ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 500 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

Verification:
ระหว่างความดีกับความไม่ดี เราจะเลือกทำสิ่งใดจึงจะสามารถบรรลุธรรมได้จริง ( เลือกตอบแค่ ความดี กับ ความไม่ดี ครับผม):
คนที่มีจิตใจอ่อนโยนส่วนใหญ่มัก คิดถึงสิ่งใดก่อนเสมอ  ( เลือกตอบแค่ ตัวเอง กับ คนอื่น ครับผม ):
กัน-ละ-ยา-นะ-มิด เขียนเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องว่าอย่างไรครับ:
คุณเชื่อในศรัทธาของความดีไหมครับ ( เลือกตอบแค่ เชื่อ กับ ไม่เชื่อ ครับผม):
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า แสงธรรมนำใจ:
^^ ขอความกรุณาพิมพ์คำว่า ใต้ร่มธรรม:
ท่านจะปฏิบัติตามกฏระเบียบข้อตกลงของเว็บใต้ร่มธรรมทุกประการหรือไม่ ( เลือกตอบแค่ ใช่ กับ ไม่ใช่ ครับผม):
โดยปกติชน นิ้วมือของคนเรา มีกี่นิ้ว (ตอบเป็นภาษาไทยครับ):
วัฒนธรรมไทยเมื่อเห็นผู้ใหญ่ท่านจะทำความเคารพ ด้วยการไหว้ท่านก่อนเสมอใช่หรือไม่:
เมื่อให้ท่านเลือก ระหว่าง (หนังสือเก่าๆเล่มหนึ่งที่เรารัก) กับ (มิตรแท้ที่รักเรา) คุณจะะเลือก:
บุคคลที่ไปหลายๆเว็บไซต์ โดยที่สวมบทบาทเป็นหลายๆคน โดยที่ไม่รู้ว่า แท้จริงใจเราต้องการอะไร เพื่อน หรือ ชัยชนะ:
กล่าวคำดังนี้  "ขอโทษนะ":
ระหว่าง (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะผู้อื่น) กับ (ผู้ที่เรียนรู้ธรรมะเพื่อเอาชนะตัวเอง)  ท่านจะเลือกเป็น:
กล่าวคำดังนี้  "ให้อภัยนะ":
กล่าวคำดังนี้  "ขออโหสิกรรม":
ในโลกออนไลน์หรือโลกแห่งจิต ไม่มีใครทำอะไรเราได้ นอกเสียไปจาก (คนพาล) หรือ (ใจของเราเอง):
ธรรมะคือ ธรรมชาติ พิมพ์คำว่า (ธรรมะชาติ) ครับ:
รู้สึกระอายใจไหมที่เราทำร้ายคนอื่นด้วยวาจาหรือสำนวนที่ไม่สุภาพ โดยที่คนคนนั้นเค้าเคยเป็นผู้มีพระคุณต่อเรามา (ไม่ละอายใจ)หรือ(ละอายใจ):
ขนทรายเข้าวัดคือ พิมพ์สำนวนต่อไปนี้ครับ (ทำบุญทำกุศลโดยวิธีนำหรือหาประโยชน์เพื่อส่วนรวมมิได้ทำเพื่อตนเอง):
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติคือผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น ฉะนั้นสมาชิกใต้ร่มธรรมควรให้เกียรติกันและกัน พิมพ์คำว่า (ฉันจะให้เกียรติสมาชิกทุกๆท่านในใต้ร่มธรรมเสมอด้วยวาจาสุภาพอ่อนน้อม):

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: มีนาคม 20, 2017, 09:46:03 pm »



เวลาผ่าน พ้นไป ไม่หวนกลับ
ตะวันลับ ดับไป ให้โหยหา
ชีวิตพลัน สั้นลงไป ในเวลา
อีกไม่ช้า เวลาครบ จบทุกคน

จงเคร่งครัด ตัดสินใจ ในวันนี้
ว่าจะมี ความสุข ในทุกหน
จะมีทุกข์ หรือสุขไซร้ คือใจตน
เราสิคน กำหนด กฎขึ้นมา

บางคนต้อง มีเงิน สรรเสริญหนัก
บางคนต้อง มีคนรัก เป็นนักหนา
บางคนต้อง มีบ้าน ปานราชา
บางคนต้อง มียศฐา บารมี

หากไม่พบ ครบคาด ที่มาดหมาย
ที่หวังไว้ ยังไม่ได้ ในวิถี
ยังไม่ครบ เงื่อนไข ในชีวี
ไม่อาจมี ความสุข ต้องทุกข์ทน

ไม่ผิดหรอก ที่ตั้งฝัน ให้มันสูง
เพื่อจะจูง ใจเลิศ ให้เกิดผล
แต่อย่ายอม ให้ฝันบัง พรางใจตน
ตามฝันจน ลืมสุข ทุกข์ระทม

มันจะดี กว่าไหม ในวันนี้
หากชีวี ไร้ทุกข์ แสนสุขสม
ตามฝันด้วย ใจสนุก สุขบรม
หัดชื่นชม ความงดงาม ตามมรรคา

