ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 12, 2017, 09:27:46 am »ดูละครแล้วเที่ยวชม “นาค” ตำนานการเกิดรัฐในอุษาคเนย์
หลังจากละคร “นาคี” ครองอันดับละครดังแห่งปี 2559 ตามที่สื่อหลายสำนักยกให้ไปแล้ว เพื่อให้ได้สาระความรู้อันเข้มข้นทางประวัติศาสตร์และการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับนาคี มติชน อคาเดมี จึงจัดทริปพิเศษ “เที่ยวปราสาทเมืองเก่า เล่าเรื่องนาคี” ใน 3 จังหวัด นครราชสีมา-บุรีรัมย์-สุรินทร์ ในวันที่ 20-22 มกราคม 2560
ก่อนจะพาไปทริปสุดพิเศษ รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับนาค ไฮไลต์ของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในครั้งนี้
“นาค” ในตำนานพื้นเมืองอุษาคเนย์ที่สำคัญและน่าจะ เป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานทางวัฒนธรรมอินเดียกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ตำนานการเกิดขึ้นของอาณาจักรฟูนัน (ฝูหนาน) ซึ่งมีหลักฐานการเล่าขานสืบเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบันในชื่อเรื่องว่า “พระทอง-นางนาค”
ตำนานพระทอง-นางนาค ที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกภาษาสันสกฤตกล่าวว่า พราหมณ์โกณฑินยะผู้ได้รับหอกจากพราหมณ์อัศวัตถามันบุตรแห่งพราหมณ์โทรณะ ได้พุ่งหอกไปเพื่อสร้างราชธานี ต่อจากนั้นจึงได้สมรสกับธิดาพญานาคนามว่า โสมา และได้สืบเชื้อวงศ์ต่อมา
ส่วนบันทึกของราชทูตชาวจีนที่เข้ามายังอาณาจักรฟูนัน ได้กล่าวถึงตำนานเรื่องนี้ไว้ว่า พราหมณ์อินเดียผู้หนึ่งชื่อว่าโกณฑินยะ หรือเกาฑินยะ ฝันว่า มีเทวดาองค์หนึ่งนำเกาทัณฑ์มาให้ พราหมณ์ผู้นั้นจึงลงเรือสำเภาออกสู่ทะเล ตอนเช้าพราหมณ์ผู้นั้นได้ไปยังศาสนสถานแห่งหนึ่ง ไปพบเกาทัณฑ์ดังความฝันจึงเดินทางโดยทางทะเลและได้มาถึงเมืองฝูหนาน เมื่อราชินีเลี่ยวหยีเห็นจึงต้องการแย่งชิงสำเภานั้นมาเป็นของตน โกณฑินยะจึงยิงเกาทัณฑ์ต่อสู้ นางเลี่ยวหยียอมแพ้ โกณฑินยะจึงได้ครองฝูหนานและได้นางเลี่ยวหยีเป็นมเหสี
ตํานานดังกล่าวได้มีการเล่าขานสืบมา กลายเป็นตำนาน “พระทอง-นางนาค” ซึ่งเป็นนิทานพื้นบ้านกัมพูชาที่ปรากฏในประวัติศาสตร์เขมร และต่อมาพระองค์นพรัตน์ได้นำมาเชื่อมไว้ในต้นราชพงศาวดารกรุงกัมพูชา ความว่า
“มีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้า อาทิจจวงศ์ ครองราชย์อินทบัติบุรีศรีมหานครอุดรภาค ทรงมีพระราชบุตร 5 พระองค์ พระราชบุตรองค์กลางทรงพระนามว่า พระทอง ในเวลาต่อมาพระเจ้าอาทิจจวงศ์ทรงพระพิโรธแก่พระทอง แล้วตรัสสั่งพระอนุชาให้จับพระทองและข้าราชบริพารทั้งบุรุษและสตรีลอยแพไปจากพระนคร แพนั้นลอยมาตามฝั่งทะเลซึ่งเป็นดินแดนของพระเจ้าอัศจรรย์ราช
วันหนึ่งพระทองเสด็จทรงม้าประพาสพระนครพร้อมทั้งราชบริพารตามฝั่งทะเล ทอดพระเนตรเห็นทางราบเสมอดีใต้ต้นโธลกใหญ่ต้นหนึ่งจึงเสด็จเข้าไปพักผ่อนในที่นั้น ต่อมาน้ำทะเลก็ขึ้นท่วมที่ประพาส พระองค์เสด็จกลับไม่ได้จึงประทับในที่นั้นจนเวลาราตรี
เพลานั้นนางนาคซึ่งเป็นพระราชบุตรีของพญานาคราช พร้อมด้วยราชบริพารซึ่งเป็นนางเทพอัปสรกัลยาขึ้นมาพักผ่อนบนหาดทรายตามปกติบริเวณต้นโธลก ซึ่งพระทองประทับอยู่นั้น เมื่อพระทองเห็นนางนาคมีรูปโฉมงดงามก็มีพระทัยปฏิพัทธ์ แล้วขอร่วมไมตรีกับนางนาค พระนางมีความเสน่หาพระทองจึงตรัสตอบว่าขอให้ทรงคอยอยู่ 7 วัน และขอให้ทรงเตรียมเครื่องบรรณาการนำมาวางไว้ในที่นี้ เพื่อจะถวายพระราชบิดาก็คงจะได้สำเร็จดังพระทัยปรารถนา
