ข้อความโดย: มดเอ๊กซ
« เมื่อ: มกราคม 15, 2017, 06:57:49 am »บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ บอยสเก๊าท์ (วินรวีร์ ใหญ่เสมอ) ตอน 1
ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เด็กหนุ่มผู้รักการร้องเพลงได้พลิกชีวิตมาเป็นนักร้อง วงบอยแบนด์ที่ดังที่สุดวงหนึ่งในยุค 90 แฟนเพลงรู้จักเขาในชื่อ ต๊ะ บอยสเก๊าท์
ในช่วงที่กำลังมีชื่อเสียง เขากลับเจอกับ “ข่าวร้าย” ที่ทำให้ชีวิตพลิกผันเพียงชั่วข้ามคืน จากคนที่เคยโด่งดังกลายเป็นคนสิ้นหวัง เขาผ่านวันร้าย ๆ นั้นมาได้ด้วย การอ่านหนังสือ เล่นกีฬา และเข้าหาธรรมะ
ความทุกข์ ความผิดหวัง และความสูญเสียที่ต้องเผชิญ กลายเป็น “บทเรียน” สำคัญที่ทำให้เขาเข้มแข็งได้อย่างวันนี้
ลูกชายคนสุดท้อง
ผมเป็นคนจังหวัดสุโขทัย อาศัยอยู่ในอำเภอศรีสำโรงมาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวของผมมีกันอยู่ 5 คน คือ พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาวและผม นาน ๆ ครั้งเราจึงมีเวลาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสักที เพราะคุณพ่อต้องทำงานหนักเพื่อดูแลครอบครัว คุณแม่ซึ่งเป็นครูจึงรับหน้าที่ดูแลลูก ๆ ทั้งสามอย่างใกล้ชิด
ผมเป็นลูกชายคนสุดท้อง เป็นเด็กที่กล้าแสดงออก ร่าเริง เป็นเหมือนขวัญใจตัวน้อยของบ้าน ตอนเด็ก ๆ ผมชอบอ้อนคุณแม่ ทำให้สนิทและผูกพันกับท่านมากเพราะท่านใจดี เข้าใจผมเสมอ ต่างจากคุณพ่อที่ค่อนข้างดุ บางครั้งผมก็เห็นว่าท่านดุเกินไปและคิดต่อต้านอยู่บ้าง
ผมเรียนชั้นประถมในโรงเรียนเดียวกับที่คุณแม่สอนอยู่ ท่านดูแลทั้งการเรียนและการประพฤติตัว แต่พอเรียนจบ ป.6 ผมต้องย้ายมาอยู่บ้านป้า เพราะคุณแม่ส่งไปเรียน ม.1 ที่โรงเรียนชายล้วนในตัวจังหวัดพิษณุโลก เข้าไปตอนแรกก็ถูกเพื่อนแกล้งเลยแต่ผมไม่ยอม เพราะถือว่าเคยเป็นหัวโจกจากโรงเรียนเก่ามาก่อน เมื่อเริ่มปรับตัวได้ก็เริ่มเกเร ติดเพื่อน และเที่ยวกลางคืนตั้งแต่อยู่ ม.2
ช่วงแรก ๆ ที่ย้ายมาอยู่พิษณุโลก ผมนั่งรถกลับไปหาคุณแม่ที่สุโขทัยทุกวันศุกร์แต่หลัง ๆ ผมเริ่มไม่กลับไปหาท่าน จนท่านต้องเป็นฝ่ายเดินทางมาหาเอง หลายครั้งที่ท่านมาหาแล้วไม่เจอผมจึงได้แต่ฝากจดหมายไว้ให้ ข้อความในจดหมายมักเป็นการสอนเรื่องต่าง ๆ และลงท้ายด้วยคำว่า “รัก” เสมอ
ผมอ่านจดหมายของแม่แล้วสะเทือนใจทุกครั้ง แต่ในวัยนั้นผมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นไม่ได้ จนสุดท้ายก็เกิดเรื่องใหญ่ที่ทำให้ที่บ้านเสียใจ
พอขึ้นชั้น ม.3 ผมทำตัวเกเร มีเรื่องชกต่อยอยู่สัก 3 ครั้ง จึงถูกทำทัณฑ์บนว่าห้ามทำผิดอีก แต่จากนั้นไม่นานผมกลับถูกเพื่อนที่โดดเรียนกล่าวหาว่าผมโดดเรียนไปกับเขาด้วย เรื่องนี้จึงกลายเป็นความผิดครั้งที่ 4 ที่ทำให้ผมถูกเชิญออกจากโรงเรียนครั้งนี้ผมถูกคุณพ่อตีไม่ยั้งเลย เพราะถือเป็นเรื่องที่รุนแรงมาก