ตื่นขึ้นมา พร้อมสรรพ กับความคิด
ว่าชีวิต คือรางวัล ที่สรรหา
คนที่รัก คือสวรรค์ ประทานมา
ไม่อาจหา สิ่งใดเทียบ มาเปรียบปาน

จงอย่าเสีย เวลา แม้สักนิด
เพราะชีวิต อยู่ในวัฏ ฏะสงสาร
แม้เวลา ของเราไซร้ ใช่อยู่นาน
เกินคาดการณ์ เวลาพราก ต้องจากไป

ปฏิบัติ ต่อคน ที่ตนรัก
เหมือนว่าจัก ต้องจากกัน ในวันไหน
ทุกเวลา ทุกนาที อยู่ที่ใด
จงรักษา หัวใจ ใครคนนั้น

จะดูแล พ่อแม่ ที่แก่เฒ่า
จะชื่นชม ลูกเต้า ที่เฝ้าฝัน
จะรักคู่ ชู้ชื่น ทุกคืนวัน
จะแบ่งปัน ความสุข ให้ทุกคน

เพราะชีวิต เรานั้น มันสั้นนัก
อย่าช้าชัก ตัดสินใจ ให้เกิดผล
จะไม่ขอ เสียเวลา มาทุกข์ทน
ทำใจตน ให้สุขล้น จนนิพพาน...

หลับฝันดีนะคะ .... "ราตรีสวัสดิ์ค่ะ"
(Cr: ลูกไม้ ของพ่อ)

>>fb อนนท์ พลพงษ์ >>ธรรมชาติ อันสดใส
5 มีนาคม  2017 เวลา 20:00 น.
..
..

ความรักคือบ้านของพระเจ้า "ตถาคต"  (ตถตา, จิตเดิมแท้ )
และคุณอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น.

Love is the house of God and you are living in that house.

 - Rumi -

นอกเหนือออกไปจากมโนคติ
แห่งความถูกและผิดใดๆ
ยังคงมีท้องทุ่งแห่งหนึ่ง
ฉันจะไปพบกับเธอ ณ ที่แห่งนั้น (จิตเดิมแท้)

เมื่อดวงวิญญาณทอดตัวลงในผืนหญ้า
โลกาทั้งใบคล้ายดั่งเนืองแน่นเกินกว่าจะเอ่ยถึง
ไม่ว่า ความคิดเห็นและภาษาใด (สุญญตา นิพพาน)
หรือแม้แต่วลี 'ซึ่งกันและกัน'
หาได้มีนัยยะสำคัญใดๆไม่

"Out beyond ideas of wrongdoing and rightdoing,
there is a field.
I will meet you there.

When the soul lies down in that grass,
the world is too full to talk about.
Ideas, language, even the phrase 'each other'
doesn't make any sense."
 
????Rumi????

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 21, 2013, 02:45:51 am »



๐ ทิ้งกลีบดอก บอกว่า เวลาหมด
แม้งามงด เพียงไหน ไม่อาจฝืน
ถึงเวลา ธรรมชาติ ก็ทวงคืน
ร่างดาษดื่น คืนกาย ไว้โลกา

๐ ทุกชีวิต ดับเกิด แล้วเกิดดับ
ทิ้งร่างทับ ไม่มั่นคง จงจำหนา
หวังหลุดพ้น ไม่วนเกิด มาอีกครา
วางอัตตา ไว้ข้างหลัง อย่ากังวล...


f/b คนชอบธรรม
7 พฤษภาคม 2557




มาคนเดียว ไปคนเดียว

วันเวลาผ่าน ไปให้ หยุดคิด…. เพียงสักนิด ว่าเรา จะไปไหน
ถามใจดู ถามให้รู้ จากภายใน…. ถ้าตอบได้ ก็จะรู้ อย่าดูนาน

เพราะเวลา ไม่มี ให้นานนัก…. หากมัวรัก ผูกใจ ในลูกหลาน
เหมือนติดบ่วง รัดไว้ ชั่วกาลนาน…. เพราะบ่วงมาร ร้อยรัด มัดโดยตรง

มาคนเดียว ไปคนเดียว คือจริงแท้…. อย่ามัวแต่ ยึดไว้ใจ ลุ่มหลง
สัจธรรม คือธรรมะ พระพุทธองค์…. จะมั่นคง มิแปรผัน นั่นแหละจริง



เพชรงามน้ำหนึ่ง




สอบอารมณ์ สอบอะไร ใยต้องสอบ?
พึ่งท่านตอบ จึงประจักษ์ ซึ่งมรรคผล?
หากแม้นสอบ ตนเองได้ ไร้กังวล
แจ้งบัดดล มิพึ่งใคร ให้วุ่นวาย

พึงรู้จิต ของตน ด้วยตนเถิด
เป็นทางเลิศ มหาสติ น่ะสหาย
พุทโธวาท ประกาศเตือน เพื่อนหญิงชาย
จักสบาย พ้นทุกข์ พบสุขจริง

จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัด ว่าฟุ้งซ่าน
จิตเดือดดาล เห็นอารมณ์ สติคมยิ่ง
จิตเห็นจิต ปล่อยวางไป ไม่ประวิง
สักแต่ว่า สรรพสิ่ง ใช่อัตตา

สอบอารมณ์ เช่นนี้ ชี้ชอบชัด
เป็นทางลัด ล่วง ราคะ หลง โทสา
เพียรพินิจ จิตตา นุปัสสนา
สุดประเสริฐ เกิดปัญญา สอบอารมณ์

::ตรงประเด็น



G+ นวรัตน์ พัชร์นันทพร Shared publicly  -  Jul 27, 2013



Kajitsai Sakuljittajarern ได้แชร์รูปภาพไปยังไทม์ไลน์ของ พอเพียง มาก
6 มกราคม เวลา 20:10 น. ·
..นามรูป..ล้วนแล้วแต่ อวิชชา สังขาร วิญญาณ จะบัญชาการให้เป็นไป..

************
Kajitsai Sakuljittajarern
2/10/2017

อันว่าคำว่า"เจ้ากรรมนายเวร"และ"จองกรรมจองเวร"นั้น
เท่าที่สรุปความจากประสบการณ์ส่วนตนในเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรโดยเฉพาะในการบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่ผู้ป่วยตามแนวทางการแพทย์แผนไทยมามากกว่า๑๐ปีมีดังต่อไปนี้
๑. ตามสัจธรรมที่ว่า"ทุกความเคลื่อนไหว...ไม่ว่าจะโดยทางกาย/ทางวาจา/ทางใจ...ล้วนก่อให้เกิดกรรมอันจำแนกได้เป็นกรรมดีและกรรมชั่ว คำว่า"เจ้ากรรมนายเวร"โดยปกติมักใช้กับกรณีของกรรมชั่ว กรรมชั่วเป็นการกระทำที่ก่อบาปซึ่งแน่นอนว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือถูกเบียดเบียนจากการกระทำนั้นซึ่งต่อไปนี้ขอเรียกว่า"คู่กรณี" กรรมที่เกิดนั้นจะเป็น"เจ้า"ชีวิตของผู้ก่อฯและผู้ร่วมรับผลประโยชน์จากกรรมชั่วนั้นไปตราบกระทั่งผู้ก่อฯและผู้ร่วมฯได้ชดใช้เต็มร้อยแล้วในผลแห่งกรรมนั้น เปรียบเสมือนการก่อให้เกิดหนี้สินซึ่งจะเกิดเจ้าหนี้ตราบกระทั่งหนี้นั้นได้รับการชดใช้จนหมดสิ้นพันธะหนี้ ทุกกรรมชั่วที่เกิดจึงเกิด"เจ้ากรรม"คอยตามกำกับชีวิตของผู้ก่อฯและผู้ร่วมฯตราบจนกว่าได้มีการชดใช้เท่าที่ควรภายใต้หลักดุลยธรรม
มาถึงคำว่า"นายเวร"โดยปกติที่พบนั้น"นายเวร"เกิดขึ้นในกรณีที่"คู่กรณี"เอาเรื่องหรือตัดสินใจที่จะเอาความกับผู้ก่อกรรมชั่วนั้น กล่าวคือหากคู่กรณีไม่ติดใจเอาความกับความเดือดร้อนหรือการถูกเบียดเบียนจากกรรมชั่วของผู้ก่อฯ ผู้ก่อฯและผู้ร่วมฯจะมีเพียง"เจ้ากรรม"ติดตามกำกับการชดใช้กรรมชั่วที่ก่อ(เกิดการ"จองกรรม") แต่หาก"คู่กรณี"ต้องการการชดใช้หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า"จองเวร" ผู้ก่อฯและผู้ร่วมฯก็จะมีทั้ง"เจ้ากรรม"และ"นายเวร"ติดตามกำกับการชดใช้กรรมชั่วที่ก่อไว้ อันเป็นที่มาของคำว่า "จองเวรจองกรรม"
๒.กรรมเกิดตามเหตุตามปัจจัย
เหตุในที่นี้ หมายถึง วิชชาในผู้ก่อกรรมดี และ อวิชชาในผู้ก่อกรรมชั่ว กล่าวในอีกรูปแบบหนึ่งง่ายๆคือเหตุแห่งกรรมชั่วคือความไม่รู้ซึ่ง"สัมมา"ทั้งปวงในมรรค๘
ปัจจัยโดยปกติแบ่งเป็นปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในในที่นี้หมายถึงพันธะผูกพันที่ติดมากับดวงจิตนับตั้งแต่เกิดมาในชาติภพปัจจุบัน...พันธะดังกล่าวอาจเนื่องมาแต่วาสนาแห่งโพธิจิตของจิตเดิมที่ปรารถนาจะช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ภัยจึงอาสามาเกิดภายใต้พันธะนั้น(หากสำเร็จกิจโดยสมบูรณ์ตามที่อาสามาก็จะเพิ่มบุญบารมีของดวงจิตเดิมนั้น) หรืออาจเนื่องมาแต่หนี้กรรมในชาติภพที่ผ่านๆมาที่จะต้องชดใช้และถึงเวลาที่จะต้องชดใช้ ปัจจัยภายนอกในที่นี้หมายถึงสภาวะแวดล้อมที่จะส่งเสริมหรือฉุดรั้ง...ไม่ว่าจะทั้งในเหตุและปัจจัยภายใน หรือในประการใดประการหนึ่งในสองประการดังกล่าวนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเมตตาให้แนวทางในการบริหารจัดการเรื่องของปัจจัยภายนอกไว้อย่างสมบูรณ์แล้วใน"มงคลสูตร๓๘"โดยลำดับความสำคัญที่จำเป็นด้วยการเริ่มจากประการแรกในเรื่องของการคบกัลยาณมิตร
โพสต์นี้เป็นการ"เล่าสู่กันฟัง"แบบ"ผักบุ้งเต็มผิวหน้าน้ำ"ให้แก่friends via fb ผู้สนใจผลการพิจารณาศึกษาธรรมตามที่องค์ครูบาอาจารย์ให้การบ้านไว้ หวังใจว่าจะพอมีประโยชน์ตามควรแก่ผู้ที่ได้อ่าน
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: สิงหาคม 21, 2013, 01:42:08 am »





