ข้อความโดย: บัวผ่อง
« เมื่อ: ตุลาคม 29, 2016, 10:00:21 pm »อืม...พออ่านความเห็น ที่เหล่านักปฏิบัติชาวพุทธ พล่ามแล้ว
หญิงเดียรถีย์อย่างเรา นึกถึง รูป ปิรามิดของการโต้แย้ง อันนี้นะ
Ad Hominem & Responding to Tone ?
คือปกติ เวลาสนทนาธรรมตามกาล ตามหลัก มงคล 38 นี่
เวลา มีใคร กระทู้ถาม สนทนาโต้แย้งกัน
มานี มักจะ ใช้ ปิรามิด ดังกล่าว มาวิเคราะถึง รากเหง้าสันด่าน ที่เป็น อนุสัย ของ คน ๆ นั้นนะ
ว่าเขาเป็น วิญญูชน หรือเป็น อวิญญูชน
เฮ้ออ...เอาเป็นว่าจาก คำตอบในโพส ที่ อ่าน ๆ มา
ทำให้หญิงเดียรถีย์คนนี้สงสัยเหลือเกินเจ้าค่ะ ว่า
1.ตกลง พวกคนพุทธอย่างคุณ นี่ รู้จักที่ใช้สามัญสำนึกเฉกเช่น วิญญูชนพึงมี มาวิเคราะห์ แยกแยะ ได้หรือไม่
ว่า อะไร หรือ สัมมา ฯ อะไร คือ มิจจฉา ฯ ตามแนวทาง สัมมัปปทาน 4 ?
หรือว่า พวกคนพุทธอย่างคุณ ขาดแคลน Secular morality ( คุณธรรมโลกวิสัย ) เสียจนใช้สติปัญญา ของตน แยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่ได้
2.นักปฏิบัติ อย่างพวกคุณนี่ เคย ทวนศีลทวนจิต
ตามแนวทาง สัมมัปปทาน 4 เพื่อให้รู้เท่าทัน อนุสัยในด้านมืดของตนบ้างหรือไม่ ?
จากกรณีศึกษา ในกระทู้ ที่ เราเอามาเปิดประเด็นสนทนา เป็น ธรรมวิจัยยะ นั้น
มันก้อแค่แบบทดสอบภายใต้ สถานการณ์สมมุติ เพื่อ ใช้พิจารณา ตน
ให้ตะหนัก ถึงแรงขับเคลื่อน แห่งพฤติ ก้อเท่านั้น เอง ว่าเมื่อ มี factor แบบนี้เข้ามาในชีวิต
อาทิเช่น การได้รับค่านิตยภัต , การออกไปชุมนุมปิด สนามบิน เราจะตอบสนองต่อ สถานการณ์นั้น ๆ อย่างไร
และ อะไร คือ แรงขับเคลื่อน แห่งพฤติ เหล่านั้น เราแยกแยะได้ไหม ว่า สิ่งที่ได้กระทำ มันเป็นสัมมาหรือไม่
ซึ่งถ้า แยกแยะไม่ได้ มันก็น่าสงสัย นะ ว่า ศาสดาของพวกคุณได้เคยสั่งสอนเรื่องนี้กันไว้บ้างหรือเปล่า ?
พวกคุณ ถึงได้ ขาดหลักการและ บรรทัดฐาน ในการ แยกแยะว่าอะไร คือ กุศล และ อกุศล
แถมยัง ขาดความซื่อสัตย์ต่อ กิเลสตัณหา และ อัตตาตัวเอง เช่นนี้
มันยากตรงไหน ที่จะตอบว่า การกระทำที่ยกมาถามในกระทู้ ตามข้อ 1 ,2 นั้น
แบบไหนทำแล้ว เป็น กุศล แบบไหน ทำแล้วเป็น อกุศล ? ตามหลักสัมมัปปทาน 4
เมื่ออยู่ใน สถานการณ์นั้น ๆ คือ
1.ถ้า มานีเป็นพระ มานีตั้งใจจะ สละสิทธิ ไม่รับ ค่านิตยภัต
เพราะเห็นว่า การรับเงิน ที่ เจ้าของภาษี( ที่อยู่ ต้นทาง ) เขาไม่เต็มใจจะให้เรา นั้น มันไม่สมควรกระทำ
หาก สิ่งที่ มานี ตั้งใจกระทำนี้ มิใช่ ทางแห่งสัมมา มิใช่ กุศลกรรม
พวกคุณก็ แย้งมาสิ ว่า สิ่งที่มานีกระทำ เป็น อกุศล เพราะ เหตุผล 1-2-3-4
สิ่งที่สมควรกระทำ และเป็น กุศล คือ มานีควรใช้สิทธิที่มีอย่างคราบในการรับค่านิตยภัต
จงอย่าได้ไปแคร์ แม้ เจ้าของเงินภาษี( ที่อยู่ ต้นทาง ) เขาจะไม่เต็มใจจะให้เงินเรา
2.มานีตั้งใจว่า ถ้ามานี มีส่วนร่วมไปชุมนุมปิดสนามบิน กับ โกตั๊บ
จนทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องตกเครื่องบินโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
