ เพื่อ ละ รัก โลภ โกรธ หลง
แต่ ในสายตาป้า ไอ้พระอ้วนนั่นมัน ช่างอ่อนหัด
และถ้า ใส่บาตรให้ก้อ เสียข้าวสุกเปล่าๆ ปลี้ว่ะ


แม่รง….บวชเรียน ปฏิบัติมาตั้งนานนม
แต่กลับ ละ 5 อะไร ไม่ได้เลยอ่ะ
ถึงจะดูคล้ายๆ จะน่าชื่นชม ที่ไม่เอาเงินทองเข้าตัว
กำไร 5  อะรัย ถวายหั้ยพุทธศาสนา โม๊ดดดดดดด
แต่ ป้าว่า ...ไอ้อ้วนนั่นมันก้อแค่่เปลี่ยนไปหั้ยความสำคัญกับ “ของกู” มากกว่า ตัวกู ก้อเท่านั้น แหล่ะ


นี่ป้าอ่านเรื่องของไอ้อ้วนนี่แล้ว ป้ายังสงสัย ตะหงิด ๆ เลยว่า…
 ทำไมอิพวกคนพุด มันถึง ปลาบปลื้ม จังว้าาาา กะเคสไอ้อ้วนนี่
ป้าว่า นะ ถ้าไอ้อ่วนนั่นมันทำหนมปังขาย เพื่อเอาเงินไปช่วยเด็กด้อยโอกาส
หรือไปช่วยสร้างมัสยิต ป้ายังจะรู้สึกว่า มันยังดูน่าูเลื่อมใสกว่าเอาไปช่วยศาสนาตัวเองว่ะ

ทำไม ต้องเอาเงินไปช่วย แต่ เรื่องของพวกพ้องตัวเองวะ
ไอ้อ้วนนั่น มันเรียงลำดับความสำคัญ ของสิ่งที่่ควรช่วยเหลือ อย่างเร่งด่วน
โดย พิจารณา จาก 5 อะไร เป็นเหตุผลหลัก กัน แน่?
เรื่องนี้มันก้อคล้ายๆกับกระทู้ทีป้าถามว่า คนเป็นหมอควรเลือกช่วยคนไข้คนไหนก่อนนั่นแหล่ะ่


การใช้เงินสร้างศาลาวัด เพื่อให้ พวกคนพุดได้นั่งฟังธรรมแบบชิลๆ มันดูจำเป็นเร่งด่วน และ สำคัญกว่า การบริจาคเงินให้ยูนิเซฟเอาไปช่วยเด็กยากไร้ชาวมุสลิมในเอธิโอเปีย ที่ตรงไหน?


และที่สำคัญ หน้าที่หลัก ของพระ คือ การปฏิบัติ
ส่วนหน้าที่ในการทำนุบำรุงศาสนสถาน
มันหน้าที่ของ ฆราวาส แล โยมอุปฐาก ไม่ใชหน้าที่โดยตรงพระ ่
แต่ถ้าวางไม่ลงปลงไม่ได้ ยังกระสันอยากช่วยชาวบ้านนัก
ก้อไม่ควรทำ 5 อะรัยให้มันขัดกับหลักการของหน้าที่หลัก


การไปเป็นส่วนร่วมในกิจกรรมที่มีการค้ากำไรจากผู้อื่นนั้น
มันเป็นสิ่งที่สมณะผู้เห็นภัยแห่งสังสารวัฏพึงกระทำหรือไร
ทำไมไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ฆราวาสบริหารจัดการกันเอง
ไปตามครรลอง ตามสภาพ แล ตามยถาสภาวะ ไปก้าวก่ายยุ่งเกี่ยวด้วยทำไม
หรือ กลัวว่า ศาลาที่ โยม สร้าง นั้น มันจะไม่หรูหรา ถูกใจ
หรือ กลัวว่าจะ สร้างแล้วเสร็จได้ ชักช้า ไม่ ทันใจ อาตมา ?


ถ้าคิดงั้น อ่ะนะ ถามว่า ทำไมไม่ทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามครรลอง ที่เปิดช่องไว้ให้
อาทิเช่น สึกออกไป เป็น มรรคทายก ซะ แล้ว สร้างบอริสัด ขายหนมปัง
จากนั้นก้อ กำไรส่วนใหญ่ มาบริจาคสร้างศาลาวัด
หรือถ้า บริบัทหนมปังมันเจ๊ง ก้อค่อยเที่ยวจาริกไปขอทานก้อนข้าวชาวบ้านเขากินเหมือนเดิมก้อได้นิ