ผมต้องกลับมาเรียนที่สุโขทัยอีกครั้งซึ่งในเวลานั้นคุณพ่อย้ายมาทำธุรกิจโรงงานกระเป๋าหนังที่กรุงเทพฯ โดยพาพี่ทั้งสองไปอยู่ด้วย ผมจึงอยู่กับแม่เพียงสองคน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขมาก ตอนเช้าเราออกจากบ้านพร้อมกัน ตกเย็นกลับมาบ้านผมกับแม่นอนร้องเพลงกันทุกวัน ทำให้ผมผูกพันกับแม่มากขึ้นไปอีก
เริ่มจากศูนย์ในวงการบันเทิง
เมื่อเรียนจบ ม.3 ผมก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯและเรียนต่อสายอาชีพด้านเครื่องหนัง ตามใจคุณพ่อที่อยากให้มาดูแลกิจการที่บ้าน แม้สถาบันที่เรียนเป็นวิทยาลัยที่สอนด้านศิลปะ แต่เครื่องแบบเป็นเสื้อช็อปเหมือนกับเด็กช่าง ชีวิตของผมจึงวนเวียนกับเรื่องตีกัน ยิ่งผมเป็นคนไม่ยอมใครด้วย จึงอยู่ในวังวนเช่นนี้เรื่อยไป จนเริ่มได้มาทำงานในวงการบันเทิงและต้องหยุดเรียนไป
ผมเข้าวงการได้เพราะเพื่อนสนิทสมัยที่เรียนอยู่พิษณุโลกตามหาผมที่กรุงเทพฯจนเจอทั้งที่ขาดการติดต่อกันหลายปี เขาชวนผมไปเข้าโมเดลลิ่งที่เขาเคยอยู่มาก่อน ผมก็ลองตามเขาไป จากนั้นก็ได้ไปแคสต์งานโน้นงานนี้อยู่เป็นปี จนสุดท้ายได้งานแรกเป็นเอกซ์ตร้าในโฆษณาชิ้นหนึ่ง
หลังจากงานแรกก็ได้ถ่ายโฆษณาอื่นเรื่อย ๆ จนภายหลังจึงได้เป็นตัวแสดงหลักของโฆษณาหลายชิ้น และทำให้ผมได้รู้จักกับพี่อ้อย ซึ่งอยู่ในโมเดลลิ่งแห่งหนึ่งที่สยามสแควร์เขาส่งรูปผมไปให้ พี่พจน์ อานนท์ ทำให้ผมได้ไปแคสต์ภาพยนตร์เรื่อง อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป และได้รับบทค่อนข้างเด่น ระหว่างถ่ายทำพี่พจน์ก็ให้ขึ้นปก เธอกับฉัน จึงทำให้คนทั่วไปเริ่มรู้จักผมมากขึ้น
ผมเริ่มทำงานในวงการตั้งแต่อายุ 15 ปี เริ่มต้นจากศูนย์ ทำทุกงานด้วยความอยากรู้อยากจะพัฒนาตัวเอง ทุกอย่างเป็นประสบการณ์ใหม่ ผมคิดแต่จะลุยไปข้างหน้า ทำทุกอย่างเป็นขั้นบันได คือการรับงานแต่ละอย่างต้องดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เสมอ ไม่มีที่จะถอยลง
ครั้งหนึ่งมีหมอดูทักผมว่า ชีวิตนี้เป็นได้แต่พระรอง คำพูดนี้แทงเข้าไปในใจ ผมไม่ได้คิดว่าต้องเป็นพระเอกดังหรอก แต่คำนี้มันฆ่าเราชัด ๆ ผมเก็บคำพูดนั้นไว้ในใจเสมอหลังจากถ่ายทำเรื่อง อนึ่งฯ จบก็มีงานภาพยนตร์เรื่องหนึ่งติดต่อมา ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเด็กใหม่ในวงการอย่างผม เสียแต่ว่าเป็นบทพระรอง ผมจึงปฏิเสธไป
ที่ทำไปอย่างนี้ผมไม่ได้ดูถูกงานนะครับผมคิดเพียงแต่ว่าไม่อยากให้ใครมาลิขิตชีวิตของผม และผมได้พิสูจน์แล้วด้วยว่า ชีวิตหลังจากนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่หมอดูคนนั้นทักไว้
นักร้องเสียงแหบเสน่ห์