นางนาคทูลเสร็จแล้วจึงกราบลากลับลงไปนาคพิภพ แล้วจึงเข้าไปกราบทูลพระวรราชบิดามารดา ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบทุกประการ พระเจ้าภุชงคนาคราชทรงฟังแล้วก็ทรงเห็นพร้อมยอมตามพระทัยของพระราชบุตรี เมื่อครบ 7 วัน พระองค์ก็ทรงแทรกแผ่นดินขึ้นมากับพระมเหสีและพระราชวงศานุวงศ์ และโยธาข้าราชบริพาร มาประทับที่ลานเกาะโคกโธลก พระองค์ทรงมีพระทัยโสมนัสยินดีในพระทองพร้อมทั้งยกพระราชบุตรีให้เป็นพระมเหสี
พระองค์ทรงแสดงฤทธานุภาพสูบน้ำมหาสมุทรตรงสถานที่นั้นเพื่อเนรมิตพระนครให้พระทองและพระราชบุตรีให้ครองราชย์ในพระนครโคกโธลก พระองค์ทรงถวายพระนามพระชามาดาว่า พระบาทสมเด็จพระเทววงศ์อัศจรรย์ พระราชบุรีทรงพระนาม ธาราราชวคีบรมบพิตร พระนามนครโคกโธลกว่า กรุงกัมพูชา ตามเหตุที่เมืองนั้นเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ของพระเจ้าภุชงคนาคราช
ตามเรื่องราวในนิทานนี้พระเจ้าเทววงศ์อัศจรรย์ (พระทอง) เป็นปฐมกษัตริย์เขมรของพระราชวงศ์พระองค์แรกในกรุงกัมพูชาตั้งแต่เวลานั้นมา
ตามเอกสารจีนและศิลาจารึกเขมร ทำให้ทราบว่า มีการแต่งงานกันระหว่างพราหมณ์อินเดียชื่อ โกณฑินยะ (โกณฑัญญะ) และนางเมรา หรือโสมา ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 1 กล่าวคือระหว่างกษัตริย์อินเดียและแม่ทัพหญิงเขมรคือนางนาค ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอาณาจักรฟูนัน
ชาวกัมพูชาเชื่อว่า ประเพณีการแต่งงานเขมรนั้นเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเนื่องจากพระทองและนางนาค และเนื่องจากในตำนานนั้นพระทองไม่สามารถที่จะตามนางนาคไปยังนครของนางได้ พระทองจึงต้องจับชายสไบตามนางไป เวลาแต่งงานนักดนตรีก็จะบรรเลงเพลง “พระทอง” และเพลง “นางนาค” เจ้าบ่าวก็ต้องจับชายสไบตามเจ้าสาวเข้าห้องหอ เหมือนกับพระทอง-นางนาค สืบมาจนถึงปัจจุบัน
ความเชื่อเกี่ยวกับนาคในกัมพูชาสืบเนื่องต่อมาจนถึงปลายสมัยพระนคร เมื่อโจวต๋ากวาน ชาวจีนที่เดินทางเข้ามาในเมืองพระนครของกัมพูชาบันทึกไว้ว่า ทุกคืนพระมหากษัตริย์ของกัมพูชาต้องไปบรรทมกับนางนาค ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
“…ปราสาททองคำภายในพระราชวังนั้น…พวกชาวเมืองพากันกล่าวว่า ในปราสาทนั้นมีภูตงูเก้าศีรษะ ซึ่งเป็นพระภูมิเจ้าที่ทั่วทั้งประเทศ ภูตตนนี้เป็นร่างของสตรี และจะปรากฏกายทุกคืน พระเจ้าแผ่นดินจะเข้าที่บรรทมและทรงร่วมสมพาสด้วยก่อน…ถ้าราตรีใดภูตตนนี้ไม่ปรากฏกาย ก็หมายความว่าเวลาสวรรคตของพระเจ้าแผ่นดินชาวป่าเถื่อนพระองค์นั้นใกล้มาถึงแล้ว ถ้าพระเจ้าแผ่นดินของชาวป่าเถื่อนมิได้เสด็จไปเพียงราตรีเดียวก็ต้องทรงได้รับภัยอันตราย…”
ในพระราชพงศาวดารกัมพูชายุคหลังที่แต่งขึ้นในยุคร่วมสมัยกับกรุงรัตนโกสินทร์ ยังกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เมืองพระนครล่มสลายว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กัมพูชากับนาค
เรื่องพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กัมพูชาพระนามว่า “พระเจ้ากรุงพาล” กับพญานาค เนื่องจากกษัตริย์พระองค์นั้นไม่ยอมส่งเครื่องบรรณาการแก่พญานาค พญานาคจึงยกทัพขึ้นมารบ พญานาคแพ้ถูกพระเจ้ากรุงพาลตัดศีรษะ โลหิตพญานาคไปต้องพระองค์พระเจ้ากรุงพาลเกิดเป็นโรคเรื้อน
ส่วนราชพงศาวดารกรุงกัมพูชากล่าวว่า กษัตริย์กัมพูชาเห็นว่า บรรดาขุนนางนาคที่ทำราชการกับพระองค์ไม่อ่อนน้อมเกรงกลัวต่อพระเดชานุภาพก็ทรงพระพิโรธ เสด็จเข้าไปจะประหารชีวิต ฝ่ายมนตรีนาคหลบทัน แล้วพ่นโลหิตถูกกษัตริย์กัมพูชาจนประชวรเป็นโรคเรื้อน ส่วนนาคก็มิได้ไปมาหาสู่กับมนุษย์อีกเลย
จาก https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_171049