หากทำเช่นที่ ป้า แนะนำมานี่... เช่นนี้แล้วจะมี วิญญูชนคนไหนออกมา ติเตียนได้วะ
แต่ที่ไม่ทำ ตามที่ป้าแนะนำนี่…
ไอ้อ้วนนั่น มันมีเหตุผล 5 อะรัยที่ดูชอบธรรม มารองรับได้บ้าง
นอกเสียจาก คำแก้ตัวที่ว่า…
สันดานของคน มันย่อมชอบเหยียบเรือ สองแคม
แล เลือกที่จะกระทำในสิ่งที่่มีแนวโน้มจะตอบสนองต่อความพึงพอใจ ของตนเอง เสมอ


อยากเป็นพระ ( เพราะมันสร้างอีโก้ และ โอกาส ให้ตน ได้ดีกว่า สถานะฆราวาส) หรือ ก้อ อยากเป็น
อยากจะช่วยชาวบ้าน สร้างศาลาวัด หรือก้ออยากช่วย
สรุป  คิดแต่จะกินรวบ เอาแม่งทุกทาง
โดยหลงลืมไปว่า คนเรานั้น ถ้าได้อย่าง มันก้อต้องยอมเสียบางอย่างไป มันถึงจะเกิดการสมดุลในธรรม่
ไม่ใช่เสือก งก จนไม่ยอมสละออก สักอย่างยังงี้้



นี่แหน่ะ เจ้าหลานลูกมด …
ถ้าป้า พล่าม จนปากเปียกปากแฉะซะ ขนาดนี้ เอ็งก้อยังไม่เก็ท ไม่ข้าใจอ่ะนะ
งั้นป้าก้อจะ ยก เคสใกล้ตัว เอ็ง มาเป็นกรณีศึกษา แระกัน
อืม...ไอ้หนุ่มเสื้อเหลือง อย่างเอ็งนี่ คงเคยไปกู้ชาติกะ โกตั๊บ ด้วยการเฮโลไปปิด สนามบิน แน่ๆ เรยใช่ป่ะ ?

เอาเป็นว่า เคสอิพวกเสื้อเหลืองสาวกเจ๊กลิ้ม เฮโลไปปิดสนามบิน
มันก้อคล้าย ๆ เคสไอ้พระอ้วน ทำเบอเกอรี่ขาย นั่นแหล่ะ
อยากไล่ พวกนอมินีทักกี้ ทำไมต้องปิดสนามบินจนชาวบ้านมันเดือดร้อน
ทำไมไม่ อดทนคอย ให้รัดถะบานอยู่ครบวาระที่ 4 ปี ตามสิทธิโดยชอบธรรมของเขา( ดังที่กติกากำหนดไว้ )้
แล้วไปโหวตสู้กับ อิพวกขี้ข้าแม้ว กันใหม อีกครั้ง่ ในสนามเลือกตั้งตามครรลองของวิถีแห่ง ประชาธิปไตย่
เหตุใดใยต้อง ใจร้อนด่วนได้ ใช้กฏหมู่ อยู่เหนือกฏหมาย


“ทางออก “  ตามกติกา ที่่กำหนดไว้ มันก้อมีอยู่ เสมอ
แต่ก้ออย่างที่เคยบอกนั่นแหล่ะนะ ว่า…
สันดานของคน มันย่อมชอบเหยียบเรือ สองแคม
แล เลือกที่จะกระทำในสิ่งที่่มีแนวโน้มจะตอบสนองต่อความพึงพอใจ ของตนเอง เสมอ่

ถึงได้บอกไง เรื่องนี้มันคล้าย ๆ เรื่องหนมปังรสพระทำ
นั่นการคือ แทนที่จะเลือกทำตาม กติกา  แบบตรงไปตรงมา
คนพวกนั้นกลับเลือกซิกแซก มาทำเนียนเดินในเส้นทางเดินที่ไม่อยู่กติกา
เพราะมันช่วยให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการมากกว่า


อืม...รู้ป่ะ ? หากป้า เคยหน้ามืดไปร่วมทำสังฆกรรม
ด้วยการไปปิดสนามบิน กะพวกโกตั๊บ อ่ะนะ
หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นมา ป้าจะทำยังไง ?

ไม่ว่า ศาลจะตัดสินคดี โกตั๊บปิดสนามบิน เช่นไร หลุดหรือไม่
ป้าก้อจะแสดงความรับผิดชอบ ในส่วนที่เป็นความระยำของตัวเอง
ด้วยการออกมาขอโทษชาวบ้านที่ต้องเดือดร้อนลำบากเพราะป้าไปปิดสนามบิน
และป้าจะบริจาคเงินเพื่อเป็นสาธารณกุศล เท่าจำนวนความเสียหายที่ป้ามีส่วนสร้างไว้กับชาวบ้านที่ต้องตกเครื่องบินว่ะ

