ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: ตุลาคม 30, 2016, 03:43:12 am »'ผมเป็นแค่เศษฝุ่นในพายุใหญ่' นาทีประวัติศาสตร์ทั้งน้ำตา 'สมเถา สุจริตกุล'
วันเสาร์ที่ 22 ต.ค. 2559 ที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งวันที่คนไทยต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน คลื่นมหาชนคนไทยหลั่งไหลมารวมตัวกันจำนวนมหาศาลนับแสนคน ที่บริเวณท้องสนามหลวง หน้าพระบรมมหาราชวัง ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และร่วมแสดงความอาลัยแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช...
การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่เกินประมาณของชาวไทย ไทยรัฐออนไลน์ ขอเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ เปิดบทสัมภาษณ์ผู้ควบคุมการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี "อ.สมเถา สุจริตกุล" วาทยกรชื่อดัง ผู้นำวงออร์เคสตรา กับวินาทีหลั่งน้ำตากลางคนนับแสน
อ.สมเถา สุจริตกุล
จุดเริ่มต้นการบรรเลงเพลงสรรเสริญฯ ครั้งประวัติศาสตร์!
อ.สมเถา สุจริตกุล วาทยกรชื่อดัง ผู้ควบคุมการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เล่าถึงจุดเริ่มต้นของงานในครั้งนี้ว่า จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้มีคลิปที่เป็นไวรัลคนดูและแชร์เยอะมาก คลิปนั้นเป็นการแสดงคอนเสิร์ตประจำปีที่เหมือนเป็นของขวัญมอบให้ชาวกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำคอนเสิร์ตนี้ ผมจึงมีไอเดียว่าไม่อยากให้คนดูดนตรีคลาสสิกมานั่งดูเฉยๆ ก่อนหน้าการแสดงคอนเสิร์ตทุกครั้งก็จะมีการเล่นเพลงสรรเสริญพระบารมีอยู่แล้ว ก็เลยให้คนดูร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีด้วยกับวงของเรา
"เมื่อไม่นานมานี้ ท่านมุ้ย ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เห็นคลิปนี้ จึงโทรมาขอนำคลิปไปใช้ ผมก็ได้อนุญาตไปทันที แต่พอท่านไปคิดอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นโอกาสใหญ่ที่จะให้ประชาชนคนไทยมาร่วมด้วยกับการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ครั้งประวัติศาสตร์ ท่านมุ้ยก็เลยบอกว่ามาช่วยกันทำที่สนามหลวงให้หน่อยได้มั้ย มีเวลาให้เตรียมตัวแค่ 3 วัน ผมก็ตกลงเลย"
นักดนตรี นักร้อง 350 คน กับประชาชนนับแสน
อ.สมเถา เล่าอีกว่า ผมได้มีการเตรียมงานภายในเวลา 3 วัน อย่างแรกคือ รวบรวมนักดนตรี ปกติผมจะเอาวงดุริยางค์ไปเล่น มีนักดนตรีประมาณ 70 คน แต่พอผมเริ่มเรียกนักดนตรีที่อยู่ในสังกัดมา มีคนอยากเข้าร่วมด้วยความสมัครใจถึง 200 คนด้วยกัน เราก็ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งยังไม่รวมนักร้องประสานเสียงอีก 150 คน เพื่อนำการร้องให้ประชาชนได้ร้องตาม รวมกันเป็น 350 คน
"ถามว่ายากมั้ยกับการที่คนกว่าแสนชีวิตอยู่ตรงนั้น จริงๆ การกำกับเพลงไม่ได้เป็นการวางอำนาจของเราอย่างเดียว แต่มันเป็นการสอนให้ทุกคนฟังซึ่งกันและกัน คนกว่าแสนชีวิตไม่สามารถเห็นการคอนดักต์ของเราได้หมด เราก็ต้องขอให้เขาฟังกัน จากการที่คนร่วมกันฟังคนอื่นมันก็จะมีความสามัคคีขึ้นมาได้ จริงๆ แล้วมันเป็นบทเรียนอันหนึ่งสำหรับประเทศด้วย เพราะว่าปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในสังคมเราทุกวันนี้ เพราะคนไม่ฟังกัน จริงๆ การแสดงดนตรีทุกคนต้องฟังกันเอง ถึงจะมีสิ่งที่สวยงามเกิดขึ้นได้ แน่นอนว่าคนเป็นแสนไม่มีประสบการณ์แบบนี้แน่ๆ เป็นสิ่งที่เราต้องเสี่ยง แต่ในที่สุดพอทุกคนลองฟังกันเองมันก็ออกมาได้เป็นอย่างดี"
