ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2016, 01:51:56 am »มหาสติแห่งพระเจ้าอยู่หัว ร.4 ทรงภาวนาพุทโธ จนกระทั่งสวรรคต ย้อนเล่าเหตุอัศจรรย์เทวดาเข้าสิงคนงาน ประกาศข่าวสวรรคต!
"พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรี นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระปรีชาสามารถในเรื่องของพระพุทธศาสนาทั้งในด้านของหลักวิชาและหลักปฏิบัติเป็นอย่างมาก เนื่องจากพระองค์ทรงผนวชนานถึง ๒๗ ปี ซึ่งระยะเวลาอันยาวนานนี้พระองค์ทรงใช้ไปกับการศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างแข็งขัน
ตลอดระยะเวลาในการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สร้างคุณูปการที่สำคัญต่อบ้านเมืองไว้มากมาย ซึ่งผลจากการตรากตรำพระวรกายนั้นก็ทำให้พระองค์เกิดอาการประชวรขณะเข้าสู่วัยชราเมื่อมีพระชนมายุ ๖๔ พรรษา
และอาการประชวรในครั้งนี้เองที่ทำให้พระองค์ทรงดำริถึงการสวรรคต ซึ่งเป็นการสวรรคตที่ตรงกับวันพระราชสมภพของพระองค์ตามที่ทรงกำหนดไว้แต่แรก (พระองค์ทรงพระราชสมภพใกล้กับวันเพ็ญออกพรรษาซึ่งเป็นวันมหาปวารณา และสวรรคตตรงกับวันเพ็ญออกพรรษาซึ่งก็เป็นวันมหาปวารณาเช่นเดียวกัน)
ในวันที่จะสวรรคตนั้น พระองค์ทรงมีพระสติสมบูรณ์ เพียงแต่ว่าในวันนั้น พระองค์ไม่ได้เสด็จออกไปทำพิธีปวารณาออกพรรษาต่อพระสงฆ์วัดราชประดิษฐ์ (วัดประจำรัชกาล) ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ทรงปฏิบัติเป็นประจำในวันพระราชสมภพ
หลังจากรับสั่งข้อราชการแก่พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ์) แล้ว สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในวันมหาปวารณาออกพรรษาก็คือการสมาทานศีลด้วยพระองค์เอง แล้วตรัสเป็นถ้อยคำที่คมคายมากว่า
"ฉันขอลาต่อพระสงฆ์ ... สิ่งใดที่เคยทำผิดล่วงเกินก็ขอขมา
สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
สิ่งทั้งปวงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่มีโทษนั้น...ไม่มีเลย"
จากนั้น พระองค์ก็ได้ตรัสคำฉันท์เป็นภาษาบาลี ซึ่งเป็นการตรัสครั้งสุดท้ายของพระองค์ว่า
"อะตุรัสสะมิงปิ เม กาเย จิตตัง นะ เหสสะตาตุรัง เอวัง ปัสสามิ พุทธัสสะ สาสะนานุคะติง กะรัง"
(แปลว่า "แม้ว่าร่างกายของข้าพเจ้าจะกระวนกระวายอยู่ด้วยทุกขเวทนา แต่จิตใจของข้าพเจ้าจะไม่กระวนกระวายไปตามกาย ข้าพเจ้าได้ศึกษาอบรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนี้")
แล้วในที่สุด พระองค์ก็ไม่ตรัสอะไรอีกเลย โดยประทับอยู่บนแท่นที่จะสิ้นพระชนม์ หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก และทรงภาวนา "พุทโธ"
เจ้าหญิงองค์หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ พระองค์ เล่าว่า เสียงภาวนา "พุทโธ" นั้นดังชัดเจนในตอนแรก แต่พอนานๆ เข้า เสียง "พุท" ก็ค่อยๆ หายไป เหลือแต่เสียง "โธ-โธ-โธ" จนกระทั่งเสียงทั้งหมดเงียบหายไป พร้อมกับที่ทรงสวรรคตในเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑
ปรากฏว่า ในระหว่างนั้นเอง เทวดาที่สถิตอยู่ ณ พระเจดีย์นครปฐม ได้เข้าสิงคนงานคนหนึ่งเพื่อบอกว่า ขณะนี้รัชกาลที่ ๔ สวรรคตแล้ว และกำลังจะไหว้พระเจดีย์ที่พระองค์เคยบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อครั้งยังทรงพระชนม์ชีพ
"ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต" วัดเทพศิรินทราวาส ผู้มีญาณหยั่งรู้วาระจิตของผู้อื่น เล่าให้สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สันตังกุโร) ฟังว่า
"รัชกาลที่ ๔ เมื่อใกล้จะสวรรคตนั้น ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี"
เรื่องนี้คนธรรมดาทั่วไปคงไม่อาจจะรู้ได้ ... แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจอันมั่นคงและมีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งเช่นนี้น่าจะบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งอย่างแน่นอน
ที่มา : หนังสือ "สวดเป็นเห็นธรรม" โดย พระสาสนโสภณ (พิจิตร ฐิตวัณโณ) สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ
นำเสนอข่าวโดย ไญยิกา เมืองจำนงค์ (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์)
จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/212488/