เช่น ถ้าความเสียหายนั้น มันประเมินอยู่ที่ แสนล้านบาท
มีคนไปปิดหนามบิน อยู่ แสนคน
และ ป้าเป็นหนึ่งในแสนคนที่่ร่วมสร้างความระยำในครั้งนั้น
ป้าก้อจะทะยอยบริจาคเงินเพื่อชดใช้ให้เจ้ากรรมนาย
จนกว่าจะครบหนึ่งล้านบาทตามสัดส่วนที่ป้าสมควรจะต้องชดใช้ว่ะ
อืม...ไม่ดิ ถ้ารวมดอกเบี้ยด้วย ป้าควรจะชดใช้คืนมากกว่า หนึ่งล้านด้วยซ้ำมั้ง


และที่ป้าทำเนี่ย ก้อไม่ได้คาดหวังจะให้ เจ้ากรรมนายเวรที่ป้าไปทำให้ตกเครื่องบิน เขามาอโหสิกรรม ให้ป้าหรอกนะ
เพียงแต่ป้าคิดว่า เมื่อเราเคยทำระยำ5 อะไรเอาไว้แล้ว
 การสำนึกผิด และ การแสดงความรับผิดชอบ
เพื่อชดใช้ให้ชาวบ้าน ต่อความระยำนั้น ๆ มันเป็นสิ่งที่สมควรกระทำ ว่ะ

เฮ้อ......ป้าก้อแค่ บ่นเรื่อยเปื่อย เพื่อเล่าสู่กันฟัง เฉย ๆ อ่ะนะ
ว่า มุมมองแลความคิดของป้า ต่อสรรพสิ่ง มันเป็นเช่นไร
ส่วนใคร อ่านแล้วจะได้ สาระ5อะรัย กลับไปบ้าง
อันนีัก้อช่างแมงมัน...เพราะป้าเข้าใจว่ะ...ว่า…
 ระดับ สติปัญญา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แล วาสนา ของคนเรานั้น... มันไม่เท่ากัน….






ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 30, 2016, 09:28:28 pm »







เงินทอง ยกให้ พระศาสนา โลก สังคม น่ายกย่อง พระจิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม ประโยชน์สาธารณะ  ตัวอย่าง

 ทึ่ง! พระขายขนมปัง “รสพระทำ” นำเงินไปสร้างทั้งศาลา-เตาเผาผี เมรุไร้มลพิษ http://www.tairomdham.net/index.php/topic,12216.0.html

 ข้าวแกงรสพระธรรม หลวงพี่ช้าง พระนักพัฒนา แห่งพรหมพิราม http://www.tairomdham.net/index.php?topic=11592.0
ข้อความโดย: บัวผ่อง
« เมื่อ: กันยายน 29, 2016, 07:50:14 pm »

ขอ อนุยาด แปะลิงค์กันเหนียวฮ่ะ  :29:

http://pantip.com/topic/35647332








ข้อความโดย: บัวผ่อง
« เมื่อ: กันยายน 28, 2016, 10:17:46 pm »

ถึง. อิพวกคนพุดที่แจ้งลบกระทู้เราที่พันทิป

เรามีไฟล์สำรองเพื่อโคลนนิ่งกระทู้ไว้ ทั้งแบบตัวหนังสือ และ ภาพนะ
ลบได้ก้อลบไป เหอะเพราะจุดประสงค์หลักของเราคือการ เก็บหลักฐานการที่พวกคนพุทธมารังแกมาลบกระทู้เราอ่ะ


ซึ่งตอนนี้หลักฐานเชิงประจักษ์พยานยังน้อยไปหน่อย
คงต้องหาหลักฐานเพิ่มอีกนิด เพื่อให้เกิดความรัดกุม เวลาร้องทุกข์กล่าวโทษว่าพวกคนพุทธมีเจตนา จงใจปกปิด อำพรางความผิด
หาทาง ซ่อนเร้นข้อมูลเรื่องการต้องอาบัติปราชิกของพระเถระ ที่มีคนเอามาเผยแพร่



ข้อความโดย: บัวผ่อง
« เมื่อ: กันยายน 28, 2016, 09:50:53 pm »

อืม...ไอ้หลานลูกมดเอ๊ยยยย....
จริงๆ เรื่อง ที่รัฐหักคอ เอาเงินภาษีจากป้า ไป บำรุงบำเรอสมณะในศาสนาพุทธของเอ็ง เนี่ย...
ป้าเอ็งก้อไม่ได้มายด์5 อะรัยนักหนาหรอกนะ
เงินพวกนั้นมันก้อแค่เศษเงินสำหรับป้าว่ะ
เผลอป้าบริจาคหั้ยคนไข้อนาถาที่โรงบาล หรือ ให้เงินพวกขอทานมากกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า



 แต่ที่ป้านึกครึ้มหยิบประเด็นนี้มาเล่น
ก้อเพราะป้าอยากดู อิพวกมดหน้าง่อ มันเดินต้อย ๆ ตามรอยน้ำหวานล่ะมั้ง
ซึ่งก้อไม่ผิดหวังเลยว่ะ เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ ว่ะ
ทั้งการดาหน้าออกมาปกป้องพวกพ้องและผลประโยชน์ของศาสนาตัวเอง
ทั้งการกำจัดกระทู้ป้าทิ้งราวกับพยามจะปกปิดความผิดของสมณะที่ตนเคารพ
โดยไม่ได้คำนึงถึง fact ที่นำเสนอในกระทู้เลย...