พอเริ่มมีชื่อเสียง ผมก็ได้ร่วมงานกับค่ายอาร์เอส โดยเล่นมิวสิควิดีโอเพลงอัลบั้มข้ามเวลา ของ พี่ต้อม เรนโบว์ ซึ่งได้เล่นทุกเพลงและมีกระแสตอบรับดีมาก ในขณะเดียวกันนั้นก็มีงานถ่ายแบบเยอะมากผมทำงานในวงการได้สักพัก ทางอาร์เอสก็มีโปรเจ็กต์ทำเพลงเป็นวง 3 คน โดยเรียกนักแสดงวัยรุ่นชายในตอนนั้นไปเทสต์เสียงซึ่งผมเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนเสียงแหบ พอทางค่ายเรียกเข้าไป คุณพ่อคุณแม่จึงส่งผมไปเรียนร้องเพลงกับ ครูอ้วน - มณีนุช เพื่อให้มีพื้นฐานด้านการร้องเพลงบ้าง พอเข้าไปเทสต์ก็เจอแต่คนเสียงดี ผมก็เริ่มไม่มั่นใจจึงร้องไปแบบเน้นความสนุกมากกว่า จนสุดท้ายผมผ่านการคัดเลือกและได้เซ็นสัญญาเป็นหนึ่งในสามของนักร้องวง บอยสเก๊าท์มีเพื่อนร่วมวงคือ ดิ๊บ และ โจ ที่เป็นเพื่อนร่วมแก๊งร้องเพลงกันตั้งแต่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง อนึ่งฯ แล้ว
เมื่อออกอัลบั้มแรก เพลงดังมาก ดังทั้งอัลบั้ม สมัยนั้นยังไม่มีนักร้องมากนักคนทั้งประเทศจึงรู้จักวงบอยสเก๊าท์ จากนั้นไม่นานผมก็ได้รับบทพระเอกในภาพยนตร์เรื่อง เด็กระเบิด ยืดแล้วยึด และ เด็กเสเพลภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผมได้ทั้งชื่อเสียง เงินทอง และความสำเร็จ ผมได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ ปี พ.ศ. 2539 เป็นรางวัลที่ผมภูมิใจอย่างมาก รวมทั้งเป็นการลบคำสบประมาทของหมอดูคนนั้นไปได้
แต่ชื่อเสียง เงินทอง ความโด่งดังจากการเข้าวงการก็ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมเข้าวงการตั้งแต่วัยรุ่นวุฒิภาวะยังน้อย จากเด็กธรรมดาทั่วไปกลายมาเป็นคนดังที่มีแต่คนดูแลเอาใจ ทำให้“หลง” กับสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็นได้ง่าย
ตอนทำงานอัลบั้มแรก ผมให้คุณพ่อคุณแม่เก็บเงินให้ทั้งหมด เพราะช่วงก่อนหน้านั้นธุรกิจของคุณพ่อล้ม เงินที่ได้จากการทำงานจึงนำไปซื้อบ้าน ซื้อรถให้กับครอบครัวได้แต่พอออกอัลบั้มที่ 2 ผมเก็บเงินเอง แล้วก็ไม่เหลือเลยสักบาท เพราะอยากได้อะไรก็ซื้อหมด ของอะไรที่ไม่มีเงินซื้อตอนเด็กก็กวาดซื้อมาหมด ช่วงนั้นผมติดเพื่อนมาก ทุกเย็นวันศุกร์ผมจะรับเพื่อนไปเที่ยวต่างจังหวัด มีเงินเท่าไหร่ก็เลี้ยงเพื่อนหมดจนหลายครั้งทำให้คุณพ่อคุณแม่ช้ำใจ
และความติดเพื่อนนี่แหละเป็นต้นตอของเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเสียใจที่สุดในชีวิต
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
จาก http://www.goodlifeupdate.com/44589/healthy-mind/tabsk/
บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ บอยสเก๊าท์ – วินรวีร์ ใหญ่เสมอ (2)
อย่างที่เคยเล่าว่า ช่วงวัยรุ่นผม (ต๊ะ บอยสเก๊าท์ – วินรวีร์ ใหญ่เสมอ) ติดเพื่อนมาก ว่างเมื่อไหร่ก็ไปเที่ยว ไปเฮฮากับเพื่อนจนลืมให้ความสำคัญกับครอบครัวสุดท้ายจึงต้องพบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ติดอยู่ในใจไม่มีวันลืม
การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