เพียงฝาก "ความ" ไว้ในคำนึง

ฝากบางถ้อยคำไว้ในคำนึง   
ให้เรื่องราวตราตรึงใต้สำนึก
บ่มเพาะด้วยกาลเวลาจนตกผลึก   
และกลายเป็นความรู้สึกให้เรียนรู้



มีความจริงนับหลายประการ   
ระหว่างทางผ่านเพื่อไปสู่
สายธารแห่งปัญญาอันพรั่งพรู   
ให้เป็น "เครื่องอยู่" ประคองชีวิต



หากเด็กคือจิตวิญญาณอันเก่าแก่   
ผ่านเวียนว่ายผันแปรแห่งดวงจิต
เกินดับยาวนานนิรมิต   
ล้วนต่อยอดความครุ่นคิดตลอดมา



จึงฝากถ้อยคำแห่งความจริง   
ทั้งหมดไม่ละทิ้งทุกคุณค่า
ดี ร้าย พบ พราก สัจจะธรรมดา   
สุข ทุกข์ ปรารถนา ดั่งเดียวกัน



เชื่อมร้อยอยู่ด้วยฐานะมนุษย์   
ไร้สูงส่งหรือต่ำสุดอย่างนั้น
เราต่างล้วนเก่าแก่นับอนันต์   
เกื้อหนุนคืนวันแห่งความพากเพียร



หากต้องบอกเล่าก็ต้องเล่า   
ทั้งเฒ่าทั้งเยาว์ไม่แปลกเปลี่ยน
วิถีแห่งมนุษย์ผู้เล่าเรียน   
ขณะเมื่อยังว่ายเวียนในโลกีย์



เรื่องราวจะบ่มเพาะในญาณ   
ขณะชีวิตค่อยเคลื่อนผ่านวิถี
กลั่นกรองขัดเกลาทุกการณ์ดี   
เผยออกมาชวนชี้หนทางไป



ฝากบางถ้อยคำไว้ในคำนึง   
อาจเป็นความที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่
รอเวลาใคร่ครวญทำความเข้าใจ   
บนหนทางอันยาวไกลของจิตวิญญาณ


นาโก๊ะลี

>>> F/B Peaceful Death



ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2013, 02:07:24 am »







ความผิด ความถูก ไม่มีในโลก คงเหลืออยู่แต่เพียง...

นี่แหละวิถีชีวิตของเราแต่ละคน
ว่าทุกคนต้องเรียนรู้
และพยายามปรับตัวให้สอดคล้องกันกับ
คลื่นลมที่มันพัดโชยมากระทบเรา
บนพื้นฐานความอดทน
และอดกลั้นอย่างที่สุด



ผมขอฝากร้อยกรองบทหนึ่ง
ซึ่งได้รับจากศิษย์คนหนึ่ง
เมื่อปี ค.ศ.2000 หรือประมาณ 13 ปีมาแล้ว







.. วานนี้... มีลมแรง
ฉันเห็นดอกหญ้าแดงยืนหยัด
ราบระเนนเอนล่อล้อลมพัด
บางครั้งคล้ายขืนขัดทัดทานลม



หญ้าฝากเกสรดอกหญ้า
ไปกับลมช่วยพาผสานผสม
แจ้งข่าวคราวเคลื่อนเยือนชม
ช่วยทอพรมคลุมพื้นให้ผืนดิน



วันนี้ลมสงบ
ฉันได้พบพรมใหญ่ไม่แหว่งวิ่น
ระดาษดอกหญ้าสวยรวยริน
บานเต็มทั่วถิ่นธรณี



วันนี้ได้เรียนรู้อยู่อย่างหญ้า
ยืนหยัดฉกาจกล้าทำหน้าที่
อาศัยลม สู้ลม บ่มอินทรี
สร้างความดีความงามท่ามกลางลม



นำมาบางส่วนจาก... สามวันที่เชียงใหม่



ใคร.. ทำอะไรก็แล้วแต่ ผลที่ปรากฏ ย่อมอยู่ที่ ใจ ตัวเอง
แล้วคงเห็น ความจริง ได้ว่า.. การถือสาหาความ
ว่าสิ่งนั้นผิด สิ่งนี้ถูก ในที่สุดก็คงเปิดเผย
ออกมาให้รู้ ความจริง ว่า...