เฮ้อ...จริงๆ ประเด็นที่ ป้าตั้งเป็นกระทู้ถามนั้นน่ะ
มันเป็นบททดสอบเกี่ยวกับ  Secular morality ( คุณธรรมโลกวิสัย)
กับเรื่องของMQ ( moral quotient ) ของคนในสังคมอ่ะนะ
เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับทักษะเรื่องสัมมัปทาน 4ที่มีอยู่ในตน
ซึ่งคำตอบของแต่ละคนมันส่อแสดงถึง อนุสัยแลสันดานดิบลึกๆในตัวเองนะ
อย่าลืมดิว่า ป้าค่อนข้างจะเชี่ยวเรื่องการทวนศีลทวนจิต
ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการวิเคราะห์ทบทวน รากเหง้าของแรงขับเคลื่อนแห่งพฤติ


ประเด็นหลักของกระทู้นี้ ก้อแค่อยากจะให้ คนอ่านทบทวนตัวเองน่ะ
ว่า การรับทรัพย์ ที่มีที่มาที่ไปไม่โปร่งใส ขาดความชอบธรรม
เช่น ไปรับเอาทรัพย์ของผู้ไม่เต็มใจจะให้มาใช้ประโยชน์ นั้น...มันเป็น กุศลกรรมแลพึงกระทำหรือไม่?
และเราควรสนับสนุนเรื่องทำนองนี้หรือไม่ ?เพราะอะไร ?
และหากเรารู้สึกว่ามันไม่เป็นสัมมา แล้วเราได้ทำการแก้ไขปรับปรุงอย่างไร ?


น่าขำนะ เวลาป้าตั้งกระทู้ถามเรื่องนี้กะอิพวกคนพุทธที่เวบพันทิปทีไร
ปฏิกิริยาตอบสนองกลับของคนอ่าน มีทั้งเหน็บแนม มีทั้งแจ้งลบกระทู้
หนำซ้ำมันยังบอกว่า ที่นี่ไม่ใช่ประเทศเยอรมัน จะได้ต้องมีภาษีศาสนา
( จากนั้นพวกมันก้อไล่ป้าไปอยู่เยอรมัน - -" )
แถมบางคนยังจะยัดเยียดพิซซาหั้ยตรูอีก


แต่ไม่เลยสักคนที่พิจารณาข้อเสนอแนะของป้า
ในเรื่องที่ให้รัฐแยกเก็บภาษีศาสนาแบบศาสนาใครศาสนามัน
( ในลักษณะเดียวกับจ่ายภาษีสนับสนุนพรรคการเมือง)
แต่ก้อเข้าใจล่ะนะว่าสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน นั้น...
มันก้อย่อมต้องปกป้องพวกพ้องและรักษาผลประโชน์ตัวเองด้วยกันทั้งนั้น



เฮ้อ...แต่ถ้าเป็นป้าบัวผ่อง อ่ะนะ
ถ้าอิป้านั่นมันนับถือศาสนาพุทธ
แล้วมีคนต่างศาสนามากล่าวหาติเตียนเรื่อง ค่านิตยภัต
ว่าเป็นการเบียดบังเงินภาษีของผู้ที่ไม่ได้นัับถือพุทธ ไปหาโยชน์ เข้าศาสนา ตัวเอง
อิป้าผ่องมันคงจะเกิดอาการตะขิดตะขวง และรู้สึกละอายแกใจมากมายเลยมั้ง
ที่ศาสนาของตัวเองมีแต่การเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เช่นนั้น
เผลอๆ อิป้านั่นมันอาจจะขอแสดงความรับผิดชอบด้วยการ บริจาคเงินให้ศาสนาอื่น
เพื่อเป็นการชดใช้ไถ่โทษทั้งเงินต้นรวมกับดอกเบี้ย ด้วยอ่ะ
ที่เคยอาศัยความเป็นพวกมากลากไป หักคอเอาเงินภาษีของศาสนาอื่นมาใช้หาประโยชน์เข้าศาสนาตัวเอง



ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 28, 2016, 02:11:23 am »



เศรษฐกิจตกสะเก็ด แม้แต่ 'พระ' ยังต้องขึ้นเงิน ‘นิตยภัต’


 ยุคเศรษฐกิจเช่นนี้อะไรๆ ก็ขึ้นราคาเต็มไปหมด ตั้งแต่น้ำมันพืชยันนมผง แถมล่าสุดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังจ่อคิวตามไปอีก เจอแบบนี้เข้าไปหลายคนจึงพากันโวยวายขอขึ้นเงินเดือนกันเป็นทิวแถว
       