มานีก้อตั้งใจจะสำนึกผิด และ ขอโทษเขา
พร้อมกับ แสดงความรับผิดชอบ โดยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนค่าเสียหายให้
ด้วยการ บริจาคเงินตาม สัดส่วนของความเสียหายที่มีการประเมินออกมา
หาก สิ่งที่ มานี ตั้งใจกระทำนี้ มิใช่ ทางแห่งสัมมา มิใช่ กุศลกรรม
พวกคุณก็ แย้งมาสิ ว่า สิ่งที่มานีกระทำ เป็น อกุศล เพราะ เหตุผล 1-2-3-4
สิ่งที่สมควรกระทำ และเป็น กุศล คือ มานีควรทำไม่รู้ไม่ชี้ กับ เวรกรรมที่เคยไปละเมิดสิทธิผู้อื่น
ไม่จำเป็นต้องสำนึกผิด หรือ แสดงความรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ให้เปลืองเงิน
ถือซะว่า เป็นวิบากกรรม ของชาวบ้านเมื่อ ชาติปางก่อน คนพวกนั้นเลยตก เครื่องบิน
อนึ่งจะสนทนาธรรมตามกาลกัน ทั้งที ก้อช่วยตอบคำถาม ในสไตล์ ยอดปิรามิด มั่งก้อดีนะ
โพส ตอบมาแต่แบบ ที่เป็น ส่วนฐานของปิรามิดเนี่ย พวกคนพุทธอย่างคุณ จะกลายเป็นตัวตลก ให้คนต่างศรัทธา ขบขันเอาได้ ในความไร้เดียงสา ของพวกคุณ
เฮ้ออ ด๊อกฯ สม สุจิรา หมอฟัน ที่ผันตัวเองไปเรียนจิตวิทยา ป.โท เคยเขียนไว้ ว่า
พวกคุณก้อเลือก ลิขิตแห่งชีวิต เอาเองตาม อนุสัย แล ขันธสันดาน ของพวกคุณก้อแระกัน
หญิงเดียรถีย์อย่างเรา นึกถึง รูป ปิรามิดของการโต้แย้ง อันนี้นะ
Ad Hominem & Responding to Tone ?
คือปกติ เวลาสนทนาธรรมตามกาล ตามหลัก มงคล 38 นี่
เวลา มีใคร กระทู้ถาม สนทนาโต้แย้งกัน
มานี มักจะ ใช้ ปิรามิด ดังกล่าว มาวิเคราะถึง รากเหง้าสันด่าน ที่เป็น อนุสัย ของ คน ๆ นั้นนะ
ว่าเขาเป็น วิญญูชน หรือเป็น อวิญญูชน
เฮ้ออ...เอาเป็นว่าจาก คำตอบในโพส ที่ อ่าน ๆ มา
ทำให้หญิงเดียรถีย์คนนี้สงสัยเหลือเกินเจ้าค่ะ ว่า
1.ตกลง พวกคนพุทธอย่างคุณ นี่ รู้จักที่ใช้สามัญสำนึกเฉกเช่น วิญญูชนพึงมี มาวิเคราะห์ แยกแยะ ได้หรือไม่
ว่า อะไร หรือ สัมมา ฯ อะไร คือ มิจจฉา ฯ ตามแนวทาง สัมมัปปทาน 4 ?
หรือว่า พวกคนพุทธอย่างคุณ ขาดแคลน Secular morality ( คุณธรรมโลกวิสัย ) เสียจนใช้สติปัญญา ของตน แยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่ได้
2.นักปฏิบัติ อย่างพวกคุณนี่ เคย ทวนศีลทวนจิต
ตามแนวทาง สัมมัปปทาน 4 เพื่อให้รู้เท่าทัน อนุสัยในด้านมืดของตนบ้างหรือไม่ ?
จากกรณีศึกษา ในกระทู้ ที่ เราเอามาเปิดประเด็นสนทนา เป็น ธรรมวิจัยยะ นั้น
มันก้อแค่แบบทดสอบภายใต้ สถานการณ์สมมุติ เพื่อ ใช้พิจารณา ตน
ให้ตะหนัก ถึงแรงขับเคลื่อน แห่งพฤติ ก้อเท่านั้น เอง ว่าเมื่อ มี factor แบบนี้เข้ามาในชีวิต
อาทิเช่น การได้รับค่านิตยภัต , การออกไปชุมนุมปิด สนามบิน เราจะตอบสนองต่อ สถานการณ์นั้น ๆ อย่างไร
และ อะไร คือ แรงขับเคลื่อน แห่งพฤติ เหล่านั้น เราแยกแยะได้ไหม ว่า สิ่งที่ได้กระทำ มันเป็นสัมมาหรือไม่
ซึ่งถ้า แยกแยะไม่ได้ มันก็น่าสงสัย นะ ว่า ศาสดาของพวกคุณได้เคยสั่งสอนเรื่องนี้กันไว้บ้างหรือเปล่า ?
