ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2016, 01:17:40 am »สาเหตุที่ พระมหากษัตริย์เลโซโท เสด็จฯ สักการะพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่.๙ (ภาพ - คลิป)
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2559 สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 แห่งเลโซโท เสด็จฯ ทรงวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพและทรงพระอักษรแสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และอาคารสำนักราชเลขาธิการ ในพระบรมมหาราชวัง ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก บ้านสวนบุญยังรักในหลวง ได้ค้นคว้าข้อมูลที่น่าสนใจ เกี่ยวกับ สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 แห่งเลโซโท และประเทศเลโซโท ว่าประเทศไทยและประเทศเลโซโทมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และเหตุใดกษัตริย์แห่งเลโซโท จึงเสด็จฯ ถวายสักการะพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ 9
เมื่อครั้งที่สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 เคยเสด็จฯ ร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ทรงเสด็จฯ ยังศูนย์พัฒนาห้วยฮ่องไคร้ จ.เชียงใหม่ เป็นการส่วนพระองค์ เนื่องจากทรงสนพระราชหฤทัยในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และขอพระบรมราชานุญาตนำแนวพระราชดำริดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ยังประเทศเลโซโท
ทั้งนี้ประเทศเลโซโท เป็นประเทศเล็ก ๆ ในทวีปแอฟริกา ตั้งอยู่ที่ราบสูง มีขนาดใหญ่กว่า จ.อุบลราชธานีเล็กน้อย พรมแดนถูกห้อมล้อมด้วยประเทศแอฟริกาใต้ ไม่มีทางออกสู่ทะเล ภูมิประเทศค่อนข้างแห้งแล้ง ผลิตอาหารไม่เพียงพอต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ไทยเดินทางไปให้ความรู้ และมอบทุนในการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเกษตรตัวอย่างในประเทศเลโซโทขึ้น จนกระทั่งเกษตรกรที่นั่นสามารถผลิตอาหารเองได้ นับว่าเป็นการตามรอยเบื้องพระยุคลบาทที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
และในปี พ.ศ. 2554 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนประเทศเลโซโทเพื่อติดตามความก้าวหน้า และพบว่าประสบความสำเร็จ จึงได้ส่งมอบอาคารการดำเนินการให้เจ้าหน้าที่เลโซโทดำเนินการต่อ
เรื่องราวข้างต้นนี้ นับว่าเป็นน้ำพระราชหฤทัยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีต่อประชาชน ที่ไม่เพียงแต่ราษฎรของพระองค์ในประเทศไทย แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงประชาชนโลก และเข้าใจได้ว่า เหตุใดสมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 แห่งเลโซโท จึงเสด็จฯ มาสักการะพระบรมศพ พ่อหลวงอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย
เรียบเรียงโดย สถาพร สำนักข่าวทีนิวส์
ขอขอบคุณข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ และ คลิปจาก Chuntana Suwanthada
จาก http://inter.tnews.co.th/contents/211686/