เหตุการณ์ที่ทำให้ผมใจแตกสลายเกิดขึ้นเมื่อผมอายุ 25 ปี คืนนั้นเป็นคืนวันสิ้นปีผมกำลังเตรียมตัวออกไปเคานต์ดาวน์กับเพื่อน ๆ ตามที่นัดกันไว้ แต่คุณแม่ไม่อยากให้ออกไปเพราะอยากให้ผมอยู่กับครอบครัวบ้าง ท่านขอให้ผมอยู่บ้านสักคืน แต่ไม่ว่าท่านจะพูดอย่างไร ผมก็ไม่ฟัง จนสุดท้ายก็ทะเลาะกัน ท่านโมโหมากจึงพูดขึ้นมาว่า
“แม่จะจับแกบวช”
ตอนนั้นผมดื้อเกินกว่าจะฟังคำของแม่จึงออกจากบ้านมาโดยไม่รู้เลยว่า นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่จะได้ยินจากปากท่าน
ขณะที่ผมกำลังปาร์ตี้สนุกสนานอยู่กับเพื่อน ช่วงตีหนึ่งกว่า ๆ ก็ได้รับข้อความทางเพจเจอร์ว่า “แม่ไม่สบาย รีบมาโรงพยาบาลด่วน” ผมอ่านข้อความนั้นแล้วใจหายวาบรีบออกไปโรงพยาบาลทันที จะเป็นไปได้ยังไงแม่เป็นคนแข็งแรงมาก ผมคิดในใจไปตลอดทาง ยิ่งคิดก็ยิ่งใจไม่ดี
เมื่อถึงโรงพยาบาล พ่อมายืนรอรับผมอยู่แล้ว ท่านบอกว่า “ใจเย็น ๆ นะลูก” ผมรีบเดินเข้าไปด้านในและเห็นพี่สาวนั่งร้องไห้โฮสะอึกสะอื้นเหมือนเด็กอยู่หน้าห้อง พอเดินเข้าไปในห้องก็เห็นผ้าคลุมร่างคุณแม่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมแทบบ้าผมไม่เคยคิดว่าจะต้องเสียคนที่ผมรักที่สุดในชีวิตไป เวลานั้นผมควบคุมสติไว้ไม่อยู่ ได้แต่ต่อยตัวเอง จิกกระชากผม เอาหัวโขกกำแพง ทำร้ายตัวเองสารพัด จนญาติ ๆ ต้องมาล็อกตัวกันชุลมุน
กว่าจะได้สติและพูดจารู้เรื่องก็เกือบแปดโมงเช้า คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า คุณแม่นอนหลับไปแล้ว แต่อยู่ ๆ ก็หายใจไม่ออกคุณพ่อจึงรีบพาส่งโรงพยาบาล แต่คุณแม่ก็หมดสติไปตั้งแต่อยู่ที่บ้าน หมอบอกว่าท่านหัวใจล้มเหลว ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งสะเทือนใจไม่มีครั้งไหนที่ผมเสียใจเท่านี้อีกแล้ว
ผมบวชหน้าไฟในงานศพแม่ และบวชต่อไปอีกเป็นเวลา 19 วัน การบวชครั้งนั้นไม่ได้ทำให้จิตใจของผมสงบลงเลย เพราะใจยังไม่พร้อม ยังคงโศกเศร้ากับการสูญเสียหลายครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ผมก็โทษตัวเองเสมอว่า ถ้าวันนั้นผมไม่ออกจากบ้าน เหตุการณ์นี้อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้
“ข่าวร้าย” ทำลายชีวิต
ความโศกเศร้าจากเรื่องแม่ยังไม่ทันจางหาย ผมก็ต้องเจอกับเรื่องร้าย ๆ ที่ทำให้สูญสิ้นทุกสิ่งในชีวิต
หลายคนคงจำได้ว่าผมเป็นข่าวใหญ่อยู่พักหนึ่ง แม้เหตุการณ์นี้ผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ผมยังคงจดจำได้ดี
เช้าวันนั้นเกิดข่าวครึกโครมในหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับว่า ต๊ะ บอยสเก๊าท์ เมายาและทำร้ายร่างกายผู้หญิง เมื่อข่าวออกมาเช่นนี้ ผมรู้ทันทีว่าชีวิตผมพังแล้ว เพราะทางค่ายเพลงต้นสังกัดสอนศิลปินทุกคนอยู่ตลอดว่า อย่าเป็นข่าวในทางไม่ดี สำหรับข่าวนี้ ผมยอมรับว่าเคยเสพยาบ้าง แต่เรื่องทำร้ายผู้หญิงผมไม่เคยทำและไม่เคยคิดที่จะทำ ถึงผมเคยผ่านเรื่องตีรันฟันแทงมาเยอะ แต่กับผู้หญิงผมไม่เคยทำแน่นอนข่าวนี้ทำให้ผมเสื่อมเสียมาก