พวกคุณ ถึงได้ ขาดหลักการและ บรรทัดฐาน ในการ แยกแยะว่าอะไร คือ กุศล และ อกุศล
แถมยัง ขาดความซื่อสัตย์ต่อ กิเลสตัณหา และ อัตตาตัวเอง เช่นนี้
มันยากตรงไหน ที่จะตอบว่า การกระทำที่ยกมาถามในกระทู้ ตามข้อ 1 ,2 นั้น
แบบไหนทำแล้ว เป็น กุศล แบบไหน ทำแล้วเป็น อกุศล ? ตามหลักสัมมัปปทาน 4
เมื่ออยู่ใน สถานการณ์นั้น ๆ คือ
1.ถ้า มานีเป็นพระ มานีตั้งใจจะ สละสิทธิ ไม่รับ ค่านิตยภัต
เพราะเห็นว่า การรับเงิน ที่ เจ้าของภาษี( ที่อยู่ ต้นทาง ) เขาไม่เต็มใจจะให้เรา นั้น มันไม่สมควรกระทำ
หาก สิ่งที่ มานี ตั้งใจกระทำนี้ มิใช่ ทางแห่งสัมมา มิใช่ กุศลกรรม
พวกคุณก็ แย้งมาสิ ว่า สิ่งที่มานีกระทำ เป็น อกุศล เพราะ เหตุผล 1-2-3-4
สิ่งที่สมควรกระทำ และเป็น กุศล คือ มานีควรใช้สิทธิที่มีอย่างคราบในการรับค่านิตยภัต
จงอย่าได้ไปแคร์ แม้ เจ้าของเงินภาษี( ที่อยู่ ต้นทาง ) เขาจะไม่เต็มใจจะให้เงินเรา
2.มานีตั้งใจว่า ถ้ามานี มีส่วนร่วมไปชุมนุมปิดสนามบิน กับ โกตั๊บ
จนทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องตกเครื่องบินโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
มานีก้อตั้งใจจะสำนึกผิด และ ขอโทษเขา
พร้อมกับ แสดงความรับผิดชอบ โดยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนค่าเสียหายให้
ด้วยการ บริจาคเงินตาม สัดส่วนของความเสียหายที่มีการประเมินออกมา
หาก สิ่งที่ มานี ตั้งใจกระทำนี้ มิใช่ ทางแห่งสัมมา มิใช่ กุศลกรรม
พวกคุณก็ แย้งมาสิ ว่า สิ่งที่มานีกระทำ เป็น อกุศล เพราะ เหตุผล 1-2-3-4
สิ่งที่สมควรกระทำ และเป็น กุศล คือ มานีควรทำไม่รู้ไม่ชี้ กับ เวรกรรมที่เคยไปละเมิดสิทธิผู้อื่น
ไม่จำเป็นต้องสำนึกผิด หรือ แสดงความรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ให้เปลืองเงิน
ถือซะว่า เป็นวิบากกรรม ของชาวบ้านเมื่อ ชาติปางก่อน คนพวกนั้นเลยตก เครื่องบิน
อนึ่งจะสนทนาธรรมตามกาลกัน ทั้งที ก้อช่วยตอบคำถาม ในสไตล์ ยอดปิรามิด มั่งก้อดีนะ
โพส ตอบมาแต่แบบ ที่เป็น ส่วนฐานของปิรามิดเนี่ย พวกคนพุทธอย่างคุณ จะกลายเป็นตัวตลก ให้คนต่างศรัทธา ขบขันเอาได้ ในความไร้เดียงสา ของพวกคุณ
เฮ้ออ ด๊อกฯ สม สุจิรา หมอฟัน ที่ผันตัวเองไปเรียนจิตวิทยา ป.โท เคยเขียนไว้ ว่า
อ้างถึง
" การตอบสนองของมนุษย์แต่ละคน ต่อ ผัสสะ(สิ่งเร้า)ที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน
การตอบสนองที่ต่างกัน นี่เองที่ทำให้ มนุษย์แต่ละคน มีวิถีแห่งชีวิตที่แตกต่างกัน
ทุกคนมีชีวิตอยู่ในธรรมชาติเดียวกัน แต่วิธีการตอบสนองของมนุษย์แต่ละคนที่มีต่อธรรมชาติต่างหาก คือ ลิขิตแห่งชีวิต "
พวกคุณก้อเลือก ลิขิตแห่งชีวิต เอาเองตาม อนุสัย แล ขันธสันดาน ของพวกคุณก้อแระกัน