ความผิด ความถูก ไม่มีในโลก คงเหลืออยู่แต่เพียง..
.. ความจริง .. ที่อยู่ในจิตใจของแต่ละคน



ระพี สาคริก
จาก.. บทความคนใจแตก มักชอบแหกคอก
หนังสือปรัชญาธรรม หน้าที่ ๙๒




นอนกับงาน
๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ระพี สาคริก
บ้านระพี สาคริก พหลโยธิน 41 จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
— ที่ F/B บ้านระพี สาคริก


- facebook.com/pages/ศาสตราจารย์-ระพี-สาคริก/461091197241853
ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 10, 2013, 04:30:20 pm »



เพราะยลยิน กลิ่นหอม ที่ล้อมกาย

ก่อนจะนอน ย้อนคิด ชีวิตหนึ่ง
ทำไมถึง ทุกข์เศร้า เหงาเหลือหลาย
เพราะยลยิน กลิ่นหอม ที่ล้อมกาย
รูปมากมาย ชายตา มองหาเอา

ล่อลวงใจ ให้หลง พะวงหา
อวิชชา พาเพลิน เดินทางเขลา
โกรธเกลียดชัง บังตา หาทุเลา
เข้าแนบเนาว์ เป่าหู หลงลู่ทาง




ความทุกข์หมอง ครองจิต เกินปลิดปล่อย
ความมืดลอย ล้อมใจ ไม่สว่าง
พายุยาก พรากธรรม กรรมก่อราง
คอยอำพราง อ้างสิทธิ์ ถูกปิดตา

ถึงที่สุด จุดหนึ่ง จึงได้คิด
ด้วยหลงผิด ติดบ่วง ความห่วงหา
รู้ปล่อยวาง ทางสุข ทุกนิทรา
ลืมคำว่า ของเรา เขาและคุณ...





รจนาโดย.. อยู่ใน ธรรม
******************




..ขอคารวะใน  คมความ  และกระชับถ้อย
ภายใต้ความเรียบง่าย แห่งคำ ที่เลือกใช้..


Kajitsai Sakuljittajarern:
******************




******
จำเป็นไหม ต้องบอกใคร ว่าเราดี
จำเป็นต้อง อวดโน่นนี่ กับใครไหม
หรือต้องหา หลักฐาน ประการใด
มาแสดง เพื่อให้ เขาเห็นตาม

จำเป็นไหม ต้องข่มใคร ไว้ทั้งหมด
เพื่อยึดบท ตัวเอก น่าเกรงขาม
ให้คนอื่น เป็นผู้ร้าย อยู่ทุกยาม
หรือนำความ ด้อยกว่า มาอ้างไป

จำเป็นไหม ต้องบอกใคร ว่าเราดี
ไม่จำเป็น อวดโน่นนี่ ใครที่ไหน
พฤติกรรม ฟ้องความคิด และจิตใจ
ดีหรือไม่ ดูที่กรรม ใช่คำโว

จำเป็นไหม ต้องข่มใคร ไว้ทั้งหมด
ไม่จำเป็น ต้องกด ใครเพื่อโก้
การให้เกียรติ ผู้อื่น ไม่อวดโต
เท่ากับโชว์ กุศลเอก ที่เสกกัน

จำเป็นไหม ต้องตรวจใจ อยู่เสมอ
จำเป็นยิ่ง หากเผลอเรอ ผิดมหันต์
ไปทำร้าย ผู้อื่น บาปอนันต์
แลตนนั้น พอกบาป เป็นคราบใจ

ขิปฺปสิทฺโธภิกฺขุ
เชียงใหม่

ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2012, 12:18:28 pm »





อุเบกขาพาลอยลิบ.. ถึงนิพพาน...
เนิน นราธร

สังขารขันธ์”…..จอมยุ่ง “การปรุงแต่ง “…………
ต้นเหตุแห่ง “กองกิเลส”….เปรต-อสูร…………
มีเกิด-ดับ-เปลี่ยนแปรแลเพิ่มพูน…………
จะดับสูญ “ความยึดมั่น”…..ด้วย “ปัญญา”………..

สังเกตการเกิด-ดับสรรพสังขาร………..
วิปัสสนาญาณ”ด้วยธรรมเอก “อุเบกขา”………
แล้ว “ยิ้มสู้ “ดูเล่ห์…..”เวทนา”………..
“เป็นธรรมดาของมันเช่นนั้นเอง”………..


