ข้อความโดย: होशདངພວན2017
« เมื่อ: มีนาคม 29, 2017, 10:39:46 pm »คำพูดที่ว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ไม่ได้เป็นการปฏิเสธว่า ที่นั่นไม่มีสุขแต่เป็นการชี้ให้เห็นความจริงอีกแง่หนึ่งที่คนเรามักมองข้ามไป คือมักเห็นแต่ว่า ความรักทำให้เป็นสุข การมองเห็นความรักแต่แง่เดียว ทำให้คนเราไม่รู้จักเตรียมใจรับมือกับความทุกข์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดความไม่สมหวังขึ้นมาพระพุทธเจ้ามิได้ปฏิเสธความรักของปุถุชน แต่ทรงเห็นว่ามันเป็นสุขที่เจือด้วยทุกข์ เช่นเดียวกับ กามสุข ซึ่งทรงเปรียบเสมือนคบไฟที่ทำด้วยหญ้าแห้งแม้จะให้แสงสว่าง แต่ก็มีควันที่ระคายเคือง บางครั้งก็เปรียบคนที่เพลินใน{กามสุข}ว่า เหมือนกับคนถือคบเพลิงทำด้วยหญ้าแห้งเดินโต้ลม หากไม่รู้จักวาง ก็จะ
โดนไฟไหม้มือและอวัยวะต่าง ๆ อย่างไรก็ตามหากพูดถึงสัดส่วนแล้ว ทุกข์นั้นมีมากกว่าสุขเป็นเพราะเหตุนี้พระพุทธองค์จึงส่งเสริมให้เรามีความรักที่ประณีตขึ้น นั่นคือ เมตตาหรือกรุณา เพราะเป็นความรู้สึกที่เจือด้วยกิเลสน้อย มุ่งประโยชน์สุขของอีกฝ่ายยิ่งกว่าผลประโยชน์ของตนเอง ไม่ปรารถนาการครอบครอง หากเรามีความรักแบบนี้มาก ๆ เราจะทุกข์น้อยลง นอกจากเราจะเป็นสุขแล้ว ยังทำให้อีกฝ่ายเป็นสุขอย่างแท้จริงด้วยสรุปก็คือความรักเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตก็จริง แต่เราก็ต้องเห็นมันตามความเป็นจริง ว่ามันให้ทั้งสุขและทุกข์ อีกทั้งยังมีความรักที่ประเสริฐกว่าเสน่หา นั่นคีอเมตตากรุณา
ยิ่งเป็นเมตตากรุณาของพระอริยเจ้าด้วยแล้ว ยิ่งให้แต่สุข ปราศจากทุกข์ เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรเช่น ล้มหายตายจากไป หรือทำตัวไม่น่ารัก ท่านก็วางอุเบกขาได้ ขณะเดียวกันเมตตากรุณาก็ไม่ได้ลดลง ดังที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า
พระองค์ทรงมีเมตตาต่อพระเทวทัตเท่ากับที่ทรงมีต่อ{พระราหุล}....พระอาจารย์ ไพศาล วิสาโล