ข้อความโดย: 時々होशདང一རພຊຍ๛
« เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2017, 04:08:34 pm »แต่แล้วไม่นานได้ข่าวว่า คุณตาจะเดินทางไปพร้อมกับเรือกลไฟลำนั้น จะไปรักษาตัวที่บางกอก จึงเป็นข่าวที่ทำให้ตื่นเต้นสำหรับชาวบ้านว่า หมอสั่งให้นำคุณตาไป คนที่เศร้ามากที่สุดก็คือแสน เพราะเคยอยู่ใกล้ชิดกับคุณตา และได้รู้เห็นได้ยิน ได้ฟัง ทำให้แสนเคารพนับถือรักคุณตายิ่งขึ้น เพราะตั้งแต่เกิดเขายังไม่เคยได้ยินว่าใครใจดี พูดจาอ่อนหวาน สุภาพเรียบร้อยเช่นคุณตานี้เลย
ท่านเคยเรียกแสนว่า ลูกรักของพ่อ เวลานั้นแสนรู้สึกมีความชุ่มชื่นอิ่มเอิบใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งแสนก็ยังบอกท่านว่า ลูกรักคุณพ่อมาก แม้จะเป็นเวลาสั้น ๆ แต่แสนก็รู้สึกมีความสุขซาบซึ้งใจ แม้ชาวบ้านพากันคิดว่า คุณตาพูดเพ้อเพราะความร้อนในตัวพิษไข้สูงพูดโดยไม่รู้สึกตัว แต่แสนก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น คุณตาต้องสติดีทุกอย่าง ผู้รู้สึกเช่นเดียวกับแสนก็เห็นจะมีท่านสมภารวัดดอนผักเบี้ยองค์เดียว แต่แสนก็ชอบเรียกคุณตาว่า คุณพ่อ เพราะทำให้ชีวิตสดชื่น
แสนนึกว่าคราวนี้เขาเอาคุณตาหรือคุณพ่อไปแล้ว เมื่อไหร่จะได้กลับบ้านชายทะเลอีก แสนยืนก้มหน้าคิด แล้วน้ำตาไหล ยืนนิ่งไม่กล้ามอง ปล่อยให้คนมาจากเรือกลไฟเขาจัดการพยุง และช้อนตัวอุ้มคุณตาค่อย ๆ ออกมาจากบ้าน จะไปลงเรือบดที่จอดคอยอยู่ที่ท่าสะพานไม้ไผ่ในคลอง ชาวบ้านก็พากันมายืนหน้าเศร้า คอยส่งคุณตาลงเรือ ทุกคนก็คิดว่าเขาคงพาคุณตาไปรักษาที่บางกอก เมื่อหายแล้วก็คงจะกลับมาอยู่บ้านชายทะเลต่อไปเมื่อมีชายสองคน พร้อมด้วยชาวบ้านได้ช่วยกันอุ้มตัวคุณตาค่อยๆ อุ้มลงไปในเรือแล้ว ก็มีหมอและพ่อดำสองคนช่วยกันขนสิ่งของที่จำเป็นออกมาจากบ้านใส่เรือ ส่วนบ้านนั้นคุณตาได้มอบให้นายหมานางบาง ผู้เป็นพ่อแม่ของแสนมีกรรมสิทธิ์ทุกอย่าง และอนุญาตให้ใช้ของที่มีอยู่ในบ้าน ไม่ว่าเสบียงอาหารหรือเครื่องใช้ คุณตามอบให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ของแสนจะจัดการตามแต่จะเห็นสมควร
วันนั้นเห็นจะเป็นวันเศร้าที่สุดของชาวบ้านทั่วไป เพราะต่างก็มีความรักความอาลัยคุณตาทุกคนทั่วหน้ากัน เมื่ออุ้มคุณตาลงนั่งพิงหมอนในเรือ เขากรรเชียงเรือออกจากคลอง คุณตาพยายามรวบรวมกำลังยกมือขื้นโบกลาหญิงชายที่ยืนส่งสองฝั่งคลองด้วยท่าทางอันอ่อนเพลีย ไม่สามารถจะพูดอะไรออกนอกจากน้ำตาไหล ชาวบ้านต่างก็ซับน้ำตาด้วยกันทั้งหญิงชาย
แสนยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก นึกในใจว่า นับแต่นี้เมื่อไหร่ จะได้พบได้เห็นท่านอีก นึกแล้วแสนก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว ชาวบ้านหลายคนก็ยืนร้องไห้ปล่อยโฮอยู่ริมฝั่ง เมื่อได้เห็นเรือค่อยๆ แล่นออกทะเลไปขึ้นเรือกลไฟ มีหลายคนได้นำเรือออกไปส่งถึงเรือกลไฟ หลังจากคุณตาได้เดินทางไปจากบ้านชายทะเลแล้ว วันเดือนก็ผ่านไปเป็นปี แต่ก็ไม่มีข่าวว่าคุณตาจะได้เดินทางกลับมาหาพวกเราชาวบ้านชายทะเลอีก ชาวบ้านก็ได้แต่คอยด้วยความอาลัยนึกถึงบ่นกันทุกบ้านทุกเรือน ถึงความดีของคุณตาที่ได้ฝังใจอย่างไม่รู้ลืม
เมื่อวันเวลาผ่านไปจนแสนเติบโต อายุครบพอที่จะบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ได้ ก็ยังไม่ได้ทราบข่าวจากคุณตาเลย แสนยังนึกถึงคุณตาอยู่เสมอ เพราะคุณตาเคยพูดไว้ว่า