       ซึ่งดูเหมือนรัฐบาลเองก็ใจป้ำเป็นพิเศษ (ไม่รู้ว่าใกล้เลือกตั้งหรือเปล่า) เซ็นขึ้นให้ทุกระดับ แม้กระทั่งพระสงฆ์องคเจ้าก็ยังได้รับอานิสงส์ไปด้วย เพราะทันทีสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ชงเรื่องขอขึ้นเงินนิตยภัตให้แก่พระสงฆ์ทั่วประเทศ ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชลงมาถึงเลขานุการเจ้าคณะตำบล อีก 3.1 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็นเงินประมาณ 195 ล้านบาท จากเดิมที่มีค่าใช้ตรงนี้อยู่แล้วประมาณ 930 ล้านบาท พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายสังคมก็ลงนามอนุมัติทันใด
       
       ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะแปลกใจ เพราะเพิ่งรู้ว่าพระเองก็มีเงินเดือนกับเขาด้วย แต่เชื่อเถอะว่าเรื่องนี้คงมีคำถามตามมาอีกไม่น้อย โดยเฉพาะที่ว่าพระก็อยู่ฟรี กินฟรีอยู่แล้วไฉนจึงจะเอาเงินเดือน (เพิ่ม) อีกล่ะ
       
       ‘นิตยภัต’ ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน ก็คือ อาหารหรือค่าอาหารที่ถวายพระภิกษุสามเณรเป็นนิตย์ มีความหมายอย่างไรต่อการดำรงตนในสมณเพศของพระสงฆ์องค์เจ้ายุคดิจิตอล

   [ 1 ]

 จริงอยู่ แม้ตามพระธรรมวินัยจะระบุเอาไว้ การที่พระภิกษุจะรับเงินรับทองนั้นถือเป็นเรื่องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ จำเป็นต้องสละสิ่งที่ได้มาก่อนถึงจะปลงอาบัติได้ หรือแม้แต่สามเณรเองก็ยังมีศีลข้อ 10 ที่ว่า ชาตรูปรชตปฏิคฺคหณา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ ซึ่งแปลง่ายๆ ว่า ข้าพเจ้าสมาทานซึ่งสิกขาบท คือ เว้นจากการรับเงินทอง
       
       แต่ในเศรษฐกิจเช่นนี้ ค่าใช้จ่ายจิปาถะเองก็ย่อมมีมากเป็นธรรมดา พระเองก็คงตกอยู่ในสภาพนี้เช่นกัน อย่าง พระมหาคมสัน วิสุทธฺญาโณ พระเปรียญธรรม 9 ประโยค วัดชนะสงคราม ซึ่งเล่าถึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวในแต่ละเดือนว่า มีหลายอย่าง เช่น ค่าน้ำค่าไฟเดือนละ 1,000 บาท ค่าเดินทาง ค่าเรียนเทอมละ 20,000 บาท ค่าอุปกรณ์การเรียน ซึ่งพระมหาคมสันได้รับเงินค่านิตยภัตเดือนละ 3,500 บาท ซึ่งได้รับในอัตรานี้มานานแล้ว
       
       “หากพูดถึงที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังไม่เพียงพอ ถ้าพระรูปไหนที่ไม่ต้องศึกษาก็แล้วแต่รูปนะ เพราะค่าน้ำค่าไฟ เราจ่ายเองถูกแพงต่างกัน ส่วนรายได้อื่นจากกิจนิมนต์ก็แล้วแต่ญาติโยม กำหนดตายตัวไม่ได้”
       
       ในแต่ละเดือน หากจะเพียงพอต่อการใช้จ่ายของพระมหาคมสันต้องมีเงินนิตยภัตอย่างน้อย 6,000-8,000 บาท เพราะทุกวันนี้เงินนิตยภัตที่ได้มาไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในแต่ละเดือน
       
       “เงินนิตยภัตมีความจำเป็นสำหรับพระสงฆ์ระดับหนึ่ง ควรมีให้อยู่แล้ว เพราะในชีวิตประจำวันก็มีค่าใช้จ่าย เช่น การเดินทางไปปฏิบัติกิจต่างๆ ถ้าหากพระสงฆ์เดินทางแล้วไม่ต้องเสียค่าโดยสารก็ไม่มีให้ก็ได้”
       
       สำหรับการเดินทางโดยขนส่งมวลชนไปต่างจังหวัด พระสงฆ์จะถูกเก็บเงินในราคาที่ต่างจากประชาชนทั่วไปเพียงเล็กน้อย อย่างประชาชนทั่วไปจ่าย 1,000 บาท พระสงฆ์จ่าย 750 บาท ขณะที่เวลาเจ็บป่วยก็ต้องมีค่ายา ซึ่งจะให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลสงฆ์ก็ไม่สะดวกเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลเหล่านี้เอง ทำให้ นพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงต้องเร่งให้มีปรับเงินนิตยภัตให้เหมาะสมกับรายจ่ายของพระโดยเร็วที่สุด
       