จะเจ็บ-ปวดรวดร้าวราวกายแยก…………
กระดูกแตกไม่อาทรนั่งนอนเขลง…………
ล้วน”เกิด-ดับ”…..”รูป-นาม”…..ไปตามเพลง………
จะรู้เอง…….หาก”ตามดู”ทุกครู่คราว………….

อุเบกขา คือ คุณธรรม์อันสูงสุด “………
วางเฉย”ดุจไม่อาวรณ์ร้อนหรือหนาว………
ปวดหรือเจ็บ-เหน็บชา…..ทุกคราคราว………
“ยิ้มสู้”ราว…..”ธรรมชาติ”….ปราศตัวตน………


เห็น “ไตรลักษณ์ “เพ่งพิศ……”อนิจจัง “………..
ทั้ง “ทุกขัง “……”อนัตตา “…..หาเหตุผล……….
“สรรพสิ่ง”เป็นเช่นนี้…….เหมือนมีมนตร์………..
ดับตัวตน-ทุกข์ก็ดับ “……ลงลับไป……….

พระนิพพาน”….อันเรืองรุ่งทีมุ่งมาด……….
แม้นถึงฆาตปรารถนาได้อาศัย…………
ขอเกิดเพียงชาตินี้”…..ที่เป็นไป……….
ไม่อาลัยในทุกอย่าง……”ละวาง”เอย………….
.

………….8 มิถุนายน 2545 นิพพานะ ปัจจโย โหตุ………
-http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=amatanippan&group=6


ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 11, 2012, 12:26:25 pm »



พร.. วันสงกรานต์... 



พร.. อันเป็นศรี
กระจ่างที่ใจคุณ
จงมาเกื้อหนุน
โลกสวยอำไพฯ

พร.. ที่วิสุทธิ์
พรายดุจแสงไข
ส่องฟ้าส่องใจ
ส่องผ่านในตนฯ

พรเอย.. พรสวรรค์
เสกสรรเบื้องบน
ทางที่เดินหน
ทองทาใจเราฯ

ศรีเอย.. ศรีสวัสดิ์
จรัสพุทธไขเขลา
สาดแรงแสงเกลา
นำน้อมในพรฯ


Posted by : ทางแก้ว




ฝากความรักวันสงกรานต์ พ.ศ. ๒๕๕๕
จาก.... จักรภพ เพ็ญแข

สาดน้ำ เล่นน้ำ รดน้ำ
ล้างความ ร้อนเร่า เราสงบ
แลธรรม กรรมเก่า เราพบ
ไม่หลบ ไม่ลี้ หนีมัน

กระจาย ชุ่มทั่ว ตัวร่าง
สะสาง สกปรก ผกผัน
ดีแล้ว ดีต่อ นิรันดร์
หากเลว สารพัน ฟันลง



สงกรานต์ สาดใส่ สมมติ
บ้างก็ ผ่องผุด สูงส่ง
บ้างผ่าน แล้วยัง นั่งงง
ไหลลง แห้งไป ไม่มี


ตักน้ำ พินิจ ดูว่า
ธรรมดา อย่าร้าย ป้ายสี
เลิกสาด โคลนสร้าง ราคี
น้ำดี จักช่วย อวยพร...




ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: เมษายน 11, 2012, 12:23:50 pm »





ดอกสร้อยสงกรานต์
ร้อยกรองโดย ยุทธ โตอดิเทพย์
จาก เว็บ สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย

สงเอ๋ยสงกรานต์..
วันคืนผ่าน พ้นไป ปีใหม่สยาม
บรรพชน กำหนด กฎเกณฑ์ตาม
คือ สิบสามเมษายน วนเปลี่ยนปี

อาทิตย์เคลื่อน เข้าดิถี ราศีเมษ
จึงเกิดเหตุ รุ่มร้อน โคจรวิถี
ต้องคลายร้อน ผ่อนเย็น เป็นพิธี
ประเพณี เดือนห้า สืบมาเอย...


สงเอ๋ยสงกรานต์..
ให้ลูกหลาน จารึก ไว้ศึกษา
มีตำนาน ให้เห็น ความเป็นมา
เรื่องธิดา กบิลพรหม ระทมใจ



ต้นกำเนิด นางสงกรานต์ บุราณกล่าว
ถึงเรื่องราว กตัญญู อันยิ่งใหญ่
ธรรมบาล หาญกล้า ปัญญาไว
เราควรได้ รู้ชัด ประวัติเอย...


สงเอ๋ยสงกรานต์..
ร่วมสืบสาน ประเพณี มีคุณค่า
สร้างกุศล ใหญ่น้อย ปล่อยนกปลา
มอบเสื้อผ้า ญาติผู้ใหญ่ ท่านให้พร


ที่แรงร้าย สรงน้ำพระ.. ลด ละ เลิก
บุญจะเบิก บานฉ่ำ คำพระสอน
ยึดหลักธรรม นำสุข ทุกขั้นตอน
ผลสะท้อน สังคม ร่มเย็นเอย...



