ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 12, 2017, 08:53:03 am »เมื่อสิ่งสามัญ กลายเป็นความอัศจรรย์ บทความจาก พระไพศาล วิสาโล
ภิกษุฟับดัง ธรรมาจารย์แห่งหมู่บ้านพลัม ไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะเป็นมะเร็ง จนกระทั่งวันหนึ่งหมอยืนยันว่านั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับท่าน ยิ่งไปกว่านั้นมะเร็งได้ลุกลามถึงระยะที่สามแล้วหากท่านไม่รับเคมีบำบัดก็อาจมรณภาพในสามเดือน
ทีแรกนั้นท่านตกใจมาก รู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ก็มีสติรู้ทันความกลัวนั้น แล้วใจก็สงบลง นับแต่นั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับท่าน ท่านรู้สึกถึงมหัศจรรย์ของชีวิตและรับรู้ได้ถึงความงดงามของธรรมชาติรอบตัว ไม่ว่าท้องฟ้าหรือดอกไม้
“เมื่อรู้ว่าความตายใกล้เข้ามา ฉันให้ความสนใจอย่างมากต่อผีเสื้อ ฉันเบิกบานกับการเฝ้ามองผีเสื้อ เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เห็นมัน”
สำหรับคนจำนวนไม่น้อย คำวินิจฉัยของแพทย์ดังกล่าวเป็นเสมือนคำตัดสินประหารชีวิตที่ทำให้จิตใจตกต่ำย่ำแย่ราวกับตายทั้งเป็น แต่สำหรับท่านฟับดัง มันกลับทำให้ท่านซาบซึ้งในคุณค่าของชีวิตและสรรพสิ่งที่ประสบพบเห็น ทุกสัมผัสที่ดูเหมือนดาษดื่นกลับกลายเป็นสิ่งงดงามและมหัศจรรย์ ทั้งนี้ก็เพราะท่านอาจไม่มีโอกาสได้เห็นหรือได้รับรู้อีก นี่เป็นความรู้สึกทำนองเดียวกับวิลโก้ จอห์นสัน (Wilko Johnson) นักดนตรีชื่อดังชาวอังกฤษ ทันทีที่รู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง แทนที่จะรู้สึกแย่ เขากลับเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกตัวเบาใจฟู
“จู่ ๆ ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา ผมมองต้นไม้ ท้องฟ้า มองทุกสิ่งทุกอย่างแล้วรู้สึกว่า ‘วิเศษ’ จริง ๆ” เขาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า “สิ่งเล็ก ๆ ทุกอย่างที่เห็น ลมเย็นทุกสายที่สัมผัสใบหน้า อิฐทุกก้อนบนถนน (มันทำให้) คุณรู้สึกเลยว่า ฉันมีชีวิต ฉันมีชีวิต”
ก่อนหน้านั้นเขาเป็นโรคซึมเศร้า แต่พอรู้ว่าความตายกำลังรออยู่ไม่ไกล
“ผมรู้สึกเหมือนขนนกที่ปลิวไหวไปตามสายลมและลมก็พัดมากระทบผมอย่างเดียวกัน ในใจผมรู้สึกถึงความอิสรเสรี เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก”
ความตายนั้นหมายถึงการสูญเสียพลัดพรากอย่างสิ้นเชิง ใครที่คิดถึงแต่ในแง่นั้นย่อมอดเศร้าโศกเสียใจไม่ได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งมันทำให้เราเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่เรามีหรือสัมผัสรับรู้ มันจะไม่ใช่สิ่งดาษดื่นในความรู้สึกของเราอีกต่อไปเมื่อนึกถึงวันที่เราจะต้องสูญเสียมันไป
ใช่หรือไม่ว่า คนเราไม่ค่อยซาบซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งที่ตนมี ต่อเมื่อสูญเสียมันไปแล้วจึงกลับมาเห็นคุณค่าของมัน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ มิตรภาพ หรือแม้แต่คนรัก ผู้คนจำนวนไม่น้อยตระหนักถึงความจริงข้อนี้เมื่อสายไปแล้ว ข่าวดีก็คือ เราไม่จำเป็นต้องรอให้ความสูญเสียเกิดขึ้นก่อนจึงค่อยเห็นความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ที่เรามี ความตายเป็นเครื่องเตือนใจอย่างดีให้เราหันมาซาบซึ้งชื่นชมสิ่งเหล่านั้นก่อนที่จะสายเกินไปแม้แต่สิ่งที่ดูธรรมดาสามัญ เช่น ต้นไม้ ท้องฟ้า และสายลม จะกลายเป็นความวิเศษ มหัศจรรย์ทันทีเมื่อเราตระหนักว่าอาจจะได้เห็นและสัมผัสมันเป็นครั้งสุดท้าย
ผู้ป่วยด้วยโรคร้าย (รวมทั้งญาติมิตร)จำนวนมากจมปลักอยู่ในความโศกเศร้าหดหู่ เพราะมัวคิดถึงแต่วันที่จะต้องสูญเสียคนรักและสิ่งทั้งปวงที่มี จนลืมไปว่าวันนี้ชั่วโมงนี้ คนรักและของรักทั้งหลายยังอยู่กับเราไม่ได้หายไปไหน แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับภาพอนาคตอันเลวร้าย หากหันมาใส่ใจกับปัจจุบัน เขาจะทุกข์น้อยลงและมีความสุขมากขึ้น เพราะนอกจากจิตใจจะซาบซึ้งชื่นชมกับทุกสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว เขายังสามารถใช้เวลาที่มีอยู่อย่างมีคุณค่า รวมทั้งปฏิบัติกับทุกคนและทุกสิ่งอย่างดีที่สุด แทนที่คนป่วย(หรือญาติ) จะวิตกกังวลว่าเขาจะอยู่อย่างไร ก็หันมาใส่ใจทำสิ่งดีที่สุดให้กับเขา หรือมีความสุขร่วมกับเขาเสียแต่วันนี้ ไม่ปล่อยให้โอกาสทองผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
โรคร้ายหรือความตายนั้นไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่นำความหดหู่เศร้าหมองมาให้แก่เราเสมอไป มันสามารถกระตุ้นเตือนใจให้เราเห็นถึงความอัศจรรย์ของชีวิตและความงดงามของสรรพสิ่งได้ ถ้าวางใจเป็น โรคร้ายหรือความตายก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง
“เมื่อรู้ว่าความตายใกล้เข้ามา ฉันให้ความสนใจอย่างมากต่อผีเสื้อ ฉันเบิกบานกับการเฝ้ามองผีเสื้อ เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เห็นมัน”
จาก http://www.goodlifeupdate.com/3978/healthy-mind/miraclesimple/