      “พระสงฆ์ท่านมีบทบาทเยอะมากตั้งแต่เรื่องการปกครอง การศึกษาสงเคราะห์ รวมถึงการเผยแผ่ธรรมที่ท่านจะต้องออกไปทำหน้าที่ อบรมสั่งสอน และมีส่วนช่วยเหลือชุมชนในทางอ้อม โดยใช้หลักธรรมเข้ามาบำบัดเพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ซึ่งทั้งหมดมันมีค่าใช้จ่าย เพราะเป็นการกระทำในเชิงสาธารณะ ซึ่งทางสงฆ์ต้องดูแลค่าใช้จ่ายเอง พูดง่ายๆ คือท่านเป็นผู้เสียสละแก่สังคม แต่ทุนทรัพย์ในการทำงานของท่านน้อยมาก ซึ่งมันผันแปรกับค่าครองชีพของประชากรเราก็เลยเห็นว่ามีความจำเป็นที่ต้องสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณให้ท่านได้นำมาใช้ในการประกอบภารกิจ”
       
       [ 2 ]
       
       แต่เมื่อเรื่องนี้มีความคาบเกี่ยวระหว่างความถูกต้องกับความจำเป็น จึงทำให้หลายคนก็อดวิตกไม่ได้ว่า ประเด็นไหนน่าจะสำคัญกว่ากัน ด้วยเหตุนี้ จึงมีพระจำนวนมากที่ไม่อยากรับเงิน โดยเฉพาะทางสายพระป่า ซึ่งเคร่งครัดเรื่องพระธรรมวินัยเป็นพิเศษ
       
       พระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง เป็นอีกผู้หนึ่งที่ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าว เนื่องจากตามระเบียบทางโลกกำหนดเอาไว้ ดังนั้นจึงต้องเปิดบัญชีกับธนาคารเพื่อรับเงินนิตยภัตในฐานะเจ้าอาวาส
       
      “อาตมาก็รู้สึกว่าจะผิดวินัยหรือเปล่า จะบังคับให้เราผิดวินัยโดยระเบียบทางโลก มันก็อาจจะไม่เหมาะ อาตมาจึงหาทางออกว่า ให้ผู้อื่นรับแทนได้หรือไม่ ให้ไวยาวัจกรรับแทน เพราะมีไว้เพื่อทำกิจธุระแทนสงฆ์ในกรณีที่สงฆ์ทำไม่ได้ เนื่องด้วยศีลที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ แต่ระเบียบกลับไม่เอื้อ ผู้อื่นรับแทนไม่ได้ ต้องเป็นชื่อพระไปรับเอง”
       
       ในความเห็นของท่าน จริงๆ แล้วเงินนิตยภัตแทบจะไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย และพระเองในฐานะที่เป็นผู้สืบต่อพระพุทธศาสนาก็ควรลอยตัวจากเรื่องนี้ให้มากที่สุด
       
       และหากพิจารณาให้ลึกถึงสภาพสังคมไทยโดยรวมแล้ว เอาเข้าจริง แหล่งรายได้ของพระเองก็ถือว่าหลากหลาย และหาได้ง่ายสุดๆ ดังคำอธิบายของ นพ.มโน เมตฺตานนฺโท เลาหวณิช จากสถาบันนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้มันขัดกับสภาพความเป็นจริงขนาดไหน
       
       เพราะเมื่อมองจากสายตาก็จะพบว่า พระเองแทบไม่มีอะไรค่าใช้จ่ายอะไรด้วยซ้ำ อย่างอาหาร ก็สามารถหาได้จากการบิณฑบาต ที่อยู่ก็นอนวัด เครื่องนุ่งห่มอย่างสบงจีวรก็มีฆราวาสมาถวาย เวลาป่วยก็รักษาที่โรงพยาบาลสงฆ์ฟรี แม้แต่ค่าเดินทาง ขึ้นรถประจำทาง หรือรถไฟก็ยังฟรี ภาษีเงินก็ยังไม่ต้องเสีย จริงอยู่ที่พระบางรูปเองก็มีความจำเป็นต้องใช้เงิน เช่น ซื้อหนังสือ แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะหากพระรูปนั้นเป็นพระสุปฏิปัณโณ (พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ)
       