เจ้าแสนเมื่อเข้าจะบวชพระ ถ้าตายังมีชีวิตอยู่ตาจะบวชให้เจ้า
บัดนี้ เด็กชายแสนหรือก็เติบใหญ่เป็นนายแสน อยากจะบวชเรียนเข้าศึกษาในทางพระพุทธศาสนาด้วยจิตใจศรัทธา แต่ต้องเก็บความรู้สึก เพราะต้องรอคอยคุณตา ซึ่งแสนรับปากไว้ว่าอยากจะให้คุณตาบวชให้ แม้คนอื่นในหมู่บ้านอยากจะช่วยกันบวชให้แสนเป็นองค์พระ เพราะเป็นคนดี แสนก็ยังไม่ยอมบวช เพราะคุณตาผู้เฒ่าก็รู้แล้วว่าปีไหนแสนจะครบบวช
วันหนึ่งแสนล้มป่วยลง อาการทรงกับทรุดอย่างน่ากลัว หมอกลางบ้านก็ไม่สามารถจะรักษาให้ทุเลาลงได้ นายหมากับนางบางก็เป็นทุกข์เป็นร้อนที่ลูกชายคนเดียวเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงป่วยหนัก จะรักษาตามบุญตามกรรมก็กลัวลูกจะเป็นอันตราย ครั้นจะนำตัวไปรักษาพยาบาลที่บางกอก ซึ่งมีหมอดีๆ ตัวเองไม่มีเงินทอง ฟืนที่ตัดไว้มากก็ยังไม่มีคนมารับซื้อฟืนนำไปส่งขาย ตามปกติธรรมดาเรือชาวมอญขายฟืนจะมารับซื้อฟืนไปขายทุกเดือน แต่ก็หายไป ลูกก็ป่วยเงินทองก็ไม่มี
แล้วก็หวนไปนึกถึงคุณตา ท่านเป็นคนใจบุญมีความเมตตากรุณา ทั้งท่านก็มีความรักใคร่แสนอย่างลึกซึ้ง หากท่านยังอยู่ในหมู่บ้าน เราไม่มีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะท่านเปรียบเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทร คอยช่วยดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน บัดนี้ท่านจากไปนานแล้ว ไม่ทราบว่าท่านยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ไม่ได้ข่าวเลยสองผัวเมียนั่งปรับทุกข์ และคิดถึงผู้เฒ่าที่ชาวบ้านเรียกว่า คุณตา แล้วก็คิดว่า เจ้าประคุณเมื่อไหร่ จะมีคนอย่างคุณตามาอยู่ในหมู่บ้านเราอีกสักคนนะ คิดแล้วระลึกถึงบุญคุณ ยิ่งนึกถึงความดีของท่านก็ยิงแสนจะอาลัย
แต่แล้วนางบางผู้เป็นภรรยานายหมาก็นึกออกว่า คุณตาเวลาท่านป่วยนั้น ได้ให้ไม้เท้าไว้ ห้ามไม่ให้ขาย แม้จะยากจนเข็ญใจก็ให้รักษาเอาไว้ ถึงที่คับขันก็สามารถจะช่วยได้ จึงบอกกับนายหมาผู้สามีว่า
นี่ พ่ออ้ายแสน ข้าว่าไม้เท้าของคุณตานั้น ต้องศักดิ์สิทธิ์แน่ คุณตาสั่งนักสั่งหนาทีเดียวว่า ถ้าถึงเวลาคับขัน ไม้เท้าอันนี้จะช่วยได้ ถ้าคิดว่าเอาไม้เท้าอันนี้ล้างให้สะอาด แล้วตั้งไว้ในที่สูงจุดธูปเทียน ทำน้ำมนต์ให้แสนลูกเรามันกิน บางทีเป็นบุญเป็นกุศล ทำให้โรคภัยไข้เจ็บหายได้นา ข้าว่า
นายหมาผู้เป็นสามีได้ฟังเช่นนั้น ก็เห็นชอบด้วย จึงค่อย ๆ หยิบไม้เท้าที่อยู่ข้างตัวแสนนั้นมาขัดถูให้สะอาด แล้วตั้งที่บูชาเอาไม้เท้าตั้งไว้บนขันน้ำพานรอง เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มีค่าในบ้าน แล้วนายหมาก็อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด แล้วก็เข้าไปจุดธูปเทียนนั่งกราบไม้เท้าอันศักดิ์สิทธิ์ ตั้งสมาธิสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว ก็อธิษฐานว่า
ข้าแต่คุณตาผู้ได้มอบไม้เท้าให้อ้ายแสนลูกข้า สั่งไว้ว่า เมื่อถึงที่คับขัน ไม้เท้าอันนี้ก็สามารถจะช่วยให้พ้นความทุกข์ยากลำบากได้ บัดนี้อ้ายแสนลูกข้ามันป่วย จนไม่สามารถที่ข้าจะหาเงินทองมารักษาพยาบาลให้หายได้ เพราะความยากจน เวลานี้เข้าที่คับขันแล้ว ขอให้ไม้เท้าของคุณตาจงประสิทธิ์ประสาทน้ำในขันนี้ให้เป็นน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ สามารถเมื่อกินแล้วขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บเถิด