วินาทีหลั่งน้ำตา ความรู้สึกที่เกินจะกล่าว "มนุษย์เราตัวเล็กแต่ประวัติศาสตร์ของเรายิ่งใหญ่"
วาทยกรชื่อดัง เล่าถึงความรู้สึกในการมีส่วนร่วมครั้งประวัติศาสตร์นี้อีกว่า จริงๆ แล้วมันมีความรู้สึกหลายอย่าง พอผมแสดงเสร็จ ยังงงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เลย คือลองคิดดูว่าถ้าวันหนึ่งมีผู้กำกับภาพยนตร์โทรมาให้เรายืนตรงกลาง มีกล้อง 45 ตัวจับเราอยู่ บางคนต้องมีความรู้สึกโอ้โหแน่ๆ อันนี้เป็นส่วนที่เรารู้สึกแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วความรู้สึกของเราตรงกันข้าม ถึงผมจะได้รับเลือกให้เป็นคนที่อยู่จุดกลาง "ผมคิดว่าผมเป็นแค่เศษฝุ่นเม็ดเดียวในพายุใหญ่" สิ่งที่ผมได้เรียนรู้กับเหตุการณ์เมื่อวานคือ "มนุษย์เราตัวเล็ก แต่ประวัติศาสตร์ของเรายิ่งใหญ่" ถ้าดูถ่ายทอดสดหรือดูคลิป จะรู้ว่าผมร้องไห้ด้วย ในช่วงเวลานั้นผมรู้สึกว่าให้จังหวะไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ เพราะเราร้องไห้อยู่ (เสียงสั่นเครือ)
การทำงานถวายราชวงศ์จักรี และแรงบันดาลใจจากคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ 9
อ.สมเถา ยังบอกอีกว่า จริงๆ แล้วผมไปอยู่เมืองนอกมานานมาก ไม่ได้ตั้งใจจะกลับมาอยู่ไทยเลย สาเหตุที่ผมกลับมาอยู่เมืองไทยคือ เมื่อ 20 กว่าปีก่อน มีคนชักชวนให้ผมมาดัดแปลงทำดนตรีบทเพลงพระราชนิพนธ์พระมหาชนกของ ในหลวง รัชกาลที่ 9 นั่นเป็นสาเหตุให้ผมกลับประเทศไทยเลย
“ถึงตัวผมจะไม่ได้ใกล้ชิดกับ ในหลวง รัชกาลที่ 9 แต่ตั้งแต่กลับมาเมืองไทย ผมมีโอกาสหลายๆ ครั้งที่ได้ทำงานถวายให้กับราชวงศ์จักรี หลายๆ พระองค์ ในหลายๆ งาน และอีกสาเหตุที่ผมไม่ได้กลับไปเมืองนอกเลยคือ สมเด็จพระพี่นางฯ ท่านรับสั่งกับผมว่า "สมเถาอย่ากลับไปเมืองนอกเลย"”
“อีกอย่างหนึ่งคือ ตั้งแต่กลับมาเมืองไทย ผมเห็นว่ามีเด็กไทยที่เก่งดนตรีอยู่หลายคน คล้ายๆ เป็นเมล็ดพืชต้องการการเลี้ยงดู การเพาะเลี้ยงขึ้นมา เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องอยู่เมืองไทย เราอยากจะช่วยให้เด็กไทยทำประโยชน์ให้กับแผ่นดินไทย ซึ่งทั้งหมดนี้เราได้แรงบันดาลใจจากคำสอนของในหลวง รัชกาลที่ 9 เรื่องการพัฒนาเยาวชน”
เป็นเกียรติที่สุดในชีวิต กับนาทีสำคัญครั้งประวัติศาสตร์
ผู้ควบคุมการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีครั้งประวัติศาสตร์ บอกอีกว่า จริงๆ สิ่งที่เราทำไปเมื่อวันเสาร์ (22 ต.ค. 59) มันอาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณของคนที่มา แต่มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเรา พลังของความรู้สึกมันเกินที่จะนับว่าเท่าไร ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ใหญ่มาก สิ่งที่ผมคิดคือมันเป็นนาทีที่สำคัญมากในประวัติศาสตร์ของเรา เมื่อเราอยู่ด้วยกันอย่างนี้เราจะเห็นว่าชาวไทยเป็นหนึ่งได้ เป็นสิ่งที่แสดงให้โลกภายนอกได้เห็นด้วย ซึ่งเราได้ไปอยู่ในจุดนั้น ถือว่าเป็นเกียรติที่สุดในชีวิตของเราอีกอย่างหนึ่งก็ว่าได้
“สำหรับผม เราคงพูดได้ไม่หมดว่าในหลวงยิ่งใหญ่แค่ไหน ผมเป็นคนไทยที่อยู่ในต่างประเทศ ผมถูกถามอยู่เรื่อยว่า ทำไมคนไทยถึงมีความรู้สึกกับในหลวงขนาดนี้ คือความรู้สึกแบบนี้ไม่มีในประเทศอื่นๆ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะตัวพระองค์ท่านเอง ซึ่งถือว่าเป็นโชคของคนไทยจริงๆ ที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินไทย” อ.สมเถา กล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงตื้นตัน
คนนับแสนร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี
จาก http://www.thairath.co.th/content/762332