      “จริงๆ พระใช้เงินตลอดเวลา ทั้งซื้อของ เดินทาง จับจ่ายใช้สอย ซื้อโทรศัพท์มือถือ คือใช้เงินไม่น้อยกว่าประชาชน แต่พระที่ดีอยู่ได้ เพราะมีญาติโยมทำบุญ แต่พระที่ไม่ดีอยู่ไม่ได้ เพราะชาวบ้านเขาเห็นว่าทำโน้นทำนี่ อาจไปนอกวัดดึกๆ ดื่นๆ เลยไม่ทำบุญ ผมว่าทุกวันนี้ พระอยู่ด้วยศรัทธา คนไปทำบุญฟังเทศน์กัณฑ์หนึ่งก็ 500 บาทขึ้นไปแล้ว ถ้ามีกิจกรรมอย่างสวดมนต์งานศพอีกเดือนหนึ่งก็เป็นหมื่น หรือแม้แต่บิณฑบาตขี้หมูขี้หมาเดือนหนึ่งก็ต้อง 5,000-6,000 บาทแล้ว เอ่ยปากคนก็ทำบุญกันเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นจะเอาอะไรอีก
       
       “พระที่เรียกร้องเงินเดือนก็คือพวกเจ้าคุณ ไม่ได้ออกบิณฑบาต แต่ก็อย่างที่รู้ว่าพวกนี้ก็มีช่องทางในการหาเงินเยอะแยะอยู่แล้ว โดยเฉพาะพระที่เป็นหมอดู ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินตรงนี้ไปทำไม บางคนก็เก็บไว้เฉยๆ ก็ถือเป็นความสุขทางใจ ซื้อหุ้นก็มี ตั้งบริษัทก็มี หรือบางรูปพอได้เป็นเจ้าคุณ ก็คิดว่าต้องมีรถใช้ ก็เลยไปซื้อรถอะไรอย่างนี้”

       
       [ 3 ]
       
       เมื่อความขัดแย้งทางด้านความคิดเกิดขึ้นเช่นนี้ คำถามก็ถือ ตกลงแล้วเงินค่านิตยภัตนั้นถือเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่ ซึ่งหากมองในแง่ของประวัติศาสตร์ คงต้องยกคำพูดของ สยาม ราชวัตร แห่งภาควิชาปรัชญาและศาสนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มากล่าวอ้าง
       
       “เงินนิตยภัตนั้น เริ่มมีหลักฐานบันทึกมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นๆ แล้ว ซึ่งไม่ใช่เงินเดือน แต่เป็นเงินที่ชาวบ้านถวายเพื่อให้ท่านเอาไปใช้สอยในกิจของสงฆ์ ทีนี้ในปัจจุบันการเรียกเงินที่ให้ว่า เงินเดือน มันก็เลยดูแปลกๆ แต่ในความเห็นผมแล้ว เงินจำนวนนี้ไม่ได้ถวายแก่พระทุกรูป หากแต่เป็นการถวายให้แด่พระที่ทำงาน เพราะถ้าเราไม่ถวาย ท่านก็ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับทางโลกโดยที่ไม่มีใครสนับสนุน ตัวอย่างเช่น การจ่ายค่าเดินทาง พระที่เป็นเจ้าคณะตำบล ท่านก็ต้องมีการเดินทางออกไปตรวจวัดในเขต และเงินที่ได้นั้นก็ไม่ได้มากเท่าฆราวาสเลย ถือว่าน้อยมาก”
       
       ดังนั้นปัจจัยที่สำคัญในการตีค่าของเงินในแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร หากเป็นปัจจุบัน ซึ่งเป็นโลกของทุนนิยม เงินถือตัวแลกเปลี่ยน เพราะฉะนั้นจึงมีอิทธิพลมาก แต่สำหรับทางพระพุทธศาสนา การที่พระพุทธเจ้าแยกชีวิตตนเองออกมาจากทางโลกนั้น หมายรวมถึงการไม่ไปยุ่งกับเรื่องเศรษฐกิจด้วย เพราะฉะนั้น หากมองว่าเงินเป็นปัจจัย เงินเหล่านี้ก็คือเครื่องสนับสนุนให้พระท่านทำงาน แต่ถ้าเมื่อไหร่ มองว่าเงินเป็นเป้าหมายขึ้นมาก็จะเกิดการแก่งแย่งและความไม่สงบเกิดขึ้นแน่ๆ
       
       ดังเช่นมุมมองของ นพ.มโน ที่กล่าวว่า แม้เงินจะเป็นของกลางๆ แต่ด้วยสภาพในปัจจุบัน ที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองก็พยายามนำเรื่องนี้ เข้ามาใช้ประโยชน์มากขึ้น เพราะหวังให้พระเป็นหัวคะแนนแก่ตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างเป็นตัวบั่นทอนให้ศาสนาเสื่อมเร็วขึ้น และที่สำคัญนี่อาจจะเป็นการเอาเปรียบประชาชนทางหนึ่งด้วยซ้ำ เพราะเงินที่จ่ายไปทั้งหมดนั้น ก็ล้วนแต่มาจากภาษีของประชาชน ซึ่งพระไม่เคยเสียนั่นเอง
       .........
       