ทันทีที่ข่าวออกมา ค่ายเพลงต้นสังกัดออกมาแถลงข่าวตัดผมออกจากค่ายเพลงและงานทุกอย่าง ทั้งที่ผมกำลังถ่ายละครเรื่องหนึ่งและกำลังทำอัลบั้มเดี่ยวด้วย ข่าวของผมเวลานั้นมันร้ายแรงมากจริง ๆ ผมจึงเข้าใจบริษัทที่ไม่ควรมาแปดเปื้อนด้วยข่าวเสียหายของศิลปินคนหนึ่ง
ช่วงนั้นข่าวของผมแรงมาก ขึ้นหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน ผมไม่กล้าอ่านข่าวพวกนั้นและไม่ออกไปไหน อยู่แต่บนเตียงถึง 5 วันตื่นมาก็ไม่อยากทำอะไร นอนซังกะตายอยู่อย่างนั้น ไม่พูดไม่จากับใคร ผมเพิ่งจะผ่านความเจ็บปวดจากการเสียคุณแม่ไปเมื่อต้นปีพอปลายปีก็มาเจอเหตุการณ์นี้อีก
ช่วงเวลานั้นครอบครัวเป็นกำลังใจสำคัญคุณพ่อของผมเปลี่ยนไปเลย จากที่เคยดุก็กลายมาเป็นคนที่เข้าใจผม คอยปลอบใจและเป็นกำลังใจสำคัญ นอกจากนี้ก็มีเพื่อน ๆคอยดูแล ช่วงนั้น โด่ง – สิทธิพร นิยม และพี่แซ้งค์ – ปฏิวัติ เรืองศรี ชวนผมออกไปนั่งที่ร้านของเขาเสมอ เพื่อให้ผมไม่จมอยู่กับความทุกข์ ผมก็ไปนั่งเล่นจนร้านปิด แม้จะต้องเผชิญกับสายตาที่มองมา แต่การออกไปข้างนอกก็ทำให้ผมได้รับกำลังใจดี ๆจากหลายคนที่เชื่อในตัวผมกลับมาเสมอ
เกือบคิดสั้น
ผมไม่ค่อยระบายความทุกข์ให้ใครฟังเพราะไม่อยากให้คนอื่นทุกข์ไปด้วย จึงได้แต่เก็บความทุกข์ไว้ในใจ จนครั้งหนึ่งเกือบทนไม่ไหว คิดฆ่าตัวตายให้พ้นไปจากปัญหา
วันนั้นผมไปที่คอนโดของเพื่อน ซึ่งเป็นตึกสูง 16 ชั้น แล้วขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าคิดวนเวียนถึงเรื่องต่าง ๆ จนร้องไห้ไม่หยุดวูบหนึ่งผมคิดว่า ผมไม่อยากอยู่แล้ว หากผมก้าวเท้าไปข้างหน้า ร่างของผมก็จะตกลงไปแต่ในวินาทีแห่งการตัดสินใจ ผมกลับได้ยินเสียงเพลงแว่วมาในหัว
“ตายถึงยอม แต่ไม่ใช่ยอมตายเพื่อหนีปัญหาทุกอย่าง ตายมันง่าย ถ้าแน่จงอยู่สู้ให้ถึงจุดหมายปลายทาง”
นี่คือเพลง คนยุคเหล็ก ของพี่โป่งวงหินเหล็กไฟ ผมไม่รู้ว่าเสียงเพลงมาจากไหนแต่พอท่อนเพลงนี้แว็บเข้ามา ผมนึกไปถึงภาพพี่สาวที่ร้องไห้โฮเป็นเด็กในวันที่แม่จากไปมันสะเทือนใจมากจนฉุกคิดได้ว่า ถ้าผมตายไปอีกคนหนึ่ง ผมอาจจะสบาย แต่อีกสามคนในครอบครัวคงรับไม่ไหวแน่ ๆ เมื่อได้ร้องไห้ระบายความรู้สึกออกมาจนหมดสิ้นก็ค่อย ๆ นั่งลง คิดอะไรเรื่อยเปื่อยสักพัก แล้วก็ตัดสินใจว่าจะต้องสู้ต่อไป
ผมลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ความจริง โดยสู้คดีให้ถึงที่สุด ทุกครั้งที่ศาลเรียกสืบพยานผมจะมองพระพุทธรูปที่วางหน้าบังลังก์ และพูดเสมอว่า “นี่หรือคือสิ่งที่ผมได้รับ” ผมไม่เคยทำร้ายผู้หญิง ไม่เคยทำชั่วแบบนั้นและมั่นใจในสิ่งที่ทำมาตลอด ผมสู้คดีนี้อยู่ถึง 2 ปี 8 เดือน ในที่สุดศาลยกฟ้อง ผมจึงพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด
ในวันที่เป็นข่าว ข่าวนั้นขึ้นพาดหัวหน้าหนึ่งนาน 5 วัน แต่ในวันที่ผมพิสูจน์แล้วว่าผมไม่ผิด ข่าวของผมกลับอยู่ในกรอบเล็ก ๆ ในหน้าสุดท้ายของหนังสือพิมพ์ แล้วใครจะรู้ จะมีสักกี่คนที่เปิดอ่าน แม้ช่วงนั้นผมได้ออกไปพูดเรื่องนี้ในรายการโทรทัศน์หลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนความรู้สึกของผู้คนไปได้ เพราะหลายคนได้พิพากษาผมไปแล้วว่าผมเป็นคนไม่ดี ทุกวันนี้ยังมีคนติดภาพว่าผมเป็นคนทำร้ายผู้หญิงด้วยซ้ำ
ผมเคยกราบเรียนถามเรื่องนี้กับท่านว.วชิรเมธี ท่านบอกผมว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนโลกนี้ได้ และเราไม่สามารถบังคับจิตใจคนนั้นคนนี้ให้มาคิดดี ๆ กับเราได้เช่นกัน ผมจึงเริ่มคิดได้ว่าอย่าเอาใจไปยึดติดกับอดีต แต่ต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ แล้วความทุกข์ในใจจะน้อยลง
แต่กว่าจะทำใจผ่านเรื่องราวร้าย ๆเหล่านี้มาได้ ผมต้องใช้เวลานานหลายปีโชคดีที่ได้พบสิ่งที่ช่วยประคับประคองจิตใจให้ยืนหยัดต่อสู้กับความทุกข์ของตัวเองได้
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
จาก http://www.goodlifeupdate.com/44592/healthy-mind/tabsk2/
บทเรียนชีวิตลูกผู้ชาย ต๊ะ บอยสเก๊าท์ – วินรวีร์ ใหญ่เสมอ ตอน 3 (จบ)
ช่วงที่จมกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส ผม ( ต๊ะ บอยสเก๊าท์) โชคดีที่ได้เจอสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้
หลังจากเป็นข่าว ผมถูกตัดงานทั้งหมดจากคนทำงานก็กลายเป็นคนว่างงานและมีเวลาว่างเยอะมาก ผมจึงพยายามทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน
หนังสือและกีฬาเยียวยาชีวิต
ผมชอบเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก และเล่นกีฬามาตลอด ทั้งวอลเลย์บอลและฟุตบอล ช่วงเวลาที่ไม่มีงาน ผมจึงโหมเตะฟุตบอลอย่างหนัก คนอื่นเขาเตะกันสัปดาห์ละ2 วัน แต่ผมเตะทุกวัน ทั้งเช้าและเย็นเวลานอกเหนือจากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือ
เมื่อก่อนผมไม่ได้อ่านหนังสือมากนัก มักเลือกอ่านเฉพาะหนังสือที่ตัวเองสนใจ เช่น หนังสือแต่งรถ และหนังสือตกปลา แต่หลังจากที่เป็นข่าว มีผู้กำกับภาพยนตร์คนหนึ่งมาเยี่ยม ผมไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวคิดว่าเขาคงเป็นพรรคพวกกับเพื่อนสักคนหนึ่งและอยากมาให้กำลังใจผม
เมื่อได้เจอกันผมก็ไม่ได้คุยกับเขามากเพราะในเวลานั้นยังไม่อยู่ในอารมณ์อยากพูดคุยกับใคร เขาจึงยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า Chicken Soup for the Soul ซึ่งรวบรวมเรื่องสั้นที่สร้างแรงบันดาลใจตอนแรกผมไม่ได้สนใจนัก แต่พอลองอ่านกลับรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ดีมาก เพราะทำให้ผมมีกำลังใจสู้และใช้ชีวิตอยู่ต่อไป การอ่านหนังสือยังทำให้ผมมีสมาธิและเลิกคิดฟุ้งซ่าน ดังนั้นพออ่านเล่มนี้จบจึงเริ่มคิดหาหนังสือเล่มอื่น ๆ มาอ่านอีก