ข้อความโดย: ฐิตา
« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2011, 01:48:21 pm »



โสตถิธรรม

๑. พระผู้รู้ผู้แจ้งเหตุแห่งผล
ผู้บันดลความดีบริสุทธิ์
เป็นมรรคาครรลองของมนุษย์
พ้นสมมติมีเป็นเหมือนเช่นเคย

ด้วยความรู้และกระทำตามที่รู้
พระเป็นครูเหนือครูผู้ผ่าเผย
รู้ทุกอย่างอย่างผู้รู้แจ้งเลย
มิต้องเอ่ยแต่พระองค์ทรงกระทำ

๒. สรรพสิ่งนิ่งวางและว่างอยู่
ว่างจากผู้ผูกจิตอันผิดเขลา
ไร้พันธะที่จิตยึดติดเอา
เป็นเราเขาขานนามนิยามตน

นั่นมิใช่ไม้หญ้าฟ้าดินน้ำ
เพียงวาทะถ้อยคำย้ำเพื่อผล
การแบ่งแยกเพื่อประโยชน์จดจำยล
คราที่คนเกี่ยวข้องขานพ้องนาม



๓. ทุกข์และสุขสารพันนั้นบ่งชัด
สารพัดสารพิษย่อมติดหลง
ล้วนสายใยยึดจิตให้ติดกรง
จำกัดวงจักรวาลบันดาลดล

ณ โคนต้นไม้มีนามว่าความรู้
พระองค์ผู้พบเลิศเหตุและผล
พระเกิดแล้วโดยไร้ในตัวตน
อันปวงชนเชิดนิยามนามพุทธะ

๔. ความเป็นไปปรกตินี้ปรากฏ
โดยหมดจดแจ่มชัดทุกอัตถา
ย่อมยังโลกที่กำลังคลั่งมายา
ให้เห็นหน้าเห็นหลังอย่างแท้จริง



ความตรงข้ามที่เคยคิดเคยติดอยู่
ก็กลับสู่สภาพใหม่ในทุกสิ่ง
โลกมัวเมาเคล้าหมักเหมือนปลักปลิง
กลับเพริศพริ้งผ่องประภัสร์อัศจรรย์

๕. ข้าน้อยนี้น้อมค้อมเคารพ
พระผู้พบผู้หยั่งถึงฝั่งหล้า
อยู่ในโลกเหนือโลกโชคชะตา
พระผู้ปรากฏแล้วทุกแนวทาง

เคล้าระคนปนไปในความคิด
ในชีวิตที่วุ่นตามความแตกต่าง
มากชนชั้นขันแข่งเคลือบแคลงคลาง
ในท่ามกลางสังคมกลมเกลียวกลืน



๖. ร่างกายอันยาววาหนาคืบนี้
มีโลกที่เกิดทุกข์สุขพร้อมสรรพ
สิ่งทั้งหลายบรรดาคณานับ
ย่อมเกิดดับเป็นไปในจิตนี้

มิมีใดเกิดดอกนอกจากจิต
จิตปรุงคิดเป็นนั่นมันเป็นนี่
สิ่งทั้งมวลมีได้เพราะใจมี
จิตดับพลีสิ่งสรรพก็ดับตาม...




เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
:bloggang.com =truthoflife




พระรัตนตรัยเจ้าส่อง             สว่างโลก
เป็นที่ดับทุกข์โศก                 สัตว์นั้น
หนทางอภินิโมกข์                 ที่สุด
ตามพุทธฎีกาชั้น                    โปรดพ้นสงสารฯ

ณ          ฤดูกาลพรรษามาแล้ว
จาก        วันแรม 1 ค่ำ เดือน แปด
ถึง          วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน สิบเอ็ด

แล้ว    ชาวพุทธล่ะ
เริ่ม     ในเวทีเสรีชัย “สุภาษิตคำโคลงจรรโลงวรรณกรรม”
ครบ    สามเดือน (เพื่อน) พรรษา
ได้      ข้อคิดเตือนใจ ในศีล ในธรรม
ยัง      ความสุข ความเจริญ
ใคร     ใคร่ประพฤติ ใคร่ปฏิบัติ แล้วใครล่ะได้

  สุภาษิตคำโคลง ถ้าพูดตามเนื้อหาจากหนังสือประกอบด้วย
โคลงสี่สุภาพ (ล้วนๆ) 6 บท จำนวน 200 โคลง ดังนี้
1.บทการบูชาพระรัตนตรัย 8 โคลง
2.บทพระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก บันดาลให้เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรก แลเห็นซึ่งกันและกัน 40 โคลง
3.บทพระเทวทัตสำแดงฤทธิ์ให้อชาตสัตตุราชกุมารเลื่อมใสเพื่อให้รับเป็นโยมอุปัฎฐาก 24 โคลง
4.บทพระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร โปรดเบญจวัตคีย์ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม 48 โคลง
5.บทพระมาลัยเทพเถรเจ้าเสด็จจาริกไปโปรดสัตว์นรก 64 โคลง
6.บทพระมหากัสสปกับพระอริยสงฆ์ยกปฐมสังคายนาสืบอายุพระศาสนามาถึงบัดนี้ 16 โคลง