       แม้ใครหลายๆ คนจะไม่กล้าสรุปว่า การที่พระได้เงินเดือนนั้นเป็นเรื่องสมควรหรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากคติที่ว่า เรื่องของพระสงฆ์องคเจ้า ประชาชนไม่ควรจะยุ่ง เพราะอาจจะเป็นบาปได้
       
       แต่เอาเข้าจริง เรื่องนี้อาจจะเป็นสำคัญไม่แพ้การขึ้นเงินเดือนของสมาชิกรัฐสภาด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในยุคพระสงฆ์บางรูปเสื่อมถอย จิตใจของคนถูกบั่นทอนด้วยกิเลส แต่ดูเหมือนว่าที่ผ่านมา จะมีส่วนน้อยเท่านั้นที่ออกมาทำหน้าที่ เพราะต้องไม่ลืมว่า เงินเดือนนั้นสัมพันธ์กับผลงานและความทุ่มเท ถ้าไม่มีทั้งผลงาน และความทุ่มเทแล้ว สุดท้ายเงินที่จ่ายไปให้จะมีประโยชน์อะไร
       >>>>>>>>
       ………
      เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
       ภาพ : ทีมภาพ CLICK


จาก http://astv.mobi/A2fkArM


แถม เจอ ลิ้งงงง มา ถูก ผิด อย่างไร ไปอ่านเอง ข้อย มาใหม่ พระวินัย ข้อย โง่ ตามลิ้งไป ไม่ลง http://hidden--point.blogspot.com/2016/04/blog-post.html
ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: กันยายน 28, 2016, 01:57:49 am »



ภาษี จาก ประชาชน ทุกศาสนา  สู่ รัฐบาล มอบสิจน์ ขาดแด่รัฐบาลแล้ว
กลายเป็น เงิน งบประมาณแผ่นดิน อุดหนุน บำรุง ทุกภาคส่วน ทุกองคาพยบ ทุกศาสนา

แล้ว ก็ ผัน มาเป็น เงิน เดือนพระ ใช่ ป่ะ ผมเข้าใจ ถูก มะ

ผิด ถูก ประการใด กำลัง ดูอยู่ ทางโลก น่ะ ไม่ผิด เพราะ เป็น งบประมาณแผ่นดิน สู่ การจุนเจือ ทุกภาคส่วน ทุกศาสนา แล้ว

แต่ ในทางธรรม น่ะ ละเอียด อ่อน ข้อย อ่าน อยู่เด้อ

ค้นเจอ http://www.alittlebuddha.com/html/News%202006/June%202006/01%20June%2006.html


จาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%95

นิตยภัต (อ่านว่า นิดตะยะพัด) แปลว่า อาหารประจำ ปัจจุบันใช้ในความหมายว่าเงินค่าอาหารที่ทางราชการถวายแก่สงฆ์เป็นประจำ

นิตยภัต มีความเป็นมาคือในอดีตพระเจ้าแผ่นดินได้พระราชทานภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ หรือที่เคารพนับถือเป็นการส่วนพระองค์ โดยให้เจ้าหน้าที่จัดถวายประจำ ต่อมาพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์มีมากขึ้นและอยู่ตามหัวเมืองก็มีความไม่สะดวกแก่การจัดอาหารถวาย แม้จะเปลี่ยนเป็นเงินแล้วก็ยังคงเรียกว่านิตยภัตเหมือนเดิม

นิตยภัต ถือว่าเป็นเครื่องสักการะที่พระเจ้าแผ่นดินถวายแก่พระสงฆ์ผู้ทำคุณประโยชน์แก่พระศาสนาและบ้านเมือง


จาก http://www.dhammahome.com/webboard/topic/27935

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

นิตยภัต หมายถึง ภัตตาหาร ที่ตั้งไว้ประจำ   เป็นความประสงค์ของผู้ถวายว่าจะถวายอาหารเป็นประจำ แก่สงฆ์ หรือ แก่พระภิกษุทั้งหลายตามจำนวนที่ผู้ถวายจะระบุไว้จะเป็นกี่รูปก็ตาม    แต่ถ้าเป็นนิตยภัตที่ถวายแก่สงฆ์ นั้น  ก็ขึ้นอยู่กับสงฆ์จะมอบหมายให้ภิกษุใดเป็นตัวแทนสงฆ์ไปรับซึ่งเป็นการถวายโดยไม่เจาะจง  โดยมีคฤหัสถ์เป็นผู้ถวาย  และที่สำคัญ  นิตยภัต  ไม่ใช่เงิน แต่เป็นภัตตาหาร   เพราะเงิน ไม่ควรแก่เพศบรรพชิต   ก่อนบวชท่านสละเงิน แล้ว  จึงบวช เพราะฉะนั้นเมื่อบวชแล้ว จึงรับเงินไม่ได้  และคฤหัสถ์ ก็ต้องไม่ถวายเงินแก่พระภิกษุด้วย เพราะเป็นเหตุให้ภิกษุท่านต้องอาบัติ มีโทษสำหรับตัวท่าน  ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆท่านครับ...

khampan.a