ผมเริ่มเข้าร้านหนังสือ วันหนึ่งก็ได้เห็นหนังสือเรื่อง สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ของ คุณวินทร์ เลียววาริณ วางโชว์อยู่หน้าร้าน ลองเปิดอ่านผ่าน ๆ แล้วสนใจจึงซื้อกลับมา ทั้งที่ยังไม่รู้ชัดว่าเป็นหนังสืออะไร แต่พอตั้งใจอ่านไปสัก 3 - 4 หน้าก็รู้สึกว่านักเขียนคนนี้มีความรู้เยอะจังเลย พออ่านต่อไปเรื่อย ๆ จึงเริ่มคิดว่าโลกนี้ช่างกว้างนัก ทำไมเราถึงได้โง่งมขนาดนี้
การอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเห็นคุณค่าของหนังสือ และเริ่มรู้ซึ้งถึงคำว่า“ความรู้คู่การอ่าน” พออ่านเล่มนี้จบก็ขนซื้อหนังสือที่สนใจมาเป็นลัง ๆ เลย ผมเริ่มอ่านหนังสือแนวจิตวิทยาเพื่อนำความรู้มาเยียวยาจิตใจตัวเอง จากนั้นก็เริ่มอ่านแนวปรัชญาหนังสือ ปรัชญาชีวิต ของ คาลิล ยิบราน ถือเป็นครูของผม เพราะสอนให้เข้าใจชีวิตมากขึ้นจากที่เคยเป็นคนมองอะไรแคบ ๆ ก็เริ่มเปิดใจมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวกว้างขึ้นและลึกขึ้น
ผมบอกใคร ๆ เสมอว่าตัวเองยังพอมีบุญอยู่บ้าง จึงหันมาอ่านหนังสืออย่างจริงจังเพราะหนังสือทุกเล่มให้ข้อคิดและเป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นวันร้าย ๆ มาได้ แม้ต้องใช้เวลานานนับปีก็ตาม
ความเจ็บป่วยสอนใจ
ช่วงหนึ่งผมทำธุรกิจส่วนตัว จึงทำให้เกิดความเครียดบ่อยครั้ง จนวันหนึ่งป่วยหนักโดยไม่ทันตั้งตัว
วันนั้นผมคุยโทรศัพท์เรื่องงาน แล้วปลายสายทำให้ผมโกรธมาก แต่ผมไม่สามารถแสดงความรู้สึกนั้นออกมาได้ พอวางสายผมก็ระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ก็ยังคงเครียดและโมโหมากอยู่ดี จึงตัดสินใจออกไปเตะฟุตบอลเพื่อให้ลืมเรื่องนั้น แต่พอเริ่มวอร์มร่างกายอยู่ ๆ ก็ปวดหัวมากจนล้มลงไปกับพื้น และถูกหามส่งโรงพยาบาล
คุณหมอวินิจฉัยว่าเส้นเลือดในสมองโป่งพอง ซึ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องเปิดกะโหลกผ่าตัดเส้นเลือด และมีความเสี่ยง70 : 30 ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าโอกาสรอด 70 หรือ30 อย่างไรก็ตามแม้โอกาสไม่รอดมีเพียง 30 ก็ยังเสี่ยงมาก แต่ก็ต้องยอมผ่าตัด
โชคดีที่การผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี ผมค่อย ๆ พักฟื้นตัวจนหาย ความเจ็บป่วยครั้งนั้นให้ข้อคิดว่า ชีวิตคนเราสั้นนัก เราอยู่กับความไม่แน่นอน เพราะสามารถตายเวลาไหนก็ได้เพราะฉะนั้นวันนี้เราควรทำดีกับคนที่เรารักให้มากที่สุด และคิดทำแต่เรื่องดี ๆ เสมอ
อยู่ในวงจรของสิ่งดีๆ
ตอนที่บวชช่วงงานศพคุณแม่ แม้จิตใจไม่สงบนัก แต่ก็ได้สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวันและหลังจากสึกออกมาแล้ว ผมไม่เคยทิ้งการไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิอีกเลย
ผมอาจไม่ได้เป็นคนเคร่งปฏิบัติมาก แต่ตั้งใจว่าจะต้องไม่ห่างจากเรื่องนี้ อย่างน้อยต้องรักษาศีล 5 ให้ได้ และหาเวลาเข้าวัดสวดมนต์ นั่งสมาธิ และไปปฏิบัติธรรมบ้างเพราะผมเชื่อว่าหากทำแต่เรื่องดี ๆ เช่นนี้เป็นประจำ ผมจะได้อยู่ในวงจรความดีเช่นนี้ตลอดไป จะไม่ถูกเหวี่ยงให้ไปในทางที่เลวร้ายอีกแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขผมก็ทำบุญอยู่เสมอ อาจตื่นแต่เช้ามาใส่บาตรหรือไปถวายสังฆทาน ทุกครั้งที่เข้าวัดผมจะรู้สึกสงบ นิ่ง และมีความสุข นอกจากนี้คำสอนของพระพุทธเจ้าทำให้ผมคิดเป็น และน้อมนำธรรมะมาใช้จัดการความทุกข์ได้
หากวันนี้ผมต้องเผชิญกับความทุกข์ผมจะมองหาสาเหตุก่อน แล้วค่อย ๆ เริ่มแก้ไขจากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ ส่วนสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมจะค่อย ๆ ปรับใจให้ยอมรับ ผมจะไม่ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน หรือจมกับความทุกข์อย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว
แรก ๆ มีเพื่อนบางคนหาว่าผมสร้างภาพเพราะเขาไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วผมชอบทำบุญและปฏิบัติธรรมมานานแล้ว อาจเป็นด้วยภาพลักษณ์ที่ดูขัดแย้ง แต่เมื่อเขาเห็นบ่อย ๆ ก็เชื่อว่าผมเป็นคนแบบนี้จริง ๆ
บางครั้งผมก็คิดว่าถ้าหากผมยังโด่งดังเหมือนในอดีต ผมอาจจะยัง “หลง” กับชื่อเสียง เงินทอง และความสุขสบาย อาจไม่ได้หันมาสนใจธรรมะหรือปฏิบัติธรรม ผมขอบคุณทุกเรื่องเลวร้ายที่ผ่านเข้ามา ทำให้ผมได้เจอทั้งสุข ทุกข์ ต้องดิ้นรนต่อสู้ จนได้ข้อคิดและเข้าใจชีวิต ผมมักนั่งเล่าเรื่องตัวเองให้น้อง ๆ ศิลปินฟัง เพราะอยากให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
ทุกวันนี้ผมมีความสุขได้จากสิ่งเล็กน้อยรอบตัว แค่มองทุกอย่างให้เป็นบวกและเกิดความสุขใจก็ได้กำไรชีวิตแล้ว นอกจากนี้ผมกลับมาสนิทกับคุณพ่อมากขึ้น ตอนที่ดัง ๆไม่เคยพาคุณพ่อไปไหนเลย ตอนนี้กลายเป็นว่าหอบหิ้วคุณพ่อไปด้วยกันทุกที่ ตัวติดกันตลอดเพื่อชดเชยสิ่งที่ไม่เคยทำให้ท่านและคุณแม่มาก่อน
สำหรับความรักก็มีความสุขดี ผมคบกับแฟนมาได้ 11 ปีแล้ว ตอนแรกที่คบกันผมกลัวว่าครอบครัวเขาจะรับไม่ได้ที่ผมเคยมีข่าวไม่ดี แต่โชคดีว่าคุณพ่อคุณแม่ของเขาดูที่การกระทำของผมมากกว่า จึงคบกันได้ไม่มีปัญหา ตอนนี้ก็วางแผนว่าน่าจะมีข่าวดีในอีกสองสามปีข้างหน้านี้
ส่วนเรื่องงานในวงการ จริง ๆ ผมไม่ได้หายไปไหน ยังมีงานอยู่เรื่อย ๆ เพียงแต่น้อยลง ซึ่งผมก็รับได้ ไม่ได้ยึดติดอะไร เพราะว่าอายุขนาดนี้ เด็กรุ่นใหม่ก็ไม่รู้จักผมแล้ว แต่ตอนนี้ก็ทำงานเพลงเองกับเพื่อน ๆ และซิงเกิ้ลเพลงใหม่ออกมาให้ฟังกันแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังมีแฟนเพลงเก่า ๆ เข้ามาทักทายกันเสมอ ซึ่งผมก็ดีใจมาก และถือเป็นกำลังใจสำคัญของผม
ชีวิตที่เริ่มจากศูนย์ ขึ้นสู่จุดสูงสุด และดิ่งลงไปยังจุดต่ำสุด กลายมาเป็น “บทเรียน”สำคัญที่สอนว่า ชีวิตคือ “การต่อสู้” เมื่อไหร่ที่ล้ม ต้องลุกขึ้นมาให้ได้ และสู้ต่อไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่าเสมอ
จาก http://www.goodlifeupdate.com/44634/healthy-mind/inspiration/tabsk3/