ร้อยสี่สิบสองปีวันนี้มีสุภาษิตคำโคลง
                พูดถึงสุภาษิตคำโคลงเป็นหนังสือเก่าหายากพิมพ์เป็นครั้งแรกที่โรงพิมพ์ ครูสมิทที่บางคอแหลมในปีมะแม ตรีศก จุลศักราช 1233  หรือประมาณ พ.ศ. 2414 (หรือประมาณ 142 ปี) แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพ เริ่มด้วยการบูชาพระรัตนตรัย แล้วจึงนำหลักธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา และศาสนสุภาษิตมาพรรณาให้เห็นเป็นสัจธรรม เป็นข้อคิดเตือนใจให้คนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม อันจะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญ แก่ผู้ปฏิบัติ

                ในการนี้กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้พิจารณาเห็นสมควรพิมพ์ “สุภาษิตคำโคลง” นี้ เป็นหนังสือในชุดความรู้ภาษาไทย อันดับที่ 27 เพื่อเผยแพร่แจกให้แก่สถานศึกษาหน่วยงาน และห้องสมุดต่าง ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์โน้มน้าวใจในการปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์ และเป็นคุณแล้ว ยังเป็น “การอนุรักษ์วรรณกรรมคำสอน” ที่มีคุณค่าด้วย

เวทีเสรีชัยฉบับนี้   ภูมิใจ
เสนอสุภาษิตคำโคลงใน    เล่มนี้
จรรโลงวรรณกรรมไทย      พุทธศาสน์
อย่างน้อยศีลห้าบ่งชี้         เหนี่ยวน้าวเท่าธรรม

พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาฯ
พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร
โปรดเบญจวัคคีย์ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม

อุปสมานุสติ           นฤพาน
ลำลึกตรึกตรองการ       มั่นไว้
ตามพุทธแสดงสาร       จงแจ้ง
พอเห็นวิถีได้              ไต่เต้าตามทาง

อุปสมาหาสองโอ้   จนใจ
หนึ่งแน่อย่าสงสัย          สอดแคล้ว
สิ่งเดียวแม้ผู้ไป              บกลับ มานา
ใช่เงินแลทองแก้ว         ยื่นให้กันเห็น


กายคตานุสตินี้       กรรมฐาน
จงอุตส่าห์พิจารณ์          ร่างร้าย
มีเกศาโลมาขาน             เป็นต้น
ถึงมัตถเกสุดท้าย           จบถ้วนสามสิบสอง

กายคตานุสติป้อง    กำบัง
ฉวีวรรณผิวหนัง            ห่อไซร้
จึงเห็นเป็นงามดัง          แสนสวาท
ตัวอภิชฌาหุ้มไว้           พิเคราะห์แล้วดูแสยง


 มรณานุสติห้อง     กรรมฐาน
จงกำหนดมรณญาณ      คิดไว้
นามรูปอสุภกาล           เปื่อยเน่า
ล้วนหมู่กิมิชาติไซ้         บ่อนร่างปฐวี

หนีเจ้าหนี้หนีทั้ง    ภัยพญา
หนีศึกซุ่มซ่อนมา           ห่างพ้น
หนีพญามัจจุรา               หนียาก จริงแล
แม้นมีฤทธิ์เลิศล้น          ห่อนลี้ความตาย


อานาปานุสติล้ำ      กรรมฐาน
พิจารณาลมฆาน          ออกเข้า
แห่งมุขทวาร              ช่องนา  สิกแฮ
ยาวสั้นหย่อนเร่งเช้า      รอบรู้กำหนดหมาย

นุสติแสดงจบสิ้น   สิบทัศ
ตามพุทธบัญญัติ           กล่าวไว้
เรียงเรียบแต่พอชัด        ความบ้าง
หวังเป็นประโยชน์ไซร้     ผ่ายหน้าคตกาล


อธิบายคำศัพท์
โคลง คำนำ อภินิโมกข์ หมายถึง ความหลุดพ้นอันวิเศษ
อุปสมานุสติ หมายถึง ระลึกถึงธรรมเป็นที่สงบระงับกิเลส และ ทุกข์ หรือนิพพาน
กายคตานุสติ หมายถึง ระลึกทั่วไปในกายให้เห็นว่าไม่งาม
มรณานุสติ หมายถึง ระลึกถึงความตายที่จะต้องมีเป็นธรรมดา
อสุภ หมายถึง สภาพที่ไม่งาม
อานาปานุสติ หมายถึง ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก
ทัศ หมายถึง ครบ, ถ้วน

สุภาษิตคำโคลงจรรโลงวรรณกรรม โดย พรโสภา เรียบเรียง
http://www.sereechai.com/index.php/2013-05-01-06-34-27/2013-05-01-07-30-22/846-2013-08-21-22-32-53
ข้อความโดย: สายลมที่หวังดี
« เมื่อ: กันยายน 25, 2011, 09:48:21 pm »




ทั้งภาพทั้งบทความ เข้ามาแล้วเย็นตาเย็นใจ อยากพักอยู่ตรงนี้นานๆ ขอบคุณนะค่ะพี่แป๋ม :yoyo072: